ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!
-
เขียนโดย GCodename
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.
16 บท
5 วิจารณ์
17.36K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) บทที่7 สัปเหร่อขาม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบท7 สัปเหร่อขาม
ห่างจากหมู่บ้านบ้านวังสาไปราวยี่สิบกิโลเมตรมีหมู่บ้านนาน้อยที่มีจำนวนสี่สิบกว่าหลังคาเรือน บ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดทุ่งนามีหนุ่มฉกรรจ์หลายคนยืนล้อมอยู่รอบบ้านโดยในมือแต่ละคนจะถือไม้ง่าม ทั้งหมดต่างยืนตะโกนโหวกเหวกขับไล่ไสส่งผู้ที่อยู่ในบ้านให้ออกมา ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่คิดจะขึ้นบันไดไปลากผู้ที่หลบซ่อนอยู่ในบ้านให้ออกมาสักคน! หลังจากตะโกนอยู่นานมีผู้กล้าที่วางมาดเป็นนักเลงโตอาสาที่จะลากตัวผู้ที่หลบอยู่ให้ออกมาท่ามกลางกองเชียร์อันเป็นลูกสมุนส่งเสียงเชียร์ลูกพี่ของมัน
“เดี๋ยวข้าจะไปลากยายสายมาเอง ไม่ต้องรอสัปเหร่อขามหรอก”
พูดจบเจ้าคนอวดดีก็ก้าวพรวดขึ้นบันไดไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านที่ปิดสนิท มันทุบประตูดังลั่นสนั่นพร้อมส่งเสียงดัง
“ยายสาย! เขารู้กันหมดแล้วว่าเป็ดไก่ที่ตายไปมันฝีมือยาย! ออกมาเดี่ยวนี้เลยยาย!”
เจ้านักเลงโตทำท่าทางข่มขู่อย่างอหังการ เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่ยังคงเงียบเก็บตัวมันยิ่งทุบประตูดังขึ้นจนบานประตูสะเทือน ลูกน้องที่อยู่ข้างล่างส่งเสียงตามลูกพี่ทันใดนั้นเองบานประตูก็เปิดออกดังปังจนตัวลูกพี่ของมันผละถอยหลังออกมา เสียงเชียร์เงียบกริบขณะที่ตัวของเจ้านักเลงโตก็ชะงักงันอยู่ตรงหน้าประตูสายตาจ้องมองไม่กระพริบเข้าไปในบ้าน
“พี่ออกมาเถอะ ฉันว่ามันไม่ดีแล้วนารอสัปเหร่อขามแกดีกว่า”
ลูกน้องคนหนึ่งส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นเองเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกระชากเจ้านักเลงโตเข้าไปในบ้านไม้ฉับพลันบานประตูก็ปิดตามหลังทันที กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างต่างส่งเสียงฮือฮาดังไปทั่วแต่ไม่มีใครสักคนที่คิดจะขึ้นไปช่วยเจ้านักเลงโตคนนั้นสักคน!
ขณะที่ทุกคนกำลังกระส่ำระสายเสียงมอเตอร์ไซค์เก่าๆเครื่องยนต์ดังแสบหูก็ขี่เข้ามาใกล้บริเวณนั้น กลุ่มคนต่างแหวกทางให้มอเตอร์ไซค์เก่าคันนั้นโดยพร้อมเพรียง ก่อนที่รถเจ้ากรรมจะจอดลงตรงหน้าบันไดที่จะขึ้นไปบนบ้านยายสายชายวัยกลางคนที่มีผมสีดอกเลา ท่าทางทะมัดทะแมงแข็งแรงกว่าอายุที่แท้จริงลงมาจากรถพร้อมกับสะพายย่ามพระสีขนุน จ้องมองปราดขึ้นไปบนบ้านด้วยแววตาคมแล้วหันมาทางกลุ่มคนที่ยืนรออยู่
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าให้รอข้าใครมันสะเออะขึ้นไปก่อนวะ?”
ผู้มาใหม่ถามอย่างไม่พอใจขณะที่ลูกสมุนของเจ้านักเลงโตรีบรายงาน
“พี่ฉัตรจ๊ะสัปเหร่อขาม ฉันห้ามแกแล้วไม่ฟังสัปเหร่อขามช่วยพี่ฉัตรด้วยนะ”
“เหอะ สะเออะโชว์กร่างล่ะสิ เออๆ แต่ไม่รู้จะทันหรือเปล่านะ ที่รู้ๆมีบางคนมารออยู่แล้ว”
สัปเหร่อขามมองไปด้านบนชานบ้านมีเงาดำยืนอยู่ตรงนั้น เขารู้ได้จากประสบการณ์ว่านั่นคือสิ่งมีชีวิตอีกภพภูมิที่มีหน้าที่มารับวิญญาณคนตาย เมื่อปรากฏตัวที่ใดที่นั่นต้องมีคนถึงฆาตเสมอเพียงแต่คราวนี้สัปเหร่อขามขอให้เป็นดวงวิญญาณร้ายที่เขาจะมาปราบในคราวนี้แทนที่จะเป็นยายสายหรือไอ้ฉัตรเท่านั้นเอง!
ชายวัยกลางคนก้าวขึ้นบันไดอย่างรีบร้อนพรางหยิบมีดหมอของตนออกมาจากย่ามพระที่สะพายอยู่ เมื่อถึงหน้าประตูสัปเหร่อขามยกมือไหว้มีดหมอพร้อมบริกรรมคาถาเพียงครู่ ก่อนที่จะใช้มีดหมอนั้นจิ้มเบาๆไปที่ประตู
“เอ็งหลบข้าไม่พ้น เปิดประตู”
สัปเหร่อขามพูดขึ้นพริบตานั้นบานประตูก็เปิดออกเองดังปัง เขามองเข้าไปที่ภายในบ้านภาพแรกที่เห็นคือภาพของซากเป็ดซากไก่ที่ถูกแทะตรงท้องจนไร้เครื่องในร่วมสิบตัวกระจายเต็มบนบ้าน แล้วตรงหน้าคือหญิงชราร่างเล็กที่ดูแก่มากผมหงอกยุ่งเหยิงราวกับไม่ได้โดนหวีมานานปี นั่งยองมือสองข้างโอบกอดเจ้านักเลงโตฉัตรเหมือนล็อคตัวไว้ โดยปากของยายสายนั้นกำลังดูดปากเหยื่อของมันอย่างหิวกระหายไม่สนใจผู้ที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ปล่อยไอ้ฉัตรมันเดี๋ยวนี้อีผีนรก!”
ยายสายเงยหน้าขึ้นมองขณะที่ปากยังคงจุมพิตเจ้าฉัตรอย่างดูดดื่ม สัปเหร่อขามเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าพร้อมกับเงื้อมีดหมอขึ้น ทันใดนั้นเองยายสายก็เอาริมฝีปากออกจากเหยื่อของมันเผยให้เห็นลิ้นสีดำที่ยาวราวกับงูกำลังเลื้อยออกจากปากเจ้าฉัตรกลับสู่ปากของแก พร้อมกับหลบถอยหลังไปด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ!
“เฮ้ย ไอ้ฉัตรตายหรือยังวะ?”
สัปเหร่อขามพูดพร้อมใช้เท้าเตะไปที่ท้องเจ้านักเลงโต มันรู้สึกตัวพร้อมกับไออย่างเหนื่อยหอบเหมือนคนจมน้ำที่ต้องการอากาศ เมื่อได้สติมันรีบเข้ามากอดขาสัปเหร่อขามตัวสั่นราวกับลูกนก
“เอ็งปลอดภัยก็ดีแล้วไอ้ฉัตร แต่น่าเสียดายที่ดันปลอดภัยแค่เอ็งคนเดียว”
สัปเหร่อขามพูดพร้อมหันไปมองที่มุมหนึ่งภายในบ้าน เขาเห็นดวงวิญญาณของยายสายยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าที่เป็นทุกข์เขารู้ได้ทันทีว่ายายสายนั้นตายไปแล้วและที่ร่างที่อยู่ตรงหน้าคือผีร้ายที่เขาต้องกำราบให้ได้! ชายวัยกลางคนเอามีดหมอชี้ไปที่มันพร้อมบริกรรมคาถาเบาๆ เจ้าผีร้ายในร่างยายสายแลบลิ้นสีดำที่ยาวออกมาจากปากมันทำท่าทางล้อเลียนศัตรูของมัน เดี๋ยวพุ่งเข้ามาหาเดี๋ยวถอยหลังเพื่อหลอกล่อให้สัปเหร่อขามเสียสมาธิในการบริกรรมคาถา แต่ด้วยประสบการณ์บวชเรียนมาหลายพรรษาของสัปเหร่อขามทำให้ยังคงนิ่งแล้วบริกรรมคาถาไปเรื่อยๆ ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าผีร้ายดูร้อนรนกระสับกระส่ายราวกับปลาที่ยังไม่ตายค่อยๆถูกต้มในน้ำ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าผีร้ายพยายามจะโดดหนีทางหน้าต่างแต่สัปเหร่อขามก็ไวทายาดวิ่งไปถีบจนมันกระเด็นล้มลง พร้อมกับใช้มีดหมอจี้ไปที่มันแล้วบริกรรมคาถา
“พอ มึงหยุดสักที กูร้อนไปหมดแล้ว!”
ผีร้ายในร่างยายสายตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงทรมาน ทว่าเสียงที่หลุดออกมาเป็นเสียงชายชราหาใช่เป็นเสียงยายสายไม่ เมื่อศัตรูของมันที่อยู่ตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุดบริกรรมคาถาในที่สุดมันก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาโดยตรงหมายจะจัคการศัตรูที่อยู่ตรงหน้าแล้วหนีไป หารู้ไม่ว่าสัปเหร่อขามรอเวลานี้อยู่เมื่อมันพุ่งเข้ามาโดยเอาลิ้มสีดำที่ยาวตวัดจู่โจมชายวัยกลางคนก็เอี้ยวตัวหลบลิ้นของมัน เพราะถ้าโดนไปของอัปรีย์หรือคำสาปของผีร้ายจะเข้าตัวได้แล้วในช่วงอึดใจเขาใช้สันของมีดหมอฟาดไปที่ต้นคอของยายสายพร้อมบริกรรมคาถาเสียงดังขึ้น
“อ๊ากกกกกกก!”
ผีร้ายในร่างยายสายลงไปนอนดิ้นกับพื้นบ้านส่งเสียงร้องอย่างทรมาน สัปเหร่อขามรีบล้วงเข้าไปในย่ามพระหยิบสร้อยพระออกมาแล้วบริกรรมคาถาสักครู่ก่อนจะใส่คอของยายสาย ผีร้ายดิ้นรนหนักแค่เพียงชั่วครู่ก่อนร่างกายจะกระตุกอย่างแรงแล้วเมื่อนั้นร่างกายของยายสายก็แน่นิ่งไม่มีทีท่าจะอาละวาดอีก!
สัปเหร่อขามมองไปที่ชานนอกบ้านเห็นเงาดำที่มารอรับวิญญาณกำลังลากร่างชายชราท่าทางดุร้ายออกไป โดยมียายสายตามไปอย่างสงบเสงี่ยม โดยก่อนจะลับตาสัปเหร่อขามเห็นยายสายยิ้มขอบคุณที่ทำให้ดวงวิญญาณพ้นทุกข์ทรมาน
“หมดเวรหมดกรรมละนะยายสาย ขอให้ยายไปสู่ภพภูมิที่ดี”
สัปเหร่อขามพูดขึ้นเพื่อล่ำลายายสายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันมามองร่างที่ไร้วิญญาณของยายสายตรงหน้าที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าราวกับศพที่ตายมาหลายวัน
“ไอ้ฉัตรมึงไปบอกลูกน้องเอ็งที่รออยู่ข้างล้างให้มันมาช่วยเอาศพยายสายไปที่วัด ข้าจะให้พระคุณเจ้าสวดให้แกสักคืนแล้วก็เผาให้แกพรุ่งนี้ เพราะยังไงแกก็ไม่มีญาติที่ไหนอยู่แล้ว”
สัปเหร่อขามหันมาสั่งเจ้าฉัตรที่สั่นเป็นลูกนกตกน้ำอยู่หน้าประตู มันลนลานรีบทำตามที่สั่ง
ชายวัยกลางคนออกมาสูบบุหรี่ตรงบริเวณหน้าบ้าน มีชาวบ้านมากมายมามุงดูการขนย้ายศพของยายสายโดยระหว่างที่สัปเหร่อขามสูบบุหรี่อยู่นั้น หมอธรรมประจำหมู่บ้านก็เดินมาหาเขา
“เหนื่อยไหมเจ้าขาม?”
สัปเหร่อขามยื่นซองบุหรี่ให้แต่หมอธรรมที่ดูอาวุโสกว่าก็ยกมือปฏิเสธ สัปเหร่อขามมองไปที่ศพของยายสายที่เอาเสื่อมาพันไว้เพื่อกันภาพไม่น่าดู หมอธรรมมองตามเขารู้ได้จากสายตาของสหายรุ่นน้องคนนี้
“ปอบใช่ไหม?”
หมอธรรมถามสั้นๆ สัปเหร่อขามพยักหน้า
“ถ้าจำไม่ผิดยายสายย้ายมาที่หมู่บ้านนี้ราวหนึ่งปีใช่ไหม? ก่อนหน้านี้มีใครรู้หรือเปล่าว่าแกอยู่ที่ไหน?”
สัปเหร่อขามถามเพื่อนรุ่นพี่อย่างสงสัย หมอธรรมทอดถอนใจเขาจึงรู้คำตอบในทันที
“บ้านวังสาสินะ”
“ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่เรียกเอ็งหรอกไอ้ขาม เอ็งก็รู้ว่าหมู่บ้านนั้นเป็นยังไง?”
หมอธรรมพูดด้วยน้ำเสียงปลงตก ขณะที่สัปเหร่อขามกลับมีแววตาที่คมกริบพรางจ้องมองมีดหมอที่อยู่ในมือของแกอย่างมีนัยยะ
ชินกรลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ภายในห้องนองของนางภาแม่ของเขา เขามองไปที่ประตูห้องที่เปิดอยู่ได้กลิ่นยาต้มโชยเข้าจมูกโดยชินกรจับไปที่ศีรษะที่บัดนี้ไม่มีอาการปวดใดๆเหลืออยู่ พยายามทบทวนความทรงจำสุดท้ายแต่เสียงโหวกเหวกจากทางใต้ถุนบ้านก็เรียกความสนใจของชายหนุ่มไว้ เขาจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงนางภาแม่ของเขานั่นเองกำลังส่งเสียงด่าทอใครสักคน ชินกรค่อยๆขยับลงจากที่นอนบ้านตามต่างจังหวัดที่พื้นไม้มักจะมีช่องว่างให้มองลงไปที่ใต้ถุนได้ซึ่งบ้านนางภาก็ไม่เว้น ชายหนุ่มมองหาช่องที่พอแอบดูได้จนเจอเขาจึงไปส่องดู
“ฉันไว้ใจฝากลูกชายของฉันให้ดูแล นี่ดีที่ลูกชายฉันไม่ตายไม่อยากนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ ว่าที่นี่จะเป็นยังไง?”
“ฉันขอโทษแม่ภาจริงๆ ฉันไม่คิดว่าไอ้ชมมันจะสะกดรอยตามขึ้นไปเพราะฉันก็ไม่ได้ยินเสียงใครเดินตามเลย”
ลุงคำแก้ตัวด้วยใบหน้าถอดสี ขณะที่มารดาของเขากลับมีสีหน้าไม่พอใจจนน่ากลัว
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยตาคำ! เพราะความสะเพร่าของแกแท้ๆ นี่ไอ้สรอีกตัวกลับมาแล้วหายหัวไปเลย คงไม่กล้ามาสู้หน้าฉันสินะ เจอหน้าก่อนคอยดู!”
ลุงคำไม่พูดอะไรได้แต่ก้มหน้าให้นางภาตำหนิอย่างเดียว ชินกรเห็นแม่ของเขาหันซ้ายแลขวาพูดเสียงเบาอย่างระวังแต่ก็เพียงพอให้เขาที่แอบฟังได้ยิน
“แล้วศพไอ้ชมจัคการไปหรือยัง?”
“จัคการไปแล้วจ๊ะ มันจะกลายเป็นคนหายสาบสูญไปตลอดกาลตำรวจไม่เจอแน่”
“สภาพศพมันเป็นยังไง?”
“พูดได้แค่ว่าเละ! เละกว่าศพพ่อของมันเสียอีก”
ชินกรมองเห็นสีหน้าแววตาของนางภาว่าดูสะใจและพอใจยิ่งกับการตายของไอ้ชม ทันใดนั้นเองนางภาทำท่าทางราวกับมีบางสิ่งกระซิบที่ข้างหู ก่อนจะแหงนหน้ามามองตรงช่องที่ชินกรกำลังแอบดู!
ชายหนุ่มตกใจขณะที่นางภารีบวิ่งขึ้นมาบนห้องนอนพร้อมกับโอบกอดลูกชายอย่างอ่อนโยน
“ลูกกรเป็นยังไงบ้าง? เจ็บตรงไหนไหม? บอกแม่ได้นะ แม่จะรักษาลูกเอง”
“ผมไม่เป็นไรครับแม่ แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายผมปวดหัวอยู่บนเขา”
นางภามองลูกชายของตนอย่างกังวล ก่อนที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง....
นางภาเล่าจากปากคำของลุงคำว่าหลังจากที่ชินกรพลัดตกลงไปที่เนินเพราะหลบหมูป่าที่เข้ามาทำร้าย ลุงคำกับสรหาทางพักใหญ่จนล้มหมูป่าตัวนั้นได้ แล้วก็เริ่มแกะรอยที่จะลงไปช่วยชินกรแต่ด้วยเวลาที่เย็นย่ำบวกกับสรนั้นบอกว่าทางชันไม่มีเชือกไต่ลงไปอันตรายมาก ทั้งสองคนจึงตัดสินใจทิ้งซากหมูป่าแล้วหาทางเดินลงเพื่อค้นหาชินกร ทั้งสองคนค้นหาจนฟ้ามืดจึงได้พบแสงจากกองไฟที่เขาได้ก่อไว้จึงสบายใจว่าอย่างน้อยชินกรก็ปลอดภัย แต่มันอยู่คนละทางกับที่ลุงคำและสรค้นหาจึงเสียเวลาย้อนกลับมาพอดู ระหว่างนั้นทั้งคู่ได้ยินเสียงปืนจึงเร่งฝีเท้าเพราะกลัวอันตรายจะเกิดขึ้นกับเขา เมื่อมาถึงก็พบร่องรอยการต่อสู้ลุงคำจึงใช้ความสามารถพรานของแกแกะรอยเท้าตามมาจนพบศพไอ้ชมตายอย่างอนาถ แล้วก็แกะรอยต่อจนมาเจอชินกรนอนสลบอยู่ตรงเวิ้งผาที่ได้แวะมาเมื่อตอนกลางวัน
หลังจากฟังจนจบชินกรก็นึกลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมไปถึงบทสนทนาที่เขาได้ยินจากแม่ของตนเมื่อสักครู่ด้วย
“เมื่อกี้ผมได้ยินว่าแม่ให้ลุงคำเอาศพไอ้ชมไปกำจัด กำจัดทำไมครับแม่ทำไมเราไม่ไปแจ้งตำรวจเอา?”
“แจ้งตำรวจเขาก็มาสอบสวนสิกร ตอนที่อยู่ในป่าจากปากคำก็มีแต่ลูกกับมันเท่านั้น ถ้าแจ้งไปตำรวจก็สงสัยลูกและตั้งลูกเป็นผู้ต้องหาแน่”
“แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำนะครับ ผมไม่ได้ฆ่าไอ้ชมแต่ที่มันตายก็เพราะ....”
ชินกรชะงักไปเมื่อสักครู่เขาเกือบหลุดคำว่าอสุรกายหรือปิศาจไปแล้วด้วยซ้ำ นางภาจ้องมองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงพรางเอามือลูบหัว ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบในเสี้ยวหนึ่งของตอนนั้นเขาเห็นภาพนิ่งในอดีตของเขาไหลหลั่งเข้ามาในศีรษะเพียงแต่มันเป็นแค่ภาพไม่ปะติดปะต่อเกินกว่าที่จะเรียงเป็นเรื่องราวได้
“กรลูกเป็นอะไรหรือเปล่า? สีหน้าลูกดูไม่ดีเลย”
“ผมเจ็บที่หัวครับแม่ ตอนที่ตกลงมาจากเนินหัวไปกระแทกซ้ำกับต้นไม้อีก”
“แม่ต้มยาให้กับกรด้วยนะ เดี๋ยวลูกกินข้าวกินยาแล้วพักผ่อนดีกว่า”
“ผมคิดว่า ผมจะไปหาหมอเพื่อตรวจดูว่าสมองผมได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่า?”
“กรจะออกไปด้านนอกเหรอลูก?”
ชินกรเห็นสีหน้าของนางภาแม่ของเขาดูไม่สบายใจ เขารู้ได้ในทันทีว่าทำไม
“แม่กลัวว่าผมจะหนีแม่ไปอีกเหรอครับ?”
นางภาน้ำตารินพยักหน้า ชินกรจึงสวมกอดผู้เป็นแม่
“ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้หนีแม่ออกจากบ้านไป? แล้วแม่ก็ดูท่าทางจะไม่อยากบอกผมด้วย ผมจะไม่บังคับหรืออะไรที่ทำให้แม่ไม่สบายใจอีก ตอนที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่แม่ห่วงและหวังดีกับผมจนผมรู้สึกได้จากใจ ผมสัญญานะครับว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ผมจะไม่ทิ้งแม่ไปอีกแล้ว”
นางภากอดลูกชายตนเองแน่น ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงน้ำตาอุ่นที่ไหลลงตรงไหลของเขา
ชินกรได้ทานอาหารที่นางภาเตรียมไว้พร้อมกับทานยาต้ม โดยเขาได้บอกกับแม่ของตนว่าพรุ่งนี้เขาจะเข้าไปโรงพยาบาลที่อยู่ในเมืองเพื่อตรวจสมองให้ละเอียดและจะได้แวะหารถเช่ามาใช้สักคัน
“กรจะเอารถเช่ามาทำไมล่ะ? ในเมื่อถ้าจะไปไหนมาไหนก็ให้ไอ้สรไปส่งก็ได้”
“ไม่ล่ะครับ ผมอยากหารถส่วนตัวมากกว่าหรือแม่กลัวว่าผมเอารถมาเพื่อจะหนีแม่ไป”
ชินกรพูดด้วยน้ำเสียงแกมหยอกล้อ นางภายิ้มแล้วเอามือลูบศีรษะ
“กรรับปากแม่แล้ว แม่เชื่อกรนะว่าเราจะไม่ทิ้งแม่ไปไหนอีก”
นางภาพูดจบก็ลุกขึ้นบอกกับเขาว่าจะเข้าไปในสวนหลังบ้าน ชินกรลังเลอยู่ที่จะถามคำถามบางอย่าง
“แม่ครับ ผมอยากถามแม่บางอย่าง”
นางภาหันมามองด้วยรอยยิ้มเป็นการตอบรับกลายๆ
“หมู่บ้านนี้มี....อสุรกายไหมครับ?”
สีหน้าแววตาของนางภาที่แสดงตรงหน้าไม่มีความตื่นตระหนก หวั่นไหว มีแต่ความแน่นิ่ง แน่นิ่งเสียจนชินกรรู้สึกขนลุกอย่างแปลกประหลาดเพราะไม่คิดว่ามารดาจะมีปฏิกิริยาที่นิ่งจนน่ากลัวได้ขนาดนี้
“ทำไมกรถามแบบนั้นล่ะ? กรเห็นอะไรมา?”
“แม่ไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมไอ้ชมถึงได้ตาย?”
“ไม่เลย ขอแค่มันตายเพราะจะได้มาทำร้ายลูกไม่ได้อีกแม่ก็พอใจแล้ว”
“แล้วถ้าผมบอกกับแม่ว่า มีอสุรกายฆ่าไอ้ชมตายแม่จะว่ายังไงครับ?”
แววตาที่นางภาแสดงอยู่ในขณะนี้มันไร้ความปราณีที่เคยเห็นมาตลอด มันทั้งยิ้มเยาะ สะใจเมื่อได้ฟังชินกรพูดแบบนั้น
“กรไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่กรอยู่กับแม่ลูกจะปลอดภัยต่อทุกสิ่ง”
ชินกรจะถามต่อ แต่แม่ของเขาหันหลังเดินลงบ้านไปทันทีปิดโอกาสที่จะถามต่อ
ชินกรเดินลงบันไดเขาตัดสินใจเดินไปที่บ้านของสรเพื่อจะสอบถามเหตุการณ์เมื่อวานเพิ่มเติม ที่สำคัญอาจรู้อะไรเกี่ยวกับอสุรกายตนนั้น เมื่อไปถึงก็เห็นสรนั่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้นบ้านหน้าตาซีดเซียวโดยเมื่อสรเห็นเขาเจ้าตัวรีบวิ่งเข้ามาหาแทบจะทันที
“ไอ้กรแกเป็นยังไงบ้าง? รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแกจะแย่”
“ก็เจ็บตัวนิดหน่อย ว่าแต่แกเป็นอะไรหน้าตาดูซีดเซียวอย่างกับคนอมทุกข์?”
“ฉัน...” ท่าทางสรลังเลจะบอกจนชินกรตบไหล่เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจขึ้น
“ฉันไม่กล้าไปสู้หน้าน้าภา น้าภาต้องโกรธฉันแน่ที่ทำให้แกเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“แต่ฉันก็รอดอยู่ตรงนี้ไง เอาน่าเดี๋ยวฉันพูดกับแม่ให้ แม่ไม่ด่าแกแน่นอน”
“แกพูดจริงนะไอ้กร?” สรพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับเขย่ามือเขา “ไหนๆก็ไหนๆถ้าแกจะช่วยฉัน ฉันขอรบกวนแกเพิ่มอีกอย่างหน่อยสิ”
“ขออะไรฉันเพิ่มล่ะ? ถ้าฉันทำได้ก็จะทำให้”
“ฉันจะขอวานให้แกไปขอยาต้มที่น้าภามาให้พ่อฉันหน่อย ตอนนี้ท่านอาการไม่สู้ดีฉันก็ไม่กล้าไปสู้หน้าน้าภา ดีที่แกมาหาฉันพอดี ช่วยหน่อยนะ”
“พ่อแกไม่สบายเหรอ? เป็นอะไรมากไหม?”
“ไม่หรอก แค่ได้ยาต้มของน้าภาก็ดีขึ้นแล้ว นะเพื่อนช่วยฉันที!”
สรบีบมือพร้อมกับทำท่าทางขอร้องจนชินกรใจอ่อน
“ตกลง เดี๋ยวฉันไปคุยกับแม่แล้วเอายามาให้”
ชินกรต้องเดินย้อนกลับมาที่บ้านอีกครั้งพร้อมกับเรียกหานางภา แม่ของเขาออกมาจากสวนหลังบ้านชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องที่พ่อของสรป่วยและต้องการยาต้มรักษาของแม่เขา นางภาฟังพรางส่ายหน้า
“นี่ไอ้สรมันไม่กล้าสู้หน้าแม่ แล้วยังกล้าใช้กรมาเอายาอีกอย่างนั้นเหรอ?”
“ผมซุ่มซ่ามจนเป็นคราวซวยมากกว่าครับแม่ อีกอย่างช่วยคนเถอะนะครับพ่อเจ้าสรมันกำลังแย่”
“ก็ได้ นี่แม่เห็นว่ามันเป็นเพื่อนกรมาตั้งแต่เด็กแม่ถึงได้ช่วย”
นางภาเดินไปที่ใต้ถุนบ้านแถบใกล้กับสวนด้านหลังพร้อมกับเอามือหยิบไปที่ใต้พื้นกระดานของบ้านหยิบห่อกระดาษสีน้ำตาลที่ผูกเชือกไว้อย่างดี เดินมาส่งให้กับมือของชินกรพร้อมกำชับ
“คราวหน้าบอกให้มันมาเอายาเอง แม่ถึงจะให้บอกไอ้สรมันไปแบบนี้”
ชินกรพยักหน้ารับคำแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านของสรอีกครั้ง เขาเห็นสรนั้นยืนร้อนรนอยู่ตรงหน้าบ้านโดยเมื่อสรเห็นชินกรเดินมาพร้อมกับห่อยาก็มีสีหน้าดีใจ
“ขอบใจมากเพื่อน ถ้าไม่ได้แกพ่อฉันต้องแย่แน่”
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมแกไม่กล้าไปสู้หน้าแม่ฉัน เหมือนแกกลัวแม่ฉันมากมีอะไรหรือเปล่า?”
“ทุกคนที่นี่ก็กลัวน้าภาหมดแหละ เอ่อ....ฉันหมายถึงน้าภาแกเป็นหมอยา แกจะค่อนข้างดุถ้าแกจะใจดีก็มีเพียงลูกชายอย่างแกเท่านั้นแหละไอ้กร”
ชินกรเห็นด้วยในคำพูดสรที่ว่าแม่ของเขารักและเอ็นดูเขามากจริงๆ
“เออ ว่าแต่พ่อแกเป็นยังไงบ้าง? ตั้งแต่ที่ฉันกลับมาฉันยังไม่เจอพ่อของแกเลย ให้ฉันขึ้นไปเยี่ยม....”
“อย่า!”
สรพูดขึ้นพร้อมกับเอาตัวขวางชินกรกับประตูรั้วไว้ ชินกรมองดูสรด้วยแววตาแปลกใจซึ่งสรก็รู้ตัว
“....พ่อฉันต้องการพักผ่อนน่ะ ขอโทษทีที่เมื่อกี้ฉันเสียงดังไป”
“ไม่เป็นไร แต่แกแน่ใจนะว่าแค่นั้นจริงๆ”
สรพยักหน้าแต่แววตากลับตรงกันข้ามซึ่งชินกรรู้ได้ทันทีว่าเขาปิดบังบางอย่างอยู่ ชินกรถอนใจกับการต้องมาเจออะไรที่คลุมเครือไปหมดอย่างนี้ เขากำลังคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่เขาอยากจะรู้ความจริง
“ฉันช่วยแกไปแล้ว ทีนี้ฉันจะรบกวนแกบ้างพรุ่งนี้แกว่างไหม? ไปส่งฉันในเมืองหน่อย”
“พรุ่งนี้เหรอ ว่างสิ ว่าแต่แกจะเข้าไปทำอะไรในเมือง?”
“ฉันจะไปโรงพยาบาลแล้วว่าจะเช่ารถมาใช้สักคัน จนกว่ารถของฉันจะเสร็จและก็มีธุระในเมืองนิดหน่อยด้วย”
“ได้ๆ พรุ่งนี้แกมาหาฉันละกัน”
สรมองดูชินกรเดินหันหลังกลับบ้าน เมื่อชินกรเดินเข้าบ้านไปสรจึงรีบถือห่อยาที่ได้มาขึ้นบันไดบ้านแล้วก็เปิดประตู ภายในบ้านของเขามีบรรยากาศมืดทึมตรงไม่ไกลจากประตูมีมุ้งสีฟ้ากางอยู่ด้านในมีร่างของคนนอนอยู่บนที่นอนข้างมุ้งนั้นแม่ของสรนั่งมองคนในมุ้งด้วยท่าทางอิดโรย สรรีบเดินเข้าไปพร้อมกับชูยาห่อที่ได้มา
“พ่อครับ ผมได้ยามาแล้วนะ เดี๋ยวผมจะรีบไปต้มให้พ่อพ่ออย่าเป็นอะไรนะ”
ร่างที่เห็นนอนอยู่ในมุ้งขยับตัวน้อยๆ รับรู้คำพูดของสร เขาจึงรีบไปที่ครัวแล้วเอาหม้อดินเผาขึ้นมาใส่น้ำจุดไฟจากเตาแก๊ส แล้วลงมือต้มยาที่ได้มาโดยสรมีน้ำตาเอ่อออกมาด้วยสงสารบิดาของตน!
คืนนั้นชินกรนอนหลับอยู่ภายในห้องนอนกับแม่ของเขา ชินกรฝันถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด....
ในความฝันชินกรยืนอยู่ที่โรงเรียนประถมร้างในตอนกลางวัน ที่ว่าแปลกคือบัดนี้ชินกรมองเห็นตัวเขาอีกคนยืนรอใครบางคนอยู่ที่ใต้ต้นไทรก่อนจะได้ยินเสียงกริ่งรถจักรยานดังมาจากทางเข้า ที่นั่นหญิงสาวปริศนาที่ชินกรได้เจอและช่วยเขาบ่อยๆกำลังปั่นจักรยานเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตรงข้ามกับตัวเขาอีกคนที่ทำหน้าตารำคาญเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมมาช้านักนะหวาน?” ตัวเขาอีกคนที่ยืนรอพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ขอโทษที ต้องรอให้พ่อออกจากบ้านก่อนเลยมาช้า”
“ถ้ามันลำบากเลิกคบกันเลยไหม?”
“ไม่เอา ฉันขอโทษ! ฉันจะไม่มาสายอีกแล้ว”
สาวน้อยหน้าตาน่ารักพูดพร้อมกับจะร้องไห้ ชินกรยิ้มที่มุมปากอย่างผู้ชนะที่กุมความได้เปรียบความสัมพันธ์นี้ไว้เขาเข้าไปประคองแล้วหอมแก้ม
“ต้องอย่างนี้สิถึงจะเป็นหวานที่น่ารัก เราไปหาความสุขที่ประจำของเราดีกว่า”
ชินกรมองดูตัวเขาอีกคนพูดจาแทะโลมและลวนลามหวานด้วยสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาเคยเป็นคนนิสัยแย่ขนาดนี้ ระหว่างที่ตัวเขาอีกคนกำลังโอบไหล่พาหวานเดินไปที่ตึกเรียนร้าง หวานหันมาถามเขาด้วยความสงสัย
“นี่กรเธอรักฉันจริงๆหรือเปล่า?”
“รักสิ ไม่รักฉันคงไม่คบกับเธอหรอกจริงไหม?”
“ถ้าเธอรักฉัน.... ทำไมถึงปล่อยให้ฉันตายล่ะ?”
ทันใดนั้นจากหญิงสาวน่าตาหน้ารักกลับกลายสภาพเป็นศพเขียวขึ้นอืดทั้งตัว ชินกรที่โอบกอดส่งเสียงร้องก่อนที่หวานในสภาพน่ากลัวนั้นจะโอบกอดเขาแน่น!
“ฉันเหงา ฉันทรมาน ฉันอยากจะพาเธอไปอยู่ด้วย!”
ชินกรสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อไหลเต็มตัว เขาลืมตามองในความมืดภาพน่ากลัวในความฝันยังคงติดตาจนกระทั่งตื่นโดยเฉพาะก่อนที่จะรู้สึกตัวตื่นถ้าเขาจำไม่พลาดคือเขาเห็นหวานในร่างศพขึ้นอืดหันมามองตัวเขาที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วย ชินกรลุกขึ้นนั่งมองไปที่ด้านข้างเห็นแม่ของตนนอนหลับอยู่ในตอนนี้เขารู้สึกคอแห้งผากมากกว่าปกติ จึงลุกออกจากที่นอนแล้วเดินไปที่ตู้เย็นหวังจะหาน้ำเย็นดื่ม ขณะที่ในความคิดยังคงสับสนจู่ๆอาการปวดศีรษะก็เกิดขึ้นอีกคราวนี้ความทรงจำบางส่วนก็ไหลพรั่งพรูออกมาบางส่วนคราวนี้เป็นความทรงจำความสัมพันธ์ของเขากับหวาน
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเพราะอาการปวดศีรษะที่กำเริบแต่ก็เป็นเหมือนทุกครั้ง ที่เกิดอาการไม่นานแล้วมันก็หายไป ในตอนนี้ชินกรเหงื่อแตกทั่วใบหน้าทั้งฝันร้าย ทั้งอาการปวดศีรษะที่กำเริบ เขาเปิดประตูบ้านเดินลงบันไดมาที่ก๊อกน้ำที่อยู่ด้านล่าง เปิดแล้วชำระเหงื่อที่ผุดเต็มใบหน้าทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเขากลับพบใครบางคนยืนอยู่ข้างหน้า
“หวาน”
หญิงสาวปริศนาที่ได้พบเจอและช่วยเหลือเขาหลายครั้งยืนส่งยิ้มน่ารักอยู่ตรงหน้า ซึ่งชินกรจำได้แล้วว่าเธอคือหวานอดีตคนรักของเขานั่นเอง
“ดีใจจัง ที่เธอจำฉันได้แล้ว”
“ใช่ ฉันจำเธอได้แล้วหวาน”
“ถ้าจำได้เธอไม่กลัวฉันเหรอ? ที่ฉันไม่ใช่คน”
เป็นคำถามที่ทำให้ชินกรชะงักไปเพียงชั่วครู่ เขาส่ายหน้า
“ไม่ ในความทรงจำที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้ เธอรักฉันมากแต่เป็นตัวฉันเองที่ทำกับเธอแย่ๆ ฉันขอโทษ”
“ว่าแต่เธอจำอะไรได้บ้าง? ทุกอย่างเลยหรือเปล่า?”
“ไม่ทุกอย่าง ฉันจำได้แค่ความสัมพันธ์ระหว่างเราแค่นั้น แต่แค่นั้นฉันมันก็แย่จนตอนนี้ฉันรู้สึกละอาย”
“ละอายกับอะไรล่ะ?”
“ละอายกับที่ฉันคบเธอเพราะหวัง....ตัวเธอ ฉันอยากจะเอาชนะไอ้ชมแล้วที่แย่สุดๆคือ ฉันรู้ว่าสรมันก็ชอบเธอแต่ฉันก็ยังทำเพื่อให้รู้สึกว่าฉันเหนือกว่าคนอื่น”
ชินกรพูดไปโดยไม่สบสายตาหวานสักนิด เขาได้แต่ก้มหน้าราวกับผู้ต้องหาที่กำลังสารภาพผิดอยู่
“แต่รู้ไหมว่าฉันไม่เคยเกลียดเธอ? ฉันอาจจะโกรธเธอในหลายสิ่งที่เธอทำแต่ฉันเกลียดเธอไม่ลง นั่นคือสิ่งที่คนอย่างหวานจะบอกได้”
ชินกรรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเพราะมันเหมือนเป็นการอภัยต่อบาปที่เขาเคยผิดไปในอดีต เขาเงยหน้าขึ้นมองหวานแต่ก็ไม่พบเธออยู่ตรงหน้าแล้ว ชินกรมองหาหวานพร้อมเอ่ยชื่อเรียกหาแต่ก็ไม่มีวี่แววเขาจึงตัดสินใจขึ้นบ้าน ทว่าหางตาของเขาเกิดเห็นบางสิ่งที่เคลื่อนไหว เมื่อหันไปมองก็เห็นดวงไฟปริศนาสีเขียวลอยอยู่บริเวณไม่ไกลจากบ้านนางภาน่าจะมาจากแถวบ้านเจ้าสรก่อนจะหายเข้าไปในบ้าน ชินกรเก็บข้อสงสัยทั้งหมดไว้เพราะในวันพรุ่งนี้เขามีแผนการในใจที่จะคลี่คลายสิ่งลี้ลับที่ได้พบเจอตลอดที่อยู่หมู่บ้านนี้ไว้แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นชินกรเดินไปที่บ้านของสรเพื่อให้ไปส่งเขาที่โรงพยาบาลในเมืองซึ่งสรก็เตรียมตัวรออยู่ก่อน ชินกรเห็นบ้านของสรยังปิดเงียบอยู่เช่นเดิม เมื่อขึ้นไปบนรถกระบะระหว่างที่สรกำลังขับรถอยู่นั้นเขาถามเรื่องพ่อของสร
“ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
สรบอกกับชินกรแบบนั้นแต่สีหน้ากลับเป็นคนที่อมทุกข์อย่างชัดเจน ตลอดทางที่ขับรถมาสรที่เป็นคนช่างพูดกลับกลายเป็นเงียบขรึมตลอดทางในแววตาดูสับสนกังวล หลังจากขับรถกระบะมาถึงโรงพยาบาลในตัวเมืองชินกรก็ลงจากรถพร้อมกับขอบคุณสรที่มาส่ง
“จะให้ฉันรอตรงไหน?”
“ไม่ต้องรอหรอก แกกลับไปดูแลพ่อแกดีกว่า อีกอย่างฉันก็บอกแกแล้วว่าเดี๋ยวฉันจะหาเช่ารถไว้ใช้ด้วย”
“แน่ใจนะ ว่าไม่ให้ฉันรอหรืออยู่เป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องหรอก ท่าทางจะกลับเย็นด้วยซ้ำแกไปดูแลพ่อเถอะ”
สรพยักหน้าแล้วขับรถกระบะออกไปจากโรงพยาบาล ชินกรมองดูรถกระบะของสรวิ่งจนลับตาจึงเดินเข้าไปในโรงพยาบาลโดยชินกรไม่รู้เลยว่าสรนั้นไม่ได้ไปไหนไกลเพียงแค่หาที่จอดรถแอบแล้วเฝ้าดูเขาเท่านั้น!
ชินกรได้แจ้งกับทางโรงพยาบาลเรื่องอาการป่วยของตนที่เคยเกิดอุบัติเหตุหนักจนความทรงจำบางส่วนหายไป รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนกับอาการปวดศีรษะที่มีเป็นระยะๆ แพทย์เฉพาะทางได้ให้ชินกรสแกนตรวจดูสมองโชคดีที่ไม่พบความผิดปกติเพิ่มเติมโดยแพทย์ให้ความเห็นกับชินกรว่า
“หมอคิดว่ามันเป็นอาการที่เป็นบวกกับในด้านความทรงจำที่หายไปของคุณนะครับ คุณบอกกับหมอว่าตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคุณรู้สึกว่าความทรงจำที่หายไปค่อยๆกลับมาทีละอย่าง นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าอีกไม่นานความทรงจำทั้งหมดของคุณจะกลับมา”
“แล้วการที่ผมปวดหัวเป็นระยะนี่ มันเกี่ยวกับความทรงจำที่กลับมาด้วยเหรอครับ? ผมคิดไว้ว่าถ้าความทรงจำกลับมามันจะกลับมารวดเดียวเลย”
“หมอขอแจ้งกับคุณไว้ก่อนว่าสมองของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันนะครับ บางคนที่ความทรงจำหายไปต่อให้พยายามเท่าไรก็ไม่กลับมาก็มี หรือบางคนความทรงจำหายไปพอถูกกระตุ้นด้วยเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตแล้วกลับมาแบบทีเดียวก็มี แต่ในกรณีย์ของคุณนั้นหมอคิดว่าการที่คุณปวดศีรษะแล้วบวกกับความทรงจำคุณกลับมาทีละเรื่องน่าจะเป็นผลข้างเคียงที่ดีต่อการฟื้นความทรงจำของคุณมากกว่า เพราะเท่าที่หมอตรวจสแกนดูสมองของคุณหรือกะโหลกก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ดังนั้นหมอจะให้ยาเพื่อระงับอาการปวดศีรษะกับคุณเวลาที่เกิดอาการกับขอให้คุณมาตรวจกับหมอทุกสัปดาห์เพื่อตรวจดูอย่างใกล้ชิด”
ชินกรพยักหน้ารับคำแนะนำ เขายอมรับว่าเขารู้สึกดีใจไม่น้อยที่ความทรงจำทั้งหมดของตนจะกลับมาในไม่ช้า
ชินกรออกมาจากโรงพยาบาลก็ช่วงบ่ายเข้าไปแล้ว เขาสอบถามกับคนในพื้นที่ถึงแหล่งเช่ารถยนต์จนมาเจอในสถานที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดนักเป็นเต็นท์รถให้เช่า ชินกรได้รถยนต์เช่าเป็นรถเก๋งยี่ห้อญี่ปุ่นสีขาวมาใช้หนึ่งคันพร้อมกับถามทางเป้าหมายที่เขาตั้งใจจะไปกับทางเต็นท์รถจนได้พิกัดมาว่าอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ชินกรขับรถออกมาจากเต็นท์โดยมีสรสะกดรอยตามมาห่างๆ
ห่างจากหมู่บ้านบ้านวังสาไปราวยี่สิบกิโลเมตรมีหมู่บ้านนาน้อยที่มีจำนวนสี่สิบกว่าหลังคาเรือน บ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดทุ่งนามีหนุ่มฉกรรจ์หลายคนยืนล้อมอยู่รอบบ้านโดยในมือแต่ละคนจะถือไม้ง่าม ทั้งหมดต่างยืนตะโกนโหวกเหวกขับไล่ไสส่งผู้ที่อยู่ในบ้านให้ออกมา ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่คิดจะขึ้นบันไดไปลากผู้ที่หลบซ่อนอยู่ในบ้านให้ออกมาสักคน! หลังจากตะโกนอยู่นานมีผู้กล้าที่วางมาดเป็นนักเลงโตอาสาที่จะลากตัวผู้ที่หลบอยู่ให้ออกมาท่ามกลางกองเชียร์อันเป็นลูกสมุนส่งเสียงเชียร์ลูกพี่ของมัน
“เดี๋ยวข้าจะไปลากยายสายมาเอง ไม่ต้องรอสัปเหร่อขามหรอก”
พูดจบเจ้าคนอวดดีก็ก้าวพรวดขึ้นบันไดไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านที่ปิดสนิท มันทุบประตูดังลั่นสนั่นพร้อมส่งเสียงดัง
“ยายสาย! เขารู้กันหมดแล้วว่าเป็ดไก่ที่ตายไปมันฝีมือยาย! ออกมาเดี่ยวนี้เลยยาย!”
เจ้านักเลงโตทำท่าทางข่มขู่อย่างอหังการ เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่ยังคงเงียบเก็บตัวมันยิ่งทุบประตูดังขึ้นจนบานประตูสะเทือน ลูกน้องที่อยู่ข้างล่างส่งเสียงตามลูกพี่ทันใดนั้นเองบานประตูก็เปิดออกดังปังจนตัวลูกพี่ของมันผละถอยหลังออกมา เสียงเชียร์เงียบกริบขณะที่ตัวของเจ้านักเลงโตก็ชะงักงันอยู่ตรงหน้าประตูสายตาจ้องมองไม่กระพริบเข้าไปในบ้าน
“พี่ออกมาเถอะ ฉันว่ามันไม่ดีแล้วนารอสัปเหร่อขามแกดีกว่า”
ลูกน้องคนหนึ่งส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นเองเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกระชากเจ้านักเลงโตเข้าไปในบ้านไม้ฉับพลันบานประตูก็ปิดตามหลังทันที กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างต่างส่งเสียงฮือฮาดังไปทั่วแต่ไม่มีใครสักคนที่คิดจะขึ้นไปช่วยเจ้านักเลงโตคนนั้นสักคน!
ขณะที่ทุกคนกำลังกระส่ำระสายเสียงมอเตอร์ไซค์เก่าๆเครื่องยนต์ดังแสบหูก็ขี่เข้ามาใกล้บริเวณนั้น กลุ่มคนต่างแหวกทางให้มอเตอร์ไซค์เก่าคันนั้นโดยพร้อมเพรียง ก่อนที่รถเจ้ากรรมจะจอดลงตรงหน้าบันไดที่จะขึ้นไปบนบ้านยายสายชายวัยกลางคนที่มีผมสีดอกเลา ท่าทางทะมัดทะแมงแข็งแรงกว่าอายุที่แท้จริงลงมาจากรถพร้อมกับสะพายย่ามพระสีขนุน จ้องมองปราดขึ้นไปบนบ้านด้วยแววตาคมแล้วหันมาทางกลุ่มคนที่ยืนรออยู่
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าให้รอข้าใครมันสะเออะขึ้นไปก่อนวะ?”
ผู้มาใหม่ถามอย่างไม่พอใจขณะที่ลูกสมุนของเจ้านักเลงโตรีบรายงาน
“พี่ฉัตรจ๊ะสัปเหร่อขาม ฉันห้ามแกแล้วไม่ฟังสัปเหร่อขามช่วยพี่ฉัตรด้วยนะ”
“เหอะ สะเออะโชว์กร่างล่ะสิ เออๆ แต่ไม่รู้จะทันหรือเปล่านะ ที่รู้ๆมีบางคนมารออยู่แล้ว”
สัปเหร่อขามมองไปด้านบนชานบ้านมีเงาดำยืนอยู่ตรงนั้น เขารู้ได้จากประสบการณ์ว่านั่นคือสิ่งมีชีวิตอีกภพภูมิที่มีหน้าที่มารับวิญญาณคนตาย เมื่อปรากฏตัวที่ใดที่นั่นต้องมีคนถึงฆาตเสมอเพียงแต่คราวนี้สัปเหร่อขามขอให้เป็นดวงวิญญาณร้ายที่เขาจะมาปราบในคราวนี้แทนที่จะเป็นยายสายหรือไอ้ฉัตรเท่านั้นเอง!
ชายวัยกลางคนก้าวขึ้นบันไดอย่างรีบร้อนพรางหยิบมีดหมอของตนออกมาจากย่ามพระที่สะพายอยู่ เมื่อถึงหน้าประตูสัปเหร่อขามยกมือไหว้มีดหมอพร้อมบริกรรมคาถาเพียงครู่ ก่อนที่จะใช้มีดหมอนั้นจิ้มเบาๆไปที่ประตู
“เอ็งหลบข้าไม่พ้น เปิดประตู”
สัปเหร่อขามพูดขึ้นพริบตานั้นบานประตูก็เปิดออกเองดังปัง เขามองเข้าไปที่ภายในบ้านภาพแรกที่เห็นคือภาพของซากเป็ดซากไก่ที่ถูกแทะตรงท้องจนไร้เครื่องในร่วมสิบตัวกระจายเต็มบนบ้าน แล้วตรงหน้าคือหญิงชราร่างเล็กที่ดูแก่มากผมหงอกยุ่งเหยิงราวกับไม่ได้โดนหวีมานานปี นั่งยองมือสองข้างโอบกอดเจ้านักเลงโตฉัตรเหมือนล็อคตัวไว้ โดยปากของยายสายนั้นกำลังดูดปากเหยื่อของมันอย่างหิวกระหายไม่สนใจผู้ที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ปล่อยไอ้ฉัตรมันเดี๋ยวนี้อีผีนรก!”
ยายสายเงยหน้าขึ้นมองขณะที่ปากยังคงจุมพิตเจ้าฉัตรอย่างดูดดื่ม สัปเหร่อขามเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าพร้อมกับเงื้อมีดหมอขึ้น ทันใดนั้นเองยายสายก็เอาริมฝีปากออกจากเหยื่อของมันเผยให้เห็นลิ้นสีดำที่ยาวราวกับงูกำลังเลื้อยออกจากปากเจ้าฉัตรกลับสู่ปากของแก พร้อมกับหลบถอยหลังไปด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ!
“เฮ้ย ไอ้ฉัตรตายหรือยังวะ?”
สัปเหร่อขามพูดพร้อมใช้เท้าเตะไปที่ท้องเจ้านักเลงโต มันรู้สึกตัวพร้อมกับไออย่างเหนื่อยหอบเหมือนคนจมน้ำที่ต้องการอากาศ เมื่อได้สติมันรีบเข้ามากอดขาสัปเหร่อขามตัวสั่นราวกับลูกนก
“เอ็งปลอดภัยก็ดีแล้วไอ้ฉัตร แต่น่าเสียดายที่ดันปลอดภัยแค่เอ็งคนเดียว”
สัปเหร่อขามพูดพร้อมหันไปมองที่มุมหนึ่งภายในบ้าน เขาเห็นดวงวิญญาณของยายสายยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าที่เป็นทุกข์เขารู้ได้ทันทีว่ายายสายนั้นตายไปแล้วและที่ร่างที่อยู่ตรงหน้าคือผีร้ายที่เขาต้องกำราบให้ได้! ชายวัยกลางคนเอามีดหมอชี้ไปที่มันพร้อมบริกรรมคาถาเบาๆ เจ้าผีร้ายในร่างยายสายแลบลิ้นสีดำที่ยาวออกมาจากปากมันทำท่าทางล้อเลียนศัตรูของมัน เดี๋ยวพุ่งเข้ามาหาเดี๋ยวถอยหลังเพื่อหลอกล่อให้สัปเหร่อขามเสียสมาธิในการบริกรรมคาถา แต่ด้วยประสบการณ์บวชเรียนมาหลายพรรษาของสัปเหร่อขามทำให้ยังคงนิ่งแล้วบริกรรมคาถาไปเรื่อยๆ ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าผีร้ายดูร้อนรนกระสับกระส่ายราวกับปลาที่ยังไม่ตายค่อยๆถูกต้มในน้ำ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าผีร้ายพยายามจะโดดหนีทางหน้าต่างแต่สัปเหร่อขามก็ไวทายาดวิ่งไปถีบจนมันกระเด็นล้มลง พร้อมกับใช้มีดหมอจี้ไปที่มันแล้วบริกรรมคาถา
“พอ มึงหยุดสักที กูร้อนไปหมดแล้ว!”
ผีร้ายในร่างยายสายตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงทรมาน ทว่าเสียงที่หลุดออกมาเป็นเสียงชายชราหาใช่เป็นเสียงยายสายไม่ เมื่อศัตรูของมันที่อยู่ตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุดบริกรรมคาถาในที่สุดมันก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาโดยตรงหมายจะจัคการศัตรูที่อยู่ตรงหน้าแล้วหนีไป หารู้ไม่ว่าสัปเหร่อขามรอเวลานี้อยู่เมื่อมันพุ่งเข้ามาโดยเอาลิ้มสีดำที่ยาวตวัดจู่โจมชายวัยกลางคนก็เอี้ยวตัวหลบลิ้นของมัน เพราะถ้าโดนไปของอัปรีย์หรือคำสาปของผีร้ายจะเข้าตัวได้แล้วในช่วงอึดใจเขาใช้สันของมีดหมอฟาดไปที่ต้นคอของยายสายพร้อมบริกรรมคาถาเสียงดังขึ้น
“อ๊ากกกกกกก!”
ผีร้ายในร่างยายสายลงไปนอนดิ้นกับพื้นบ้านส่งเสียงร้องอย่างทรมาน สัปเหร่อขามรีบล้วงเข้าไปในย่ามพระหยิบสร้อยพระออกมาแล้วบริกรรมคาถาสักครู่ก่อนจะใส่คอของยายสาย ผีร้ายดิ้นรนหนักแค่เพียงชั่วครู่ก่อนร่างกายจะกระตุกอย่างแรงแล้วเมื่อนั้นร่างกายของยายสายก็แน่นิ่งไม่มีทีท่าจะอาละวาดอีก!
สัปเหร่อขามมองไปที่ชานนอกบ้านเห็นเงาดำที่มารอรับวิญญาณกำลังลากร่างชายชราท่าทางดุร้ายออกไป โดยมียายสายตามไปอย่างสงบเสงี่ยม โดยก่อนจะลับตาสัปเหร่อขามเห็นยายสายยิ้มขอบคุณที่ทำให้ดวงวิญญาณพ้นทุกข์ทรมาน
“หมดเวรหมดกรรมละนะยายสาย ขอให้ยายไปสู่ภพภูมิที่ดี”
สัปเหร่อขามพูดขึ้นเพื่อล่ำลายายสายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันมามองร่างที่ไร้วิญญาณของยายสายตรงหน้าที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าราวกับศพที่ตายมาหลายวัน
“ไอ้ฉัตรมึงไปบอกลูกน้องเอ็งที่รออยู่ข้างล้างให้มันมาช่วยเอาศพยายสายไปที่วัด ข้าจะให้พระคุณเจ้าสวดให้แกสักคืนแล้วก็เผาให้แกพรุ่งนี้ เพราะยังไงแกก็ไม่มีญาติที่ไหนอยู่แล้ว”
สัปเหร่อขามหันมาสั่งเจ้าฉัตรที่สั่นเป็นลูกนกตกน้ำอยู่หน้าประตู มันลนลานรีบทำตามที่สั่ง
ชายวัยกลางคนออกมาสูบบุหรี่ตรงบริเวณหน้าบ้าน มีชาวบ้านมากมายมามุงดูการขนย้ายศพของยายสายโดยระหว่างที่สัปเหร่อขามสูบบุหรี่อยู่นั้น หมอธรรมประจำหมู่บ้านก็เดินมาหาเขา
“เหนื่อยไหมเจ้าขาม?”
สัปเหร่อขามยื่นซองบุหรี่ให้แต่หมอธรรมที่ดูอาวุโสกว่าก็ยกมือปฏิเสธ สัปเหร่อขามมองไปที่ศพของยายสายที่เอาเสื่อมาพันไว้เพื่อกันภาพไม่น่าดู หมอธรรมมองตามเขารู้ได้จากสายตาของสหายรุ่นน้องคนนี้
“ปอบใช่ไหม?”
หมอธรรมถามสั้นๆ สัปเหร่อขามพยักหน้า
“ถ้าจำไม่ผิดยายสายย้ายมาที่หมู่บ้านนี้ราวหนึ่งปีใช่ไหม? ก่อนหน้านี้มีใครรู้หรือเปล่าว่าแกอยู่ที่ไหน?”
สัปเหร่อขามถามเพื่อนรุ่นพี่อย่างสงสัย หมอธรรมทอดถอนใจเขาจึงรู้คำตอบในทันที
“บ้านวังสาสินะ”
“ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่เรียกเอ็งหรอกไอ้ขาม เอ็งก็รู้ว่าหมู่บ้านนั้นเป็นยังไง?”
หมอธรรมพูดด้วยน้ำเสียงปลงตก ขณะที่สัปเหร่อขามกลับมีแววตาที่คมกริบพรางจ้องมองมีดหมอที่อยู่ในมือของแกอย่างมีนัยยะ
ชินกรลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ภายในห้องนองของนางภาแม่ของเขา เขามองไปที่ประตูห้องที่เปิดอยู่ได้กลิ่นยาต้มโชยเข้าจมูกโดยชินกรจับไปที่ศีรษะที่บัดนี้ไม่มีอาการปวดใดๆเหลืออยู่ พยายามทบทวนความทรงจำสุดท้ายแต่เสียงโหวกเหวกจากทางใต้ถุนบ้านก็เรียกความสนใจของชายหนุ่มไว้ เขาจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงนางภาแม่ของเขานั่นเองกำลังส่งเสียงด่าทอใครสักคน ชินกรค่อยๆขยับลงจากที่นอนบ้านตามต่างจังหวัดที่พื้นไม้มักจะมีช่องว่างให้มองลงไปที่ใต้ถุนได้ซึ่งบ้านนางภาก็ไม่เว้น ชายหนุ่มมองหาช่องที่พอแอบดูได้จนเจอเขาจึงไปส่องดู
“ฉันไว้ใจฝากลูกชายของฉันให้ดูแล นี่ดีที่ลูกชายฉันไม่ตายไม่อยากนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ ว่าที่นี่จะเป็นยังไง?”
“ฉันขอโทษแม่ภาจริงๆ ฉันไม่คิดว่าไอ้ชมมันจะสะกดรอยตามขึ้นไปเพราะฉันก็ไม่ได้ยินเสียงใครเดินตามเลย”
ลุงคำแก้ตัวด้วยใบหน้าถอดสี ขณะที่มารดาของเขากลับมีสีหน้าไม่พอใจจนน่ากลัว
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยตาคำ! เพราะความสะเพร่าของแกแท้ๆ นี่ไอ้สรอีกตัวกลับมาแล้วหายหัวไปเลย คงไม่กล้ามาสู้หน้าฉันสินะ เจอหน้าก่อนคอยดู!”
ลุงคำไม่พูดอะไรได้แต่ก้มหน้าให้นางภาตำหนิอย่างเดียว ชินกรเห็นแม่ของเขาหันซ้ายแลขวาพูดเสียงเบาอย่างระวังแต่ก็เพียงพอให้เขาที่แอบฟังได้ยิน
“แล้วศพไอ้ชมจัคการไปหรือยัง?”
“จัคการไปแล้วจ๊ะ มันจะกลายเป็นคนหายสาบสูญไปตลอดกาลตำรวจไม่เจอแน่”
“สภาพศพมันเป็นยังไง?”
“พูดได้แค่ว่าเละ! เละกว่าศพพ่อของมันเสียอีก”
ชินกรมองเห็นสีหน้าแววตาของนางภาว่าดูสะใจและพอใจยิ่งกับการตายของไอ้ชม ทันใดนั้นเองนางภาทำท่าทางราวกับมีบางสิ่งกระซิบที่ข้างหู ก่อนจะแหงนหน้ามามองตรงช่องที่ชินกรกำลังแอบดู!
ชายหนุ่มตกใจขณะที่นางภารีบวิ่งขึ้นมาบนห้องนอนพร้อมกับโอบกอดลูกชายอย่างอ่อนโยน
“ลูกกรเป็นยังไงบ้าง? เจ็บตรงไหนไหม? บอกแม่ได้นะ แม่จะรักษาลูกเอง”
“ผมไม่เป็นไรครับแม่ แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายผมปวดหัวอยู่บนเขา”
นางภามองลูกชายของตนอย่างกังวล ก่อนที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง....
นางภาเล่าจากปากคำของลุงคำว่าหลังจากที่ชินกรพลัดตกลงไปที่เนินเพราะหลบหมูป่าที่เข้ามาทำร้าย ลุงคำกับสรหาทางพักใหญ่จนล้มหมูป่าตัวนั้นได้ แล้วก็เริ่มแกะรอยที่จะลงไปช่วยชินกรแต่ด้วยเวลาที่เย็นย่ำบวกกับสรนั้นบอกว่าทางชันไม่มีเชือกไต่ลงไปอันตรายมาก ทั้งสองคนจึงตัดสินใจทิ้งซากหมูป่าแล้วหาทางเดินลงเพื่อค้นหาชินกร ทั้งสองคนค้นหาจนฟ้ามืดจึงได้พบแสงจากกองไฟที่เขาได้ก่อไว้จึงสบายใจว่าอย่างน้อยชินกรก็ปลอดภัย แต่มันอยู่คนละทางกับที่ลุงคำและสรค้นหาจึงเสียเวลาย้อนกลับมาพอดู ระหว่างนั้นทั้งคู่ได้ยินเสียงปืนจึงเร่งฝีเท้าเพราะกลัวอันตรายจะเกิดขึ้นกับเขา เมื่อมาถึงก็พบร่องรอยการต่อสู้ลุงคำจึงใช้ความสามารถพรานของแกแกะรอยเท้าตามมาจนพบศพไอ้ชมตายอย่างอนาถ แล้วก็แกะรอยต่อจนมาเจอชินกรนอนสลบอยู่ตรงเวิ้งผาที่ได้แวะมาเมื่อตอนกลางวัน
หลังจากฟังจนจบชินกรก็นึกลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมไปถึงบทสนทนาที่เขาได้ยินจากแม่ของตนเมื่อสักครู่ด้วย
“เมื่อกี้ผมได้ยินว่าแม่ให้ลุงคำเอาศพไอ้ชมไปกำจัด กำจัดทำไมครับแม่ทำไมเราไม่ไปแจ้งตำรวจเอา?”
“แจ้งตำรวจเขาก็มาสอบสวนสิกร ตอนที่อยู่ในป่าจากปากคำก็มีแต่ลูกกับมันเท่านั้น ถ้าแจ้งไปตำรวจก็สงสัยลูกและตั้งลูกเป็นผู้ต้องหาแน่”
“แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำนะครับ ผมไม่ได้ฆ่าไอ้ชมแต่ที่มันตายก็เพราะ....”
ชินกรชะงักไปเมื่อสักครู่เขาเกือบหลุดคำว่าอสุรกายหรือปิศาจไปแล้วด้วยซ้ำ นางภาจ้องมองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงพรางเอามือลูบหัว ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบในเสี้ยวหนึ่งของตอนนั้นเขาเห็นภาพนิ่งในอดีตของเขาไหลหลั่งเข้ามาในศีรษะเพียงแต่มันเป็นแค่ภาพไม่ปะติดปะต่อเกินกว่าที่จะเรียงเป็นเรื่องราวได้
“กรลูกเป็นอะไรหรือเปล่า? สีหน้าลูกดูไม่ดีเลย”
“ผมเจ็บที่หัวครับแม่ ตอนที่ตกลงมาจากเนินหัวไปกระแทกซ้ำกับต้นไม้อีก”
“แม่ต้มยาให้กับกรด้วยนะ เดี๋ยวลูกกินข้าวกินยาแล้วพักผ่อนดีกว่า”
“ผมคิดว่า ผมจะไปหาหมอเพื่อตรวจดูว่าสมองผมได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่า?”
“กรจะออกไปด้านนอกเหรอลูก?”
ชินกรเห็นสีหน้าของนางภาแม่ของเขาดูไม่สบายใจ เขารู้ได้ในทันทีว่าทำไม
“แม่กลัวว่าผมจะหนีแม่ไปอีกเหรอครับ?”
นางภาน้ำตารินพยักหน้า ชินกรจึงสวมกอดผู้เป็นแม่
“ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้หนีแม่ออกจากบ้านไป? แล้วแม่ก็ดูท่าทางจะไม่อยากบอกผมด้วย ผมจะไม่บังคับหรืออะไรที่ทำให้แม่ไม่สบายใจอีก ตอนที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่แม่ห่วงและหวังดีกับผมจนผมรู้สึกได้จากใจ ผมสัญญานะครับว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ผมจะไม่ทิ้งแม่ไปอีกแล้ว”
นางภากอดลูกชายตนเองแน่น ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงน้ำตาอุ่นที่ไหลลงตรงไหลของเขา
ชินกรได้ทานอาหารที่นางภาเตรียมไว้พร้อมกับทานยาต้ม โดยเขาได้บอกกับแม่ของตนว่าพรุ่งนี้เขาจะเข้าไปโรงพยาบาลที่อยู่ในเมืองเพื่อตรวจสมองให้ละเอียดและจะได้แวะหารถเช่ามาใช้สักคัน
“กรจะเอารถเช่ามาทำไมล่ะ? ในเมื่อถ้าจะไปไหนมาไหนก็ให้ไอ้สรไปส่งก็ได้”
“ไม่ล่ะครับ ผมอยากหารถส่วนตัวมากกว่าหรือแม่กลัวว่าผมเอารถมาเพื่อจะหนีแม่ไป”
ชินกรพูดด้วยน้ำเสียงแกมหยอกล้อ นางภายิ้มแล้วเอามือลูบศีรษะ
“กรรับปากแม่แล้ว แม่เชื่อกรนะว่าเราจะไม่ทิ้งแม่ไปไหนอีก”
นางภาพูดจบก็ลุกขึ้นบอกกับเขาว่าจะเข้าไปในสวนหลังบ้าน ชินกรลังเลอยู่ที่จะถามคำถามบางอย่าง
“แม่ครับ ผมอยากถามแม่บางอย่าง”
นางภาหันมามองด้วยรอยยิ้มเป็นการตอบรับกลายๆ
“หมู่บ้านนี้มี....อสุรกายไหมครับ?”
สีหน้าแววตาของนางภาที่แสดงตรงหน้าไม่มีความตื่นตระหนก หวั่นไหว มีแต่ความแน่นิ่ง แน่นิ่งเสียจนชินกรรู้สึกขนลุกอย่างแปลกประหลาดเพราะไม่คิดว่ามารดาจะมีปฏิกิริยาที่นิ่งจนน่ากลัวได้ขนาดนี้
“ทำไมกรถามแบบนั้นล่ะ? กรเห็นอะไรมา?”
“แม่ไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมไอ้ชมถึงได้ตาย?”
“ไม่เลย ขอแค่มันตายเพราะจะได้มาทำร้ายลูกไม่ได้อีกแม่ก็พอใจแล้ว”
“แล้วถ้าผมบอกกับแม่ว่า มีอสุรกายฆ่าไอ้ชมตายแม่จะว่ายังไงครับ?”
แววตาที่นางภาแสดงอยู่ในขณะนี้มันไร้ความปราณีที่เคยเห็นมาตลอด มันทั้งยิ้มเยาะ สะใจเมื่อได้ฟังชินกรพูดแบบนั้น
“กรไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่กรอยู่กับแม่ลูกจะปลอดภัยต่อทุกสิ่ง”
ชินกรจะถามต่อ แต่แม่ของเขาหันหลังเดินลงบ้านไปทันทีปิดโอกาสที่จะถามต่อ
ชินกรเดินลงบันไดเขาตัดสินใจเดินไปที่บ้านของสรเพื่อจะสอบถามเหตุการณ์เมื่อวานเพิ่มเติม ที่สำคัญอาจรู้อะไรเกี่ยวกับอสุรกายตนนั้น เมื่อไปถึงก็เห็นสรนั่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้นบ้านหน้าตาซีดเซียวโดยเมื่อสรเห็นเขาเจ้าตัวรีบวิ่งเข้ามาหาแทบจะทันที
“ไอ้กรแกเป็นยังไงบ้าง? รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแกจะแย่”
“ก็เจ็บตัวนิดหน่อย ว่าแต่แกเป็นอะไรหน้าตาดูซีดเซียวอย่างกับคนอมทุกข์?”
“ฉัน...” ท่าทางสรลังเลจะบอกจนชินกรตบไหล่เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจขึ้น
“ฉันไม่กล้าไปสู้หน้าน้าภา น้าภาต้องโกรธฉันแน่ที่ทำให้แกเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“แต่ฉันก็รอดอยู่ตรงนี้ไง เอาน่าเดี๋ยวฉันพูดกับแม่ให้ แม่ไม่ด่าแกแน่นอน”
“แกพูดจริงนะไอ้กร?” สรพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับเขย่ามือเขา “ไหนๆก็ไหนๆถ้าแกจะช่วยฉัน ฉันขอรบกวนแกเพิ่มอีกอย่างหน่อยสิ”
“ขออะไรฉันเพิ่มล่ะ? ถ้าฉันทำได้ก็จะทำให้”
“ฉันจะขอวานให้แกไปขอยาต้มที่น้าภามาให้พ่อฉันหน่อย ตอนนี้ท่านอาการไม่สู้ดีฉันก็ไม่กล้าไปสู้หน้าน้าภา ดีที่แกมาหาฉันพอดี ช่วยหน่อยนะ”
“พ่อแกไม่สบายเหรอ? เป็นอะไรมากไหม?”
“ไม่หรอก แค่ได้ยาต้มของน้าภาก็ดีขึ้นแล้ว นะเพื่อนช่วยฉันที!”
สรบีบมือพร้อมกับทำท่าทางขอร้องจนชินกรใจอ่อน
“ตกลง เดี๋ยวฉันไปคุยกับแม่แล้วเอายามาให้”
ชินกรต้องเดินย้อนกลับมาที่บ้านอีกครั้งพร้อมกับเรียกหานางภา แม่ของเขาออกมาจากสวนหลังบ้านชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องที่พ่อของสรป่วยและต้องการยาต้มรักษาของแม่เขา นางภาฟังพรางส่ายหน้า
“นี่ไอ้สรมันไม่กล้าสู้หน้าแม่ แล้วยังกล้าใช้กรมาเอายาอีกอย่างนั้นเหรอ?”
“ผมซุ่มซ่ามจนเป็นคราวซวยมากกว่าครับแม่ อีกอย่างช่วยคนเถอะนะครับพ่อเจ้าสรมันกำลังแย่”
“ก็ได้ นี่แม่เห็นว่ามันเป็นเพื่อนกรมาตั้งแต่เด็กแม่ถึงได้ช่วย”
นางภาเดินไปที่ใต้ถุนบ้านแถบใกล้กับสวนด้านหลังพร้อมกับเอามือหยิบไปที่ใต้พื้นกระดานของบ้านหยิบห่อกระดาษสีน้ำตาลที่ผูกเชือกไว้อย่างดี เดินมาส่งให้กับมือของชินกรพร้อมกำชับ
“คราวหน้าบอกให้มันมาเอายาเอง แม่ถึงจะให้บอกไอ้สรมันไปแบบนี้”
ชินกรพยักหน้ารับคำแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านของสรอีกครั้ง เขาเห็นสรนั้นยืนร้อนรนอยู่ตรงหน้าบ้านโดยเมื่อสรเห็นชินกรเดินมาพร้อมกับห่อยาก็มีสีหน้าดีใจ
“ขอบใจมากเพื่อน ถ้าไม่ได้แกพ่อฉันต้องแย่แน่”
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมแกไม่กล้าไปสู้หน้าแม่ฉัน เหมือนแกกลัวแม่ฉันมากมีอะไรหรือเปล่า?”
“ทุกคนที่นี่ก็กลัวน้าภาหมดแหละ เอ่อ....ฉันหมายถึงน้าภาแกเป็นหมอยา แกจะค่อนข้างดุถ้าแกจะใจดีก็มีเพียงลูกชายอย่างแกเท่านั้นแหละไอ้กร”
ชินกรเห็นด้วยในคำพูดสรที่ว่าแม่ของเขารักและเอ็นดูเขามากจริงๆ
“เออ ว่าแต่พ่อแกเป็นยังไงบ้าง? ตั้งแต่ที่ฉันกลับมาฉันยังไม่เจอพ่อของแกเลย ให้ฉันขึ้นไปเยี่ยม....”
“อย่า!”
สรพูดขึ้นพร้อมกับเอาตัวขวางชินกรกับประตูรั้วไว้ ชินกรมองดูสรด้วยแววตาแปลกใจซึ่งสรก็รู้ตัว
“....พ่อฉันต้องการพักผ่อนน่ะ ขอโทษทีที่เมื่อกี้ฉันเสียงดังไป”
“ไม่เป็นไร แต่แกแน่ใจนะว่าแค่นั้นจริงๆ”
สรพยักหน้าแต่แววตากลับตรงกันข้ามซึ่งชินกรรู้ได้ทันทีว่าเขาปิดบังบางอย่างอยู่ ชินกรถอนใจกับการต้องมาเจออะไรที่คลุมเครือไปหมดอย่างนี้ เขากำลังคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่เขาอยากจะรู้ความจริง
“ฉันช่วยแกไปแล้ว ทีนี้ฉันจะรบกวนแกบ้างพรุ่งนี้แกว่างไหม? ไปส่งฉันในเมืองหน่อย”
“พรุ่งนี้เหรอ ว่างสิ ว่าแต่แกจะเข้าไปทำอะไรในเมือง?”
“ฉันจะไปโรงพยาบาลแล้วว่าจะเช่ารถมาใช้สักคัน จนกว่ารถของฉันจะเสร็จและก็มีธุระในเมืองนิดหน่อยด้วย”
“ได้ๆ พรุ่งนี้แกมาหาฉันละกัน”
สรมองดูชินกรเดินหันหลังกลับบ้าน เมื่อชินกรเดินเข้าบ้านไปสรจึงรีบถือห่อยาที่ได้มาขึ้นบันไดบ้านแล้วก็เปิดประตู ภายในบ้านของเขามีบรรยากาศมืดทึมตรงไม่ไกลจากประตูมีมุ้งสีฟ้ากางอยู่ด้านในมีร่างของคนนอนอยู่บนที่นอนข้างมุ้งนั้นแม่ของสรนั่งมองคนในมุ้งด้วยท่าทางอิดโรย สรรีบเดินเข้าไปพร้อมกับชูยาห่อที่ได้มา
“พ่อครับ ผมได้ยามาแล้วนะ เดี๋ยวผมจะรีบไปต้มให้พ่อพ่ออย่าเป็นอะไรนะ”
ร่างที่เห็นนอนอยู่ในมุ้งขยับตัวน้อยๆ รับรู้คำพูดของสร เขาจึงรีบไปที่ครัวแล้วเอาหม้อดินเผาขึ้นมาใส่น้ำจุดไฟจากเตาแก๊ส แล้วลงมือต้มยาที่ได้มาโดยสรมีน้ำตาเอ่อออกมาด้วยสงสารบิดาของตน!
คืนนั้นชินกรนอนหลับอยู่ภายในห้องนอนกับแม่ของเขา ชินกรฝันถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด....
ในความฝันชินกรยืนอยู่ที่โรงเรียนประถมร้างในตอนกลางวัน ที่ว่าแปลกคือบัดนี้ชินกรมองเห็นตัวเขาอีกคนยืนรอใครบางคนอยู่ที่ใต้ต้นไทรก่อนจะได้ยินเสียงกริ่งรถจักรยานดังมาจากทางเข้า ที่นั่นหญิงสาวปริศนาที่ชินกรได้เจอและช่วยเขาบ่อยๆกำลังปั่นจักรยานเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตรงข้ามกับตัวเขาอีกคนที่ทำหน้าตารำคาญเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมมาช้านักนะหวาน?” ตัวเขาอีกคนที่ยืนรอพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ขอโทษที ต้องรอให้พ่อออกจากบ้านก่อนเลยมาช้า”
“ถ้ามันลำบากเลิกคบกันเลยไหม?”
“ไม่เอา ฉันขอโทษ! ฉันจะไม่มาสายอีกแล้ว”
สาวน้อยหน้าตาน่ารักพูดพร้อมกับจะร้องไห้ ชินกรยิ้มที่มุมปากอย่างผู้ชนะที่กุมความได้เปรียบความสัมพันธ์นี้ไว้เขาเข้าไปประคองแล้วหอมแก้ม
“ต้องอย่างนี้สิถึงจะเป็นหวานที่น่ารัก เราไปหาความสุขที่ประจำของเราดีกว่า”
ชินกรมองดูตัวเขาอีกคนพูดจาแทะโลมและลวนลามหวานด้วยสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาเคยเป็นคนนิสัยแย่ขนาดนี้ ระหว่างที่ตัวเขาอีกคนกำลังโอบไหล่พาหวานเดินไปที่ตึกเรียนร้าง หวานหันมาถามเขาด้วยความสงสัย
“นี่กรเธอรักฉันจริงๆหรือเปล่า?”
“รักสิ ไม่รักฉันคงไม่คบกับเธอหรอกจริงไหม?”
“ถ้าเธอรักฉัน.... ทำไมถึงปล่อยให้ฉันตายล่ะ?”
ทันใดนั้นจากหญิงสาวน่าตาหน้ารักกลับกลายสภาพเป็นศพเขียวขึ้นอืดทั้งตัว ชินกรที่โอบกอดส่งเสียงร้องก่อนที่หวานในสภาพน่ากลัวนั้นจะโอบกอดเขาแน่น!
“ฉันเหงา ฉันทรมาน ฉันอยากจะพาเธอไปอยู่ด้วย!”
ชินกรสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อไหลเต็มตัว เขาลืมตามองในความมืดภาพน่ากลัวในความฝันยังคงติดตาจนกระทั่งตื่นโดยเฉพาะก่อนที่จะรู้สึกตัวตื่นถ้าเขาจำไม่พลาดคือเขาเห็นหวานในร่างศพขึ้นอืดหันมามองตัวเขาที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วย ชินกรลุกขึ้นนั่งมองไปที่ด้านข้างเห็นแม่ของตนนอนหลับอยู่ในตอนนี้เขารู้สึกคอแห้งผากมากกว่าปกติ จึงลุกออกจากที่นอนแล้วเดินไปที่ตู้เย็นหวังจะหาน้ำเย็นดื่ม ขณะที่ในความคิดยังคงสับสนจู่ๆอาการปวดศีรษะก็เกิดขึ้นอีกคราวนี้ความทรงจำบางส่วนก็ไหลพรั่งพรูออกมาบางส่วนคราวนี้เป็นความทรงจำความสัมพันธ์ของเขากับหวาน
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเพราะอาการปวดศีรษะที่กำเริบแต่ก็เป็นเหมือนทุกครั้ง ที่เกิดอาการไม่นานแล้วมันก็หายไป ในตอนนี้ชินกรเหงื่อแตกทั่วใบหน้าทั้งฝันร้าย ทั้งอาการปวดศีรษะที่กำเริบ เขาเปิดประตูบ้านเดินลงบันไดมาที่ก๊อกน้ำที่อยู่ด้านล่าง เปิดแล้วชำระเหงื่อที่ผุดเต็มใบหน้าทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเขากลับพบใครบางคนยืนอยู่ข้างหน้า
“หวาน”
หญิงสาวปริศนาที่ได้พบเจอและช่วยเหลือเขาหลายครั้งยืนส่งยิ้มน่ารักอยู่ตรงหน้า ซึ่งชินกรจำได้แล้วว่าเธอคือหวานอดีตคนรักของเขานั่นเอง
“ดีใจจัง ที่เธอจำฉันได้แล้ว”
“ใช่ ฉันจำเธอได้แล้วหวาน”
“ถ้าจำได้เธอไม่กลัวฉันเหรอ? ที่ฉันไม่ใช่คน”
เป็นคำถามที่ทำให้ชินกรชะงักไปเพียงชั่วครู่ เขาส่ายหน้า
“ไม่ ในความทรงจำที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้ เธอรักฉันมากแต่เป็นตัวฉันเองที่ทำกับเธอแย่ๆ ฉันขอโทษ”
“ว่าแต่เธอจำอะไรได้บ้าง? ทุกอย่างเลยหรือเปล่า?”
“ไม่ทุกอย่าง ฉันจำได้แค่ความสัมพันธ์ระหว่างเราแค่นั้น แต่แค่นั้นฉันมันก็แย่จนตอนนี้ฉันรู้สึกละอาย”
“ละอายกับอะไรล่ะ?”
“ละอายกับที่ฉันคบเธอเพราะหวัง....ตัวเธอ ฉันอยากจะเอาชนะไอ้ชมแล้วที่แย่สุดๆคือ ฉันรู้ว่าสรมันก็ชอบเธอแต่ฉันก็ยังทำเพื่อให้รู้สึกว่าฉันเหนือกว่าคนอื่น”
ชินกรพูดไปโดยไม่สบสายตาหวานสักนิด เขาได้แต่ก้มหน้าราวกับผู้ต้องหาที่กำลังสารภาพผิดอยู่
“แต่รู้ไหมว่าฉันไม่เคยเกลียดเธอ? ฉันอาจจะโกรธเธอในหลายสิ่งที่เธอทำแต่ฉันเกลียดเธอไม่ลง นั่นคือสิ่งที่คนอย่างหวานจะบอกได้”
ชินกรรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเพราะมันเหมือนเป็นการอภัยต่อบาปที่เขาเคยผิดไปในอดีต เขาเงยหน้าขึ้นมองหวานแต่ก็ไม่พบเธออยู่ตรงหน้าแล้ว ชินกรมองหาหวานพร้อมเอ่ยชื่อเรียกหาแต่ก็ไม่มีวี่แววเขาจึงตัดสินใจขึ้นบ้าน ทว่าหางตาของเขาเกิดเห็นบางสิ่งที่เคลื่อนไหว เมื่อหันไปมองก็เห็นดวงไฟปริศนาสีเขียวลอยอยู่บริเวณไม่ไกลจากบ้านนางภาน่าจะมาจากแถวบ้านเจ้าสรก่อนจะหายเข้าไปในบ้าน ชินกรเก็บข้อสงสัยทั้งหมดไว้เพราะในวันพรุ่งนี้เขามีแผนการในใจที่จะคลี่คลายสิ่งลี้ลับที่ได้พบเจอตลอดที่อยู่หมู่บ้านนี้ไว้แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นชินกรเดินไปที่บ้านของสรเพื่อให้ไปส่งเขาที่โรงพยาบาลในเมืองซึ่งสรก็เตรียมตัวรออยู่ก่อน ชินกรเห็นบ้านของสรยังปิดเงียบอยู่เช่นเดิม เมื่อขึ้นไปบนรถกระบะระหว่างที่สรกำลังขับรถอยู่นั้นเขาถามเรื่องพ่อของสร
“ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
สรบอกกับชินกรแบบนั้นแต่สีหน้ากลับเป็นคนที่อมทุกข์อย่างชัดเจน ตลอดทางที่ขับรถมาสรที่เป็นคนช่างพูดกลับกลายเป็นเงียบขรึมตลอดทางในแววตาดูสับสนกังวล หลังจากขับรถกระบะมาถึงโรงพยาบาลในตัวเมืองชินกรก็ลงจากรถพร้อมกับขอบคุณสรที่มาส่ง
“จะให้ฉันรอตรงไหน?”
“ไม่ต้องรอหรอก แกกลับไปดูแลพ่อแกดีกว่า อีกอย่างฉันก็บอกแกแล้วว่าเดี๋ยวฉันจะหาเช่ารถไว้ใช้ด้วย”
“แน่ใจนะ ว่าไม่ให้ฉันรอหรืออยู่เป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องหรอก ท่าทางจะกลับเย็นด้วยซ้ำแกไปดูแลพ่อเถอะ”
สรพยักหน้าแล้วขับรถกระบะออกไปจากโรงพยาบาล ชินกรมองดูรถกระบะของสรวิ่งจนลับตาจึงเดินเข้าไปในโรงพยาบาลโดยชินกรไม่รู้เลยว่าสรนั้นไม่ได้ไปไหนไกลเพียงแค่หาที่จอดรถแอบแล้วเฝ้าดูเขาเท่านั้น!
ชินกรได้แจ้งกับทางโรงพยาบาลเรื่องอาการป่วยของตนที่เคยเกิดอุบัติเหตุหนักจนความทรงจำบางส่วนหายไป รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนกับอาการปวดศีรษะที่มีเป็นระยะๆ แพทย์เฉพาะทางได้ให้ชินกรสแกนตรวจดูสมองโชคดีที่ไม่พบความผิดปกติเพิ่มเติมโดยแพทย์ให้ความเห็นกับชินกรว่า
“หมอคิดว่ามันเป็นอาการที่เป็นบวกกับในด้านความทรงจำที่หายไปของคุณนะครับ คุณบอกกับหมอว่าตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคุณรู้สึกว่าความทรงจำที่หายไปค่อยๆกลับมาทีละอย่าง นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าอีกไม่นานความทรงจำทั้งหมดของคุณจะกลับมา”
“แล้วการที่ผมปวดหัวเป็นระยะนี่ มันเกี่ยวกับความทรงจำที่กลับมาด้วยเหรอครับ? ผมคิดไว้ว่าถ้าความทรงจำกลับมามันจะกลับมารวดเดียวเลย”
“หมอขอแจ้งกับคุณไว้ก่อนว่าสมองของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันนะครับ บางคนที่ความทรงจำหายไปต่อให้พยายามเท่าไรก็ไม่กลับมาก็มี หรือบางคนความทรงจำหายไปพอถูกกระตุ้นด้วยเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตแล้วกลับมาแบบทีเดียวก็มี แต่ในกรณีย์ของคุณนั้นหมอคิดว่าการที่คุณปวดศีรษะแล้วบวกกับความทรงจำคุณกลับมาทีละเรื่องน่าจะเป็นผลข้างเคียงที่ดีต่อการฟื้นความทรงจำของคุณมากกว่า เพราะเท่าที่หมอตรวจสแกนดูสมองของคุณหรือกะโหลกก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ดังนั้นหมอจะให้ยาเพื่อระงับอาการปวดศีรษะกับคุณเวลาที่เกิดอาการกับขอให้คุณมาตรวจกับหมอทุกสัปดาห์เพื่อตรวจดูอย่างใกล้ชิด”
ชินกรพยักหน้ารับคำแนะนำ เขายอมรับว่าเขารู้สึกดีใจไม่น้อยที่ความทรงจำทั้งหมดของตนจะกลับมาในไม่ช้า
ชินกรออกมาจากโรงพยาบาลก็ช่วงบ่ายเข้าไปแล้ว เขาสอบถามกับคนในพื้นที่ถึงแหล่งเช่ารถยนต์จนมาเจอในสถานที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดนักเป็นเต็นท์รถให้เช่า ชินกรได้รถยนต์เช่าเป็นรถเก๋งยี่ห้อญี่ปุ่นสีขาวมาใช้หนึ่งคันพร้อมกับถามทางเป้าหมายที่เขาตั้งใจจะไปกับทางเต็นท์รถจนได้พิกัดมาว่าอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ชินกรขับรถออกมาจากเต็นท์โดยมีสรสะกดรอยตามมาห่างๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ