The woods รักอลวล คนอลเวง
เขียนโดย Songlin
วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 06.33 น.
แก้ไขเมื่อ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561 07.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) พฤกษาพัลวัล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ แสงสนธยาส่องผ่านจากยอดไม้ปลุกสาวร่างบางจากนิทรา น้ำผึ้งค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นก่อนจะส่ายหัวสองสามทีเพื่อไล่อาการมึน
“ที่นี่ที่ไหนกัน” น้ำผึ้งพึมพำกับตัวเอง ขณะที่มองสำรวจไปรอบๆ ตัว ซึ่งมีแต่ป่า ป่า แล้วก็ป่า ต้นไม้ขนาดหลายคนโอบสูงกว่า ๓๐ เมตรกระจายตัวไปทั่ว ผืนดินชื้นแฉะเต็มไปด้วยใบไม้และรากไม้ ทั้งที่ป่าก็ดูโล่งโปร่งแต่บรรยากาศกลับอึมครึม มีเพียงแค่บางส่วนของผืนดินที่แสงแดดสามารถส่องผ่านเรือนยอดไม้หนาทึบลงมาได้ แสงสีส้มอ่อนบอกน้ำผึ้งว่านี่คงใกล้จะเย็นแล้วเป็นแน่....นี่เธอควรจะทำอย่างไรดี
ในใจลึกๆ น้ำผึ้งเองก็กลัว ทั้งไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเธอถูกลักพาตัวมาทิ้งที่กลางป่า หรือบางทีเธอแค่กำลังฝัน....ใช่ น้ำผึ้งบอกตัวเอง เธอต้องฝันไปแน่ แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามทั้งหยิกทั้งทึ้งทั้งตี หรือแม้แต่หลับตาตั้งสมาธิ สุดท้ายเธอก็ยังอยู่ที่ป่าดังเดิม
และถึงแม้เธอเองอาจจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และที่ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ที่แน่ๆ เธอรู้ว่าถ้าหากฟ้ามืด เธออาจจะไม่รอดออกจากป่าก็เป็นได้ น้ำผึ้งพยายามใจดีสู้เสือเก็บความกลัวพับใส่กระเป๋ากางเกง แล้วตั้งสติคิดหาวิธีเอาตัวรอด
หญิงสาวพยายามคิดถึงกฏการเอาตัวรอดยามหลงป่า จากวิชาลูกเสือเมื่อตอนป. ๔ บวกกับสารคดีและหนังผจญทั้งหลายที่เธอเคยดู
ข้อแรกที่เธอคิดออกคือหนึ่ง หากหลงทางให้หยุดอยู่กับที่เพื่อรอให้คนมาช่วยเหลือ...แต่ว่า ป่าลึกที่ไหนไม่รู้แบบนี้ใครกันจะมาตามหาเธอและที่สำคัญถ้าหากเธอยังอยู่ที่นี่คืนนี้เธออาจจกลายเป็นอาหารหมาป่า หรือหมีก็ได้ เธอจึงตัดข้อนี้ทิ้งไป
สอง ใช้ประโยชน์จากข้าวของที่มีติดตัว....น้ำผึ้งมองสำรวจดูตัวเองก็พบว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเธอไม่มีอะไรเลยนอกจากเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบคอนเวอร์สที่เธอสวมอยู่ แม้แต่กระเป๋าผ้าสุดเก๋ที่เธอกอดไว้ตอนที่อยู่กระโจมแม่หมอก็หายไปด้วย
สาม หากหลงทางให้พยายามทิ้งร่องรอยเอาไว้....ถึงแม้เธอจะคิดว่าไม่รู้จะทิ้งไว้ให้ใคร แต่อย่างน้อยเธอก็จะได้ไม่หลงลึกไปกว่าเดิม
สี่ ตามหาแม่น้ำ....อาจารย์วิชาประวัติศาสตร์สอนเธอว่า คนไทยในอดีตสมัยสุโขทัยและอยุธยามักจะเลือกตั้งบ้านใกล้ๆ แม่น้ำ เพราะฉะนั้นหากเธอเดินเลียบแม่น้ำลงไปที่ล่ะก็ต้องมีคนอยู่อย่างแน่นอน...ถึงแม้เธอเองก็ไม่รู้ว่าความคิดแบบคนไทยโบราณจะเอามาใช้ที่นี่ได้หรือเปล่าก็ตาม
เมื่อสรุปได้ดังนั้นน้ำผึ้งก็เริ่มออกเดินทางโดยใช้ก้อนหินขูดเป็นลูกศรไว้ที่ต้นไม้เพื่อบอกทิศทางที่เธอกำลังไป เธอเลือกที่จะเดินลาดไปตามไหล่เขา เพราะคิดว่าตามหุบเขาอาจจะมีแม่น้ำตัดผ่านก็เป็นได้ แต่ยิ่งเธอเดินๆ ยิ่งไปไกลเท่าไหร่ ท้องฟ้าก็เร่ิมมืดลงๆ เท่านั้น อากาศรอบตัวเธอก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ
น้ำผึ้งเองก็ดูจะไม่มีโชคในการตามหาแม่น้ำนัก ยิ่งเดินเหมือนยิ่งหลงลึกเข้าไป แถมช่วงโพล้เพล้แบบนี้ฝูงยุงก็บินกันให้ว่อน ตบแขนก็กัดขา ตบหน้ากัดหลัง ตบไปตบมาก็กัดไปทั้งตัว น้ำผึ้งแอบคิดว่าบางทีก่อนจะโดนหมีกินเธออาจจะตายเพราะไข้เหลืองไม่ก็มาลาเลียก่อนแน่
แต่กระนั้น ดูเหมือนคนบนฟ้าจะยังไม่ได้ทอดทิ้งน้ำผึ้งไปซะทีเดียว เพียงไม่นานหลังจากทั้งสู้ทั้งหนีฝูงยุงอยู่สักพักเธอก็พบกับกระท่อมหลังหนึ่งที่ตีนเขา
ด้วยความที่บริเวณตีนเขาเองป่าไม่ทึบนักทำให้แสงจันทร์ที่ลอดผ่านมาและสว่างเพียงพอที่จะมองไปรอบๆ ได้ น้ำผึ้งค่อยๆ เดินเข้าไปสำรวจกระท่อมหลังนั้น บ้านไม้เก่าผุยกพื้นสูงแบบบ้านพื้นเมืองอีสาน....เอ้ะ นี่เธอถูกลักพาตัวมาปล่อยแถวที่เขาใหญ่กันนะ น้ำผึ้งนึกสงสัย ถึงแม้กระท่อมเก่าๆ นี่จะดูน่ากลัว แต่เธอก็คิดว่าคงจะดีกว่าเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกมืดๆ ค่ำๆ แบบนี้ และบางทีคนที่อยู่ที่นี่บอกเธอได้ว่าเธออยู่ที่ไหน
“สวัสดีค่ะ...” น้ำผึ้งพยายามเค้นเสียงออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ใจหนึ่งก็นึกไปถึงพวกพรานเถื่อนที่เห็นตามละครไทย แต่อีกใจก็นึกไปถึงบ้านหมอผีเฒ่าที่อาจกำลังทำพิธีปลุกเสกควายธนู
น้ำผึ้งส่ายหน้าไล่ความคิดบ้าๆ ในหัวตัวเอง เพราะแต่ละอย่างมีแต่ทำให้เธอกลัวมากไปกว่าเดิม
“มีใครอยู่ไหมคะ” น้ำผึ้งถามกึ่งกระซิบกึ่งตะโกน แต่ก็ไร้เสียงตอบรับ จนกระทั่งเธอเดินมาถึงที่ทางขึ้นบันไดหน้าบ้าน เมื่อมองขึ้นไปเธอก็เห็นระตูบ้านเปิดอยู่ แต่ข้างในกลับมืดสนิท เธอพยายามคิดบวกไว้ว่าบางทีเจ้าของบ้านอาจจะหลับอยู่
หญิงสาวชั่งใจอยู่หลายนาทีว่าจะขึ้นไปดีไหม แต่พอมองกลับไปเห็นป่าทึบด้านหลัง เธอจึงตัดสินใจ เอาก็เอาวะ
เอียด แอด...
พื้นกระไดส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกฝีก้าวที่น้ำผึ้งย่ำลง ท่ามกลางความเงียบสะงัด น้ำผึ้งรู้สึกราวกับเสียงฝีเท้าเธอดังก้องไปทั้งป่า
น้ำผึ่งค่อยๆ เดินเข้าไปข้างใน มือก็พลางคลำไปกับผนังแต่ก็ไม่เจออะไรที่คล้ายกับสวิตช์ไฟเลย แต่แสงจันทร์ที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ก็เพียงพอที่ทำช่วยให้มองเห็นรอบๆ ห้อง ภายในตัวบ้านไม่มีใครอยู่ มีเพียงห้องโล่งๆ กับมุ้งและที่นอน เพดานสูงโปร่งไม่มีฝ้า หลังคาสังกะสีผุเป็นรูจนแสงลอดลงมาได้
น้ำผึ้งบอกไม่ถูกว่าจะเสียใจหรือโล่งใจดีที่ไม่มีคนอยู่ เธอจึงเดินกลับออกมานั่งอยู่ที่หัวกระได พลางทอดสายตาออกไปเรื่อยเปื่อย บรรยากาศรอบๆ ตัวเธอทั้งมืด ทั้งเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีดเรไร แสงจันทร์อันน้อยนิดก็ถูกเมฆหนาบดบังไปเสียแล้ว
“เจ๊จ๋า ฉันควรจะทำยังไงดี” น้ำผึ้งพึมพำก่อนจะซุกหน้าลงกับอ้อมแขนของตัวเอง เธอแค่รู้สึกว่าถ้าพี่สาวฝาแฝดอีกสองคนอยู่ด้วยกันตอนนี้ก็คงจะดี เธอไม่ได้มีความเป็นผู้ใหญ่ เด็ดขาดและฉลาดอย่างสายน้ำแฝดคนโต เธอไ่ม่ได้เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเหมือน เนล ฝาแฝดคนกลาง ทั้งที่พวกเธอเกิดแทบจะพร้อมกันแท้ๆ แต่กลับแตกต่างกันเหลือเกิน แล้วก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งสองคนจะเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน ที่อยู่ๆ ก็หายตัวไปแบบนี้
แครกๆ
เสียงคนเดินดึงสติของน้ำผึ้งกลับมา เธอสังเกตุเห็นเงาตะคุ่มๆ สองเงากำลังตรงมาทางนี้ ขณะที่เธอกำลังจะลุกเพื่อออกไปดู ความรู้สึกบางอย่างกลับบอกเธอว่า อย่า!! ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่น้ำผึ้งเชื่อมากที่สุดมากกว่าสมองที่แม้จะมีไม่มากก็คือสัญชาตญาณของเธอเอง เธอจึงตัดสินใจเข้าไปหลบหลังกองฟางที่ใต้ถุนบ้าน
เสียงกรอบแกรบของฝีเท้าที่ย่ำลงบนหญ้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวใจของน้ำผึ้งสั่นระรัว แต่ดูเหมือนคนที่ตื่นตัวกับการปรากฎตัวของเจ้าของเงาทั้งสองจะไม่ได้มีแค่น้ำผึ้งคนเดียว เธอเอามือปิดปากแทบไม่ทันเพราะตกใจที่อยู่ๆ ไก่ในเล้าก็ส่งเสียงร้องอย่างแตกตื่นจน เพราะตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่เธอไม่ได้ยินเสียงไก่เลยซักนิดจนกระทั่งเมื่อครู่นี้ ยิ่งเห็นสัตว์ปีกตื่นตกใจกันแบบนี้เหมือนยิ่งทำให้น้ำผึ้งเชื่อใน สัญชาตญาณตัวเองมากขึ้นว่า เธอไม่ควรจะอยู่ที่นี่
เมื่อเสียงเข้าใกล้ เธอพยายามเงี่ยหูฟังว่าทั้งสองคนเป็นใครและคุยอะไรกัน
“โถ่ตาแก่ นี่แกไม่ปิดบ้านอีกแล้วเรอะ” เสียงแหบพร่าของผู้หญิงดังขึ้นก่อน
“โอยยายแก่ จะเสียแรงปิดทำไม แถวนี้มันจะมีจงมีโจรที่ไหน” เสียงทุ้มแหบๆ ของชายที่คาดว่าน่าจะชราภาพพอสมควรดังตอบ
“เออๆ ดูสิวันนี้ออกไปก็ไม่ได้อะไรซักอย่าง ข้าล่ะหิวจนลมจะจับอยู่แล้ว”
“งั้นก็ไปเอาไก่มาซักตัวสิ ข้าเองก็หิวเหมือนกัน”
น้ำผึ้งแอบรู้สึกโล่งใจ จากที่ฟังจากเสียงเจ้าของบ้านหลังนี้น่าจะเป็นแค่ตายายแก่ๆ ซึ่งฟังดูแล้วไม่น่าจะมีพิษมีภัย และบางทีอาจจะเอ็นดูสงสารที่เธอต้องมาหลงอยู่กลางป่าก็ได้ แต่เธอก็ยังขอดูลาดเลาไปก่อน ขณะที่สองตายายค่อยๆ เดินเข้ามายังเล้าไก่ ในใจเธอก็คิดว่าที่ไก่พวกนี้แตกตื่นคงเพราะรู้ว่าจะถูกเอาไปต้มแหงๆ
ร่างบางค่อยๆ เอี้ยวตัวไปหลบอีกฝั่งของกองฟาง ซึ่งเป็นมุมอับถ้ามองจากทิศของเล้า น้ำผึ้งค่อยๆ ชะโงกหน้าไปดูช้าๆ ภาพที่เธอเห็นคือสองตายายเดินหลังค่อมๆ กำลังเดินดุ่มๆ ก่อนที่คุณตาจะเปิดประตูเข้าไปในเล้า เหล่าไก่ในเล้าก็ร้องแรกแหกกระเชอบินเต้นกันให้วุ่นขณะที่คุณตาเดินเข้าไปก่อนจะคว้าไปที่คอไก่ตัวหนึ่ง น้ำผึ้งคิดว่าคุณตาต้องหักคอไก่แบบสดๆ แน่ๆ แค่คิดเธอก็มือไม้อ่อนด้วยความกลัว รางบางเลยหลบกลับไปหลังกองฟาง เสียงไก่ตัวอื่นๆ เองก็เงียบไป เหลือเพียงเสียงของไก่ที่คาดว่าเป็นตัวที่โชคร้ายตัวนั้นที่ส่งเสียงฟึดฟัดน่าจะเพราะถูกบีบคอ น้ำผึ้งเอามือปิดหูไว้แน่น แต่กระนั้นก็ยังได้ยินเสียง สวบ ดังตามด้วยเสียงร้องกะต้ากสุดท้ายของไก่และเสียงก็เงียบไป
เดี๋ยวนะ สวบ เหรอ น้ำผึ้งถามกับตัวเอง เพราะเธอคิดว่ามันควรจะเป็นเสียงกร๊อบเหมือนเวลาหักคุ๊กกี้ไม่ใช่เหรอ ด้วยความสงสัยเธอเลยโผล่หน้าออกไปดูอีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้าทำให้น้ำผึ้งแทบจะลืมหายใจ
ของเหลวไหลเป็นทางหยดติ๋งๆ ตามแขนของชายชรา และเลือดไหลออกจากทวารหนักจากซากของไก่ตกอยู่ที่พื้น แต่ส่ิงที่น่ากลัวกว่านั้นคือสองตายายซึ่งนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ซากไก่และกำลังยัดเครื่องในสดๆ เข้าปากอย่างตะกละตะกลาม แสงจันทร์ที่ส่องมาอีกครั้งเผยให้เห็นถึงเลือดสีแดงสดที่เปรอะเปื้อนไปทั้งหน้าและมือของชายหญิงชราคู่นี้
ปอป!!! ส่ิงมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่น้ำผึ้งคิดถึงในตอนนี้ ถึงแม้เธอจะไม่เคยเชื่อเลยก็ตามก็คือ
แขนขาของเธอสั่นด้วยความกลัว ร่างบางค่อยๆ ถอยหลัง แต่เพราะความไม่ระวังทำให้เธอเผลอไปเหยียบกระดูกไก่ที่ตกอยู่ตามพื้น
กร๊อบ!!
ดวงตาสีแดงก่ำดั่งเลือดหันขวับมาทางต้นเสียง ทั้งสองคน..หรือตนแสยะยิ้มโชว์ฟันแหว่งๆ ที่บัดนี้เคลือบไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน น้ำผึ้งเองยังคงถอยหลังไปเรื่อยๆ ด้วยความสั่นเครือ ขณะสองตายายทิ้งเครื่องในไก่ลงกับพื้นแล้วค่อยๆ ก้าวเข้ามาไปหาเธอ
ทีละก้าว...ทีละก้าว...
“ดูดู๋สิจ้ะตาแก่ ว่าเราเจอใครกัน” คุณยายว่าพลางพงกหัวไปซ้ายทีขวาทีอย่างกับตุ๊กตาลิง
“ดูดู๋ยายแก่ ถึงว่าข้าได้กลิ่นหอมแปลกๆ” ชายชราหัวเราะหึๆ
“ยะ…ยะ…อย่าเข้ามานะ” น้ำผึ้งว่าเสียงสั่นขณะที่ค่อยๆ ถอยออกจนพ้นจากไต้ถุนบ้าน
“โถๆ แม่ทูลหัว อย่ากลัวไปเลย มาหายายสิจ๊ะ”
“โถๆ แม่หนูน้อย อย่ากลัวไปเลย เดี๋ยวพวกตาจะปลอบหนูเองนะจ๊ะ”
ทั้งสองว่าราวกับต่อกลอน ทั้งที่สมองสั่งให้เธอรีบหนีจากตรงนี้ แต่น้ำผึ้งเองกลับก็ขาสั่นจนไม่มีแม้แต่แรงที่จะวิ่ง ทำได้เพียงถอยหนีทีละก้าวๆ
“ยะ…อย่านะ ฉะ....ฉัน.....” ถึงเธออยากจะบอกว่าเธอมีพระแต่ด้วยความที่เป็นคนไม่มีศาสนาเธอก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาสู้กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรจะมีตัวตนสองตนนี้
ตาเฒ่าและยายเฒ่าทั้งสองเดินตามออกมาจนพ้นจากเงาบ้าน พร้อมกับใบหน้าที่เคลือบยิ้ม
“ตาจ๋า”
“จ๋ายาย”
“พวกเรา..คงจะสนุกแน่ๆ คืนนี้....”
ชายหญิงชราหัวร่อชอบใจ ก่อนทั้งสองจะตั้งท่าอีปอบหยิบ ซึ่งน้ำผึ้งเคยเห็นภาพแบบนี้แค่ในหนังตลก แต่ไม่คิดว่าชีวิตนี้ต้องมาเจอของจริง ทั้งสองหันมามองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนจะถลาเข้ามาหาน้ำผึ้งแบบลืมอายุตัวเอง
“กรี้ดดดดดดดดดด” หญิงสาวเองเห็นเช่นนั้นก็รีบบึ่งหนีทันทีแบบไม่มีเวลามายืนสั่นแล้ว เธอไม่คิดว่าสองตายายที่ดูแก่หง่อมหลังค่อมขาโก่งจะกระโจนเข้ามาหาเธอได้เร็วขนาดนี้
เธอว่ิง ว่ิง วิ่ง และ วิ่ง ปากก็ตะโกนขอความช่วยเหลือโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองข้างหลัง เพราะเสียงกรอบแกรบของกิ่งไม้ใบหญ้าที่ดังไล่มา หมายความว่าสองตายายนั่นยังคงตามาติดๆ ในใจก็ได้แต่คิด ทำไมกันๆ ทำไม่ชีวิตเธอต้องมาเจออะไรแบบนี้ แล้วทำไมกันๆ ทำไมสองตายายนั่นถึงได้วิ่งไวปานซดกระทิงแดงมาแบบนี้
ไม่ว่าน้ำผึ้งจะว่ิงไปไกลแค่ไหน แต่เสียงข้างหลังก็ยังคงตามมาติดๆ หลังจากที่วิ่งเข้ามาในป่าทึบได้ซักพักเธอก็รู้สึกได้ว่าเสียงข้างหลังฟังดูดังโหวกเหวกกว่าเดิม เมื่อเธอหันกลับไปมอง จากวิ่งๆ อยู่ เธอก็อยากจะหัวใจวายตายเสียตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด
ภาพตรงหน้าไม่ใช่เพียงสองตายายอีกต่อไป แต่ราวกับปอปทั้งหมู่บ้านกำลังวิ่งตามเธอ ดวงตาสีแดงก่ำกว่า ๒๐ คู่ จ้องมาที่เธออย่างหิวโหย ความอ่อนล้าที่เริ่มก่อตัวขึ้นหายไปทันใด สิ่งเดียวที่สมองสั่งเธอตอนนี้คือ โกย!!!!!!!
.
.
.
สวัสดีครับ ผมพึ่งลองเขียนนิยายแบบบรรยายเป็นครั้งแรก รบกวนพี่ๆ น้องๆ นักอ่านนักเขียนช่วยวิจารย์ให้หน่อยนะครับ ว่าตรงไหนควรแก้อะไรยังไง
ขอบคุณครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ