Love in demon : รักวุ่นๆของเด็กหนุ่มกับ(เหล่า)ปีศา

8.0

เขียนโดย Blueheadphone

วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.19 น.

  13 ตอน
  3 วิจารณ์
  13.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 21.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) การผจญภัยครั้งที่ 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          “ต้องใส่ชุดนี้จริงๆงั้นเหรอเนี่ย!?”

          “อย่าบ่นมากน่า ชุดนี้นายใส่ก็หล่อจะตายไป”

          “แต่มันอึดอัดคอ”

          “ก็ปลดมันออกหน่อยสิไอ้โง่!”

          เบ็คกาลอสทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจแล้วคลายเนกไทสีดำของตนเองออกเล็กน้อยเพื่อให้เขาหายใจได้สะดวกขึ้น ในขณะนี้ทั้งสองถูกเชิญเข้ามานั่งในห้องรับแขกขนาดใหญ่ในพระราชวังใจกลางเมืองโฮลี่จุดศูนย์กลางนครแห่งแสงที่ทันสมัยและเต็มไปด้วยสีสันมากที่สุดในทวีป

          ภายในห้องตกแต่งด้วยความเรียบหรูราวกับโรงแรมระดับห้าดาวอันแสนจะแพงก็ตาม ก็แหงล่ะนี่วังนะจะให้ตกแต่งแบบบ้านๆก็คงจะขัดกันอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มยกไวน์ในแก้วใบสวยขึ้นมาชิมเล็กน้อยก่อนวนมันไปมาแล้วจิบอีกครั้ง

          “นายนี่ดูท่าจะเป็นเด็กเส้นน่าดูเลยนะ”

          เด็กหนุ่มพูดตามที่เห็นจากการก้มหัวของเกือบทุกคนซึ่งเดินผ่านมาล้วนทำกันเมื่อเดินผ่านวูดวูฟ คนผมดำหัวเราะในลำคอแต่ก็ไม่ตอบอะไรก่อนจะยกไวน์ขึ้นมาจิบเช่นกัน

          เวลาผ่านไปไม่นานเสียงประตูด้านข้างถูกเปิดออกตามมาด้วยร่างของชายวัยกลางคนอายุน่าจะสักราวๆ 55-56 ปี ชายผมดำรีบลุกขึ้นและสะกิดให้คู่หูของตนทำตาม เขาทั้งสองทำความเคารพคนในชุดสุดหรูตรงหน้า ชายผมขาวคนนั้นส่งยิ้มให้ทั้งคู่แล้วทำมือเชิญตามสบายก่อนเขาจะนั่งลงบนโซฟาสีเทา

          “กลับมาแล้วงั้นเหรอโอเวล?”ชายวัยกลางคนเริ่มสนทนาด้วยคำถาม “ภารกิจเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

          “เกือบพังไม่เป็นท่าเลยครับ”คนผมดำตอบแล้วส่ายศีรษะไปมา “ถ้าไม่มีหมอนี่มาช่วยผมคงตายไปแล้วล่ะครับ”

          “หืม?”

          ราชาผู้ปกครองนครแห่งแสงมองคนซึ่งลูกชายบุญธรรมของเขาชี้อยู่ เบ็คกาลอสกระพริบตาแล้วจ้องอีกฝ่ายกลับ ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่ ‘ไลท์เรย์ โฮลี่ไชน์’ จะถูกตั้งเป็น 1 ใน 7 วีรบุรุษของยุคปัจจุบันภายใต้ฉายาอันทรงเกียรติว่า ‘นักบุญทรงธรรม’ เพราะเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ๆก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความเมตตาและคุณธรรมจากไอพลังเวทย์รอบตัวเขา

          ไลท์เรย์มองลึกเข้าไปในดวงตาสีชมพูของเด็กหนุ่มผมฟ้าเพื่อพยายามค้นหาอะไรสักอย่าง แต่ยังไม่ทันได้คำตอบเสียงเรียกของลูกชายบุญธรรมเขาก็ดึงสติของเขากลับมาซะก่อน

          “ท่านไลท์จ้องเขานานไปแล้วนะครับ”

          “ขอโทษที...”ชายวัยกลางคนกระแอ่มเล็กน้อย “เห็นพ่อบ้านบอกว่าลูกมีธุระสำคัญจะคุยกับพ่อเรื่องอะไรล่ะ?”

          “ผมอยากได้บ้านพักตากอากาศที่ซีแลนด์และก็ขอรถยนต์รุ่นใหม่ครับ”

          “ไม่อ้อมค้อมเหมือนเดิมเลยนะ”เขาหัวเราะ “เอาสิว่าแต่จะเอาไปทำอะไรงั้นเหรอ?”

          “ภารกิจหาของที่ซีแลนด์น่ะครับ ท่าทางผมกับเขาน่าจะได้อยู่ที่นั่นนานพอสมควร”

          คนผมฟ้าหันไปมองเพราะสิ่งที่วูดวูฟพูดออกไปมันเป็นเรื่องโกหก การตามหาอัญมณีทั้ง 7 นั้นไม่ใช่งานของภารกิจแต่อย่างใด...

          “ได้เสมอนั่นแหละถ้าลูกต้องการอะไร”ราชาบอก “แต่พ่อมีบางอย่างจะให้ทำอะไรนิดหน่อย”

          “ครับ?”

          “พ่อจะฝากของไปให้เพื่อนนิดหน่อย...เอาเป็นว่าพ่อจะจัดการเรื่องรถและที่พักให้ อีกสัก 2-3 ชั่วโมงคงจะเสร็จ แล้วเราไปเจอกันที่โรงรถตกลงไหม?”

          “ครับ…ตามมาไอ้เตี้ย”

          เบ็คกาลอสแยกเขี้ยวใส่แต่มิกล้าลงมือลงไม้กับลูกชายบุญธรรมของราชาไลท์เรย์ด้วยความกลัวและเกรงใจว่าห้องแสนสวยนี้จะเละไม่เป็นท่า...อย่างน้อยก็ไม่กล้าทำต่อหน้าล่ะนะ!

          “นี่เจ้าหนุ่ม”ไลท์เรย์เรียกทักเบ็คกาลอส

          “ครับ?”

          “เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า...ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเธอแปลกๆ”

          “…”เด็กหนุ่ทเงียบไปสักครู่ก่อนตอบ “ไม่ครับ ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน”

          ทั้งคู่พยักหน้าเป็นเชิงให้เข้าใจก่อนจะแยกย้ายกันไป ชายผมดำเกาศีรษะของตนด้วยความงงแต่ก็ต้องเดินตามคู่หูของตนออกไปทิ้วให้ไลท์เรย์นั่งจมอยู่กับความคิดของตนเองภายให้ห้องแห่งความหลังนั้น...

          วูดวูฟถามว่าเบ็คกาลอสสนใจสถานที่ใดเป็นพิเศษหรือไม่จะได้พาไป ทันใดนั้นตาของเด็กหนุ่มก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันทีและคำตอบที่ได้ออกมาก็คือ ‘ห้องสมุด’ ชายผมดำอยากจะบ้าตายแค่ไอ้ห้องสมุดนี้จำเป็นต้องอ้อนวอนขอให้พาไปขนาดนั้นเลยอย่างนั้นเลยรึไง!? มันน่าตื่นเต้นตรงไหนกบไอ้สถานที่ซึ่งรวบรวมเหล่าความรู้มากมายไว้ด้านใน!?

          คนผมฟ้าดูตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษเมื่อได้ก้าวเท้าเข้ามาให้ห้องสมุดแห่งเขต ก็แหงล่ะเพราะเขาว่ากันว่าเป็นห้องสมุดซึ่งมีขนาดใหญ่มากที่สุดในทวีปนี้เพราะมันมีถึง 7 ชั้นด้วยกันในการตามหาข้อมูลซึ่งคนหาต้องการ แถมยังมีวิวสวยๆจากสวนสีเขียวด้านนอกกับกาแฟอันหอมกลุ่นที่ตั้งอยู่ให้ดื่มฟรีที่ชั้น 1

          “นี่เป็นโซนของวังซึ่งเขาเปิดให้คนธรรมดาเข้ามาได้แต่เมื่อเลยเขตนั้นไปประชาชนทั่วไปห้ามเข้ายกเว้นจะมีคำสั่งมาโดยตรงหรือเป็นคนที่ทำงานด้านในรับใช้ราชา...นี่นายได้ฟังอยู่ไหม?”

          “อายอ่าอะไออะ(นายว่าอะไรนะ)?”

          “ไอ้บ้าใครเขาสอนให้พูดตอนเคี้ยวขนมเต็มปาก!”คนผมดำพูดเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามองเขาจึงจำเป็นต้องขอโทษคนเหล่านั้น “กินให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดสิวะ”

          “ออโอด(ขอโทษ)”

          “ยังอีกนะนาย”

          วูดวูฟถอนหายใจแรงหนึ่งเฮือกในการกระทำของอีกฝ่ายพลางหยิบกระดาษทิชชู่แผ่นหนึ่งมาเอื้อมไปเช็ดริมผีปากสีชมพูของอีกฝ่ายที่มีเศษขนมติดอยู่ ฉับพลันความรู้สึกอันแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นมาภายในใจซึ่งกำลังเต้นแรงเมื่อได้สัมผัสร่างกายของเบ็คกาลอส

          ใบหน้าอันหล่อเหลาปนกับความน่ารักสดใสเข้ากับเส้นผมสีฟ้าอ่อนและดวงตาสีชมพูชวนหลงใหล เด็กหนุ่มคนนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือเกินเมื่อได้จ้องหน้าตรงๆ มันมากพอจะทำให้เขาละทิ้งกระดาษในมือไปแล้วหันมาใช้มือของตนสัมผัสกับริมฝีปากนั่นแทน

          เบ็คกาลอสสัมผัสได้ถึงการกระทำซึ่งเปลี่ยนไปของคนตรงข้ามแต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจของวูดวูฟ เขาหลับตาพริ้มเมื่อมือนั่นค่อยๆเลื่อนมาจับใบหน้าของเขาแทน ความอบอุ่นจากฝ่ามือหยาบๆของคนผมดำนี้กำลังสัมผัสกับแก้มของตน และแล้ว...

          “นายท่านขอรับ!!!”

          กระเป๋าไม้ถูกเปิดออกตามมาด้วยร่างของเจ้าหมีเท็ดดี้ที่จำศีลไปซะนานกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะเรียกให้วิญญาณของเบ็คกาลอสกลับเข้าร่าง เด็กหนุ่มปัดมือของอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็วจนวูดวูฟตกใจก่อนจะหอบหายใจแรงสักระยะ

          “ขอโทษ”

          ชายผมดำเป็นคนกล่าวอออกมาก่อนแล้วลุกหนีออกไปตรงระเบียงด้านนอกชั้น 3 เพื่อสูบบุหรี่และสงบสติอารมณ์ของตนเอง มือข้างหนึ่งจับบริเวณหน้าอกซึ่งหัวใจของเขายังคงเต้นแรงอยู่ด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด

          คล้ายกับการถูกสะกด

         ทางเบ็คกาลอสก็ปิดหนังสือเล่มที่ 10 ของตนเองลงก่อนที่เขาจะอ่านมันจบซึ่งมันไม่เหมือนกับหนังสือก่อนหน้านี้ เขาเอนหลังพิงกับเก้าอี้ของตนเองพลางคิดถึงการกระทำของตนและวูดวูฟเมื่อสักครู่ และไม่อยากจะคิดเลยถ้าเท็ดดี้ไม่ออกมาห้ามมันจะเลยเถิดไปถึงขั้นไหน!?

          “เจ้านาย...หลงรักเขางั้นหรือขอครับ?”ไม่เคยมีคำว่าอ้อมค้อมสำหรับตุ๊กตาหมีตัวนี้

          “จะบ้ารึไงกัน!?”คนผมฟ้าเผลอพูดเสียงดัง “จะไปรู้สึกแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะฉันกับเขาเจอกันแค่ 2 วันเองนะไม่มีทางเกิดความรู้สึกเร็วขนาดนั้นหรอก!”

          “แต่การกระทำเมื่อกี้...ถ้ากระผมไม่ออกมาห้ามเจ้านายกับเขาอาจจะจูบกันก็ได้นะครับ”

          “โนๆ ไม่มีทางๆ!”เจ้าตัวยังคงปฏิเสธอยู่ “ไม่มีทางจูบกับผู้ชายที่เพิ่งเจอกันแค่ 2 วันหรอกน่า!!!”

          “แต่แค่วันเดียวเจ้านายก็เคยทำ...ตั้งกี่ครั้งนะ? 4-5 ครั้ง”

          “เฮ้ย! นั่นแค่ตอนมีอารมณ์ไหมเนี่ย!? ถ้าจะทำแบบนั้นฉันทำให้เขาสลบแล้วลากเข้าห้องตั้งนานแล้ว!”

          “เมื่อกี้เจ้านายก็หลับตาเหมือนมีอารมณ์นะขอรับ”ตุ๊กตาหมีก็ยังคงไม่หยุด “เอาเถอะครับเจ้านายจะทำอะไรก็ได้แต่ห้ามทำในที่สาธารณะเด็ดขาดเดี๋ยวเขาหาว่าอนาจารขึ้นมาจะทำยังไงกัน?”

          “ไอ้บ้า! ฉันก็อายเป็นนะโว้ย!”

          “ขอโทษนะคะ!!!”

          เจ้าหน้าที่ห้องสมุดคนหนึ่งเดินเข้ามาตะโกนเสียงดังใส่เบ็คกาลอสแล้วขยับกรอบแว่นของตน เธอชี้นิ้วไปยังป้ายเตือนซึ่งถูกเขียนว่า ‘ห้ามเสียงดัง’ เด็กหนุ่มกล่าวขอโทษซึ่งเธอก็รับคำขอโทษนั้นแต่ก็ยังคงเชิญให้เขาออกไปจากที่นี่เนื่องจากมีหลายคนเดินมาแจ้งว่าเขาทำตัวเสียงดังมากเกินไป มิหนำซ้ำยังถูกเขียนรายชื่อไว้ในผู้ห้ามใช้ที่นี่เป็นเวลา 3 เดือนอีกต่างหาก!

          ตลอดทางเดินยาวซึ่งนำพาไปยังสวนหลังวังซึ่งเบ็คกาลอสเผลอเดินไปแบบงงๆก็เต็มไปด้วยการถกเถียงกันเรื่องต่างๆระหว่างเขาและเจ้าตุ๊กตาหมีที่อยู่ในกระเป๋า เด็กหนุ่มบ่นอุบอิบตลอดทางเพราะนึกเสียดายหนังสืออีกมากมายซึ่งยังไม่ได้อ่าน

          ฉับพลันดวงตาของเขาก็ดันไปเหลือบเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งในสวนที่ไม่เปิดให้เข้าไป เบ็คกาลอสกระพริบตาของตนเองหลายครั้งพลางนึกบางอย่างภายในใจเมื่อพยายามจ้องมองมันหลายรอบ

          “ซากุระนั่น...”

          “นายท่านขอรับ”ตุ๊กตาหมีเรียกผู้ครอบครองของตน “อย่าเข้าไปเลยขอรับนั่นเขตห้ามเข้า...เจ้านายทำอะไรขอรับ!?”

          เจ้าหมีเท็ดดี้โวยวายพร้อมพยายามจะเอาตนเองออกมาจากระเป๋าแต่เบ็คกาลอสล็อคมันเอาไว้จากด้านนอกทำให้ออกมาไม่ได้ ด้วยช่องว่างเล็กให้พอแสงลอดเข้ามาได้ทำให้มันรู้ได้ว่าเจ้านายของตนกำลังมุ่งหน้าเข้าไปในเขตห่วงห้ามนั้น

          หากมีหรือที่เมื่อคนผมฟ้ามีความอยากรู้เข้าครอบงำอะไรห้ามเขาก็จะไม่เคยฟัง เขาเดินมุ่งตรงไปหาต้นไม้ธรรมดานั่นในทันที

          “ไอ้ความรู้สึกคุ้นเคยนี่มันอะไร…”

          เบ็คกาลอสพูดขณะวางมือของตนลงบนลำต้นขนาดใหญ่ของต้นไม้ตรงหน้า เด็กหนุ่มใช้พลังของตนเองทำให้เกิดแสงสว่างสีขาวออกมาจากช่องระหว่างมือของเขาและลำต้นนั้น ด้วยพลังนั้นทำให้เขามองเห็นภาพอะไรสักอย่างจากระยะไกล

          สิ่งที่สามารถบอกได้ก็คือเห็นเด็กผู้หญิงหนึ่งคนกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนของเธอซึ่งเป็นเด็กผู้ขายอีกสองคน และเมื่อผ่านไปไม่กี่วินาทีร่างกายของพวกเขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่หากแต่คราวนี้เธอคนนั้นกำลังจูบอยู่กับเด็กผู้ชายที่โตขึ้นแล้วมีเพื่อนอีกคนแอบมองอยู่ด้านหลังลำต้นนั้น

          นี่มันอะไร...ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาเลย แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นชินกับมันเหลือเกิน...

          หมับ!

          “เหวอ!”

          “นี่นายมาทำอะไรอยู่ตรงนี้รู้ไหมว่าฉันตามหาตั้งนาน”

          คนผมฟ้าร้องเสียงดังด้วยความตกใจเพราะจู่ๆวูดวูฟที่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ชายผมดำตามหาเกือบทุกที่ที่ใกล้กับห้องสมุดโดยมาทราบภายหลังว่าเจ้าหน้าที่ไล่เขาออกไปและมีคนบอกว่าเห็นเขาเดินเข้ามาทางนี้จึงเดินมาตามหา

          ในตอนแรกชายหนุ่มได้เอ่ยถามไปแล้วว่าเป็นอะไรเพราะเห็นคู่หูของตนเงียบไปแต่เบ็คกาลอสส่ายหัวไปมาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายแล้วยังบอกต่ออีกว่าของที่เขาได้ขอไว้ถูกจัดเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยและวูดวูฟได้โทรไปบอกช่างให้ขับมันไปไว้ด้านหน้าพร้อมกับของที่ราชาไลท์เรย์ฝากไปให้เพื่อนของเขา

          รถยนต์เปิดประทุนสุดหรูถูกจอดไว้ข้างถนนเส้นหลักโดยมีทหารสองสามคนเฝ้าอยู่ วูดวูฟเดินเข้าไปแล้วโชว์บัตรประจำตัวให้พวกเขาดูก่อนพวกเขาจะทำความเคารพแล้วถอยกลับไป ชายผมดำกวักมือเรียกคู่หูของตนเข้ามาในรถคันใหม่เอี่ยม

          “ติดเครื่องยนต์”

          เจ้าของออกคำสั่งเสียงให้เครื่องยนต์รถติดขึ้นเองและเป็นไปตามที่คาดว่าเด็กแถบชนบทอย่างเบ็คกาลสอต้องตกใจเพราะความแปลกใหม่แบบนี้หาได้ยากมากเมื่ออยู่นอกเมืองหลวง วูดวูฟยักคิ้วให้เขาหนึ่งทีก่อนหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าเอือมเขา

          “ซีแลนด์สินะ?”คนผมดำถาม

          “ใช่”

          “น่าจะไปถึงเย็นพอดี”วูดวูฟบอกในขณะก้มไปมองนาฬิกาข้อมือของตน “รึอาจจะบ่ายถ้าเหยียบเต็มที่”

          ว่าแล้วก็ออกเดินทางในทันที ชายผมดำออกคำสั่งให้หลังคาเหล็กถูกนำมาปิดด้านบนเพราะขับรถอยู่ในเมืองคงไม่จำเป็นต้องเปิดประทุนรับลมร้อนเข้ามาหรอก ตลอดทางไม่มีใครเปิดสนทนาใดๆทำให้เบ็คกาลอสมีเวลามองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยผิดกับที่บ้านเกิดของเขาอย่างลิบลับ

          ทั้งตึกรามบ้านช่อง ร้านขายของต่างๆ แสงสีหรือแม้แต่กำแพงเหล็กทุกอย่างดูดีไปหมดจนน่าอิจฉาหากแต่เมืองใหญ่แบบนี้เขาคิดแค่อยากจะมาเที่ยวเท่านั้น หากมาให้อยู่ก็คงต้องปฏิเสธเพราะเกลียดเหลือเกินกับการอยู่บนที่ดินบนตึกสูงซึ่งไร้ความเป็นส่วนตัวและคับแคบ ยอมอยู่กับความล้าหลังซะยังจะดีกว่าอยู่แบบใช้ชีวิตราวกับปลากระป๋องในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนั้น

          หลังจากออกมาจากตัวเมืองและขับมาจนถึงครึ่งทางวูดวูฟก็จอดรถที่จุดพักรถแห่งหนึ่งโดยบอกไว้ว่าจะเอาของไปส่งให้เบ็คกาลอสลงไปหาอะไรซื้อมาทานข้างบนรถเดี๋ยวเขาจะกลับมาในไม่กี่นาที

          “ยินดีต้อนรับครับ”

          เสียงพนักงานประจำร้านสะดวกซื้อข้างทางเอ่ยเมื่อลูกค้าคนใหม่ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน เด็กหนุ่มผมฟ้าเดินไปเลือกขนมและน้ำมาจำนวนหนึ่งให้ตนเองและอีกส่วนแบ่งให้คู่หูของตน ในขณะกำลังจะจ่ายเงินเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของใครสักคนซึ่งมองมาจากด้านนอก

          เมื่อมองผ่านกระจกออกไปก็พบเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้สาธารณะโดยกอดอกของตนและมองเขาด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวแล้วพึมพำอะไรสักอย่าง เมื่อจัดการชำระเงินเสร็จสรรพคนผมฟ้าก็เดินหิ้วของออกมาจากร้านโดยยังสามารถสัมผัสได้ว่าสายตาคู่นั้นยังคงจ้องมาทางเขาอยู่

          เท็ดดี้ขยับกระเป๋าเป็นการส่งสัญญาณว่ามันเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้านายของตน แล้วในที่สุดชายคนนั้นก็ดันตัวลุกขึ้นและเดินมาหาเขาโดยไม่สนใจรถยนต์ซึ่งกำลังแล่นเข้ามาด้วยความเร็วจนต้องรีบเหยียบเบรคทำให้เกิดเสียงดังเอี๊ยด!

          “แกทำบ้าอะไรวะเดินไม่ดูทาง! อยากตายรึไงวะ!?”

          ชายผู้ขับรถเปิดกระจกออกมาแล้วตะโกนด่าทอคนที่ยืนขวางทางถนนของเขาเป็นชุด ชายผมครามหัวเราะในลำคอก่อนจะตวัดนิ้วชี้ของเข้าขึ้น ทันใดนั้นก้านไม้อันแหลมคมก็พุ่งขึ้นมาจากผืนดินทิ่มแทงทะลุและพารถคันนั้นขึ้นไปบนอากาศ

          เถาวัลย์มากมายงอกออกมาจากก้านไม้นั้นก่อนจะพันรอบรถยนต์ซึ่งมีบุคคลโชคร้ายอยู่ภายในนั้นแล้วบี้มันจนระเบิดสร้างเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องและวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น

          ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมนั้นหันมามองเด็กหนุ่มแล้วส่งยิ้มอันชั่วร้ายพลางชี้นิ้วมาหาเข้าเป็นเป้าหมายให้ก้านไม้พุ่งทะลุขึ้นมาจากดิน เบ็คกาลอสรีบเปิดกระเป๋าของตนให้ตุ๊กตาหมีกระโดดออกมาแล้วใช้ใบมีดของตนปัดการโจมตีนั้นออกไป

          “เจ้านายขอรับหมอนี่มัน…”

          “ใช่แล้วเท็ด...มันไม่ใช่ปีศาจระดับล่างเหมือนที่พวกเราเคยผ่านมา”คนผมฟ้าตอบตุ๊กตาของตน “เจ้านั่นคือ 1 ใน 6 ตัววิปลาส พฤกษาทมิฬ ‘ยูเรนัส’

          “ขอดูหน่อยสิว่าผู้สืบทอดพลังแห่งแสงอย่างแกมีพลังอย่างที่เดรนคุยโวไว้แค่ไหน”

          555 จบไปอีกแล้วนะครับอีกตอนหนึ่ง ตอนหน้าอาจจะมีแอคชั่นจ๋าหน่อยนะครับเพราะมันต้องฉากประมาณนี่แหละ หากมีอะไรตกหล่นขออภัยนะครับ =/\=

          ปล.อย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยนะขอรับ!!!

          Blueheadphone

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา