Sensuality รัก? รัญจวนใจ?

-

เขียนโดย Licht

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 23.34 น.

  12 ตอน
  1 วิจารณ์
  13.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2561 23.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Embrace me (with your love) (BL)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

พลได้รู้จักกับสิทธิ์ครั้งแรกในงานศพพี่สาวของสิทธิ์ที่พี่ชายของเขาเป็นผู้แนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน พี่ชายของพลเป็นผู้ขับรถชนพี่สาวของสิทธิ์จนเสียชีวิต หรือตามที่พลเข้าใจสิทธิ์เป็นสมาชิกครอบครัวของคู่กรณีของพี่ชายเขานั่นเอง พลทราบว่าพี่ชายของเขาอ่อนไหวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งที่พ่อของพวกเขาหาทนายมาวิ่งเต้นเพื่อช่วยเหลือ ทว่าพี่ชายเสียใจมากกว่าที่พลคิด ดูเหมือนมีบางสิ่งที่เขาอาจจะยังไม่ทราบ นอกจากที่พี่ชายของเขาทั้งรับเป็นเจ้าของไข้ให้พี่สาวของสิทธิ์ รวมถึงเจ้าภาพงานศพที่ตามมา

 

ในงานนั้นเต็มไปด้วยญาติของสิทธิ์ แต่นอกจากพลและพี่ชายของเขา ญาติของสิทธิ์ต่างเว้นระยะห่างจากสิทธิ์จนพ่อ-แม่ของสิทธิ์ต้องเป็นฝ่านปลีกไปนั่งกับพวกญาติๆ

 

พลจึงตั้งคำถามต่อคนที่นั่งข้างๆ สิทธิ์หันมองเขาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ น้ำเสียงของสิทธิ์ฟังดูเป็นกันเอง

 

“นั่นเป็นเรื่องปกติครับ หลังจากที่ทุกคนทราบว่าผมเป็นเกย์...”

 

พลได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาตอบอีกฝ่ายไปว่า “อย่างนั้นเองหรือ” พลไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี พลจึงเลือกที่จะเงียบ และอยู่นั่งฟังพระสวดจนจบ

 

สิทธิ์ดูเหมือนจะเข้าใจจึงเป็นฝ่ายชวนพลคุยบ้าง สิทธิ์บอกว่าพ่อ-แม่เขาต้องการจัดงานศพเรียบง่ายแค่สามคืนก็พอแล้ว งานศพทั้งสามคืนนั้นพลจึงมาเป็นเพื่อนพี่ชายที่จิตใจบอบช้ำมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันเผาและวันเก็บกระดูกรวมถึงลอยอังคาร

 

ตลอดช่วงเวลาเหล่านั้น พลได้รู้จักชายที่ชื่อสิทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นสิทธิ์คอยย้ำกับเขาว่า

 

“คุณพลครับ อย่าพยายามปล่อยพี่ชายคุณไว้คนเดียวในช่วงนี้นะครับ เขาดูน่าเป็นห่วง”

 

พลพยักหน้ารับ เรื่องนี้เขาเห็นด้วย

 

“ครับ ผมก็คิดว่าอย่างนั้น นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมคอยตามประกบพี่ชาย”

 

สิทธิ์ยื่นนามบัตรให้ “นี่เบอร์ผม มีอะไรโทรหาผมได้นะครับ”

 

พลก็รับมาเก็บรวมไว้ในกล่องใส่นามบัตรที่เขาพกติดตัว

 

สิ่งที่สิทธิ์เตือนนั้นพลเข้าใจดีจึงได้มาค้างที่คอนโดและอยู่เป็นเพื่อนพี่ชาย พี่ชายเขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร บางครั้งเขาก็มาค้างกับพี่ชายอยู่แล้ว จนแม่เขาโทรตามให้เขากลับไปหาลูกๆ บ้าง เด็กๆ บ่นว่าอยากเจอหน้าทั้งที่คุยโทรศัพท์กันอยู่ทุกวัน เขาเปิดเสียงลำโพงเพื่อให้พี่ชายได้ยินด้วยตลอดเวลาที่คุยกับแม่และลูกแฝดของเขาจนวางสายไป พี่ชายบอกว่ากลับไปที่บ้านค้างกับเด็กๆ สักคืนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก

พลยังจำได้ถึงรอยยิ้มของพี่ชายในตอนนั้น ก่อนที่เขาจะจากมา

 

...แล้วคืนนั้นเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจริงๆ พลคิดว่าตัวเองน่าจะใส่ใจพี่ชายให้มากกว่านี้ หรือไม่ก็ควรพาพี่ชายกลับมาบ้านด้วยกันมากกว่าปล่อยเขาทิ้งไว้ที่คอนโดฯคนเดียว

 

เช้าวันต่อมาพลไขกุญแจเข้าไปในห้องชุด เขาไม่เห็นพี่ชายที่บริเวณห้องนั่งเล่นส่วนกลาง จึงไปเคาะประตูห้องพี่ชายที่น่าจะตื่นได้แล้ว เขาเคาะอยู่นานไม่มีเสียงตอบรับจึงลองบิดลูกบิดประตูดู

 

เมื่อเปิดประตูห้องที่ไม่ได้ล็อคออก พลจึงได้เห็นร่างพี่ชายของเขานั่งฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเสียชีวิตแล้ว...

 

อย่างน้อยที่สุด...ดีแล้วที่เขาไม่ได้พาลูกๆ มาด้วย ให้มาเห็นภาพเช่นนี้

พลโทรแจ้งตำรวจ ทั้งพ่อแม่ ทำทุกอย่างที่คิดออก

สุดท้ายเมื่อเหลือเขาเพียงคนเดียวในห้องชุดนั้น เขายังกลับบ้านไม่ได้ เขายังไม่พร้อมจะตอบคำถามลูกในตอนนี้ แต่การอยู่คนเดียวตอนนี้เขาก็รู้สึกไม่ดี เมื่อตั้งสติได้พลจึงหยิบนามบัตรที่เคยได้รับขึ้นมาแล้วโทรหาสิทธิ์ เขาบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง

 

สิทธิ์เงียบไปพักใหญ่ จนพลเป็นฝ่ายพูดขึ้นเอง

 

“ผมไม่น่าปล่อยเขาทิ้งไว้ลำพังเลย... ลูกๆ บ่นคิดถึง ผมเลยกลับไปหาลูก ผมน่าจะพาพี่ไปด้วย”

 

เสียงปลอบของสิทธิ์ดังจากในโทรศัพท์ว่า “เข้มแข็งไว้นะครับ ถ้าคุณต้องการผมจะไปอยู่เป็นเพื่อน อย่าโทษตัวเองอีกคนเลย...ได้โปรดคิดถึงลูกๆ ของคุณเอาไว้ พวกแกต้องมีคุณเป็นที่พึ่ง คุณพ่อ-คุณแม่คุณด้วย”

 

“...ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนผมที ผมอยู่ที่คอนโดพี่ชาย อยู่ในห้องที่เขาตาย...” พลขอความช่วยเหลือออกไป ด้วยเสียงสั่นเครือ บอกชื่อคอนโด บอกที่อยู่ พลทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ภาพที่เห็นร่างพี่ชายฟุบอยู่ยังคงติดตาทั้งที่ตำรวจเคลื่อนย้ายร่างพี่ชายออกไปแล้ว ทั้งที่โดนสอบปากคำไปแล้วโดยทนายคนเดิมที่เป็นปากแทนเขา

 

เท่าที่จะเร็วได้สิทธิ์มาพบเขาที่คอนโด สิทธิ์ดูจะเดาอะไรได้มาก จึงซื้ออาหารมาเตรียมไว้เรียบร้อย เขาชูถุงที่ถือติดมือมาให้พลดู

 

“ฟาสต์ฟู๊ดน่ะครับ...ทนทานไปก่อนนะ ถ้าไม่ถูกใจเดี๋ยวค่อยทำให้ใหม่”

 

พลดูอาหารที่สิทธิ์หยิบออกจากถุงกระดาษมาเรียงบนโต๊ะรับประทานอาหาร ก่อนจะถามข้อที่เขาสงสัยมากกว่าออกมา

 

“คุณทำอาหารเป็นด้วยหรือ”

 

“ตอนอยู่กับแฟนเก่า เราช่วยกันทำอาหารน่ะครับ” สิทธิ์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ

 

พลไม่พูดอะไรอีกนั่งลงทานอาหารที่สิทธิ์ซื้อด้วยกัน บางทีฟาสต์ฟู๊ดก็ไม่ได้แย่เกินไปนัก

ให้พลพูดตามตรงเขาก็ไม่ได้ทานมานานมากแล้ว มันไม่ดีเลยไม่ทาน และไม่สนับสนุนให้ลูกๆ เขาทานด้วย

หลังท้องอิ่ม พวกเขานั่งกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นส่วนกลาง สิทธิ์แยกไปนั่งโซฟาเดี่ยวแยกกับพล พลไม่อยากอยู่ในห้องคนเดียวให้ฟุ้งซ่าน การมีคนอยู่ด้วยย่อมดีกว่า

 

สิทธิ์เองก็บอกว่าไม่ต้องกลับที่ห้องพี่ชายให้คิดมากเลย แล้วก็พยายามชวนพลคุยไปเรื่อยๆ พลยอมรับว่าการต้องรับการสูญเสียอย่างกระทันหันเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เขาตัดสินใจว่าพรุ่งนี้คงต้องกลับบ้านไปดูทั้งพ่อ-แม่และลูกแฝดของเขา

 

ทั้งที่เป็นเช่นนั้นดูเหมือนเวลาจะไหลไปช้ามาก พลหวังว่าผ่านพ้นคืนนี้ไป ความรู้สึกทั้งหลายที่โถมเข้ามาจะบรรเทาลง จนพวกเขาทานอาหารเย็นไปเรียบร้อยแล้ว พลก็รู้สึกเหมือนประสาทยังคงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา บางทีถ้าเขามีความรู้สึกเหนื่อยจนอยากพักผ่อนหลับไปอาจจะดีขึ้นกว่านี้แท้ๆ

 

พลบอกกับสิทธิ์ตามตรงว่า เขาคิดว่าถ้าเขาง่วงจนหลับไปสักตื่นคงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่เขาข่มตาหลับไม่ลง สิทธิ์จึงบอกว่า

 

“ถ้าอย่างนั้นผมเล่าเรื่องของผมให้คุณฟังก็แล้วกัน หากคุณไม่รังเกียจ”

 

“ผมยินดีฟัง” พลตอบออกไป

 

“ผมเคยบอกคุณแล้วว่าผมเป็นเกย์...” สิทธิ์กล่าวราวกับย้ำถึงสถานะของตัวเขา ซึ่งพลก็พยักหน้ารับ พลยังจำได้ว่า ญาติๆ ของสิทธิ์แสดงท่าทางรังเกียจออกมาขนาดไหน

 

“มันเริ่มจาก...ตอนที่ผมรู้สึกว่าผมรักเพื่อนสนิทของผมมากกว่าความเป็นเพื่อน...” สิทธิ์ที่นั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยว ทอดสายตามองพล “จะบอกว่าโชคดีรึเปล่าที่เราคิดตรงกันพอดี เราจึงได้เริ่มคบกันเป็นแฟน...พี่สาวผมเป็นฝ่ายทักผมขึ้นมา และผมก็ยอมรับแต่โดยดี แน่นอนว่า...กับพ่อแม่สักวันหนึ่งก็ต้องรู้ถึงความผิดปกติอันนี้ พี่เป็นคนไกล่เกลี่ยเรื่องราวทั้งหมด ผมรู้...ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้อยากยอมรับ แต่เหมือนกับจำต้องยอมรับ ผมจึงได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทั้งการเรียน ทั้งการงาน และดูแลพวกท่าน...”

 

ริมฝีปากของสิทธิ์เหยียดยิ้มแห้งๆ “ญาติผมก็อาศัยอยู่ละแวกเดียวกัน และสุดท้ายพวกเขาก็รู้ต่อๆ กันไป พอผมทำงานได้สักพักจึงตัดสินใจย้ายออกไปอยู่กับแฟน สุดสัปดาห์ก็แวะกลับบ้านบ้าง เวลากลับบ้านก็จะได้รับสายตาแบบเดียวกับที่คุณเคยเห็นในงานนั่นแหละครับ”

 

พลที่นั่งฟังเงียบๆ นึกถึงช่วงที่เขาอยู่ในงานศพพี่สาวของสิทธิ์ เขาคิดว่าคนๆ หนึ่งต้องมาทนกับสายตารังเกียจเพียงเพราะเขามีรสนิยมแตกต่างออกไปงั้นหรือ

 

“แล้วสุดท้าย...พอพี่ประสบอุบัติเหตุ ผมจึงต้องคอยไปเฝ้าพี่ ผลัดเปลี่ยนไปกับพ่อแม่ เราเริ่มห่างๆ กัน ตอนแรกเขาเข้าใจผมดีว่าผมมีเหตุจำเป็น ช่วงนั้นผมค่อนข้างเครียดกับอาการของพี่ เขาหวังดีนะที่พยายามชวนผมไปเที่ยวให้ผ่อนคลาย แต่อารมณ์ผมตอนนั้นได้แค่ออกไปกินข้าวนอกบ้าน แต่ไม่ใช่การไปเที่ยว ผมก็รู้ตัวเองว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่ทะเลาะกันได้ง่าย ผมพยายามแล้วแต่สุดท้ายเราก็เลิกกันจนได้...”

 

สิทธิ์หันหน้าไปทางหน้าต่างทอดสายตามองออกไปไกลๆ “คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ได้ต้องการความรัก แต่ต้องการความเข้าใจ ทุกอย่างจบลงเพราะผมไม่เข้าใจความหวังดีที่เขาอยากให้...ส่วนผมแค่อยากให้เขาเข้าใจผมบ้าง...เรื่องของผมจบลงเท่านี้”

 

สิทธิ์หันกลับมายิ้มให้พล สำหรับพลมันดูเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด ทั้งเลิกกับแฟน แล้วยังสูญเสียพี่สาวไป

 

พลสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาเองก็อยากได้ใครสักคนที่รับฟังเขาเช่นกัน

คืนนั้นพลจึงเล่าให้สิทธิ์ฟัง...เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเรื่องภรรยาที่เสียไป เรื่องที่เขาไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟังเลย...

 

“ภรรยาผมเป็นลูกคนเดียว เธอเสียครอบครัวไปก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย...คบกันตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย โชคดีที่เธอไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยหรือค่าใช้จ่าย พอเรียนจบได้ 2 ปี ผมอยากเป็นฝ่ายดูแลเธอ เราจึงตัดสินใจแต่งงานกัน พ่อแม่ผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร บ้านผมพอจะมีฐานะเราจึงไม่ต้องเดือนร้อน หลังแต่งงานได้ไม่กี่ปี ภรรยาผมก็ตั้งครรภ์”

 

พลมองสบตาสิทธิ์ที่ตอนนี้เป็นฝ่ายรับฟัง

 

“ตอนที่เราทราบว่าเราได้ลูกแฝด เราทั้งแปลกใจและดีใจไปพร้อมกัน แต่พอหมอบอกว่าภรรยาผมมีภาวะเสี่ยง รอยยิ้มก่อนหน้านี้ที่มีหายไปทันที ปกติคนตั้งครรภ์ก็เสี่ยงพอตัว แต่ผู้ชายอย่างผมไม่เคยรู้มาก่อนโดยเฉพาะการมีลูกแฝด”

 

พลบีบมือทั้งสองข้างเข้าหากัน

 

“ภรรยาผมกล่าวขอโทษที่ต้องขอให้ผมคิดถึงลูกก่อนเธอ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

คนรอบข้างพูดแต่ว่า โชคดี ใช่...ผมโชคดี แต่โชคร้ายที่ภรรยาผมมีอาการแทรกซ้อนจนเสียชีวิตหลังคลอดไม่กี่วัน ดูเหมือนเธอจะพยายามต่อสู้ที่จะไม่จากไปในวันเกิดของลูก

ทั้งที่หลังคลอดเธอลืมตามามองลูก กอดลูกอยู่ไม่นาน หลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย...”

 

สิทธิ์เพ่งมองพล เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมขอกอดคุณได้ไหม?”

 

พลรู้ตัวดีว่า ถ้าเขาเอ่ยอะไรออกมาอีก น้ำตาเขาคงไหลออกมา จึงได้แต่พยักหน้ารับ

มันก็แค่การปลอบใจของคนที่ต่างสูญเสียคนที่รักไป...

 

หลังจากคืนนั้นพลได้มาพบเจอกับสิทธิ์อีกครั้งในงานศพพี่ชายของเขา นั่นเป็นช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์ หลังงานศพพี่สาวของสิทธิ์

 

สิทธิ์ที่มาพร้อมกับพ่อแม่ ก้าวเข้ามาหาพลกับพ่อแม่ของเขาที่ยืนต้อนรับแขกอยู่พร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพ

 

“ผมกับพ่อและแม่ขอแสดงความเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยครับ”

 

พลหันมองหน้าพ่อแม่ของเขาสลับกับพ่อแม่ของสิทธิ์

 

ทั้งสองครอบครัวต่างทราบดี ไม่มีใครโทษใคร มีแต่ความเสียใจและความสูญเสียต่อสิ่งที่เอากลับคืนมาไม่ได้

นอกจากนี้สิทธิ์และครอบครัวยังไม่ทราบถึงจดหมายลาตายที่พี่ชายเขาทิ้งเอาไว้แม้แต่น้อย และแน่นอนว่า พ่อเขาก็ไม่ได้ค้านที่พี่ชายจะยกอะไรให้ ตามความเป็นจริงเราต้องชดใช้ให้ครอบครัวของคู่กรณีอยู่แล้ว และเขาก็รู้ว่ามันมีความหมายมากกว่ามูลค่า

ที่ยิ่งกว่านั้นคือครอบครัวของสิทธิ์ก็คิดว่ามันควรจบ เมื่อพี่ชายเขาได้ตัดสินใจลงโทษตัวเองเช่นนั้น

พวกเขารับรู้ถึงความจริงใจที่พี่ชายเขามีตั้งแต่ตอนที่คอยไปเฝ้าลูกสาวพวกเขาที่โรงพยาบาลอยู่ไม่ห่าง

และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องหาคำมาตอบเมื่อลูกถามว่าลุงดลไปไหน?

พลจึงตอบลูกฝาแฝดชายหญิงของเขาว่า “ลุงไปอยู่ที่เดียวกับคุณแม่แล้วครับ”

 

หลังจากให้ทนายจัดการทรัพย์สินของพี่ชายตามที่ควรจะเป็นแล้ว เมื่อทุกอย่างเริ่มจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ พี่เลี้ยงของลูกแฝดของพลก็มีอันขอลาออกด้วยเหตุผลทางบ้าน ซ้ำยังขอโทษที่ลาออกกระทันหันหลายต่อหลายครั้ง พลคงต้องหาพี่เลี้ยงคนใหม่มาดูแลลูก แต่ก่อนอื่นเขาควรจะต้องเอาตัวให้รอดสำหรับสุดสัปดาห์นี้ก่อน

เขาจะทำงานของตัวเอง แล้วยังต้องเลี้ยงลูกแฝดวัยกำลังซนไปด้วยอย่างไรดี พลไม่อยากรบกวนพ่อแม่ต้องเหนื่อยดูแลเด็กเลย แล้วเขาก็นึกขึ้นได้จึงโทรหาสิทธิ์

สัญญาณปลายสายดังอยู่ไม่กี่ครั้งก่อนปลายสายจะกดรับ

พลรีบบอกเล่าขอความช่วยเหลือทันที

 

เสียงของสิทธิ์ที่ดังขึ้นในสายโทรศัพท์กลั้วหัวเราะตอบว่า

 

“ตอนนี้ผมอยู่คอนโดพี่ชายคุณ มาสิครับ”

 

อันที่จริงพลไม่น่าจะต้องแปลกใจ คอนโดนั้นถูกโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของทางนั้นตามคำสั่งเสียของพี่ชาย เขาอาจจะแค่นึกไม่ถึงที่สิทธิ์ย้ายเข้าไปอยู่

 

พลพาลูกแฝดไปที่นั่นด้วยความคุ้นเคย ใช้กุญแจสำรองที่เขายังเก็บไว้ไขเข้าไป...จะว่าไป ห้องนอนอีกห้องในห้องชุดของพี่ชายเป็นห้องที่เขาใช้เสมอเวลามาพัก และยังมีข้าวของของเขาที่ยังไม่ได้เก็บออกไปอยู่ พลลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปด้วยซ้ำ

 

“คุณคงไม่ว่าอะไรนะครับ” หลังกล่าวทักทายแล้วสิทธิ์ถามพลขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย

 

พลเลิกคิ้ว...คงหมายถึงการที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่สินะ พี่ชายเขายกให้แล้ว ทนายก็จัดการไปเรียบร้อยแล้วด้วย พลจึงส่ายหน้า

 

“อย่าคิดแบบนั้นสิ มันเป็นสิทธิ์ของคุณนะ”

 

สิทธิ์จึงคลี่รอยยิ้ม

 

“ก่อนหน้านี้ผมไปอาศัยอยู่กับแฟน ห้องนั้นเป็นของเขาพอเลิกกันผมก็ต้องย้ายออกมา บ้านตัวเองกับที่ทำงานก็ค่อนข้างไกล อยู่ที่นี่เดินทางสะดวกกว่า พ่อแม่ผมก็ทำงานของท่านไป”

 

พลพยักหน้ารับ...เขาจำได้ว่าสิทธิ์เคยเล่าเรื่องที่ต้องเลิกกับแฟนไว้เช่นนั้น

 

“คุณทำงานเถอะครับ ผมจะดูเด็กๆ ให้” สิทธิ์บอกเขาก่อนจะพาเด็กไปที่ห้องนั่งเล่นส่วนกลาง

 

พลจึงถือโน๊ตบุ๊คเดินเข้าห้องนอนเดิมที่เขาเคยใช้ เพื่อพบว่าข้าวของที่เขาทิ้งไว้ยังอยู่เช่นเดิมแค่ถูกเก็บให้เรียบร้อยขึ้น ห้องก็ยังคงสะอาดที่ไม่รู้ว่าสิทธิ์ยังคงจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดเช่นที่พี่ชายเขาเคยจ้างหรือทำเอง

 

พลทำงานจนลืมเวลาว่าล่วงเลยไปจะเที่ยงวันแล้ว จนลูกแฝดของเขาวิ่งมาตามไปทานข้าวนั่นล่ะ สิทธิ์คงโทรสั่งอาหารเดลิเวอรี่มา ตอนที่ทานข้าวไป สิทธิ์ก็ถามขึ้นว่า มื้อเย็นอยากจะทานอะไรไหมจะได้ทำให้ พลคาดว่างานของตัวเองคงไม่เสร็จในบ่ายนี้จึงบอกเมนูง่ายๆ ออกมา 2 อย่าง

 

พอตอนบ่ายสิทธิ์จึงเคาะประตูก่อนเข้ามาบอกว่าจะพาเด็กๆ ไปซุปเปอร์มาเก็ตซื้อของมาทำอาหารเย็นก่อน พลจึงตอบรับเออออไป แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูก่อนจะเข้าสู่ความเงียบ

 

พลทำงานไปก็นึกถึงว่าเขาจะหาพี่เลี้ยงคนใหม่ให้เร็วที่สุดได้อย่างไรกัน กว่าจะหาคนที่ไว้ใจได้ก็ว่ายากแล้ว หาคนที่อยู่นานๆ ยิ่งยากกว่า เมื่อก่อนเขาถึงเขาจะพกงานมาทำในวันหยุดก็ไม่เคยต้องเดือดร้อนเพราะมีพี่เลี้ยงดูแลลูก แล้วยังอยู่ในสายตาของพ่อแม่เขาด้วย ช่วงนี้เขาคงต้องลำบากสักหน่อย ระหว่างที่คิดไปทำงานไปก็ได้ยินเสียงประตูจากนอกห้องดังขึ้น คงจะกลับมากันแล้ว เขาควรทำงานให้เสร็จ ทานข้าวเย็นแล้วจะได้เล่นกับลูกบ้าง

 

หลังอาหารเย็นสิทธิ์ไล่ให้เขาดูลูกเพื่อที่จะได้เก็บกวาดล้างจาน ก่อนที่เขาจะพาลูกแฝดลากลับบ้าน สิทธิ์ยังบอกว่า ถ้ายังหาพี่เลี้ยงคนใหม่ไม่ได้จะพามาที่นี่อีกก็ได้ พลตอบว่างั้นเขาขอไม่เกรงใจก็แล้วกัน

 

ก่อนจะกลับสิทธิ์ยื่นพวงกุญแจกับคีย์การ์ดมาตรงหน้าพล เขามองมันอย่างแปลกใจเล็กน้อย

 

“แลกกับชุดสำรองของคุณเถอะครับ ชุดนี้เป็นของพี่ชายคุณ...ผมคิดว่าบางทีคุณอาจจะอยากเก็บมันไว้”

 

พลแบมืออกรับไว้...ก่อนจะหยิบชุดสำรองของตัวเองให้สิทธิ์ไปแทน

 

หลังกลับมาพลสังเกตเห็นลูกแฝดดูกระตือรือร้นในการเรียนรู้จะทำอะไรด้วยตัวเอง จากเดิมที่อยากได้อะไรก็บอกพี่เลี้ยงเอา เขาเคยบอกพี่เลี้ยงว่าให้ลูกเขาหัดทำอะไรเองบ้างก็ได้ แต่สุดท้ายพ่อแม่เขาก็ตามใจทุกอย่าง พร้อมทั้งบอกว่าเด็กๆ น่าสงสาร (ที่ไม่มีแม่) ให้พี่เลี้ยงทำให้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร พลที่ไม่อยากขัดใจพ่อแม่ตัวเองจึงได้แต่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไป พอพลลองถามดู ลูกแฝดบอกว่า ไปช่วยอาสิทธิ์เตรียมอาหารสนุกดี แล้วอาสิทธิ์ยังหัดให้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง

พลเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสดีจึงพยายามหัดลูกให้ทำอะไรด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องการพี่เลี้ยงสำรองไว้อยู่ดี

 

จนผ่านไปอีก 2 อาทิตย์พลที่พยายามหาพี่เลี้ยงคนใหม่แต่ก็ยังไม่สำเร็จ พลคิดว่าสุดสัปดาห์นี้คงต้องไปรบกวนสิทธิ์อีกแล้ว เขาจึงลองโทรไปถามอีกฝ่ายก่อนเผื่อเจ้าตัวจะมีธุระ

 

สิทธิ์ตอบมาว่าตอนนี้เขากลับมาบ้านถ้าไม่รังเกียจจะพามาที่นี่ก็ได้ พร้อมกับบอกทางให้เสร็จสรรพ พลไม่มีทางเลือกมากนักจึงขอไปรบกวนสักวัน ตั้งแต่ขับรถเข้าไปที่บ้านสิทธิ์พลก็รู้สึกได้เลยถึงสายตาที่สิทธิ์เคยบอก เพื่อนบ้านที่เป็นญาติต่างต้อนรับด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

 

สิทธิ์ที่ออกมาเปิดประตูบ้านให้ตอบเขาอย่างไม่ยี่หระว่า “เป็นเรื่องธรรมดาครับ เรื่องของคนอื่นมักเป็นที่สนใจ”

 

พลพาลูกแฝดสวัสดีพ่อแม่สิทธิ์ เขาบอกว่าวันนี้คงต้องขอรบกวนแล้ว

 

พลสบายใจหน่อยตรงที่สิทธิ์เตรียมพื้นที่ทำงานให้เขาต่างหาก พลหยุดพักเป็นระยะเพื่อไปดูว่าลูกแฝดของเขาจะไม่ไปทำความรำคาญให้เจ้าของบ้าน แต่ดูพ่อแม่สิทธิ์จะดีใจที่มีเด็กๆ มาให้เล่น พลคิดว่าถ้าแค่ครั้งคราวเจ้าของบ้านอาจจะไม่รู้สึกอะไรนัก แต่ถ้าเขามารบกวนบ่อยเกินไปคงไม่ดีแน่ จนบ่ายเขาทั้งขอบคุณ และขอโทษที่มารบกวนเจ้าของบ้าน แล้วพลก็สังเกตเห็นแววตาเสียดายของผู้ใหญ่ของบ้านที่มองลูกแฝดของเขา

 

สิทธิ์ติดรถพลออกมาด้วย พลจึงอาสาไปส่งที่คอนโดระหว่างทางก็พูดคุยกันไปโดยมีลูกแฝดหลับอยู่บนเบาะด้านหลัง

 

“ถึงพวกท่านจะยอมรับแต่มันไม่ใช่เรื่องที่พวกท่านคาดหวังไว้แค่แรก เมื่อก่อนพี่ผมคงเป็นความหวัง...ที่จะมีหลานให้พวกท่าน พอพี่เสียไปผมก็เป็นความหวังนั้นให้ไม่ได้”

 

สิทธิ์เหลียวไปมองเด็กๆ ด้านหลังก่อนจะกล่าวต่อ

 

“มันพูดยากนะ ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรมากได้เพราะผมทำให้พวกท่านผิดหวังมาก่อน คำว่าขอแค่เป็นคนดีก็พอมันเป็นประโยคปลอบใจที่ฟังดูดี แต่ผมก็รู้ว่า พวกท่านคาดหวังกับผมเอาไว้และเป็นสิ่งที่ผมทำให้ไม่ได้”

ตอนแรกพลจะชวนสิทธิ์ไปหาอะไรทานด้วยกันก่อนจะไปส่งที่คอนโด แต่สิทธิ์บอกว่า ถ้าปลุกเด็กๆ ขึ้นมาตอนนี้คงน่าสงสารแย่

 

พลสังเกตว่าลูกแฝดที่นอกจากเรียนรู้ที่จะทำอะไรด้วยตัวเองตอนนี้ยังช่วยเหลืออีกคนด้วย ลูกๆ เริ่มขอยืมโทรศัพท์เพื่อคุยกับสิทธิ์บ่อยขึ้นเพื่ออวดนั่นนี่ตามประสาเด็ก พลไม่แน่ใจว่าตอนนี้ไปรบกวนจนทำให้เขารำคาญไหม เป็นสิทธิ์ที่เป็นฝ่ายเสนอขึ้นเองว่าถ้าไม่ว่าอะไร พาเด็กๆ มาที่บ้านอีกได้ไหม ดูพ่อแม่ของเขาจะดีใจกัน

 

พลไม่ได้รับปากไปเพราะรู้สึกเกรงใจมากกว่า นอกจากนี้เขาเองก็อยากให้พ่อแม่ได้อยู่กับหลานบ้างหากเขาเป็นฝ่ายว่างดูเอง เขาไม่อยากปล่อยลูกไว้กับพ่อแม่เพราะพวกท่านก็อายุไม่น้อยและมีโรคตามประสาผู้สูงอายุ

 

 

นานๆ ทีพลจึงจะได้มีโอกาสได้พบปะคุยกับเพื่อนสนิท เป็นเพราะพลแต่งงานเร็ว ในขณะที่เพื่อนเพิ่งจะเริ่มสร้างครอบครัว เขายังคงพูดถึงปัญหาที่ยังหาพี่เลี้ยงคนใหม่ให้ลูกอยู่ เขาเคยเล่าให้เพื่อนฟังถึงเรื่องที่เขาไปรบกวนสิทธิ์บ่อยๆ

 

“พล...ถามจริงๆ เถอะ แกกับเขาเป็นอะไรกันแน่”

 

พอได้ยินคำถามนั้นเหมือนพลจะเพิ่งรู้ตัว

 

“เคยคิดบ้างไหมว่า แกคิดถึงเขา พึ่งเขาก่อนใครอื่นเลย” เพื่อนเขายังพูดต่อซึ่งกระแทกใจเขาเข้าอย่างจัง

เขาเป็นคนขี้เกรงใจที่จะไปรบกวนเพื่อน เมื่อก่อนมีอะไรเขาจะนึกถึงพี่ชายก่อนใคร วันที่พี่ไม่อยู่แล้ว...เขากลับไม่นึกถึงเพื่อน แต่กลับนึกถึงคนที่เคยเตือนเขาเรื่องพี่...และคงเพราะอีกฝ่ายบอกว่ามีอะไรให้โทรหาได้

พอพลนิ่งไปเพื่อนก็พูดต่ออีกว่า

 

“แกก็โตแล้ว ลูกก็มีแล้ว เอ่อ...คนนั้นเขาเป็น...ใช่ไหม” พลเริ่มเข้าใจว่าเพื่อนต้องการสื่อว่าอะไร

 

 “ฉันรู้นะว่า บางทีจะหาคนที่เข้าใจกันมันยาก...”

 

พลเริ่มนึกถึงอะไรขึ้นมาได้...สำหรับเขา สิทธิ์เป็นมากกว่าเพื่อน...

 

“แต่ว่าจะอยู่ในสถานะครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ต่อไปหรือ”

 

พลส่ายหน้า ไม่หรอกบางทีเขาคงลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป พอรับใครเข้ามาจนทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องปกติ

เพื่อนเขาถอนใจ ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายออกมา

 

“แล้วอีกอย่าง พลแกลืมไปหรือเปล่า...พี่ชายแกเป็นคนขับรถชนพี่สาวเขาตาย...”

 

เขาไม่ได้ลืมหรอก แล้วหลังจากนั้น...พี่ดลก็ฆ่าตัวตายตาม...

พลไม่ได้โกรธแค้นเรื่องนี้

เป็นเขาที่ไม่ดูแลพี่ให้ดีต่างหาก สิทธิ์เป็นคนเตือนเขาเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป...

พี่ชายเขาเป็นคนแนะนำสิทธิ์ให้เขา พลไม่ได้ต้องการให้สิทธิ์มาแทนที่พี่ สิทธิ์ก็คือสิทธิ์ และเป็นคนที่เขานึกถึงในช่วงเวลาคับขัน

 

พ่อแม่ของพลทราบเรื่องที่เขาหอบลูกไปให้สิทธิ์ช่วยดูแล จนแม่เขาเสนอขึ้นว่า เชิญสิทธิ์มาที่บ้านบ้างเถอะ มาทานข้าวด้วยกันสักมื้อจะได้คุยกันบ้าง

 

ขากลับพลไปส่งสิทธิ์ที่คอนโด ระหว่างทางเขาจึงคุยกับสิทธิ์ตรงๆ ด้วยเราไม่คิดจะอ้อมค้อมอะไร

 

พลยกคำพูดของเพื่อนขึ้นมาถาม

 

สิทธิ์ตอบเขาว่า “ตอนแรกอาจจะโกรธอยู่เมื่อเห็นพี่นอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ผมเห็นพี่ชายคุณคอยเฝ้าดูแลผมก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้

พี่...เคยบอกว่า พี่รักพี่ชายคุณตรงนี้ แต่มันช่างเป็นรักที่เลวร้ายเพราะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด”

 

พลยิ้มออกมา แม้ตาเขาจะมองภาพถนนเบื้องหน้าอยู่

 

“พี่ดลเคยพูดไว้ว่า น่าเสียดายที่มาเจอพี่สาวคุณในโอกาสแบบนั้น พี่ดลเองก็รักพี่คุณเช่นกัน”

 

พลเลี้ยวรถเข้าไปจอดรถเพื่อส่งสิทธิ์หน้าคอนโด พลหันไปหาสิทธิ์ที่กำลังเตรียมปลดเข็มขัดนิรภัยออก

 

“เพื่อนผมถามว่า ผมจะอยู่ในสถานะแบบนี้ไปเรื่อยๆ หรือ”

 

สิทธิ์หันไปมองสบตาพลเช่นกัน

 

“คุณเคยบอกว่าอยากได้คนที่เข้าใจ ผมเข้าใจคุณในหลายๆ เรื่อง สำหรับผม ตอนนี้ผมต้องการความมั่นคงคุณให้ผมได้ไหม?”

 

สิทธิ์ยิ้มออกมา เมื่อได้ยินพลพูดเช่นนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ขัดจังหวะ เขาปล่อยให้พลเป็นฝ่ายพูด

 

“กับพ่อแม่ของผมมันอาจจะยากสักหน่อย อาจจะไม่ใช่ตอนนี้หรือเดี๋ยวนี้ แต่ผมจะค่อยๆ ทำให้พวกท่านเข้าใจความสัมพันธ์ของเรา บางทีคงต้องใช้เวลานานสักหน่อย...”

 

จนสิทธิ์คาดว่าพลได้พูดออกมาจนหมดแล้ว เขาจึงเป็นฝ่ายตอบสั้นๆ

 

 “ผมเข้าใจ...”

 

วันหนึ่งที่พลพาลูกแฝดมาหาสิทธิ์ที่คอนโด สิทธิ์ยื่นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งให้พล

 

“ผมขอโทษนะ ผมน่าจะนึกถึงมันให้เร็วกว่านี้” 

 

พลคลี่เศษกระดาษแผ่นนั้นออกมันเป็นลายมือที่เขียนไว้ว่า อย่าตายเลย...มีชีวิตอยู่ต่อเถิด...

 

สิทธิ์มองสบตาพล

“วาระสุดท้าย... พยาบาลที่จดเอาไว้ให้บอกว่าพี่สาวพยายามพูด ตอนที่หมอขอคุยกับญาติครั้งสุดท้าย พยาบาลจึงยัดใส่มือผมไว้ ผมเก็บใส่กระเป๋าเสื้อคลุมไว้ไม่ได้เปิดอ่าน จนวันนี้มาค้นเสื้อตัวนั้นที่ผมไม่ได้แตะต้องอีกตั้งแต่วันที่พี่ตาย ผมคิดว่าถ้ามันถึงมือพี่ชายคุณ อะไรๆ น่าจะดีขึ้นกว่านี้”

 

พลส่ายหน้า “ไม่หรอกครับ ถึงจะเห็นมันพี่ดลก็คงทำเช่นเดิม ในจดหมายลาตายของพี่ดล กับบันทึกของพี่มีเขียนไว้ พี่ดลเขียนไว้ว่า พี่สาวคุณพยายามบอกเขาหลายครั้ง อย่าตายนะ...จงมีชีวิตอยู่เถอะ ถึงมันจะไม่ได้ดีที่สุด”

 

พลก้มลงอ่านข้อความบนกระดาษนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกกับสิทธิ์

 

“ผมขอเก็บเอาไว้ได้ไหม เป็นกำลังใจว่า ผมจะพยายามใช้ชีวิตให้ดี...”

 

“อืม...เก็บเอาไว้เถอะครับ ผมได้รับมาจากพี่สาวเรียบร้อยแล้ว” สิทธิ์ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

 

(จบ)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา