ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  17.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่7 สัปเหร่อขาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท7  สัปเหร่อขาม

 

 

 

 

              ห่างจากหมู่บ้านบ้านวังสาไปราวยี่สิบกิโลเมตรมีหมู่บ้านนาน้อยที่มีจำนวนสี่สิบกว่าหลังคาเรือน    บ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดทุ่งนามีหนุ่มฉกรรจ์หลายคนยืนล้อมอยู่รอบบ้านโดยในมือแต่ละคนจะถือไม้ง่าม              ทั้งหมดต่างยืนตะโกนโหวกเหวกขับไล่ไสส่งผู้ที่อยู่ในบ้านให้ออกมา   ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่คิดจะขึ้นบันไดไปลากผู้ที่หลบซ่อนอยู่ในบ้านให้ออกมาสักคน!   หลังจากตะโกนอยู่นานมีผู้กล้าที่วางมาดเป็นนักเลงโตอาสาที่จะลากตัวผู้ที่หลบอยู่ให้ออกมาท่ามกลางกองเชียร์อันเป็นลูกสมุนส่งเสียงเชียร์ลูกพี่ของมัน

              “เดี๋ยวข้าจะไปลากยายสายมาเอง  ไม่ต้องรอสัปเหร่อขามหรอก”

              พูดจบเจ้าคนอวดดีก็ก้าวพรวดขึ้นบันไดไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านที่ปิดสนิท  มันทุบประตูดังลั่นสนั่นพร้อมส่งเสียงดัง

              “ยายสาย! เขารู้กันหมดแล้วว่าเป็ดไก่ที่ตายไปมันฝีมือยาย! ออกมาเดี่ยวนี้เลยยาย!”

              เจ้านักเลงโตทำท่าทางข่มขู่อย่างอหังการ เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่ยังคงเงียบเก็บตัวมันยิ่งทุบประตูดังขึ้นจนบานประตูสะเทือน   ลูกน้องที่อยู่ข้างล่างส่งเสียงตามลูกพี่ทันใดนั้นเองบานประตูก็เปิดออกดังปังจนตัวลูกพี่ของมันผละถอยหลังออกมา  เสียงเชียร์เงียบกริบขณะที่ตัวของเจ้านักเลงโตก็ชะงักงันอยู่ตรงหน้าประตูสายตาจ้องมองไม่กระพริบเข้าไปในบ้าน

              “พี่ออกมาเถอะ ฉันว่ามันไม่ดีแล้วนารอสัปเหร่อขามแกดีกว่า”

              ลูกน้องคนหนึ่งส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วง    ทันใดนั้นเองเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกระชากเจ้านักเลงโตเข้าไปในบ้านไม้ฉับพลันบานประตูก็ปิดตามหลังทันที    กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างต่างส่งเสียงฮือฮาดังไปทั่วแต่ไม่มีใครสักคนที่คิดจะขึ้นไปช่วยเจ้านักเลงโตคนนั้นสักคน!

              ขณะที่ทุกคนกำลังกระส่ำระสายเสียงมอเตอร์ไซค์เก่าๆเครื่องยนต์ดังแสบหูก็ขี่เข้ามาใกล้บริเวณนั้น  กลุ่มคนต่างแหวกทางให้มอเตอร์ไซค์เก่าคันนั้นโดยพร้อมเพรียง       ก่อนที่รถเจ้ากรรมจะจอดลงตรงหน้าบันไดที่จะขึ้นไปบนบ้านยายสายชายวัยกลางคนที่มีผมสีดอกเลา ท่าทางทะมัดทะแมงแข็งแรงกว่าอายุที่แท้จริงลงมาจากรถพร้อมกับสะพายย่ามพระสีขนุน จ้องมองปราดขึ้นไปบนบ้านด้วยแววตาคมแล้วหันมาทางกลุ่มคนที่ยืนรออยู่

              “ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าให้รอข้าใครมันสะเออะขึ้นไปก่อนวะ?”

              ผู้มาใหม่ถามอย่างไม่พอใจขณะที่ลูกสมุนของเจ้านักเลงโตรีบรายงาน

              “พี่ฉัตรจ๊ะสัปเหร่อขาม  ฉันห้ามแกแล้วไม่ฟังสัปเหร่อขามช่วยพี่ฉัตรด้วยนะ”

              “เหอะ  สะเออะโชว์กร่างล่ะสิ เออๆ แต่ไม่รู้จะทันหรือเปล่านะ ที่รู้ๆมีบางคนมารออยู่แล้ว”

              สัปเหร่อขามมองไปด้านบนชานบ้านมีเงาดำยืนอยู่ตรงนั้น   เขารู้ได้จากประสบการณ์ว่านั่นคือสิ่งมีชีวิตอีกภพภูมิที่มีหน้าที่มารับวิญญาณคนตาย    เมื่อปรากฏตัวที่ใดที่นั่นต้องมีคนถึงฆาตเสมอเพียงแต่คราวนี้สัปเหร่อขามขอให้เป็นดวงวิญญาณร้ายที่เขาจะมาปราบในคราวนี้แทนที่จะเป็นยายสายหรือไอ้ฉัตรเท่านั้นเอง!

              ชายวัยกลางคนก้าวขึ้นบันไดอย่างรีบร้อนพรางหยิบมีดหมอของตนออกมาจากย่ามพระที่สะพายอยู่     เมื่อถึงหน้าประตูสัปเหร่อขามยกมือไหว้มีดหมอพร้อมบริกรรมคาถาเพียงครู่ ก่อนที่จะใช้มีดหมอนั้นจิ้มเบาๆไปที่ประตู

              “เอ็งหลบข้าไม่พ้น เปิดประตู”

              สัปเหร่อขามพูดขึ้นพริบตานั้นบานประตูก็เปิดออกเองดังปัง    เขามองเข้าไปที่ภายในบ้านภาพแรกที่เห็นคือภาพของซากเป็ดซากไก่ที่ถูกแทะตรงท้องจนไร้เครื่องในร่วมสิบตัวกระจายเต็มบนบ้าน     แล้วตรงหน้าคือหญิงชราร่างเล็กที่ดูแก่มากผมหงอกยุ่งเหยิงราวกับไม่ได้โดนหวีมานานปี    นั่งยองมือสองข้างโอบกอดเจ้านักเลงโตฉัตรเหมือนล็อคตัวไว้  โดยปากของยายสายนั้นกำลังดูดปากเหยื่อของมันอย่างหิวกระหายไม่สนใจผู้ที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู

              “ปล่อยไอ้ฉัตรมันเดี๋ยวนี้อีผีนรก!”

              ยายสายเงยหน้าขึ้นมองขณะที่ปากยังคงจุมพิตเจ้าฉัตรอย่างดูดดื่ม    สัปเหร่อขามเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าพร้อมกับเงื้อมีดหมอขึ้น    ทันใดนั้นเองยายสายก็เอาริมฝีปากออกจากเหยื่อของมันเผยให้เห็นลิ้นสีดำที่ยาวราวกับงูกำลังเลื้อยออกจากปากเจ้าฉัตรกลับสู่ปากของแก พร้อมกับหลบถอยหลังไปด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ!

              “เฮ้ย ไอ้ฉัตรตายหรือยังวะ?”

              สัปเหร่อขามพูดพร้อมใช้เท้าเตะไปที่ท้องเจ้านักเลงโต   มันรู้สึกตัวพร้อมกับไออย่างเหนื่อยหอบเหมือนคนจมน้ำที่ต้องการอากาศ   เมื่อได้สติมันรีบเข้ามากอดขาสัปเหร่อขามตัวสั่นราวกับลูกนก

              “เอ็งปลอดภัยก็ดีแล้วไอ้ฉัตร แต่น่าเสียดายที่ดันปลอดภัยแค่เอ็งคนเดียว”

              สัปเหร่อขามพูดพร้อมหันไปมองที่มุมหนึ่งภายในบ้าน  เขาเห็นดวงวิญญาณของยายสายยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าที่เป็นทุกข์เขารู้ได้ทันทีว่ายายสายนั้นตายไปแล้วและที่ร่างที่อยู่ตรงหน้าคือผีร้ายที่เขาต้องกำราบให้ได้!    ชายวัยกลางคนเอามีดหมอชี้ไปที่มันพร้อมบริกรรมคาถาเบาๆ  เจ้าผีร้ายในร่างยายสายแลบลิ้นสีดำที่ยาวออกมาจากปากมันทำท่าทางล้อเลียนศัตรูของมัน    เดี๋ยวพุ่งเข้ามาหาเดี๋ยวถอยหลังเพื่อหลอกล่อให้สัปเหร่อขามเสียสมาธิในการบริกรรมคาถา  แต่ด้วยประสบการณ์บวชเรียนมาหลายพรรษาของสัปเหร่อขามทำให้ยังคงนิ่งแล้วบริกรรมคาถาไปเรื่อยๆ    ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าผีร้ายดูร้อนรนกระสับกระส่ายราวกับปลาที่ยังไม่ตายค่อยๆถูกต้มในน้ำ   มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าผีร้ายพยายามจะโดดหนีทางหน้าต่างแต่สัปเหร่อขามก็ไวทายาดวิ่งไปถีบจนมันกระเด็นล้มลง พร้อมกับใช้มีดหมอจี้ไปที่มันแล้วบริกรรมคาถา

              “พอ มึงหยุดสักที กูร้อนไปหมดแล้ว!”

              ผีร้ายในร่างยายสายตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงทรมาน    ทว่าเสียงที่หลุดออกมาเป็นเสียงชายชราหาใช่เป็นเสียงยายสายไม่        เมื่อศัตรูของมันที่อยู่ตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุดบริกรรมคาถาในที่สุดมันก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาโดยตรงหมายจะจัคการศัตรูที่อยู่ตรงหน้าแล้วหนีไป     หารู้ไม่ว่าสัปเหร่อขามรอเวลานี้อยู่เมื่อมันพุ่งเข้ามาโดยเอาลิ้มสีดำที่ยาวตวัดจู่โจมชายวัยกลางคนก็เอี้ยวตัวหลบลิ้นของมัน  เพราะถ้าโดนไปของอัปรีย์หรือคำสาปของผีร้ายจะเข้าตัวได้แล้วในช่วงอึดใจเขาใช้สันของมีดหมอฟาดไปที่ต้นคอของยายสายพร้อมบริกรรมคาถาเสียงดังขึ้น

              “อ๊ากกกกกกก!”

              ผีร้ายในร่างยายสายลงไปนอนดิ้นกับพื้นบ้านส่งเสียงร้องอย่างทรมาน   สัปเหร่อขามรีบล้วงเข้าไปในย่ามพระหยิบสร้อยพระออกมาแล้วบริกรรมคาถาสักครู่ก่อนจะใส่คอของยายสาย  ผีร้ายดิ้นรนหนักแค่เพียงชั่วครู่ก่อนร่างกายจะกระตุกอย่างแรงแล้วเมื่อนั้นร่างกายของยายสายก็แน่นิ่งไม่มีทีท่าจะอาละวาดอีก!

              สัปเหร่อขามมองไปที่ชานนอกบ้านเห็นเงาดำที่มารอรับวิญญาณกำลังลากร่างชายชราท่าทางดุร้ายออกไป โดยมียายสายตามไปอย่างสงบเสงี่ยม    โดยก่อนจะลับตาสัปเหร่อขามเห็นยายสายยิ้มขอบคุณที่ทำให้ดวงวิญญาณพ้นทุกข์ทรมาน  

              “หมดเวรหมดกรรมละนะยายสาย  ขอให้ยายไปสู่ภพภูมิที่ดี”

              สัปเหร่อขามพูดขึ้นเพื่อล่ำลายายสายเป็นครั้งสุดท้าย   ก่อนจะหันมามองร่างที่ไร้วิญญาณของยายสายตรงหน้าที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าราวกับศพที่ตายมาหลายวัน

              “ไอ้ฉัตรมึงไปบอกลูกน้องเอ็งที่รออยู่ข้างล้างให้มันมาช่วยเอาศพยายสายไปที่วัด  ข้าจะให้พระคุณเจ้าสวดให้แกสักคืนแล้วก็เผาให้แกพรุ่งนี้  เพราะยังไงแกก็ไม่มีญาติที่ไหนอยู่แล้ว”

              สัปเหร่อขามหันมาสั่งเจ้าฉัตรที่สั่นเป็นลูกนกตกน้ำอยู่หน้าประตู มันลนลานรีบทำตามที่สั่ง

 

 

              ชายวัยกลางคนออกมาสูบบุหรี่ตรงบริเวณหน้าบ้าน  มีชาวบ้านมากมายมามุงดูการขนย้ายศพของยายสายโดยระหว่างที่สัปเหร่อขามสูบบุหรี่อยู่นั้น  หมอธรรมประจำหมู่บ้านก็เดินมาหาเขา

              “เหนื่อยไหมเจ้าขาม?”

              สัปเหร่อขามยื่นซองบุหรี่ให้แต่หมอธรรมที่ดูอาวุโสกว่าก็ยกมือปฏิเสธ    สัปเหร่อขามมองไปที่ศพของยายสายที่เอาเสื่อมาพันไว้เพื่อกันภาพไม่น่าดู  หมอธรรมมองตามเขารู้ได้จากสายตาของสหายรุ่นน้องคนนี้

              “ปอบใช่ไหม?”

              หมอธรรมถามสั้นๆ  สัปเหร่อขามพยักหน้า

              “ถ้าจำไม่ผิดยายสายย้ายมาที่หมู่บ้านนี้ราวหนึ่งปีใช่ไหม? ก่อนหน้านี้มีใครรู้หรือเปล่าว่าแกอยู่ที่ไหน?”

              สัปเหร่อขามถามเพื่อนรุ่นพี่อย่างสงสัย หมอธรรมทอดถอนใจเขาจึงรู้คำตอบในทันที

              “บ้านวังสาสินะ”

              “ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่เรียกเอ็งหรอกไอ้ขาม  เอ็งก็รู้ว่าหมู่บ้านนั้นเป็นยังไง?”

               หมอธรรมพูดด้วยน้ำเสียงปลงตก  ขณะที่สัปเหร่อขามกลับมีแววตาที่คมกริบพรางจ้องมองมีดหมอที่อยู่ในมือของแกอย่างมีนัยยะ

 

 

              ชินกรลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ภายในห้องนองของนางภาแม่ของเขา เขามองไปที่ประตูห้องที่เปิดอยู่ได้กลิ่นยาต้มโชยเข้าจมูกโดยชินกรจับไปที่ศีรษะที่บัดนี้ไม่มีอาการปวดใดๆเหลืออยู่          พยายามทบทวนความทรงจำสุดท้ายแต่เสียงโหวกเหวกจากทางใต้ถุนบ้านก็เรียกความสนใจของชายหนุ่มไว้     เขาจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงนางภาแม่ของเขานั่นเองกำลังส่งเสียงด่าทอใครสักคน       ชินกรค่อยๆขยับลงจากที่นอนบ้านตามต่างจังหวัดที่พื้นไม้มักจะมีช่องว่างให้มองลงไปที่ใต้ถุนได้ซึ่งบ้านนางภาก็ไม่เว้น    ชายหนุ่มมองหาช่องที่พอแอบดูได้จนเจอเขาจึงไปส่องดู

              “ฉันไว้ใจฝากลูกชายของฉันให้ดูแล  นี่ดีที่ลูกชายฉันไม่ตายไม่อยากนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ ว่าที่นี่จะเป็นยังไง?”

              “ฉันขอโทษแม่ภาจริงๆ  ฉันไม่คิดว่าไอ้ชมมันจะสะกดรอยตามขึ้นไปเพราะฉันก็ไม่ได้ยินเสียงใครเดินตามเลย”

              ลุงคำแก้ตัวด้วยใบหน้าถอดสี ขณะที่มารดาของเขากลับมีสีหน้าไม่พอใจจนน่ากลัว

              “ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยตาคำ!  เพราะความสะเพร่าของแกแท้ๆ นี่ไอ้สรอีกตัวกลับมาแล้วหายหัวไปเลย   คงไม่กล้ามาสู้หน้าฉันสินะ  เจอหน้าก่อนคอยดู!”

              ลุงคำไม่พูดอะไรได้แต่ก้มหน้าให้นางภาตำหนิอย่างเดียว  ชินกรเห็นแม่ของเขาหันซ้ายแลขวาพูดเสียงเบาอย่างระวังแต่ก็เพียงพอให้เขาที่แอบฟังได้ยิน

              “แล้วศพไอ้ชมจัคการไปหรือยัง?”

              “จัคการไปแล้วจ๊ะ มันจะกลายเป็นคนหายสาบสูญไปตลอดกาลตำรวจไม่เจอแน่”

              “สภาพศพมันเป็นยังไง?”

              “พูดได้แค่ว่าเละ!  เละกว่าศพพ่อของมันเสียอีก”

              ชินกรมองเห็นสีหน้าแววตาของนางภาว่าดูสะใจและพอใจยิ่งกับการตายของไอ้ชม   ทันใดนั้นเองนางภาทำท่าทางราวกับมีบางสิ่งกระซิบที่ข้างหู ก่อนจะแหงนหน้ามามองตรงช่องที่ชินกรกำลังแอบดู!

              ชายหนุ่มตกใจขณะที่นางภารีบวิ่งขึ้นมาบนห้องนอนพร้อมกับโอบกอดลูกชายอย่างอ่อนโยน

              “ลูกกรเป็นยังไงบ้าง? เจ็บตรงไหนไหม? บอกแม่ได้นะ แม่จะรักษาลูกเอง”

              “ผมไม่เป็นไรครับแม่  แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายผมปวดหัวอยู่บนเขา”

              นางภามองลูกชายของตนอย่างกังวล ก่อนที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง....

 

 

              นางภาเล่าจากปากคำของลุงคำว่าหลังจากที่ชินกรพลัดตกลงไปที่เนินเพราะหลบหมูป่าที่เข้ามาทำร้าย  ลุงคำกับสรหาทางพักใหญ่จนล้มหมูป่าตัวนั้นได้  แล้วก็เริ่มแกะรอยที่จะลงไปช่วยชินกรแต่ด้วยเวลาที่เย็นย่ำบวกกับสรนั้นบอกว่าทางชันไม่มีเชือกไต่ลงไปอันตรายมาก     ทั้งสองคนจึงตัดสินใจทิ้งซากหมูป่าแล้วหาทางเดินลงเพื่อค้นหาชินกร     ทั้งสองคนค้นหาจนฟ้ามืดจึงได้พบแสงจากกองไฟที่เขาได้ก่อไว้จึงสบายใจว่าอย่างน้อยชินกรก็ปลอดภัย    แต่มันอยู่คนละทางกับที่ลุงคำและสรค้นหาจึงเสียเวลาย้อนกลับมาพอดู      ระหว่างนั้นทั้งคู่ได้ยินเสียงปืนจึงเร่งฝีเท้าเพราะกลัวอันตรายจะเกิดขึ้นกับเขา    เมื่อมาถึงก็พบร่องรอยการต่อสู้ลุงคำจึงใช้ความสามารถพรานของแกแกะรอยเท้าตามมาจนพบศพไอ้ชมตายอย่างอนาถ   แล้วก็แกะรอยต่อจนมาเจอชินกรนอนสลบอยู่ตรงเวิ้งผาที่ได้แวะมาเมื่อตอนกลางวัน

              หลังจากฟังจนจบชินกรก็นึกลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น   รวมไปถึงบทสนทนาที่เขาได้ยินจากแม่ของตนเมื่อสักครู่ด้วย

              “เมื่อกี้ผมได้ยินว่าแม่ให้ลุงคำเอาศพไอ้ชมไปกำจัด กำจัดทำไมครับแม่ทำไมเราไม่ไปแจ้งตำรวจเอา?”

              “แจ้งตำรวจเขาก็มาสอบสวนสิกร   ตอนที่อยู่ในป่าจากปากคำก็มีแต่ลูกกับมันเท่านั้น  ถ้าแจ้งไปตำรวจก็สงสัยลูกและตั้งลูกเป็นผู้ต้องหาแน่”

              “แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำนะครับ  ผมไม่ได้ฆ่าไอ้ชมแต่ที่มันตายก็เพราะ....”

              ชินกรชะงักไปเมื่อสักครู่เขาเกือบหลุดคำว่าอสุรกายหรือปิศาจไปแล้วด้วยซ้ำ  นางภาจ้องมองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงพรางเอามือลูบหัว   ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบในเสี้ยวหนึ่งของตอนนั้นเขาเห็นภาพนิ่งในอดีตของเขาไหลหลั่งเข้ามาในศีรษะเพียงแต่มันเป็นแค่ภาพไม่ปะติดปะต่อเกินกว่าที่จะเรียงเป็นเรื่องราวได้

              “กรลูกเป็นอะไรหรือเปล่า? สีหน้าลูกดูไม่ดีเลย”

              “ผมเจ็บที่หัวครับแม่ ตอนที่ตกลงมาจากเนินหัวไปกระแทกซ้ำกับต้นไม้อีก”

              “แม่ต้มยาให้กับกรด้วยนะ  เดี๋ยวลูกกินข้าวกินยาแล้วพักผ่อนดีกว่า”

              “ผมคิดว่า ผมจะไปหาหมอเพื่อตรวจดูว่าสมองผมได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่า?”

              “กรจะออกไปด้านนอกเหรอลูก?”

              ชินกรเห็นสีหน้าของนางภาแม่ของเขาดูไม่สบายใจ  เขารู้ได้ในทันทีว่าทำไม

              “แม่กลัวว่าผมจะหนีแม่ไปอีกเหรอครับ?”

              นางภาน้ำตารินพยักหน้า ชินกรจึงสวมกอดผู้เป็นแม่

              “ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้หนีแม่ออกจากบ้านไป?  แล้วแม่ก็ดูท่าทางจะไม่อยากบอกผมด้วย   ผมจะไม่บังคับหรืออะไรที่ทำให้แม่ไม่สบายใจอีก   ตอนที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่แม่ห่วงและหวังดีกับผมจนผมรู้สึกได้จากใจ    ผมสัญญานะครับว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ผมจะไม่ทิ้งแม่ไปอีกแล้ว”

              นางภากอดลูกชายตนเองแน่น  ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงน้ำตาอุ่นที่ไหลลงตรงไหลของเขา

 

 

              ชินกรได้ทานอาหารที่นางภาเตรียมไว้พร้อมกับทานยาต้ม  โดยเขาได้บอกกับแม่ของตนว่าพรุ่งนี้เขาจะเข้าไปโรงพยาบาลที่อยู่ในเมืองเพื่อตรวจสมองให้ละเอียดและจะได้แวะหารถเช่ามาใช้สักคัน

              “กรจะเอารถเช่ามาทำไมล่ะ? ในเมื่อถ้าจะไปไหนมาไหนก็ให้ไอ้สรไปส่งก็ได้”

              “ไม่ล่ะครับ  ผมอยากหารถส่วนตัวมากกว่าหรือแม่กลัวว่าผมเอารถมาเพื่อจะหนีแม่ไป”

              ชินกรพูดด้วยน้ำเสียงแกมหยอกล้อ นางภายิ้มแล้วเอามือลูบศีรษะ

              “กรรับปากแม่แล้ว  แม่เชื่อกรนะว่าเราจะไม่ทิ้งแม่ไปไหนอีก”

              นางภาพูดจบก็ลุกขึ้นบอกกับเขาว่าจะเข้าไปในสวนหลังบ้าน  ชินกรลังเลอยู่ที่จะถามคำถามบางอย่าง

              “แม่ครับ  ผมอยากถามแม่บางอย่าง”

              นางภาหันมามองด้วยรอยยิ้มเป็นการตอบรับกลายๆ

              “หมู่บ้านนี้มี....อสุรกายไหมครับ?”

              สีหน้าแววตาของนางภาที่แสดงตรงหน้าไม่มีความตื่นตระหนก หวั่นไหว มีแต่ความแน่นิ่ง  แน่นิ่งเสียจนชินกรรู้สึกขนลุกอย่างแปลกประหลาดเพราะไม่คิดว่ามารดาจะมีปฏิกิริยาที่นิ่งจนน่ากลัวได้ขนาดนี้

              “ทำไมกรถามแบบนั้นล่ะ? กรเห็นอะไรมา?”

              “แม่ไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมไอ้ชมถึงได้ตาย?”

              “ไม่เลย  ขอแค่มันตายเพราะจะได้มาทำร้ายลูกไม่ได้อีกแม่ก็พอใจแล้ว”

              “แล้วถ้าผมบอกกับแม่ว่า มีอสุรกายฆ่าไอ้ชมตายแม่จะว่ายังไงครับ?”

              แววตาที่นางภาแสดงอยู่ในขณะนี้มันไร้ความปราณีที่เคยเห็นมาตลอด มันทั้งยิ้มเยาะ สะใจเมื่อได้ฟังชินกรพูดแบบนั้น

              “กรไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่กรอยู่กับแม่ลูกจะปลอดภัยต่อทุกสิ่ง”

              ชินกรจะถามต่อ แต่แม่ของเขาหันหลังเดินลงบ้านไปทันทีปิดโอกาสที่จะถามต่อ

 

 

              ชินกรเดินลงบันไดเขาตัดสินใจเดินไปที่บ้านของสรเพื่อจะสอบถามเหตุการณ์เมื่อวานเพิ่มเติม   ที่สำคัญอาจรู้อะไรเกี่ยวกับอสุรกายตนนั้น  เมื่อไปถึงก็เห็นสรนั่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้นบ้านหน้าตาซีดเซียวโดยเมื่อสรเห็นเขาเจ้าตัวรีบวิ่งเข้ามาหาแทบจะทันที

              “ไอ้กรแกเป็นยังไงบ้าง? รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแกจะแย่”

              “ก็เจ็บตัวนิดหน่อย  ว่าแต่แกเป็นอะไรหน้าตาดูซีดเซียวอย่างกับคนอมทุกข์?”

              “ฉัน...” ท่าทางสรลังเลจะบอกจนชินกรตบไหล่เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจขึ้น

              “ฉันไม่กล้าไปสู้หน้าน้าภา  น้าภาต้องโกรธฉันแน่ที่ทำให้แกเกือบเอาชีวิตไม่รอด”

              “แต่ฉันก็รอดอยู่ตรงนี้ไง  เอาน่าเดี๋ยวฉันพูดกับแม่ให้  แม่ไม่ด่าแกแน่นอน”

              “แกพูดจริงนะไอ้กร?” สรพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับเขย่ามือเขา “ไหนๆก็ไหนๆถ้าแกจะช่วยฉัน  ฉันขอรบกวนแกเพิ่มอีกอย่างหน่อยสิ”

              “ขออะไรฉันเพิ่มล่ะ? ถ้าฉันทำได้ก็จะทำให้”

              “ฉันจะขอวานให้แกไปขอยาต้มที่น้าภามาให้พ่อฉันหน่อย  ตอนนี้ท่านอาการไม่สู้ดีฉันก็ไม่กล้าไปสู้หน้าน้าภา  ดีที่แกมาหาฉันพอดี  ช่วยหน่อยนะ”

              “พ่อแกไม่สบายเหรอ? เป็นอะไรมากไหม?”

              “ไม่หรอก  แค่ได้ยาต้มของน้าภาก็ดีขึ้นแล้ว นะเพื่อนช่วยฉันที!”

              สรบีบมือพร้อมกับทำท่าทางขอร้องจนชินกรใจอ่อน

              “ตกลง  เดี๋ยวฉันไปคุยกับแม่แล้วเอายามาให้”

 

 

              ชินกรต้องเดินย้อนกลับมาที่บ้านอีกครั้งพร้อมกับเรียกหานางภา  แม่ของเขาออกมาจากสวนหลังบ้านชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องที่พ่อของสรป่วยและต้องการยาต้มรักษาของแม่เขา  นางภาฟังพรางส่ายหน้า

              “นี่ไอ้สรมันไม่กล้าสู้หน้าแม่ แล้วยังกล้าใช้กรมาเอายาอีกอย่างนั้นเหรอ?”

              “ผมซุ่มซ่ามจนเป็นคราวซวยมากกว่าครับแม่  อีกอย่างช่วยคนเถอะนะครับพ่อเจ้าสรมันกำลังแย่”

              “ก็ได้  นี่แม่เห็นว่ามันเป็นเพื่อนกรมาตั้งแต่เด็กแม่ถึงได้ช่วย”

              นางภาเดินไปที่ใต้ถุนบ้านแถบใกล้กับสวนด้านหลังพร้อมกับเอามือหยิบไปที่ใต้พื้นกระดานของบ้านหยิบห่อกระดาษสีน้ำตาลที่ผูกเชือกไว้อย่างดี  เดินมาส่งให้กับมือของชินกรพร้อมกำชับ

              “คราวหน้าบอกให้มันมาเอายาเอง  แม่ถึงจะให้บอกไอ้สรมันไปแบบนี้”

              ชินกรพยักหน้ารับคำแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านของสรอีกครั้ง   เขาเห็นสรนั้นยืนร้อนรนอยู่ตรงหน้าบ้านโดยเมื่อสรเห็นชินกรเดินมาพร้อมกับห่อยาก็มีสีหน้าดีใจ

              “ขอบใจมากเพื่อน  ถ้าไม่ได้แกพ่อฉันต้องแย่แน่”

              “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมแกไม่กล้าไปสู้หน้าแม่ฉัน  เหมือนแกกลัวแม่ฉันมากมีอะไรหรือเปล่า?”

              “ทุกคนที่นี่ก็กลัวน้าภาหมดแหละ  เอ่อ....ฉันหมายถึงน้าภาแกเป็นหมอยา  แกจะค่อนข้างดุถ้าแกจะใจดีก็มีเพียงลูกชายอย่างแกเท่านั้นแหละไอ้กร”

              ชินกรเห็นด้วยในคำพูดสรที่ว่าแม่ของเขารักและเอ็นดูเขามากจริงๆ 

              “เออ  ว่าแต่พ่อแกเป็นยังไงบ้าง? ตั้งแต่ที่ฉันกลับมาฉันยังไม่เจอพ่อของแกเลย ให้ฉันขึ้นไปเยี่ยม....”

              “อย่า!”

              สรพูดขึ้นพร้อมกับเอาตัวขวางชินกรกับประตูรั้วไว้   ชินกรมองดูสรด้วยแววตาแปลกใจซึ่งสรก็รู้ตัว

              “....พ่อฉันต้องการพักผ่อนน่ะ  ขอโทษทีที่เมื่อกี้ฉันเสียงดังไป”

              “ไม่เป็นไร  แต่แกแน่ใจนะว่าแค่นั้นจริงๆ”

              สรพยักหน้าแต่แววตากลับตรงกันข้ามซึ่งชินกรรู้ได้ทันทีว่าเขาปิดบังบางอย่างอยู่     ชินกรถอนใจกับการต้องมาเจออะไรที่คลุมเครือไปหมดอย่างนี้   เขากำลังคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่เขาอยากจะรู้ความจริง

              “ฉันช่วยแกไปแล้ว  ทีนี้ฉันจะรบกวนแกบ้างพรุ่งนี้แกว่างไหม?  ไปส่งฉันในเมืองหน่อย”

              “พรุ่งนี้เหรอ ว่างสิ  ว่าแต่แกจะเข้าไปทำอะไรในเมือง?”

              “ฉันจะไปโรงพยาบาลแล้วว่าจะเช่ารถมาใช้สักคัน  จนกว่ารถของฉันจะเสร็จและก็มีธุระในเมืองนิดหน่อยด้วย”

              “ได้ๆ  พรุ่งนี้แกมาหาฉันละกัน”

              สรมองดูชินกรเดินหันหลังกลับบ้าน  เมื่อชินกรเดินเข้าบ้านไปสรจึงรีบถือห่อยาที่ได้มาขึ้นบันไดบ้านแล้วก็เปิดประตู  ภายในบ้านของเขามีบรรยากาศมืดทึมตรงไม่ไกลจากประตูมีมุ้งสีฟ้ากางอยู่ด้านในมีร่างของคนนอนอยู่บนที่นอนข้างมุ้งนั้นแม่ของสรนั่งมองคนในมุ้งด้วยท่าทางอิดโรย  สรรีบเดินเข้าไปพร้อมกับชูยาห่อที่ได้มา

              “พ่อครับ  ผมได้ยามาแล้วนะ  เดี๋ยวผมจะรีบไปต้มให้พ่อพ่ออย่าเป็นอะไรนะ”

              ร่างที่เห็นนอนอยู่ในมุ้งขยับตัวน้อยๆ  รับรู้คำพูดของสร   เขาจึงรีบไปที่ครัวแล้วเอาหม้อดินเผาขึ้นมาใส่น้ำจุดไฟจากเตาแก๊ส  แล้วลงมือต้มยาที่ได้มาโดยสรมีน้ำตาเอ่อออกมาด้วยสงสารบิดาของตน!

 

 

              คืนนั้นชินกรนอนหลับอยู่ภายในห้องนอนกับแม่ของเขา  ชินกรฝันถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด....

              ในความฝันชินกรยืนอยู่ที่โรงเรียนประถมร้างในตอนกลางวัน  ที่ว่าแปลกคือบัดนี้ชินกรมองเห็นตัวเขาอีกคนยืนรอใครบางคนอยู่ที่ใต้ต้นไทรก่อนจะได้ยินเสียงกริ่งรถจักรยานดังมาจากทางเข้า  ที่นั่นหญิงสาวปริศนาที่ชินกรได้เจอและช่วยเขาบ่อยๆกำลังปั่นจักรยานเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  ตรงข้ามกับตัวเขาอีกคนที่ทำหน้าตารำคาญเสียด้วยซ้ำ

              “ทำไมมาช้านักนะหวาน?” ตัวเขาอีกคนที่ยืนรอพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด

              “ขอโทษที  ต้องรอให้พ่อออกจากบ้านก่อนเลยมาช้า”

              “ถ้ามันลำบากเลิกคบกันเลยไหม?”

             “ไม่เอา  ฉันขอโทษ!  ฉันจะไม่มาสายอีกแล้ว”

              สาวน้อยหน้าตาน่ารักพูดพร้อมกับจะร้องไห้  ชินกรยิ้มที่มุมปากอย่างผู้ชนะที่กุมความได้เปรียบความสัมพันธ์นี้ไว้เขาเข้าไปประคองแล้วหอมแก้ม

              “ต้องอย่างนี้สิถึงจะเป็นหวานที่น่ารัก เราไปหาความสุขที่ประจำของเราดีกว่า”

              ชินกรมองดูตัวเขาอีกคนพูดจาแทะโลมและลวนลามหวานด้วยสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาเคยเป็นคนนิสัยแย่ขนาดนี้   ระหว่างที่ตัวเขาอีกคนกำลังโอบไหล่พาหวานเดินไปที่ตึกเรียนร้าง  หวานหันมาถามเขาด้วยความสงสัย

              “นี่กรเธอรักฉันจริงๆหรือเปล่า?”

              “รักสิ  ไม่รักฉันคงไม่คบกับเธอหรอกจริงไหม?”

              “ถ้าเธอรักฉัน.... ทำไมถึงปล่อยให้ฉันตายล่ะ?”

              ทันใดนั้นจากหญิงสาวน่าตาหน้ารักกลับกลายสภาพเป็นศพเขียวขึ้นอืดทั้งตัว  ชินกรที่โอบกอดส่งเสียงร้องก่อนที่หวานในสภาพน่ากลัวนั้นจะโอบกอดเขาแน่น!

              “ฉันเหงา  ฉันทรมาน  ฉันอยากจะพาเธอไปอยู่ด้วย!”

 

              ชินกรสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหงื่อไหลเต็มตัว   เขาลืมตามองในความมืดภาพน่ากลัวในความฝันยังคงติดตาจนกระทั่งตื่นโดยเฉพาะก่อนที่จะรู้สึกตัวตื่นถ้าเขาจำไม่พลาดคือเขาเห็นหวานในร่างศพขึ้นอืดหันมามองตัวเขาที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วย   ชินกรลุกขึ้นนั่งมองไปที่ด้านข้างเห็นแม่ของตนนอนหลับอยู่ในตอนนี้เขารู้สึกคอแห้งผากมากกว่าปกติ   จึงลุกออกจากที่นอนแล้วเดินไปที่ตู้เย็นหวังจะหาน้ำเย็นดื่ม    ขณะที่ในความคิดยังคงสับสนจู่ๆอาการปวดศีรษะก็เกิดขึ้นอีกคราวนี้ความทรงจำบางส่วนก็ไหลพรั่งพรูออกมาบางส่วนคราวนี้เป็นความทรงจำความสัมพันธ์ของเขากับหวาน

              ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเพราะอาการปวดศีรษะที่กำเริบแต่ก็เป็นเหมือนทุกครั้ง  ที่เกิดอาการไม่นานแล้วมันก็หายไป    ในตอนนี้ชินกรเหงื่อแตกทั่วใบหน้าทั้งฝันร้าย  ทั้งอาการปวดศีรษะที่กำเริบ  เขาเปิดประตูบ้านเดินลงบันไดมาที่ก๊อกน้ำที่อยู่ด้านล่าง เปิดแล้วชำระเหงื่อที่ผุดเต็มใบหน้าทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเขากลับพบใครบางคนยืนอยู่ข้างหน้า

              “หวาน”

              หญิงสาวปริศนาที่ได้พบเจอและช่วยเหลือเขาหลายครั้งยืนส่งยิ้มน่ารักอยู่ตรงหน้า  ซึ่งชินกรจำได้แล้วว่าเธอคือหวานอดีตคนรักของเขานั่นเอง

              “ดีใจจัง ที่เธอจำฉันได้แล้ว”

              “ใช่  ฉันจำเธอได้แล้วหวาน”

              “ถ้าจำได้เธอไม่กลัวฉันเหรอ?  ที่ฉันไม่ใช่คน”

              เป็นคำถามที่ทำให้ชินกรชะงักไปเพียงชั่วครู่  เขาส่ายหน้า

              “ไม่  ในความทรงจำที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้  เธอรักฉันมากแต่เป็นตัวฉันเองที่ทำกับเธอแย่ๆ  ฉันขอโทษ”

              “ว่าแต่เธอจำอะไรได้บ้าง?  ทุกอย่างเลยหรือเปล่า?”

              “ไม่ทุกอย่าง  ฉันจำได้แค่ความสัมพันธ์ระหว่างเราแค่นั้น แต่แค่นั้นฉันมันก็แย่จนตอนนี้ฉันรู้สึกละอาย”

              “ละอายกับอะไรล่ะ?”

              “ละอายกับที่ฉันคบเธอเพราะหวัง....ตัวเธอ  ฉันอยากจะเอาชนะไอ้ชมแล้วที่แย่สุดๆคือ ฉันรู้ว่าสรมันก็ชอบเธอแต่ฉันก็ยังทำเพื่อให้รู้สึกว่าฉันเหนือกว่าคนอื่น”

              ชินกรพูดไปโดยไม่สบสายตาหวานสักนิด  เขาได้แต่ก้มหน้าราวกับผู้ต้องหาที่กำลังสารภาพผิดอยู่

              “แต่รู้ไหมว่าฉันไม่เคยเกลียดเธอ?  ฉันอาจจะโกรธเธอในหลายสิ่งที่เธอทำแต่ฉันเกลียดเธอไม่ลง  นั่นคือสิ่งที่คนอย่างหวานจะบอกได้”

              ชินกรรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเพราะมันเหมือนเป็นการอภัยต่อบาปที่เขาเคยผิดไปในอดีต  เขาเงยหน้าขึ้นมองหวานแต่ก็ไม่พบเธออยู่ตรงหน้าแล้ว   ชินกรมองหาหวานพร้อมเอ่ยชื่อเรียกหาแต่ก็ไม่มีวี่แววเขาจึงตัดสินใจขึ้นบ้าน  ทว่าหางตาของเขาเกิดเห็นบางสิ่งที่เคลื่อนไหว  เมื่อหันไปมองก็เห็นดวงไฟปริศนาสีเขียวลอยอยู่บริเวณไม่ไกลจากบ้านนางภาน่าจะมาจากแถวบ้านเจ้าสรก่อนจะหายเข้าไปในบ้าน  ชินกรเก็บข้อสงสัยทั้งหมดไว้เพราะในวันพรุ่งนี้เขามีแผนการในใจที่จะคลี่คลายสิ่งลี้ลับที่ได้พบเจอตลอดที่อยู่หมู่บ้านนี้ไว้แล้ว

 

 

              เช้าวันรุ่งขึ้นชินกรเดินไปที่บ้านของสรเพื่อให้ไปส่งเขาที่โรงพยาบาลในเมืองซึ่งสรก็เตรียมตัวรออยู่ก่อน  ชินกรเห็นบ้านของสรยังปิดเงียบอยู่เช่นเดิม  เมื่อขึ้นไปบนรถกระบะระหว่างที่สรกำลังขับรถอยู่นั้นเขาถามเรื่องพ่อของสร

              “ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว  ไม่ต้องห่วงหรอก”

              สรบอกกับชินกรแบบนั้นแต่สีหน้ากลับเป็นคนที่อมทุกข์อย่างชัดเจน   ตลอดทางที่ขับรถมาสรที่เป็นคนช่างพูดกลับกลายเป็นเงียบขรึมตลอดทางในแววตาดูสับสนกังวล    หลังจากขับรถกระบะมาถึงโรงพยาบาลในตัวเมืองชินกรก็ลงจากรถพร้อมกับขอบคุณสรที่มาส่ง

              “จะให้ฉันรอตรงไหน?”

              “ไม่ต้องรอหรอก แกกลับไปดูแลพ่อแกดีกว่า  อีกอย่างฉันก็บอกแกแล้วว่าเดี๋ยวฉันจะหาเช่ารถไว้ใช้ด้วย”

              “แน่ใจนะ ว่าไม่ให้ฉันรอหรืออยู่เป็นเพื่อน”

              “ไม่ต้องหรอก  ท่าทางจะกลับเย็นด้วยซ้ำแกไปดูแลพ่อเถอะ”

              สรพยักหน้าแล้วขับรถกระบะออกไปจากโรงพยาบาล  ชินกรมองดูรถกระบะของสรวิ่งจนลับตาจึงเดินเข้าไปในโรงพยาบาลโดยชินกรไม่รู้เลยว่าสรนั้นไม่ได้ไปไหนไกลเพียงแค่หาที่จอดรถแอบแล้วเฝ้าดูเขาเท่านั้น!

             

 

              ชินกรได้แจ้งกับทางโรงพยาบาลเรื่องอาการป่วยของตนที่เคยเกิดอุบัติเหตุหนักจนความทรงจำบางส่วนหายไป  รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนกับอาการปวดศีรษะที่มีเป็นระยะๆ  แพทย์เฉพาะทางได้ให้ชินกรสแกนตรวจดูสมองโชคดีที่ไม่พบความผิดปกติเพิ่มเติมโดยแพทย์ให้ความเห็นกับชินกรว่า

              “หมอคิดว่ามันเป็นอาการที่เป็นบวกกับในด้านความทรงจำที่หายไปของคุณนะครับ  คุณบอกกับหมอว่าตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคุณรู้สึกว่าความทรงจำที่หายไปค่อยๆกลับมาทีละอย่าง  นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าอีกไม่นานความทรงจำทั้งหมดของคุณจะกลับมา”

              “แล้วการที่ผมปวดหัวเป็นระยะนี่  มันเกี่ยวกับความทรงจำที่กลับมาด้วยเหรอครับ?  ผมคิดไว้ว่าถ้าความทรงจำกลับมามันจะกลับมารวดเดียวเลย”

              “หมอขอแจ้งกับคุณไว้ก่อนว่าสมองของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันนะครับ  บางคนที่ความทรงจำหายไปต่อให้พยายามเท่าไรก็ไม่กลับมาก็มี  หรือบางคนความทรงจำหายไปพอถูกกระตุ้นด้วยเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตแล้วกลับมาแบบทีเดียวก็มี   แต่ในกรณีย์ของคุณนั้นหมอคิดว่าการที่คุณปวดศีรษะแล้วบวกกับความทรงจำคุณกลับมาทีละเรื่องน่าจะเป็นผลข้างเคียงที่ดีต่อการฟื้นความทรงจำของคุณมากกว่า    เพราะเท่าที่หมอตรวจสแกนดูสมองของคุณหรือกะโหลกก็ไม่มีอะไรผิดปกติ    ดังนั้นหมอจะให้ยาเพื่อระงับอาการปวดศีรษะกับคุณเวลาที่เกิดอาการกับขอให้คุณมาตรวจกับหมอทุกสัปดาห์เพื่อตรวจดูอย่างใกล้ชิด”

              ชินกรพยักหน้ารับคำแนะนำ  เขายอมรับว่าเขารู้สึกดีใจไม่น้อยที่ความทรงจำทั้งหมดของตนจะกลับมาในไม่ช้า

 

 

              ชินกรออกมาจากโรงพยาบาลก็ช่วงบ่ายเข้าไปแล้ว  เขาสอบถามกับคนในพื้นที่ถึงแหล่งเช่ารถยนต์จนมาเจอในสถานที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดนักเป็นเต็นท์รถให้เช่า  ชินกรได้รถยนต์เช่าเป็นรถเก๋งยี่ห้อญี่ปุ่นสีขาวมาใช้หนึ่งคันพร้อมกับถามทางเป้าหมายที่เขาตั้งใจจะไปกับทางเต็นท์รถจนได้พิกัดมาว่าอยู่อีกอำเภอหนึ่ง  ชินกรขับรถออกมาจากเต็นท์โดยมีสรสะกดรอยตามมาห่างๆ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา