ศพที่สอง
9.5
เขียนโดย Nixts
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.53 น.
8 บท
5 วิจารณ์
9,472 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 22.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอัยลดานั่งหลับๆ ตื่นๆ อยู่ที่เบาะหลังสุดของรถฟอร์ดเอเวอร์เรส ที่น้าชายของเธอเป็นคนขับ เสียงเพลงสากลเบาๆ ที่เปิดคลออยู่ในรถ ไม่สามารถกลบเสียงของเม็ดฝนที่กำลังตกแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอหันกลับไปมองกระจกหลังที่มีที่ปัดน้ำฝนเล็กๆ กำลังปัดไปมา เส้นทางถนนลาดยางที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปตามขอบเชิงเขาเหมือนกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นจากการที่แสงแดดค่อยๆ จางลงจากกลุ่มเมฆฝนที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งจากการที่พวกเธอกำลังเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่นั่งหลังสุดของรถค่อนข้างแคบ แต่สำหรับอัยแล้วไม่ได้มีปัญหากับเธอมากเท่าไหร่ เนื่องจากเธอเป็นคนที่รูปร่างค่อนข้างเล็ก
“อาพิทักษ์เบาแอร์ให้อัยหน่อยนะคะ”
ชายร่างใหญ่ในวัยกลางคนผู้ที่ถูกเรียก เหลือบตามองกระจกหลังเพื่อดูต้นเสียง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปลดแอร์ลง
“หนาวรีอัย. ตอนนี้เราขึ้นมาจะถึงยอดเขาแล้ว อากาศมันจะเย็นหน่อย”
เธอหลับไปได้พักใหญ่ตั้งแต่ที่เริ่มออกเดินทางมาไม่นาน จนกระทั่งตอนนี้ที่บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนจากตึกและอาคารกลางถนนสาทร ในกรุงเทพมหานคร กลายมาเป็นเทือกเขาและกลุ่มเมฆที่ทอดตัวสลับซับซ้อนของธรรมชาติที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี
รถที่กำลังขับด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลต่อชั่วโมง มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งน่าจะอยู่อีกไม่ไกลนัก บรรยากาศด้านข้างเป็นป่าทึบและท่องทุ่งที่ราบสูงสลับกัน ต้นไม้ใหญ่มากมายที่ให้ร่มเงาและความร่มเย็นในหน้าร้อน ตอนนี้ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถนนที่คดเคี้ยวไปเบื้องหน้าลาดชันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ภายในรถประกอบด้วยพ่อและแม่ของเธอที่นั่งอยู่ที่เบาะกลาง น้าเขยของเธอเป็นคนขับรถ และลูกชายคนเดียวของเขา ชื่อว่าพัทธพล เป็นเด็กหนุ่มอายุ 14 ปี นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ สำหรับตัวเธอเองและอริศรา นั่งอยู่ด้วยกันที่เบาะท้ายสุด อัยลดาและอริศราเรียกพัทธพลสั้นๆ ว่าพล แทนชื่อจริงมาโดยตลอด
อัยลดาหันไปมองอริศน้องสาวฝาแฝดของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ คนทั่วไปไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นฝาแฝด แต่มักจะคิดว่าแค่เป็นพี่น้องกัน เพราะนอกจากเพียงรูปร่างหน้าตาแล้ว เธอกับอริศไม่เหมือนกันสักเท่าไร ทั้งทรงผมและบุคลิก เพื่อนๆ ของเธอมักจะมองว่าตัวเธอเองเป็นคนกล้าและออกจะบ้าบิ่นในบางครั้ง ในขณะที่น้องสาวของเธอดูเงียบขรึม และเก็บตัวมากกว่า นอกจากนั้นอัยลดายังชอบทีจะแต่งตัวอย่างทะมัดทะแมง เธอมักจะเลือกใส่กางเกงแทนกระโปรง ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากอริศรา ผู้ซึ่งมักจะเลือกเสื้อผ้าในแนวที่ตรงกันข้ามกับอัยลดาเสมอ
พวกเธอกำลังเดินทางไปพักที่รีสอร์ตของน้าชายของเธอ อาพิทักษ์แต่งงานกับอาแพร หรือชื่อเต็มคือแพรพิไล ผู้เป็นน้องสาวต่างแม่ของพ่อของเธอ อาพิทักษ์จัดว่าเป็นหนึ่งในเศรษฐีใหม่ และน่าจะเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี รีสอร์ตของเขาถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่ไม่กี่หลัง แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่พักในรีสอร์ตของอาพิทักษ์แต่ละหลังน่าจะเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ในตัวของมันเอง ในรีสอร์ตมีทั้งหมดสิบสองหลัง แต่ละหลังตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่ธรรมชาติยังคงสวยงาม มีวิวที่มองลงไปเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างของเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ที่พักแห่งนี้ไม่เคยว่างเลยแม้แต่วันเดียว แขกที่มาพักมักจะเป็นคนดังหรือคนสำคัญ นักธุรกิจชาวต่างชาติ หรือผู้มีอิทธิพลในละแวกใกล้เคียง กลุ่มคนที่จะมีเงินมากพอจ่ายค่าที่พัก ที่แพงขนาดที่คนทั่วๆ ไปอาจจะต้องใช้เวลาเก็บเงินทั้งปี เพียงเพื่อจะมาพักแค่คืนเดียว อาพิทักษ์เก็บบ้านพักไว้ให้พวกเธอเข้ามาพักผ่อนกันหนึ่งหลัง ในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ พวกเธอวางแผนที่จะใช้เวลากับการพักผ่อนกันให้เต็มที่ก่อนที่จะกลับไปสู่โลกของการทำงานและการเรียน เพื่อที่จะเตรียมสอบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“ตื่นแล้วรึลูก” แม่ของเธอหันมาถามพร้อมยื่นขวดน้ำมาให้ อัยลดาเอื้อมมือไปรับมา
“ขอบคุณค่ะแม่”
ลดามาศ แม่ของอัยลดาและอริศรา สดามาศเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ถึงแม้ว่าเธอจะมีอายุขึ้นตัวเลข 4 แล้ว แต่ก็ยังคงดูสาวอยู่ราวกับคนอายุน้อยกว่าเธอเป็นสิบปี ทั้งๆที่เธอทำงานอยู่แต่ในครัวของร้านอาหาร ตลอดเวลากว่ายี่สิบปีนับตั้งแต่ที่แต่งงานกับพ่อของเธอ
“น่าจะใกล้ถึงแล้วนะลูก”
อัยลดาพยักหน้า เธอเอื้อมมือไปจับกระจกหน้าต่าง สายฝนที่ตกมากระทบถึงแม้จะไม่หนักมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นแค่ละอองฝน อากาศข้างนอกน่าจะประมาณ 20 องศา ที่หากว่าฝนหยุด ก็คงจะหนาวขึ้นกว่านี้ กระจกที่เย็นเฉียบเมื่อมือของเธอไปสัมผัส ยืนยันได้เป็นอย่างดี อัยลดายื่นขวดน้ำดื่มคืนให้กับแม่ของเธอ ข้างๆ นั้น พ่อของเธออ่านอะไรบางอย่างอยู่ในโทรศัพท์ของเขา พ่อของเธอชื่อว่าอาณัติ เขาเป็นเสาหลักของครอบครัว และเป็นที่รักของทุกคนมาโดยตลอด พ่อของเธอเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ อยู่บริเวณสาทร เป็นกิจการของครอบครัวที่ดำเนินกันมากว่าสามสิบปี และถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประสบความสำเร็จและร่ำรวยเท่ากับอาพิทักษ์ แต่ครอบครัวของเธอก็จัดว่ามีฐานะดีมากครอบครัวหนึ่ง
อัยหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาดูเวลา แสงสว่างภายนอกเริ่มกลายเป็นสีเทาเหมือนยามใกล้จะพลบค่ำทั้งๆ ที่พึ่งจะสี่โมงเย็น ถนนที่คดเคี้ยวและลาดชันทำให้ดูอันตรายอยู่บ้าง แต่การที่ไม่มีรถยนต์คันอื่นสวนมาก็ทำให้การขับรถเป็นไปได้โดยไม่ยากมากนัก
อีกไม่นานก็คงจะมืดสนิท อัยอยากที่จะไปถึงที่พักเสียที เธอรอคอยเวลาที่จะได้ลงจากรถแล้วยืดเส้นยืดสายจากการนั่งมาเป็นเวลานาน เป็นเวลานานมากแล้วที่เธอไม่ได้มาที่รีสอร์ตแห่งนี้ นับตั้งแต่ที่น้าแพรเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน ทำให้พลกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ และอาพิทักษ์ก็กลายเป็นพ่อม่าย ความทรงจำของเธอหวนกลับไปเมื่อนึกถึงน้าสาวของเธอ และเกี่ยวกับคำพูดแปลกๆ ของอริศในวันที่พวกเธอไปงานศพ ที่ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ
อัยลดานึกย้อนไปถึงความทรงจำในช่วงเวลานั้น เธอและครอบครัวของเธอมาร่วมงานศพ ที่จัดขึ้นที่ตัวเมืองกาญจนบุรี พ่อของเธอปิดร้านอาหารสามวัน เพื่อมาช่วยงานตั้งแต่วันศุกร์ และในวันสุดท้ายก่อนที่จะเผาศพ อัยและอริศเข้าไปจุดธูปเพื่อไหว้อาแพรเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงเวลานั้นเองที่อริศหันมาเอ่ยสั้นๆ กับเธอ
“พี่อัย อาแพรไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ”
อัยไม่ได้ตอบอะไรอริศในวันนั้น และอริศก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย คำพูดแบบนี้อาจจะดูเหมือน เรื่องล้อเล่นที่ไม่ควรทำ แต่อัยรู้ดีว่าถ้าเป็นคำพูดที่มาจากปากของอริศ มันไม่ใช่คำพูดล้อเล่น น้องสาวฝาแฝดของเธอไม่มีนิสัยแบบนั้น และนอกจากนั้น อริศ.. อริศมักจะรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้
เช่นเดียวกันกับในวันนี้ อริศผู้เป็นน้องสาวฝาแฝดของเธอนั่งพิงกระจกหน้าต่างรถอยู่ข้างๆ สายตาทั้งคู่จ้องมองออกไปด้านนอกอย่างเลื่อนลอย เธอไม่รู้ว่าอริศมองอะไรอยู่ด้วยดวงตาคู่นั้น แต่อัยลดารู้ดีว่า เธอจะเป็นคนแรกที่อริศจะเล่าถึงสิ่งที่เธอเห็น ไม่ว่าจะเห็นด้วยตาหรือรู้ได้โดยวิธีอื่นใดก็ตาม
“อาพิทักษ์เบาแอร์ให้อัยหน่อยนะคะ”
ชายร่างใหญ่ในวัยกลางคนผู้ที่ถูกเรียก เหลือบตามองกระจกหลังเพื่อดูต้นเสียง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปลดแอร์ลง
“หนาวรีอัย. ตอนนี้เราขึ้นมาจะถึงยอดเขาแล้ว อากาศมันจะเย็นหน่อย”
เธอหลับไปได้พักใหญ่ตั้งแต่ที่เริ่มออกเดินทางมาไม่นาน จนกระทั่งตอนนี้ที่บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนจากตึกและอาคารกลางถนนสาทร ในกรุงเทพมหานคร กลายมาเป็นเทือกเขาและกลุ่มเมฆที่ทอดตัวสลับซับซ้อนของธรรมชาติที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี
รถที่กำลังขับด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลต่อชั่วโมง มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งน่าจะอยู่อีกไม่ไกลนัก บรรยากาศด้านข้างเป็นป่าทึบและท่องทุ่งที่ราบสูงสลับกัน ต้นไม้ใหญ่มากมายที่ให้ร่มเงาและความร่มเย็นในหน้าร้อน ตอนนี้ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถนนที่คดเคี้ยวไปเบื้องหน้าลาดชันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ภายในรถประกอบด้วยพ่อและแม่ของเธอที่นั่งอยู่ที่เบาะกลาง น้าเขยของเธอเป็นคนขับรถ และลูกชายคนเดียวของเขา ชื่อว่าพัทธพล เป็นเด็กหนุ่มอายุ 14 ปี นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ สำหรับตัวเธอเองและอริศรา นั่งอยู่ด้วยกันที่เบาะท้ายสุด อัยลดาและอริศราเรียกพัทธพลสั้นๆ ว่าพล แทนชื่อจริงมาโดยตลอด
อัยลดาหันไปมองอริศน้องสาวฝาแฝดของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ คนทั่วไปไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นฝาแฝด แต่มักจะคิดว่าแค่เป็นพี่น้องกัน เพราะนอกจากเพียงรูปร่างหน้าตาแล้ว เธอกับอริศไม่เหมือนกันสักเท่าไร ทั้งทรงผมและบุคลิก เพื่อนๆ ของเธอมักจะมองว่าตัวเธอเองเป็นคนกล้าและออกจะบ้าบิ่นในบางครั้ง ในขณะที่น้องสาวของเธอดูเงียบขรึม และเก็บตัวมากกว่า นอกจากนั้นอัยลดายังชอบทีจะแต่งตัวอย่างทะมัดทะแมง เธอมักจะเลือกใส่กางเกงแทนกระโปรง ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากอริศรา ผู้ซึ่งมักจะเลือกเสื้อผ้าในแนวที่ตรงกันข้ามกับอัยลดาเสมอ
พวกเธอกำลังเดินทางไปพักที่รีสอร์ตของน้าชายของเธอ อาพิทักษ์แต่งงานกับอาแพร หรือชื่อเต็มคือแพรพิไล ผู้เป็นน้องสาวต่างแม่ของพ่อของเธอ อาพิทักษ์จัดว่าเป็นหนึ่งในเศรษฐีใหม่ และน่าจะเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี รีสอร์ตของเขาถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่ไม่กี่หลัง แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่พักในรีสอร์ตของอาพิทักษ์แต่ละหลังน่าจะเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ในตัวของมันเอง ในรีสอร์ตมีทั้งหมดสิบสองหลัง แต่ละหลังตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่ธรรมชาติยังคงสวยงาม มีวิวที่มองลงไปเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างของเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ที่พักแห่งนี้ไม่เคยว่างเลยแม้แต่วันเดียว แขกที่มาพักมักจะเป็นคนดังหรือคนสำคัญ นักธุรกิจชาวต่างชาติ หรือผู้มีอิทธิพลในละแวกใกล้เคียง กลุ่มคนที่จะมีเงินมากพอจ่ายค่าที่พัก ที่แพงขนาดที่คนทั่วๆ ไปอาจจะต้องใช้เวลาเก็บเงินทั้งปี เพียงเพื่อจะมาพักแค่คืนเดียว อาพิทักษ์เก็บบ้านพักไว้ให้พวกเธอเข้ามาพักผ่อนกันหนึ่งหลัง ในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ พวกเธอวางแผนที่จะใช้เวลากับการพักผ่อนกันให้เต็มที่ก่อนที่จะกลับไปสู่โลกของการทำงานและการเรียน เพื่อที่จะเตรียมสอบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“ตื่นแล้วรึลูก” แม่ของเธอหันมาถามพร้อมยื่นขวดน้ำมาให้ อัยลดาเอื้อมมือไปรับมา
“ขอบคุณค่ะแม่”
ลดามาศ แม่ของอัยลดาและอริศรา สดามาศเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ถึงแม้ว่าเธอจะมีอายุขึ้นตัวเลข 4 แล้ว แต่ก็ยังคงดูสาวอยู่ราวกับคนอายุน้อยกว่าเธอเป็นสิบปี ทั้งๆที่เธอทำงานอยู่แต่ในครัวของร้านอาหาร ตลอดเวลากว่ายี่สิบปีนับตั้งแต่ที่แต่งงานกับพ่อของเธอ
“น่าจะใกล้ถึงแล้วนะลูก”
อัยลดาพยักหน้า เธอเอื้อมมือไปจับกระจกหน้าต่าง สายฝนที่ตกมากระทบถึงแม้จะไม่หนักมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นแค่ละอองฝน อากาศข้างนอกน่าจะประมาณ 20 องศา ที่หากว่าฝนหยุด ก็คงจะหนาวขึ้นกว่านี้ กระจกที่เย็นเฉียบเมื่อมือของเธอไปสัมผัส ยืนยันได้เป็นอย่างดี อัยลดายื่นขวดน้ำดื่มคืนให้กับแม่ของเธอ ข้างๆ นั้น พ่อของเธออ่านอะไรบางอย่างอยู่ในโทรศัพท์ของเขา พ่อของเธอชื่อว่าอาณัติ เขาเป็นเสาหลักของครอบครัว และเป็นที่รักของทุกคนมาโดยตลอด พ่อของเธอเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ อยู่บริเวณสาทร เป็นกิจการของครอบครัวที่ดำเนินกันมากว่าสามสิบปี และถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประสบความสำเร็จและร่ำรวยเท่ากับอาพิทักษ์ แต่ครอบครัวของเธอก็จัดว่ามีฐานะดีมากครอบครัวหนึ่ง
อัยหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาดูเวลา แสงสว่างภายนอกเริ่มกลายเป็นสีเทาเหมือนยามใกล้จะพลบค่ำทั้งๆ ที่พึ่งจะสี่โมงเย็น ถนนที่คดเคี้ยวและลาดชันทำให้ดูอันตรายอยู่บ้าง แต่การที่ไม่มีรถยนต์คันอื่นสวนมาก็ทำให้การขับรถเป็นไปได้โดยไม่ยากมากนัก
อีกไม่นานก็คงจะมืดสนิท อัยอยากที่จะไปถึงที่พักเสียที เธอรอคอยเวลาที่จะได้ลงจากรถแล้วยืดเส้นยืดสายจากการนั่งมาเป็นเวลานาน เป็นเวลานานมากแล้วที่เธอไม่ได้มาที่รีสอร์ตแห่งนี้ นับตั้งแต่ที่น้าแพรเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน ทำให้พลกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ และอาพิทักษ์ก็กลายเป็นพ่อม่าย ความทรงจำของเธอหวนกลับไปเมื่อนึกถึงน้าสาวของเธอ และเกี่ยวกับคำพูดแปลกๆ ของอริศในวันที่พวกเธอไปงานศพ ที่ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ
อัยลดานึกย้อนไปถึงความทรงจำในช่วงเวลานั้น เธอและครอบครัวของเธอมาร่วมงานศพ ที่จัดขึ้นที่ตัวเมืองกาญจนบุรี พ่อของเธอปิดร้านอาหารสามวัน เพื่อมาช่วยงานตั้งแต่วันศุกร์ และในวันสุดท้ายก่อนที่จะเผาศพ อัยและอริศเข้าไปจุดธูปเพื่อไหว้อาแพรเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงเวลานั้นเองที่อริศหันมาเอ่ยสั้นๆ กับเธอ
“พี่อัย อาแพรไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ”
อัยไม่ได้ตอบอะไรอริศในวันนั้น และอริศก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย คำพูดแบบนี้อาจจะดูเหมือน เรื่องล้อเล่นที่ไม่ควรทำ แต่อัยรู้ดีว่าถ้าเป็นคำพูดที่มาจากปากของอริศ มันไม่ใช่คำพูดล้อเล่น น้องสาวฝาแฝดของเธอไม่มีนิสัยแบบนั้น และนอกจากนั้น อริศ.. อริศมักจะรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้
เช่นเดียวกันกับในวันนี้ อริศผู้เป็นน้องสาวฝาแฝดของเธอนั่งพิงกระจกหน้าต่างรถอยู่ข้างๆ สายตาทั้งคู่จ้องมองออกไปด้านนอกอย่างเลื่อนลอย เธอไม่รู้ว่าอริศมองอะไรอยู่ด้วยดวงตาคู่นั้น แต่อัยลดารู้ดีว่า เธอจะเป็นคนแรกที่อริศจะเล่าถึงสิ่งที่เธอเห็น ไม่ว่าจะเห็นด้วยตาหรือรู้ได้โดยวิธีอื่นใดก็ตาม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ