ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!
-
เขียนโดย GCodename
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.
16 บท
5 วิจารณ์
17.38K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่1 กลับบ้าน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบท1 กลับบ้าน
ที่สนามบินแห่งหนึ่งทางภาคอีสานชินกรลากกระเป๋าเดินทางมายังหน้าประตู เขามองดูรถแท็กซี่รับจ้างก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา ภายในกระดาษนั้นเป็นที่อยู่ที่ถูกจดอย่างรีบเร่งเมื่อคืนนี้
“พี่ครับ ช่วยไปตามที่อยู่นี้จะได้ไหม?”
ชินกรเดินไปที่รถแท็กซี่รับจ้างพร้อมยื่นกระดาษจดที่อยู่ไปให้ คนขับหน้ามุ่ยเมื่อเห็นข้อมูลบนกระดาษ
“โห น้องนี่มันลึกมากเลยนะ ทางก็เปลี่ยวด้วย”
“ครับ แม่ผมก็บอกอย่างนั้น ท่านบอกให้ส่งแค่ตรงศาลาริมทางเข้าไปในหมู่บ้านก็พอ เพราะจะมีคนมารอรับ”
คนขับมีท่าทีลังเลพร้อมมองไปที่ชินกรด้วยสายตาแปลกๆ
“แม่น้องอยู่หมู่บ้านตามนี้เหรอ?”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอ?”
“ก็ไม่มีอะไร แค่ที่ๆน้องจะไปทุกคนในจังหวัดรู้ดีว่าที่นี่ผีปอบดุที่สุด!”
ชินกรนิ่งไปพร้อมกับทวนคำว่า “ผีปอบ” อย่างท่าทีฉงน คนขับรถส่ายหัวเพราะดูแล้วว่าชินกรไม่รู้จักจริงๆ
“นี่น้องเป็นคนไทยหรือเปล่าเนี่ยถึงไม่รู้จักผีปอบ?”
“คือผมเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุมาครับ จำได้แค่บางเรื่องเท่านั้นผมถึงต้องกลับบ้านเพื่อรักษา”
คนขับมองดูชินกรอย่างพิจารณาเห็นมีผ้าพันแผลตามแขนก็พยักหน้า
“เออจริงด้วย เอางี้เห็นแก่เรานะเดี๋ยวพี่ไปส่งให้ละกัน แต่แค่ทางเข้าตรงศาลาติดถนนนะ แล้วพี่ขอพิเศษด้วยตกลงไหม?”
ชินกรพยักหน้าทันทีสำหรับเขาเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่อยู่แล้ว เพราะอาชีพทนายความโดยเฉพาะคนมีความสามารถอย่างชินกรที่ว่าความให้จำเลยเมื่อใดมักได้ผลประโยชน์สูงเมื่อลูกค้าของเขาหลุดคดี คนขับแท็กซี่รับจ้างรีบมาช่วยชายหนุ่มขนกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถก่อนที่เจ้าตัวจะรีบมาประจำการที่นั่งคนขับพาชินกรไปตามที่อยู่ที่จดลงบนกระดาษ
แท็กซี่รับจ้างพาชายหนุ่มที่ความจำไม่สมประกอบขับรถออกมาจากตัวอำเภอเมืองมุ่งหน้าไปอีกหลายสิบกิโลเมตรสองฟากฝั่งนั้นเต็มไปด้วยป่าไม้และบางตอนก็เป็นหุบเขา ชินกรมองวิวข้างทางพรางคิดให้ใจสิ่งที่เขากังวลหาใช่ผีปอบที่คนขับรถได้โพล่งออกมาชินกรไม่สนใจเรื่องผีสางเทวดาด้วยซ้ำ หากแต่ตอนนี้สิ่งที่ตนเองกังวลกับการตัดสินใจเดินทางกลับมาหาแม่ มาหาครอบครัวที่เขาจำไม่ได้ด้วยว่ามาหาครั้งสุดท้ายเมื่อไร? แล้วที่น่าเจ็บปวดในเวลานี้คือชินกรจำหน้าแม่ของตนเองหรือครอบครัวไม่ได้ด้วยซ้ำถ้าไม่มีโทรศัพท์สายเมื่อคืนที่โทรเข้ามาและปลายสายนั้นคือแม่ที่โทรมาถามอาการอย่างเป็นห่วงเป็นใยพร้อมกับชักชวนให้กลับมารักษาตัวที่บ้าน
ชินกรมองวิวข้างทางไปเรื่อยมีบ่อยครั้งที่คนขับชวนเขาคุยเรื่องสัปเพเหระ แต่บทสนทนาไม่ได้เข้าหัวเขาเท่าไร จนรถแท็กซี่รับจ้างวิ่งไปอีกร่วมชั่วโมงกว่าจนในที่สุดคนขับก็หันมาพูดประโยคที่ทำให้ชินกรรู้สึกสนใจเสียที
“เอาล่ะถึงแล้วพ่อหนุ่ม ศาลาริมทางที่อยู่ตรงกระดาษนี้”
แท็กซี่รับจ้างชะลอความเร็วพร้อมกับเลี้ยวขวาเข้ามาเทียบท่าศาลาริมทางไม้ ชินกรก้าวลงจากรถขณะที่คนขับก็ทำหน้าที่ขนกระเป๋าเดินทางมาวางไว้ด้านข้างของชายหนุ่ม เมื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายตามที่ตกลงกันไว้เสร็จสรรพคนขับก็รีบกุลีกุจอขึ้นรถแล้วออกเดินทางกลับทันที แต่ก่อนจะไปยังคงทิ้งท้ายให้กับชินกรจนต้องขมวดคิ้ว
“นี่น้องรีบติดต่อให้คนมารับเราเร็วๆดีกว่า ที่นี่มันอยู่กลางป่ากลางเขามืดเร็วแถมยังเปลี่ยวด้วย นี่มันก็บ่ายคล้อยจะเย็นแล้วพ่อหนุ่มยังต้องเข้าไปข้างในอีกลึกเลยนะ”
ชินกรกวาดสายตาสำรวจรอบบริเวณตรงศาลาไม้ริมทางพบว่าด้านข้างศาลาไม้นั้นมีถนนลูกรังสายหนึ่งทอดเหยียดยาวเข้าไปในป่าโปร่ง เมื่อมองเข้าไปด้านในแล้วชายหนุ่มเห็นว่าทางมันคดเคี้ยวจนเดาไม่ได้ว่าถนนสายนี้จะยาวสักเท่าไรก่อนจะถึงหมู่บ้าน ชายหนุ่มหยิบมือถือราคาถูกที่ซื้อมาไว้ใช้ชั่วคราวก่อนขึ้นเครื่องบินกดเบอร์โทรศัพท์ติดต่อที่จดไว้ในกระดาษแต่ยังไม่ทันได้กดหมายเลขครบเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถกำลังวิ่งเข้ามาใกล้จากภายในทางลูกรังนั้น
เมื่อเงยหน้ามองดูที่มาชินกรเห็นระกระบะรุ่นเก่าที่เป็นเหล็กหนาพ่วงแซมด้วนสนิมบางส่วนขับออกมาจากทางลูกรังด้วยความเร็วสูงก่อนจะมาหยุดที่เขาจนฝุ่นฟุ้งกระจาย
“นั่นไอ้กรใช่ไหม?”
เสียงห้าวของชายอีกคนที่เป็นคนขับดังขึ้นขณะที่ชินกรไอสำลักฝุ่นรอบข้างเขามองไปด้านในรถกระบะเห็นชายที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขาสวมเสื้อยืดพับแขนเสื้อขึ้น เขาพยักหน้ารับอีกฝ่ายมีท่าทีดีใจ
“เฮ้ย ไอ้กรนี่ฉันเองนะไอ้สร แก....จำฉันได้ไหมเนี่ย?”
ไม่มีท่าทีตอบสนองกลับมาจากชินกรมีแต่สายตาที่เคลือบแคลง ทำให้คนชื่อสรถอนหายใจ
“ที่น้าภาแม่แกพูดก็เป็นเรื่องจริงสินะ ที่บอกว่าแกความจำเสื่อม”
ชินกรมองเห็นสายตาที่ดูเศร้าของสร ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มพร้อมกับตบที่เบาะด้านข้างคนขับ
“ช่างเถอะยังไงแกกลับมาที่นี่แล้ว ยินดีต้อนรับสู่บ้านวังสา เพื่อนรัก”
สรพูดพร้อมเปิดประตูฝั่งด้านข้างให้ชินกรพยักหน้าแล้วขอบคุณเบาๆ เขายกกระเป๋าเดินทางขึ้นไว้บนกระบะหลังก่อนจะขึ้นมานั่งคู่กับสรที่ด้านหน้า แล้วรถกระบะรุ่นเก่าก็ถอยหลังกลับรถเลี้ยวเข้าไปยังทางลูกรังเหยียดยาวที่ทอดไปสู่หมู่บ้าน บ้านวังสา
“แกรู้ตัวไหมว่าแกไม่ได้กลับบ้านมาเลยเจ็ดปี”
สรเป็นคนเริ่มบทสนทนาหลังจากเห็นชินกรนั่งมองสำรวจวิวรอบข้างที่แต่แรกนั้นเป็นป่าโปร่งทว่าพอรถกระบะขับเข้าไปเรื่อยๆจากป่าโปร่งเริ่มทึบขึ้นเป็นลำดับ ชินกรหันหน้ามามองคู่สนทนาแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ผมไม่รู้เลย ผมจำอะไรส่วนตัวไม่ได้เลยก่อนหนึ่งปีมานี้”
“ฉันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แค่สงสารน้าภาแม่แก แกรู้ไหมว่าน้าภาคิดถึงแกมากขนาดไหน? พอเห็นข่าวแกผ่านหนังสือพิมพ์ก็โทรไปหาแกทุกวัน จนโทรติดเมื่อคืนนี่แหละ”
“ทำไมผมถึงไม่ได้กลับบ้านมาหาแม่ตั้งเจ็ดปีคุณพอรู้ไหม?”
ชินกรสังเกตเห็นแววตาที่ฉายแววน่ากลัวชั่วแวบเดียวเท่านั้น คนถูกถามเงียบไปชั่วขณะแล้วจึงตอบ
“แกหนีออกจากบ้านไป”
“หนีออกจากบ้าน...ผมหนีออกจากบ้านเรื่องอะไร?”
“เรื่องนั้นแกไปถามน้าภาแม่แกเองดีกว่านะ ว่าทำไมแกถึงหนีออกมาจากบ้านตอนดึกแบบนั้นแล้วไม่คิดหันหลังกลับมาหาแม่แกอีก”
ชินกรนิ่งเงียบไปเมื่อได้ฟังประโยคตัดบทของสร หลังจากนั้นสรจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องระหว่างเขากับชินกรว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือด้วยกัน บ้านในหมู่บ้านก็อยู่ถัดไปเพียงสองหลังเท่านั้น ชินกรแม้จะประสบอุบัติเหตุมาแต่ด้วยทักษะของนักกฎหมายและทนายความมือฉมังอย่างเขา ชายหนุ่มใช้สมองจดจำทุกเรื่องราวและคำพูดของสรที่บอกเล่าตลอดการเดินทางเข้าหมู่บ้านบ้านวังสาที่รอบด้านล้อมรอบด้วยป่าไม้และเทือกเขาสลับกันไป
สรใช้เวลาขับรถกระบะคันเก่ามาร่วมชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้าน บ้านวังสา เสียที ชินกรมองทิวทัศน์ในหมู่บ้านแตกต่างจากบริเวณทางเข้าแทบจะสิ้นเชิง เพราะถนนลูกรังปูเข้าหมู่บ้านบ้านวังสานั้นสองข้างทางเป็นทุ่งนาที่กว้างไกลไปจนสุดเทือกเขาที่กั้นอยู่ ชายหนุ่มมองต้นข้าวสีเขียวชอุ่มที่ขึ้นเต็มท้องนาอย่างสบายตาและรู้สึกงดงามกับธรรมชาติรอบตัว ชินกรรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่จนแน่ใจว่าตนเองต้องเคยอยู่ที่นี่จริงๆขณะที่สรขับรถกระบะเข้าไปในเขตหมู่บ้านเขามองเห็นบ้านแต่ละหลังเป็นแบบไม้ยกสูงทั้งสิ้น บ้านแต่ละหลังกินเนื้อที่ค่อนข้างกว้างตามแบบฉบับของบ้านตามชนบทมีรั้วไม่ไผ่เป็นซี่กั้นบอกอาณาเขตของบ้านนั้นๆ ชินกรพอจะอนุมานได้คร่าวๆของผังหมู่บ้านจากสายตาว่าบ้านวังสาน่าจะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมีบ้านรวมกันอยู่ไม่เกินร้อยสิบหลังและหลายหลังดูร้างผู้คนตามยุคสมัยที่คนตามขนบทได้ย้ายถิ่นฐานไปเมืองใหญ่เพื่อหางานทำ นอกจากนี้ชินกรสังเกตเห็นสันเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านทำให้เขารู้ว่าบ้านวังสาน่าจะเป็นพื้นที่ที่เรียกว่าแอ่งกระทะคือมีเขาสูงล้อมรอบโดยมีหมู่บ้านอยู่ตรงกลางเป็นพื้นที่ลุ่มที่ต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ
สรขับรถตรงมาเรื่อยระหว่างทางชินกรเห็นทางลูกรังแยกไปด้านขวาแต่ก็ไม่ได้สนใจจะถามอะไรเพราะตอนนี้ความรู้สึกภายในตัวบอกกับเขาว่า บัดนี้เขาใกล้จะถึงบ้านของเขาเสียทีแล้ว ไม่กี่นาทีจากนั้นสรก็เลี้ยวรถกระบะไปจอดที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งดูเป็นบ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้าน
“ถึงบ้านของแกละ ไอ้กร”
สรบอกพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ชินกรรีบเปิดประตูรถลงมาเขากวาดสายตาไปบริเวณโดยรอบเห็นตรงหน้ามีซุ้มกอไผ่ขนาดสิบคนโอบตั้งเป็นคู่ห่างกันร่วมสิบเมตรแล้วตรงกลางนั้นชายหนุ่มมองเห็นบ้านไม้ยกสูงหลังหนึ่งที่ถูกล้อมรั้วด้วยไม้ไผ่ ขนาดของบ้านนั้นไม่ใหญ่มากมองลงมารอบบริเวณภายในบ้านเห็นยุ้งข้าวเป็นหลังน้อยๆตั้งอยู่ท่ามกลางต้นมะม่วงสามสี่ต้น ชินกรคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้อย่างบอกไม่ถูกทันใดนั้นเองเสียงที่คุ้นเคยยิ่งกว่าดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขาเมื่อหันไปมองเขาเห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งแต่งตัวแบบเรียบง่ายยืนมองเขาพร้อมกับสายตาที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ
“กร....ลูกแม่ ในที่สุดกรก็กลับมาหาแม่เสียที”
ไม่ทันได้พูดทักทายอะไรหญิงวัยกลางคนก็วิ่งเข้ามาสวมกอดเขา ไออุ่นจากร่างกายที่สวมกอดพร้อมน้ำเสียงที่สั่นเครือชินกรรู้ได้จากสามัญสำนึกว่าแม่นั้นคิดถึงเขามากขนาดไหน
“แม่คิดถึงกรมากรู้ไหม? ต่อไปอย่าหนีแม่ไปไหนอีกนะ”
ชินกรเผลอสวมกอดแม่ของตน ไม่ใช่แค่ไออุ่นจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่อย่างเดียวที่เขารู้สึกรวมไปถึงไออุ่นจากน้ำตาของชายหนุ่มที่พรั่งพรูออกตามสัญชาตญาณของลูกน้อยที่บัดนี้กลับมาสู่อ้อมอกแม่อีกครั้ง โดยมีสรยืนยิ้มให้สองแม่ลูกอยู่ห่างๆ
สรกลับไปพักใหญ่เนื่องจากตอนนี้บรรยากาศเข้ามาช่วงเย็นย่ำ ระหว่างนั้นชินกรได้คุยกับนางภาแม่ของตนในทุกๆเรื่องที่ผ่านมาซึ่งทุกเรื่องล้วนแต่คุ้นเคยในความทรงจำทั้งนั้น ทั้งเรื่องที่เขากำพร้าพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กเนื่องจากประสบอุบัติเหตุดินถล่ม นางภาเลี้ยงเขามาอย่างยากลำบาก ปล่อยให้คนเช่าที่นากับทำสวนเพื่อส่งเสียให้ชินกรเรียนสูงจนจบนิติศาสตร์ สอบเข้าทนายความได้ ทุกอย่างนางภาเล่าให้ฟังทั้งหมดทว่ามีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ชินกรรู้สึกแปลก
“เห็นสรบอกว่าผมหนีออกจากบ้านไปเมื่อเจ็ดปีก่อน ทำไมผมถึงได้หนีออกจากบ้านไปล่ะครับ?”
นางภาอ้ำอึ้งมีท่าทีตะกุกตะกักกับคำถามนี้ ในสายตาของทนายถ้านางภาเป็นจำเลยนั่นคือสัญญาณของการโกหกแต่นี่เป็นแม่แท้ๆของเขา ซึ่งนางภาก็เลือกที่จะบ่ายเบี่ยงบอกเป็นเรื่องที่นานมาแล้วอย่าไปใส่ใจพร้อมกับไล่ให้ชินกรไปอาบน้ำ
ชินกรนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินลงมาจากบนบ้านไม้ที่ยกสูง ตามคำที่นางภาได้บอกมาห้องน้ำจะอยู่ตรงบริเวณด้านหลังบ้านซึ่งเป็นเรื่องปกติของตามบ้านในชนบทที่ห้องน้ำจะถูกสร้างแยกออกจากตัวบ้านเช่นนี้ บรรยากาศใกล้พลบค่ำเต็มทีลมพัดผ่านเย็นยะเยือกจนชินกรรู้สึกหนาว เมื่อเดินมาทางหลังบ้านชายหนุ่มก็เห็นห้องน้ำที่ถูกสร้างด้วยปูนซีเมนต์เปลือยไม่ทาสีโดยตั้งตระหง่านนอยู่ในดงต้นมะม่วงที่ขึ้นอยู่รอบ พอชินกรเปิดไปดูก็เห็นภายในห้องน้ำที่กว้างพอสมควรฝั่งหนึ่งเป็นส้วมซึมมีถังน้ำกับขันสีซีดและอีกฝั่งเป็นโอ่งขนาดใหญ่ที่ปิดไว้อย่างเรียบร้อยมีก๊อกน้ำแบบหมุนปิดเปิดสำหรับเป็นฝั่งใช้อาบน้ำสังเกตจากมีตะกร้าใส่สบู่กับแชมพูชายหนุ่มไม่คิดมากที่จะอาบน้ำแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หนึ่งปีเขาเป็นคนยังไง? แล้วเกิดอะไรขึ้นเขาถึงหนีออกจากบ้านไปแล้วไม่คิดหวนคืนกลับมา เพราะตอนนี้เขากลับมาแล้วพร้อมกับเรียนรู้ว่าการมีครอบครัวนั้นดีขนาดไหนไม่ต้องทนเดียวดายไร้คนห่วงใยแบบที่เขาต้องเผชิญเมื่อครั้งอยู่โรงพยาบาล
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ชินกรก็อาบน้ำเสร็จ เขานุ่งผ้าเช็ดตัวผิวปากอย่างสบายอารมณ์ออกมาจากห้องน้ำก่อนพบว่าขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแต่ยังไม่สนิท ลมที่เย็นยะเยือกที่เคยพัดผ่านตอนก่อนเข้าห้องน้ำก็หายไปจนต้นมะม่วงที่ล้อมรอบไม่มีใบไม้กระดิกเลยสักใบ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกประหลาดในความรู้สึก พร้อมกันนั้นก็ก้าวเดินเพื่อที่จะขึ้นไปบนบ้าน แต่แล้วบางอย่างก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
ชินกรหันไปมองอย่างไม่คิดอะไรตอนแรกคิดว่าเป็นหมาเสียด้วยซ้ำแต่แล้วเมื่อภาพที่จักษุเห็นก็บอกว่าเขาคิดผิดไปไกลมาก เพราะที่มาของเสียงคือเงาดำร่างทะมึนที่สูงกว่าห้องน้ำโดยเจ้าร่างนั้นแขนทั้งสองข้างท้าวคางกับหลังคาห้องน้ำจ้องมองเขาอยู่! ชายหนุ่มถอยไปตามสัญชาตญาณจนเห็นส่วนหัวว่าใหญ่โตกว่ากระด้งมีลักษณะคางแหลมและผมกระเซอะกระเซิงแม้จะเป็นเพียงเงาดำไม่เห็นดวงตาแต่ชินกรรู้ดีว่าเจ้าสิ่งนั้นกำลังมองเขาอยู่อย่างแน่นอน!
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
ร่างทะมึนนั้นค่อยๆขยับตัวและหัวมาทางชินกรพร้อมกับส่งเสียงเหมือนเลียน้ำลายอย่างตะกละและหิวโหย ชินกรสติยังดีเขารีบถอยรูดผ่านต้นมะม่วงสองสามต้น ร่างสูงทะมึนก็ยังจะขยับมาใกล้ยิ่งขึ้นจนชายหนุ่มรู้สึกกลัวจนจับขั้วหัวใจ ร่างที่ดูราวกับอสูรกายสูงชะรูดก็เข้าใกล้มาทุกขณะอีกเพียงสามก้าวก็จะถึงเขา ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง
“แม่ช่วยด้วย!”
ชินกรได้ยินเสียงวิ่งลงบันไดมาอย่างเร่งรีบไม่ถึงนาทีนางภาก็พาตัวเองลงมาถึงจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่โดยในมือถือมีดปังตอสำหรับทำครัวมาด้วย เมื่อเขาหันไปมองที่ร่างสูงทะมึนนั่นบัดนี้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า! นางภาถามต้นเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น? ชายหนุ่มไม่ตอบรีบจูงมือแม่ของตนขึ้นบ้านไปก่อน
เมื่อขึ้นมาบนบ้านพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้า ชินกรเล่าเรื่องที่เจอให้กับนางภาฟังโดยเมื่อฟังจบนางภาไม่พูดอะไรท่าทางนิ่งเกินไปด้วยซ้ำ
“มันเป็นเรื่องปกติของตามชนบทแบบนี้แหละกร ที่เราอยู่ตอนนี้มันเป็นหมู่บ้านกลางเขาเรื่องลึกลับบางอย่างกรไปอยู่กรุงเทพมา กรอาจไม่เข้าใจ”
“เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมจำได้ว่าตอนที่ผมมาโชเฟอร์แท็กซี่จากสนามบินบอกกับผมประมาณว่าที่หมู่บ้านเรามีปอบดุมาก หรือที่ผมเจอจะเป็นปอบครับแม่?”
“ปอบเหรอ? ไม่มีหรอกลูก อาจจะมีผีวิญญาณหรือผีป่าบ้าง แต่ปอบแม่รับรองว่าไม่มีแน่นอน”
นางภาพูดพร้อมกับยิ้มให้กับชินกรแล้วเอามือลูบหัว
“แม่ว่ากรเอาสร้อยพระนี่ไปใส่แล้วกันนะ ห้อยติดตัวไว้ตลอดอย่าได้ถอดเด็ดขาด”
นางภาเอื้อมมือไปที่ถึงย่ามที่แขวนอยู่ตรงเสาบ้านแล้วล้วงเอาสร้อยพระสีดำ โดยตัวพระเป็นพระเครื่องเนื้อผงใส่กรอบใสอย่างแน่นหนา ชินกรรับมาพร้อมกับพินิจ
“กรใส่เถอะ เราเป็นคนขวัญอ่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ถือว่าแม่ขอละกัน”
ชินกรพยักหน้าพร้อมกับพนมมือไหว้สร้อยพระก่อนที่จะสวมลงไป นางภามองลูกชายของตนอย่างเอ็นดู
“ก่อนที่จะมากินข้าว แม่มีเรื่องที่ต้องบอกกระเรื่องหนึ่งก่อนลูกจะได้ไม่ต้องตกใจ”
ชินกรทำสายตาฉงนแต่ก่อนที่จะถามอะไร นางภาก็ลุกคนแล้วก็ปิดไฟนีออนที่ส่องสว่างอยู่ “แม่กำลังจะหันหลังกรอย่าตกใจล่ะ เพราะนี่เป็นเรื่องปกติของที่นี่”
นางภาหันหน้ามาที่ลูกชายของเธอ สิ่งที่ชินกรเห็นผ่านความมืดของบ้านคือดวงตาของนางภาที่เรืองแสงเป็นสีแดงเลือด! นางภารู้ว่าลูกชายเธอได้เห็นในสิ่งที่ตั้งใจก็รีบเปิดไฟนีออนให้ส่องสว่างดั่งเดิม
“เกิดอะไรขึ้นทำไมดวงตาของแม่ถึงเป็นแบบนั้น?”
“ไม่ใช่แค่ของแม่หรอก แม่จะบอกว่าของคนในหมู่บ้านเราก็เป็นแบบนี้ทุกคนคือดวงตาจะเรืองแสงเป็นสีแดงในความมืด เคยมีหมอจากอนามัยมาตรวจก็ไม่ได้ความอะไร มีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่บอกว่าที่ดินบริเวณนี้มีอาถรรพ์”
“แล้วอย่างนี้แม่มีอาการเจ็บป่วยอะไรบ้างไหม? แบบอาการแทรกซ้อนอะไรประมาณนี้”
“ไม่จ๊ะ แม่กับชาวบ้านในหมู่บ้านไม่เป็นอะไรเลยนอกเสียจากตาที่เรืองแสงในความมืดนี่แหละ เราเป็นกันมาหลายปีจนตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติแล้ว แม่ถึงต้องบอกกรก่อนเพราะกลัวเราตกใจถ้าเวลานอนกับแม่แล้วเห็นตาแม่เรืองแสงขึ้นมาในความมืด”
ชินกรพยักหน้าทำความเข้าใจความหมายแม้จะมีส่วนลึกๆที่ยังรู้สึกแปลกประหลาดกับปรากฏการณ์ดวงตาสีแดงเลือดเรืองแสงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านนี้
“เอาล่ะ แม่ว่าเรามากินข้าวกันดีกว่าวันนี้แม่ทำของโปรดที่กรชอบเยอะแยะเลย มาเถอะ”
ชินกรรีบเข้ามาทานอาหารเย็นกับนางภาอย่างยินดี อย่างน้อยที่สุดนี่คือมื้ออาหารที่ดูอบอุ่นมากที่สุดในหลายวันมานี้ ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นเคยกับรสชาดอาหารมันทั้งถูกลิ้นจนสามารถทานได้มากกว่าปกติ ระหว่างที่ทานอาหารเย็นนั้นนางภาก็ถามถึงข้อมูลและป้ายทะเบียนของแท็กซี่ที่มาส่งเขา ซึ่งแน่นอนว่าชินกรต้องจำหมายเลขทะเบียนรถแท็กซี่คันนั้นได้อยู่แล้ว
“แม่แค่ถามไว้ เผื่อจะได้ตอบแทนคนขับรถที่อุตส่าห์มาส่งกรเสียไกลขนาดนี้”
คนขับรถแท็กซี่รับจ้างที่อาสาพาชินกรมาส่งที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านบ้านวังสากำลังขับรถกลับบ้านอย่างสบายใจ วันนี้เขาได้กำไรจากลูกค้าที่โกร่งราคาจากที่สนามบินมาเยอะมากโดยรายที่จ่ายหนักที่สุดคือชินกรนั่นเอง ระหว่างที่ขับรถไปตามถนนสายเปลี่ยวอยู่นั้นจู่ๆเขาเห็นหมาดำสนิทตัวใหญ่วิ่งตัดหน้ารถในระยะเผาขนจนต้องเบรกรถจนตัวโก่ง
เอี๊ยดดดดดด!
คนขับรถหายใจหอบถี่เขารีบเปิดประตูออกไปดูว่าหมาตัวไหนบังอาจมาเล่นตลกกับเขาจนรถเสียหลักขนาดนี้ ทว่าเมื่อลงไปเขากลับไม่พบเจออะไรสักอย่างนอกเหนือจากนั้นเขาเห็นว่าทิศทางที่หมาดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้าไปเป็นเหวสูงชันที่ไม่มีทางที่จะมีตัวอะไรวิ่งผ่านไปได้ คนขับรถเห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งกลับมาขึ้นรถเช่นเดิมพร้อมกับสบถด้วยอาการตื่นกลัวในความไม่ชอบมาพากล
“เกิดอะไรขึ้นวะ? วันนี้อุตส่าห์เป็นวันดีที่ได้เงินมาเยอะแท้ๆ รีบไปจากถนนเส้นบ้านี่ดีกว่า”
เมื่อกำลังจะเข้าเกียร์ถอยหลังเขาได้ยินเสียงดังฮึ่มๆมาจากที่นั่งด้านข้างคนขับ เมื่อหันไปมองเขาเห็นหมาดำตัวใหญ่ตาสีแดงก่ำที่เห็นวิ่งตัดหน้ารถเมื่อครู่ บัดนี้มันมานั่งขู่คำรามข้างเขาคนขับรถแหกปากจะตะโกนเพราะความตกใจทว่าหมาดำตัวนั้นก็พุ่งเข้าไปที่ปากของเขา ไม่รู้ว่าด้วยอิทธิฤทธิ์หรืออะไรหมาดำตัวใหญ่ค่อยเข้าไปในปากคนขับรถแท็กซี่รับจ้างราวกับยางสีดำที่ยืดหดได้ กลิ่นสาปสางที่แรงบวกกับความทรมานที่สัตว์ร้ายแทรกตัวเข้าไปกัดกินอวัยวะภายในของเขา ชายผู้โชคร้ายดิ้นรนอย่างแสนสาหัสก่อนที่หมาดำตัวใหญ่จะแทรกเข้าไปในร่างกายจนหมดจนเขากระตุกอีกสามสี่ทีแล้วแน่นิ่งกลายเป็นศพสภาพอนาถไปบนถนนแสนเปลี่ยวที่มืดมิดวังเวง
ที่สนามบินแห่งหนึ่งทางภาคอีสานชินกรลากกระเป๋าเดินทางมายังหน้าประตู เขามองดูรถแท็กซี่รับจ้างก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา ภายในกระดาษนั้นเป็นที่อยู่ที่ถูกจดอย่างรีบเร่งเมื่อคืนนี้
“พี่ครับ ช่วยไปตามที่อยู่นี้จะได้ไหม?”
ชินกรเดินไปที่รถแท็กซี่รับจ้างพร้อมยื่นกระดาษจดที่อยู่ไปให้ คนขับหน้ามุ่ยเมื่อเห็นข้อมูลบนกระดาษ
“โห น้องนี่มันลึกมากเลยนะ ทางก็เปลี่ยวด้วย”
“ครับ แม่ผมก็บอกอย่างนั้น ท่านบอกให้ส่งแค่ตรงศาลาริมทางเข้าไปในหมู่บ้านก็พอ เพราะจะมีคนมารอรับ”
คนขับมีท่าทีลังเลพร้อมมองไปที่ชินกรด้วยสายตาแปลกๆ
“แม่น้องอยู่หมู่บ้านตามนี้เหรอ?”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอ?”
“ก็ไม่มีอะไร แค่ที่ๆน้องจะไปทุกคนในจังหวัดรู้ดีว่าที่นี่ผีปอบดุที่สุด!”
ชินกรนิ่งไปพร้อมกับทวนคำว่า “ผีปอบ” อย่างท่าทีฉงน คนขับรถส่ายหัวเพราะดูแล้วว่าชินกรไม่รู้จักจริงๆ
“นี่น้องเป็นคนไทยหรือเปล่าเนี่ยถึงไม่รู้จักผีปอบ?”
“คือผมเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุมาครับ จำได้แค่บางเรื่องเท่านั้นผมถึงต้องกลับบ้านเพื่อรักษา”
คนขับมองดูชินกรอย่างพิจารณาเห็นมีผ้าพันแผลตามแขนก็พยักหน้า
“เออจริงด้วย เอางี้เห็นแก่เรานะเดี๋ยวพี่ไปส่งให้ละกัน แต่แค่ทางเข้าตรงศาลาติดถนนนะ แล้วพี่ขอพิเศษด้วยตกลงไหม?”
ชินกรพยักหน้าทันทีสำหรับเขาเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่อยู่แล้ว เพราะอาชีพทนายความโดยเฉพาะคนมีความสามารถอย่างชินกรที่ว่าความให้จำเลยเมื่อใดมักได้ผลประโยชน์สูงเมื่อลูกค้าของเขาหลุดคดี คนขับแท็กซี่รับจ้างรีบมาช่วยชายหนุ่มขนกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถก่อนที่เจ้าตัวจะรีบมาประจำการที่นั่งคนขับพาชินกรไปตามที่อยู่ที่จดลงบนกระดาษ
แท็กซี่รับจ้างพาชายหนุ่มที่ความจำไม่สมประกอบขับรถออกมาจากตัวอำเภอเมืองมุ่งหน้าไปอีกหลายสิบกิโลเมตรสองฟากฝั่งนั้นเต็มไปด้วยป่าไม้และบางตอนก็เป็นหุบเขา ชินกรมองวิวข้างทางพรางคิดให้ใจสิ่งที่เขากังวลหาใช่ผีปอบที่คนขับรถได้โพล่งออกมาชินกรไม่สนใจเรื่องผีสางเทวดาด้วยซ้ำ หากแต่ตอนนี้สิ่งที่ตนเองกังวลกับการตัดสินใจเดินทางกลับมาหาแม่ มาหาครอบครัวที่เขาจำไม่ได้ด้วยว่ามาหาครั้งสุดท้ายเมื่อไร? แล้วที่น่าเจ็บปวดในเวลานี้คือชินกรจำหน้าแม่ของตนเองหรือครอบครัวไม่ได้ด้วยซ้ำถ้าไม่มีโทรศัพท์สายเมื่อคืนที่โทรเข้ามาและปลายสายนั้นคือแม่ที่โทรมาถามอาการอย่างเป็นห่วงเป็นใยพร้อมกับชักชวนให้กลับมารักษาตัวที่บ้าน
ชินกรมองวิวข้างทางไปเรื่อยมีบ่อยครั้งที่คนขับชวนเขาคุยเรื่องสัปเพเหระ แต่บทสนทนาไม่ได้เข้าหัวเขาเท่าไร จนรถแท็กซี่รับจ้างวิ่งไปอีกร่วมชั่วโมงกว่าจนในที่สุดคนขับก็หันมาพูดประโยคที่ทำให้ชินกรรู้สึกสนใจเสียที
“เอาล่ะถึงแล้วพ่อหนุ่ม ศาลาริมทางที่อยู่ตรงกระดาษนี้”
แท็กซี่รับจ้างชะลอความเร็วพร้อมกับเลี้ยวขวาเข้ามาเทียบท่าศาลาริมทางไม้ ชินกรก้าวลงจากรถขณะที่คนขับก็ทำหน้าที่ขนกระเป๋าเดินทางมาวางไว้ด้านข้างของชายหนุ่ม เมื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายตามที่ตกลงกันไว้เสร็จสรรพคนขับก็รีบกุลีกุจอขึ้นรถแล้วออกเดินทางกลับทันที แต่ก่อนจะไปยังคงทิ้งท้ายให้กับชินกรจนต้องขมวดคิ้ว
“นี่น้องรีบติดต่อให้คนมารับเราเร็วๆดีกว่า ที่นี่มันอยู่กลางป่ากลางเขามืดเร็วแถมยังเปลี่ยวด้วย นี่มันก็บ่ายคล้อยจะเย็นแล้วพ่อหนุ่มยังต้องเข้าไปข้างในอีกลึกเลยนะ”
ชินกรกวาดสายตาสำรวจรอบบริเวณตรงศาลาไม้ริมทางพบว่าด้านข้างศาลาไม้นั้นมีถนนลูกรังสายหนึ่งทอดเหยียดยาวเข้าไปในป่าโปร่ง เมื่อมองเข้าไปด้านในแล้วชายหนุ่มเห็นว่าทางมันคดเคี้ยวจนเดาไม่ได้ว่าถนนสายนี้จะยาวสักเท่าไรก่อนจะถึงหมู่บ้าน ชายหนุ่มหยิบมือถือราคาถูกที่ซื้อมาไว้ใช้ชั่วคราวก่อนขึ้นเครื่องบินกดเบอร์โทรศัพท์ติดต่อที่จดไว้ในกระดาษแต่ยังไม่ทันได้กดหมายเลขครบเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถกำลังวิ่งเข้ามาใกล้จากภายในทางลูกรังนั้น
เมื่อเงยหน้ามองดูที่มาชินกรเห็นระกระบะรุ่นเก่าที่เป็นเหล็กหนาพ่วงแซมด้วนสนิมบางส่วนขับออกมาจากทางลูกรังด้วยความเร็วสูงก่อนจะมาหยุดที่เขาจนฝุ่นฟุ้งกระจาย
“นั่นไอ้กรใช่ไหม?”
เสียงห้าวของชายอีกคนที่เป็นคนขับดังขึ้นขณะที่ชินกรไอสำลักฝุ่นรอบข้างเขามองไปด้านในรถกระบะเห็นชายที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขาสวมเสื้อยืดพับแขนเสื้อขึ้น เขาพยักหน้ารับอีกฝ่ายมีท่าทีดีใจ
“เฮ้ย ไอ้กรนี่ฉันเองนะไอ้สร แก....จำฉันได้ไหมเนี่ย?”
ไม่มีท่าทีตอบสนองกลับมาจากชินกรมีแต่สายตาที่เคลือบแคลง ทำให้คนชื่อสรถอนหายใจ
“ที่น้าภาแม่แกพูดก็เป็นเรื่องจริงสินะ ที่บอกว่าแกความจำเสื่อม”
ชินกรมองเห็นสายตาที่ดูเศร้าของสร ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มพร้อมกับตบที่เบาะด้านข้างคนขับ
“ช่างเถอะยังไงแกกลับมาที่นี่แล้ว ยินดีต้อนรับสู่บ้านวังสา เพื่อนรัก”
สรพูดพร้อมเปิดประตูฝั่งด้านข้างให้ชินกรพยักหน้าแล้วขอบคุณเบาๆ เขายกกระเป๋าเดินทางขึ้นไว้บนกระบะหลังก่อนจะขึ้นมานั่งคู่กับสรที่ด้านหน้า แล้วรถกระบะรุ่นเก่าก็ถอยหลังกลับรถเลี้ยวเข้าไปยังทางลูกรังเหยียดยาวที่ทอดไปสู่หมู่บ้าน บ้านวังสา
“แกรู้ตัวไหมว่าแกไม่ได้กลับบ้านมาเลยเจ็ดปี”
สรเป็นคนเริ่มบทสนทนาหลังจากเห็นชินกรนั่งมองสำรวจวิวรอบข้างที่แต่แรกนั้นเป็นป่าโปร่งทว่าพอรถกระบะขับเข้าไปเรื่อยๆจากป่าโปร่งเริ่มทึบขึ้นเป็นลำดับ ชินกรหันหน้ามามองคู่สนทนาแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ผมไม่รู้เลย ผมจำอะไรส่วนตัวไม่ได้เลยก่อนหนึ่งปีมานี้”
“ฉันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แค่สงสารน้าภาแม่แก แกรู้ไหมว่าน้าภาคิดถึงแกมากขนาดไหน? พอเห็นข่าวแกผ่านหนังสือพิมพ์ก็โทรไปหาแกทุกวัน จนโทรติดเมื่อคืนนี่แหละ”
“ทำไมผมถึงไม่ได้กลับบ้านมาหาแม่ตั้งเจ็ดปีคุณพอรู้ไหม?”
ชินกรสังเกตเห็นแววตาที่ฉายแววน่ากลัวชั่วแวบเดียวเท่านั้น คนถูกถามเงียบไปชั่วขณะแล้วจึงตอบ
“แกหนีออกจากบ้านไป”
“หนีออกจากบ้าน...ผมหนีออกจากบ้านเรื่องอะไร?”
“เรื่องนั้นแกไปถามน้าภาแม่แกเองดีกว่านะ ว่าทำไมแกถึงหนีออกมาจากบ้านตอนดึกแบบนั้นแล้วไม่คิดหันหลังกลับมาหาแม่แกอีก”
ชินกรนิ่งเงียบไปเมื่อได้ฟังประโยคตัดบทของสร หลังจากนั้นสรจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องระหว่างเขากับชินกรว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือด้วยกัน บ้านในหมู่บ้านก็อยู่ถัดไปเพียงสองหลังเท่านั้น ชินกรแม้จะประสบอุบัติเหตุมาแต่ด้วยทักษะของนักกฎหมายและทนายความมือฉมังอย่างเขา ชายหนุ่มใช้สมองจดจำทุกเรื่องราวและคำพูดของสรที่บอกเล่าตลอดการเดินทางเข้าหมู่บ้านบ้านวังสาที่รอบด้านล้อมรอบด้วยป่าไม้และเทือกเขาสลับกันไป
สรใช้เวลาขับรถกระบะคันเก่ามาร่วมชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้าน บ้านวังสา เสียที ชินกรมองทิวทัศน์ในหมู่บ้านแตกต่างจากบริเวณทางเข้าแทบจะสิ้นเชิง เพราะถนนลูกรังปูเข้าหมู่บ้านบ้านวังสานั้นสองข้างทางเป็นทุ่งนาที่กว้างไกลไปจนสุดเทือกเขาที่กั้นอยู่ ชายหนุ่มมองต้นข้าวสีเขียวชอุ่มที่ขึ้นเต็มท้องนาอย่างสบายตาและรู้สึกงดงามกับธรรมชาติรอบตัว ชินกรรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่จนแน่ใจว่าตนเองต้องเคยอยู่ที่นี่จริงๆขณะที่สรขับรถกระบะเข้าไปในเขตหมู่บ้านเขามองเห็นบ้านแต่ละหลังเป็นแบบไม้ยกสูงทั้งสิ้น บ้านแต่ละหลังกินเนื้อที่ค่อนข้างกว้างตามแบบฉบับของบ้านตามชนบทมีรั้วไม่ไผ่เป็นซี่กั้นบอกอาณาเขตของบ้านนั้นๆ ชินกรพอจะอนุมานได้คร่าวๆของผังหมู่บ้านจากสายตาว่าบ้านวังสาน่าจะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กมีบ้านรวมกันอยู่ไม่เกินร้อยสิบหลังและหลายหลังดูร้างผู้คนตามยุคสมัยที่คนตามขนบทได้ย้ายถิ่นฐานไปเมืองใหญ่เพื่อหางานทำ นอกจากนี้ชินกรสังเกตเห็นสันเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านทำให้เขารู้ว่าบ้านวังสาน่าจะเป็นพื้นที่ที่เรียกว่าแอ่งกระทะคือมีเขาสูงล้อมรอบโดยมีหมู่บ้านอยู่ตรงกลางเป็นพื้นที่ลุ่มที่ต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ
สรขับรถตรงมาเรื่อยระหว่างทางชินกรเห็นทางลูกรังแยกไปด้านขวาแต่ก็ไม่ได้สนใจจะถามอะไรเพราะตอนนี้ความรู้สึกภายในตัวบอกกับเขาว่า บัดนี้เขาใกล้จะถึงบ้านของเขาเสียทีแล้ว ไม่กี่นาทีจากนั้นสรก็เลี้ยวรถกระบะไปจอดที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งดูเป็นบ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้าน
“ถึงบ้านของแกละ ไอ้กร”
สรบอกพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ชินกรรีบเปิดประตูรถลงมาเขากวาดสายตาไปบริเวณโดยรอบเห็นตรงหน้ามีซุ้มกอไผ่ขนาดสิบคนโอบตั้งเป็นคู่ห่างกันร่วมสิบเมตรแล้วตรงกลางนั้นชายหนุ่มมองเห็นบ้านไม้ยกสูงหลังหนึ่งที่ถูกล้อมรั้วด้วยไม้ไผ่ ขนาดของบ้านนั้นไม่ใหญ่มากมองลงมารอบบริเวณภายในบ้านเห็นยุ้งข้าวเป็นหลังน้อยๆตั้งอยู่ท่ามกลางต้นมะม่วงสามสี่ต้น ชินกรคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้อย่างบอกไม่ถูกทันใดนั้นเองเสียงที่คุ้นเคยยิ่งกว่าดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขาเมื่อหันไปมองเขาเห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งแต่งตัวแบบเรียบง่ายยืนมองเขาพร้อมกับสายตาที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ
“กร....ลูกแม่ ในที่สุดกรก็กลับมาหาแม่เสียที”
ไม่ทันได้พูดทักทายอะไรหญิงวัยกลางคนก็วิ่งเข้ามาสวมกอดเขา ไออุ่นจากร่างกายที่สวมกอดพร้อมน้ำเสียงที่สั่นเครือชินกรรู้ได้จากสามัญสำนึกว่าแม่นั้นคิดถึงเขามากขนาดไหน
“แม่คิดถึงกรมากรู้ไหม? ต่อไปอย่าหนีแม่ไปไหนอีกนะ”
ชินกรเผลอสวมกอดแม่ของตน ไม่ใช่แค่ไออุ่นจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่อย่างเดียวที่เขารู้สึกรวมไปถึงไออุ่นจากน้ำตาของชายหนุ่มที่พรั่งพรูออกตามสัญชาตญาณของลูกน้อยที่บัดนี้กลับมาสู่อ้อมอกแม่อีกครั้ง โดยมีสรยืนยิ้มให้สองแม่ลูกอยู่ห่างๆ
สรกลับไปพักใหญ่เนื่องจากตอนนี้บรรยากาศเข้ามาช่วงเย็นย่ำ ระหว่างนั้นชินกรได้คุยกับนางภาแม่ของตนในทุกๆเรื่องที่ผ่านมาซึ่งทุกเรื่องล้วนแต่คุ้นเคยในความทรงจำทั้งนั้น ทั้งเรื่องที่เขากำพร้าพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กเนื่องจากประสบอุบัติเหตุดินถล่ม นางภาเลี้ยงเขามาอย่างยากลำบาก ปล่อยให้คนเช่าที่นากับทำสวนเพื่อส่งเสียให้ชินกรเรียนสูงจนจบนิติศาสตร์ สอบเข้าทนายความได้ ทุกอย่างนางภาเล่าให้ฟังทั้งหมดทว่ามีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ชินกรรู้สึกแปลก
“เห็นสรบอกว่าผมหนีออกจากบ้านไปเมื่อเจ็ดปีก่อน ทำไมผมถึงได้หนีออกจากบ้านไปล่ะครับ?”
นางภาอ้ำอึ้งมีท่าทีตะกุกตะกักกับคำถามนี้ ในสายตาของทนายถ้านางภาเป็นจำเลยนั่นคือสัญญาณของการโกหกแต่นี่เป็นแม่แท้ๆของเขา ซึ่งนางภาก็เลือกที่จะบ่ายเบี่ยงบอกเป็นเรื่องที่นานมาแล้วอย่าไปใส่ใจพร้อมกับไล่ให้ชินกรไปอาบน้ำ
ชินกรนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินลงมาจากบนบ้านไม้ที่ยกสูง ตามคำที่นางภาได้บอกมาห้องน้ำจะอยู่ตรงบริเวณด้านหลังบ้านซึ่งเป็นเรื่องปกติของตามบ้านในชนบทที่ห้องน้ำจะถูกสร้างแยกออกจากตัวบ้านเช่นนี้ บรรยากาศใกล้พลบค่ำเต็มทีลมพัดผ่านเย็นยะเยือกจนชินกรรู้สึกหนาว เมื่อเดินมาทางหลังบ้านชายหนุ่มก็เห็นห้องน้ำที่ถูกสร้างด้วยปูนซีเมนต์เปลือยไม่ทาสีโดยตั้งตระหง่านนอยู่ในดงต้นมะม่วงที่ขึ้นอยู่รอบ พอชินกรเปิดไปดูก็เห็นภายในห้องน้ำที่กว้างพอสมควรฝั่งหนึ่งเป็นส้วมซึมมีถังน้ำกับขันสีซีดและอีกฝั่งเป็นโอ่งขนาดใหญ่ที่ปิดไว้อย่างเรียบร้อยมีก๊อกน้ำแบบหมุนปิดเปิดสำหรับเป็นฝั่งใช้อาบน้ำสังเกตจากมีตะกร้าใส่สบู่กับแชมพูชายหนุ่มไม่คิดมากที่จะอาบน้ำแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หนึ่งปีเขาเป็นคนยังไง? แล้วเกิดอะไรขึ้นเขาถึงหนีออกจากบ้านไปแล้วไม่คิดหวนคืนกลับมา เพราะตอนนี้เขากลับมาแล้วพร้อมกับเรียนรู้ว่าการมีครอบครัวนั้นดีขนาดไหนไม่ต้องทนเดียวดายไร้คนห่วงใยแบบที่เขาต้องเผชิญเมื่อครั้งอยู่โรงพยาบาล
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ชินกรก็อาบน้ำเสร็จ เขานุ่งผ้าเช็ดตัวผิวปากอย่างสบายอารมณ์ออกมาจากห้องน้ำก่อนพบว่าขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแต่ยังไม่สนิท ลมที่เย็นยะเยือกที่เคยพัดผ่านตอนก่อนเข้าห้องน้ำก็หายไปจนต้นมะม่วงที่ล้อมรอบไม่มีใบไม้กระดิกเลยสักใบ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกประหลาดในความรู้สึก พร้อมกันนั้นก็ก้าวเดินเพื่อที่จะขึ้นไปบนบ้าน แต่แล้วบางอย่างก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
ชินกรหันไปมองอย่างไม่คิดอะไรตอนแรกคิดว่าเป็นหมาเสียด้วยซ้ำแต่แล้วเมื่อภาพที่จักษุเห็นก็บอกว่าเขาคิดผิดไปไกลมาก เพราะที่มาของเสียงคือเงาดำร่างทะมึนที่สูงกว่าห้องน้ำโดยเจ้าร่างนั้นแขนทั้งสองข้างท้าวคางกับหลังคาห้องน้ำจ้องมองเขาอยู่! ชายหนุ่มถอยไปตามสัญชาตญาณจนเห็นส่วนหัวว่าใหญ่โตกว่ากระด้งมีลักษณะคางแหลมและผมกระเซอะกระเซิงแม้จะเป็นเพียงเงาดำไม่เห็นดวงตาแต่ชินกรรู้ดีว่าเจ้าสิ่งนั้นกำลังมองเขาอยู่อย่างแน่นอน!
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
ร่างทะมึนนั้นค่อยๆขยับตัวและหัวมาทางชินกรพร้อมกับส่งเสียงเหมือนเลียน้ำลายอย่างตะกละและหิวโหย ชินกรสติยังดีเขารีบถอยรูดผ่านต้นมะม่วงสองสามต้น ร่างสูงทะมึนก็ยังจะขยับมาใกล้ยิ่งขึ้นจนชายหนุ่มรู้สึกกลัวจนจับขั้วหัวใจ ร่างที่ดูราวกับอสูรกายสูงชะรูดก็เข้าใกล้มาทุกขณะอีกเพียงสามก้าวก็จะถึงเขา ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง
“แม่ช่วยด้วย!”
ชินกรได้ยินเสียงวิ่งลงบันไดมาอย่างเร่งรีบไม่ถึงนาทีนางภาก็พาตัวเองลงมาถึงจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่โดยในมือถือมีดปังตอสำหรับทำครัวมาด้วย เมื่อเขาหันไปมองที่ร่างสูงทะมึนนั่นบัดนี้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า! นางภาถามต้นเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น? ชายหนุ่มไม่ตอบรีบจูงมือแม่ของตนขึ้นบ้านไปก่อน
เมื่อขึ้นมาบนบ้านพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้า ชินกรเล่าเรื่องที่เจอให้กับนางภาฟังโดยเมื่อฟังจบนางภาไม่พูดอะไรท่าทางนิ่งเกินไปด้วยซ้ำ
“มันเป็นเรื่องปกติของตามชนบทแบบนี้แหละกร ที่เราอยู่ตอนนี้มันเป็นหมู่บ้านกลางเขาเรื่องลึกลับบางอย่างกรไปอยู่กรุงเทพมา กรอาจไม่เข้าใจ”
“เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมจำได้ว่าตอนที่ผมมาโชเฟอร์แท็กซี่จากสนามบินบอกกับผมประมาณว่าที่หมู่บ้านเรามีปอบดุมาก หรือที่ผมเจอจะเป็นปอบครับแม่?”
“ปอบเหรอ? ไม่มีหรอกลูก อาจจะมีผีวิญญาณหรือผีป่าบ้าง แต่ปอบแม่รับรองว่าไม่มีแน่นอน”
นางภาพูดพร้อมกับยิ้มให้กับชินกรแล้วเอามือลูบหัว
“แม่ว่ากรเอาสร้อยพระนี่ไปใส่แล้วกันนะ ห้อยติดตัวไว้ตลอดอย่าได้ถอดเด็ดขาด”
นางภาเอื้อมมือไปที่ถึงย่ามที่แขวนอยู่ตรงเสาบ้านแล้วล้วงเอาสร้อยพระสีดำ โดยตัวพระเป็นพระเครื่องเนื้อผงใส่กรอบใสอย่างแน่นหนา ชินกรรับมาพร้อมกับพินิจ
“กรใส่เถอะ เราเป็นคนขวัญอ่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ถือว่าแม่ขอละกัน”
ชินกรพยักหน้าพร้อมกับพนมมือไหว้สร้อยพระก่อนที่จะสวมลงไป นางภามองลูกชายของตนอย่างเอ็นดู
“ก่อนที่จะมากินข้าว แม่มีเรื่องที่ต้องบอกกระเรื่องหนึ่งก่อนลูกจะได้ไม่ต้องตกใจ”
ชินกรทำสายตาฉงนแต่ก่อนที่จะถามอะไร นางภาก็ลุกคนแล้วก็ปิดไฟนีออนที่ส่องสว่างอยู่ “แม่กำลังจะหันหลังกรอย่าตกใจล่ะ เพราะนี่เป็นเรื่องปกติของที่นี่”
นางภาหันหน้ามาที่ลูกชายของเธอ สิ่งที่ชินกรเห็นผ่านความมืดของบ้านคือดวงตาของนางภาที่เรืองแสงเป็นสีแดงเลือด! นางภารู้ว่าลูกชายเธอได้เห็นในสิ่งที่ตั้งใจก็รีบเปิดไฟนีออนให้ส่องสว่างดั่งเดิม
“เกิดอะไรขึ้นทำไมดวงตาของแม่ถึงเป็นแบบนั้น?”
“ไม่ใช่แค่ของแม่หรอก แม่จะบอกว่าของคนในหมู่บ้านเราก็เป็นแบบนี้ทุกคนคือดวงตาจะเรืองแสงเป็นสีแดงในความมืด เคยมีหมอจากอนามัยมาตรวจก็ไม่ได้ความอะไร มีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่บอกว่าที่ดินบริเวณนี้มีอาถรรพ์”
“แล้วอย่างนี้แม่มีอาการเจ็บป่วยอะไรบ้างไหม? แบบอาการแทรกซ้อนอะไรประมาณนี้”
“ไม่จ๊ะ แม่กับชาวบ้านในหมู่บ้านไม่เป็นอะไรเลยนอกเสียจากตาที่เรืองแสงในความมืดนี่แหละ เราเป็นกันมาหลายปีจนตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติแล้ว แม่ถึงต้องบอกกรก่อนเพราะกลัวเราตกใจถ้าเวลานอนกับแม่แล้วเห็นตาแม่เรืองแสงขึ้นมาในความมืด”
ชินกรพยักหน้าทำความเข้าใจความหมายแม้จะมีส่วนลึกๆที่ยังรู้สึกแปลกประหลาดกับปรากฏการณ์ดวงตาสีแดงเลือดเรืองแสงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านนี้
“เอาล่ะ แม่ว่าเรามากินข้าวกันดีกว่าวันนี้แม่ทำของโปรดที่กรชอบเยอะแยะเลย มาเถอะ”
ชินกรรีบเข้ามาทานอาหารเย็นกับนางภาอย่างยินดี อย่างน้อยที่สุดนี่คือมื้ออาหารที่ดูอบอุ่นมากที่สุดในหลายวันมานี้ ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นเคยกับรสชาดอาหารมันทั้งถูกลิ้นจนสามารถทานได้มากกว่าปกติ ระหว่างที่ทานอาหารเย็นนั้นนางภาก็ถามถึงข้อมูลและป้ายทะเบียนของแท็กซี่ที่มาส่งเขา ซึ่งแน่นอนว่าชินกรต้องจำหมายเลขทะเบียนรถแท็กซี่คันนั้นได้อยู่แล้ว
“แม่แค่ถามไว้ เผื่อจะได้ตอบแทนคนขับรถที่อุตส่าห์มาส่งกรเสียไกลขนาดนี้”
คนขับรถแท็กซี่รับจ้างที่อาสาพาชินกรมาส่งที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านบ้านวังสากำลังขับรถกลับบ้านอย่างสบายใจ วันนี้เขาได้กำไรจากลูกค้าที่โกร่งราคาจากที่สนามบินมาเยอะมากโดยรายที่จ่ายหนักที่สุดคือชินกรนั่นเอง ระหว่างที่ขับรถไปตามถนนสายเปลี่ยวอยู่นั้นจู่ๆเขาเห็นหมาดำสนิทตัวใหญ่วิ่งตัดหน้ารถในระยะเผาขนจนต้องเบรกรถจนตัวโก่ง
เอี๊ยดดดดดด!
คนขับรถหายใจหอบถี่เขารีบเปิดประตูออกไปดูว่าหมาตัวไหนบังอาจมาเล่นตลกกับเขาจนรถเสียหลักขนาดนี้ ทว่าเมื่อลงไปเขากลับไม่พบเจออะไรสักอย่างนอกเหนือจากนั้นเขาเห็นว่าทิศทางที่หมาดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้าไปเป็นเหวสูงชันที่ไม่มีทางที่จะมีตัวอะไรวิ่งผ่านไปได้ คนขับรถเห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งกลับมาขึ้นรถเช่นเดิมพร้อมกับสบถด้วยอาการตื่นกลัวในความไม่ชอบมาพากล
“เกิดอะไรขึ้นวะ? วันนี้อุตส่าห์เป็นวันดีที่ได้เงินมาเยอะแท้ๆ รีบไปจากถนนเส้นบ้านี่ดีกว่า”
เมื่อกำลังจะเข้าเกียร์ถอยหลังเขาได้ยินเสียงดังฮึ่มๆมาจากที่นั่งด้านข้างคนขับ เมื่อหันไปมองเขาเห็นหมาดำตัวใหญ่ตาสีแดงก่ำที่เห็นวิ่งตัดหน้ารถเมื่อครู่ บัดนี้มันมานั่งขู่คำรามข้างเขาคนขับรถแหกปากจะตะโกนเพราะความตกใจทว่าหมาดำตัวนั้นก็พุ่งเข้าไปที่ปากของเขา ไม่รู้ว่าด้วยอิทธิฤทธิ์หรืออะไรหมาดำตัวใหญ่ค่อยเข้าไปในปากคนขับรถแท็กซี่รับจ้างราวกับยางสีดำที่ยืดหดได้ กลิ่นสาปสางที่แรงบวกกับความทรมานที่สัตว์ร้ายแทรกตัวเข้าไปกัดกินอวัยวะภายในของเขา ชายผู้โชคร้ายดิ้นรนอย่างแสนสาหัสก่อนที่หมาดำตัวใหญ่จะแทรกเข้าไปในร่างกายจนหมดจนเขากระตุกอีกสามสี่ทีแล้วแน่นิ่งกลายเป็นศพสภาพอนาถไปบนถนนแสนเปลี่ยวที่มืดมิดวังเวง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ