ขอทีเถอะคุณรุ่นน้อง ช่วยอย่ามาเปลี่ยนความรู้สึกผมท
เขียนโดย Miyamura
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 11.18 น.
แก้ไขเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 18.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) การสร้างสรรค์โลกที่ไร้ความรู้สึก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘ความรู้สึกคือสิ่งจอมปลอม ไร้ซึ่งความหมาย ไร้ซึ่งที่มาที่ไปอย่างแน่ชัด ทุกอย่างองค์ประกอบของความรู้สึกนั้นมีแค่เพียงเศร้าโศก ความเสียใจ และความผิดหวังรออยู่ตรงหน้าเท่านั้น มันทำให้คนเราอ่อนแอลง ใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นอยู่ไม่ได้เหมือนกับดาบสองคมที่ไว้ใช้ทิ่มแทงเราได้ตลอดเวลา สรุปแล้วความรู้สึกมันเป็นเพียงข้อบกพร่องซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด และถ้าสิ่งนี้หายไปได้มันก็คง…”
วันจันทร์ที่7 พฤษภาคม ค.ศ.3149
การเรียนในแต่ละวันของผมได้จบลงโดยที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาอีกเลย ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาตัวผมไม่คิดที่จะหาเพื่อนหรือต้องการความรู้สึกเลยสักอย่าง มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกในตอนนั้นก็คงเข้าใจแล้วว่าไม่มีใครที่สามารถเข้าใจกันได้100เปอร์เซ็นต์หรอก เพราะอย่างนั้นผมจึงเลือกที่จะถอยห่างปราศจากเพื่อนฝูง และหันมาวาดรูปรวมถึงแต่งนิยายอย่างจริงจัง
‘คนที่สามารถเข้าใจความรู้สึกของผมได้นั้นคงมีเพียงแค่ภาพวาด และผู้หญิงสองมิติเท่านั้น’
มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกที่ไม่จำเป็น สิ่งที่ไม่จำเป็น เพื่อนฝูงหรือสิ่งต่างๆเราพยายามทำขอบเขตสีเหลี่ยมกั้นขึ้นมาเหมือนห้องปิดตายเพื่อให้ไม่มีใครเข้าหา มันทั้งเจ็บปวด ทั้งทรมาน ในตอนนั้นความรู้สึกที่โดนบดขยี้เป็นผุยผง ผมก็ได้ตั้งทัศนคติของตัวเองขึ้นมาว่า ‘การมีความรู้สึกมันคือความผิดพลาดของมนุษย์ และการมีเพื่อนมันคือความสิ้นหวังของชีวิต’
ตั้งแต่นี้มาชีวิตประจำวันของผมก็เหี่ยวแห้งมาโดยตลอด ไร้สีสัน ไร้ผู้คน ทั้งเงียบสงบ และไร้ความรู้สึก
เมื่อเวลาพักเที่ยงมาถึง เสียงออดดังกังวานผมมักจะใช้ชีวิตในการกินข้าวกล่องอยู่คนเดียว อย่างในห้องสมุด หรือบนดาดฟ้าของโรงเรียน
“สภาพสังคมในปัจจุบันมันต่างไปจากเดิมแล้วสินะ”
เพราะการหมกมุ่นอยู่แต่หน้าหนังสือผมจึงไม่รู้ว่าโลกที่แสนกว้างใหญ่ โลกที่มีชีวิตชีวาเป็นอย่างไร ถึงเคยมีก็ลืมไปหมดแล้ว
ช่วงของสภาพสังคมในก่อนหน้าเมื่อ1100ปีก่อน เป็นสภาพสังคมที่มีแต่ความแตกแยก มีการแย่งชิงกัน ทั้งหมดล้วนเกิดมาจากความรู้สึก พอเปรียบเทียบกับในปัจจุบันพบว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปเพียงแค่ความรู้สึกด้านบวก และเทคโนโลยีที่ต่างกัน
“คงเป็นอย่างนั้นสินะ”
เมื่อกินข้าวกล่องเสร็จผมแหงนหน้ามองดูบนท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยผืนฟ้าขนาดใหญ่ และก้อนเมฆบางกลุ่ม ขณะนั้นมีเครื่องบินไอพ่นลำหนึ่งกำลังทดสอบการบินโดยบินผ่านไปมาบางครั้งก็มีเสียงหน้ารำคาญดังขึ้นมาบางจังหวะ และมันก็ลับฟ้าหายไปโดยการใช้โหมดเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ซึ่งบ่งบอกให้เห็นลักษณะของเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ว่า มันไปไกลถึงขนาดนั้นแล้วสินะ
“เห— การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงทะลุเมฆเหรอ ล้ำจริงๆแฮะ”
ขณะเดียวกันประตูบนดาดฟ้าได้เปิดออกอย่างช้าๆและไร้เสียง โดยอาจารย์หญิงท่านหนึ่งซึ่งเธอมีชื่อว่า โคกะ มัตสึริ และอาจารย์ยังคงเป็นอาจารย์ประจำชั้นห้องผมด้วยเช่นกัน ในตอนนั้นได้หันหน้าไปมองอาจารย์ช่วงหนึ่ง
อาจารย์โคกะกล่าวขึ้นมาเมื่อเปิดประตูดาดฟ้า
“กินข้าวคนเดียวอีกแล้วสินะ มิยามุระ”
“อาจารย์อีกแล้วเหรอครับ”
ผมตอบกลับไปแบบเรียบๆและเงียบสงบไปอย่างตามเคย
“ถ้าอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆระวังชีวิตไม่มีสีสันเอานะ”
อาจารย์ปิดประตูดาดาฟ้าลง และเดินเข้าหามิยามุระ
“อยู่แบบนี้มันก็ดีแล้วล่ะครับ ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับใครเขาหรอก”
อาจารย์ทำหน้าหนักใจขึ้น แล้วตอบกลับ “ก็ไม่ได้บอกให้ยุ่งกับใครสักหน่อย เพียงแค่ให้หาเพื่อนสักคนที่ไว้ใจได้ไว้เท่านั้นเอง” ขณะนั้นอาจารย์ได้นั่งลงข้างๆผม
มิยามุระหันข้างมองอาจารย์โคกะด้วยแววตาแปลกไป แล้วแสะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“อาจารย์เป็นคนที่แปลกดีนะครับ แต่เวลาเรียนมันกำลังจะเริ่มในอีก2นาทีคงต้องไปแล้วล่ะครับ”
มิยามุระลุกขึ้นเก็บข้าวกล่องและเดินตรงไปทางหน้าประตู
“แต่ว่านะ อาจารย์ก็เคยไม่มีเพื่อนมาก่อนเหมือนกันเธอคงคิดว่ามันไร้สาระ หรือไม่อยากมีความรู้สึกสินะ-”
เพราะคำพูดเหล่านั้นจึงทำให้มิยามุระหยุดเดินไปชั่วครู่
“ถ้าเป็นงั้นจริง- อาจารย์ก็น่าจะเข้าใจดีนิครับ”
หลังจากนั้นมิยามูระได้เปิดประตูดาดฟ้าและเดินลงบันไดกับชั้นเรียนไปอย่างไม่มีความรู้สึกใดๆ มันคือความคิดที่แตกต่างระหว่างนักเรียนกับอาจารย์ โดยส่วนตัวความคิดมันอาจเป็นข้อสันนิฐานของมนุษย์ที่กล่าวขึ้นเพื่อโน้มน้าวใจของมนุษย์
บางครั้งก็เกิดมีคำถามในใจว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่ออะไร? ในตำราเรียนเคยกล่าวไว้ว่ามนุษย์คือสัตว์ประเสริฐซึ่งเกิดมาเพื่อความดำรงอยู่และพยายามสู้เพื่อหาฝัน แต่ความคิดเหล่านั้นสำหรับผมแล้วมันอาจเป็นเพียงแค่คำพูดของคนแปลกหน้า หรือบางครั้งโดยส่วนตัวมนุษย์อาจเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
วันเวลาได้ผ่านไปกว่าสัปดาห์ ชีวิตประจำวันของมิยามุระก็ยังคงมืดมนตามเคย ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความสัมพันธ์ และไม่มีสีสัน เปรียบได้ดั่งการใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวอันน่าเศร้าซึ่งมันเกิดเพราะเรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนจึงทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้
ในแต่ละวันจะใช้ชีวิตจดจ่ออยู่กับหนังสือ การดูอนิเม การวาดรูป และการเขียนนิยายเป็นอย่างสุดท้าย ในสี่สิ่งนี้คือกิจวัตรประจำวันที่ทำบ่อยที่สุด
ในยามค่ำคืนของวันอาทิตย์
ผมมิยามุระ อากิระ เด็กหนุ่มมัธยมปลายปี1ที่สุดแสนจะธรรมดา เป็นคนที่น่าสมเพชประกอบกับการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆกับงานอดิเรกของตน ความรู้สึกของผมมันได้เลือนหายไปนานแล้ว ทั้งความทรงจำอันแสนสุข ความทุกข์อันแสนเศร้า และความรู้สึกโกรธของใครบางคน ตัวผมได้ละทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปเสียหมด เหลือเพียงแค่ดวงจิตดวงหนึ่งที่กำลังใช้ชีวิตอย่างปัจจุบัน
ต๊อก ต๊อก ต๊อก— แป้นพิมพ์กำลังเด้งขึ้นเด้งลงอย่างเป็นห่วงจังหวะราวกับการร่ายรำของหญิงงาม มันคือการพิมพ์นวนิยายอย่างรวดเร็วโดยแต่ละคำที่กดไปจะปรากฏออกมาในรูปของตัวอักษร ทั้งรวดเร็ว ทั้งสง่างาม แต่มันกลับไร้ความรู้สึกใดๆ
สักพักต้องหยุดลง เมื่อนิ้วหลายนิ้วเริ่มหยุดเคลื่อนไหว
“บทต่อไป คืออะไรนะ?”
เช้าวันต่อมา วันจันทร์ที่14 พฤษภาคม
รถพลังงานแสงอาทิตย์ คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของโซลล่าเซลล์โดยมีหลักการทำงานเปลี่ยนจากพลังแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งปรับนำมาใช้ในยุคปัจจุบันนี้ซึ่งปรับการทำงานและโครงสร้างนิดหน่อยของโซล่าเซลล์และการทำงานของรถก็สามารถทำให้เปลี่ยนพลังเป็นได้อีกหลากหลายรูปแบบอย่างพลังงานกลซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสิ่งต่างๆภายในรถให้มีการเคลื่อนที่
ผลจากการทดลองสิ่งเหล่านี้จึงทำให้เป็นประโยชน์แก่โลกในแง่บวก และช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นด้วย
แต่ส่วนมากแล้วผู้คนมักเดินเอาเสียมากกว่าการนั่งรถพลังแสงอาทิตย์ หรือรถประจำทางคงเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกดีกว่า แต่ในทางกลับกันบางส่วนก็อาจได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่นในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา
และตัวผมมิยามุระ อากิระ ก็มักจะใช้ทางเดินเท้าเป็นส่วนมากเช่นกัน
เมื่อเดินมาถึงห้องเรียน อาคาร4 ชั้น3 ห้อง4-A
เสียงเซ็งแซ่ในการสนทนาของคนในห้องได้รับรู้เข้ามาสู่ประสาทสัมผัส มันทำให้รู้สึกว่าน่ารำญอย่างไรอย่างนั้น บรรยากาศภายในห้องทั้งวุ่นวายแต่ก็เต็มไปด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน มันเติมเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
พวกคนเหล่านั้นไม่รู้บางเลยหรือไงว่าการเข้าสังคมจะทำให้เราอ่อนแอลง และมันจะกลับมาทำร้ายตัวเราเอง
“สิ่งเหล่านั้นไม่ต้องการหรอก”
ผมพูดออกมาด้วยความแผ่วเบาในระหว่างวางกระเป๋าและนั่งที่
สิ่งที่โค้ดเนมว่าโลก ในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะ ระบบสุริยะเองก็เป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซี(Galaxy) และกาแล็กซีก็เป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ เอกภพเองก็เกิดมาจากการระเบิดครั้งใหญ่เรียกอีกอย่างหนึ่งคือบิกแบง เปรียบเหมือนการพัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละช่วงปีของวัยซึ่งจะพัฒนาจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ถ้ามองในแง่มุมเดียวมันก็คือความรู้สึกที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆของมวลมนุษย์
เมื่ออาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์เข้าคาบเรียน เป็นเวลา8นาฬิกา30นาที นักเรียนพากันต่างเงียบสงัดทั่วอาณาบริเวณห้อง และเริ่มการเรียนการสอนในที่สุด
อาจารย์ชายประวัติศาสตร์เปิดโฮแกรมซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฮเทคอีกหนึ่งอย่างที่ถูกทำการพัฒนาขึ้นเพื่อความสะดวกเช่นกัน ภาพแสดงที่ฉายขึ้นมาคือภาพสามมิติขนาดกลางพอมองเห็นได้ทั่วทั้งห้อง เป็นสภาพของแบบจำลองประวัติศาสตร์ในอดีต สิ่งที่ปรากฏขึ้นมามันคืออารยะธรรมแต่โบราณของมนุษย์ในยุคหิน ยุคโลหะ และก้าวกระโดดมายังยุคปัจจุบัน
ประกอบกับการสอนและอธิบายของอาจารย์เพื่อความเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้น จนคาบเรียนหมดลงและภาพฉายนั่นต้องหยุดลงเช่นกัน
“เอาละ ภายในคาบเรียนที่สอนมาในวันนี้ก็จบลงเพียงแค่นี้ ใครมีอะไรจะถามหรือป่าว?” กวาดสายตามองรอบๆห้อง และเอ่ยขึ้น “ถ้างั้นหัวหน้าห้อง บอกทำความเคารพ”
ทันใดนั้นเสียงของหัวหน้าห้องหญิงดังกังวานทั่วห้องด้วยคำว่า “เตรียม”และ “เคารพ” ปิดท้ายด้วยการก้มหัวและพูด “ขอบคุณครับ/ค่ะ”
เมื่อเวลาพักเที่ยงมาถึงในคาบเรียนทั้งสามวิชาของคาบเช้าก็จบลงเสียที
บรรยากาศที่แสนอบอุ่นไม่ร้อนมากเกินไปหรือหนาวเกินไปประกอบกับเมฆกลุ่มก้อนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างละมุนอย่างช้าๆ ช้าๆ ตามสายลม เช่นเดียวกับสายลมบนดาดฟ้าที่ให้อากาศอบอุ่นและเย็นสบาย เปรียบเหมือนเกรียวของสายลมที่กำลังพัดพาความรู้สึกของผู้คนทั่วโลกมารวมไว้เป็นก้อนเมฆสีขาวกลุ่มหนึ่ง
และอีกเช่นเคย ในตอนนี้ผมมิยามุระ อากิระ กำลังนั่งกินข้าวเที่ยงอยู่บนดาดฟ้า ต่อด้วยการวาดรูปของท้องฟ้าออกมาในรูปแบบของงานศิลปะ
ฟื้ด— ฟื้ด- เสียงของไส้ดินสอกดกำลังกระทบกับกระดาษอย่างช้าๆและรวดเร็วในเวลาต่อมา ทั้งโค้ง ทั้งกลม และมันก็กลายเป็นรูปร่าง ทั้งนี้แล้วผมยังได้เขียนคำบรรยายเกี่ยวกับภาพวาดรูปนี้อีกด้วย
‘ตัวเราเปรียบเสมือนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ และความรู้สึกเปรียบได้เหมือนกับก้อนกลุ่มเมฆหลายก้อนที่กำลังเคลื่อนที่อยู่’
การวาดของผมมันคือการระบายสิ่งต่างๆลงในรูปภาพรูปหนึ่งเมื่อเราเริ่มต้นวาดมันขึ้นมา ทั้งใช้ทักษะ ทั้งความประณีต รวมถึงสมาธิ แต่สำหรับผมในตอนนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกนั่นอีกต่อไปแล้วความรู้สึกเมื่อเห็นภาพครั้งแรกมันต่างกันออกไปเมื่อเห็นภาพวาดในตอนนี้ ทั้งที่มันพัฒนาไปไกลเสียกกว่า แต่ทำไมมันถึงไม่มีความภูมิใจ...
ผมอยากจะถามตัวเองกลับว่ามันขาดสิ่งใดไป…
เวลาหลังเลิกเรียน หลังจากกลับบ้านเรียบร้อย
ภายในห้องนอน
เมื่อสมัยก่อนผมเคยจำความได้ว่าตัวเองเคยเขียนนวนิยายเรื่องหนึ่งส่งทางสำนักพิมพ์ZenLifeซึ่งเป็นบริษัทที่มีผลงานอยู่มากมายในเรื่องของนวนิยาย และในเรื่องของนิยายเรื่องต่างๆมันคือรูปแบบใหม่ของทางบริษัทที่เปลี่ยนงานเขียนของคนๆหนึ่งให้กลายเป็นราคาและรายได้ แต่ยังมีข้อเสียในหลายเรื่องด้วยกันเกี่ยวกับทางบริษัท เนื่องจากเป็นบริษัทที่โด่งดังประกอบกับการมีชื่อเสียงจึงต้องมีการพิจารณาอย่างเข้มงวดกับบรรณาธิการหลายคน เมื่อถึงขึ้นตอนสุดท้ายก็คือการสั่งตีพิมพ์
บทบาทเรื่องราวต่างๆในนั้นรวมถึงผมซึ่งคือนักเขียนนิยายอย่างเป็นทางการเมื่อ3ปีก่อน โดยสร้างประวัติศาสตร์จารึกหน้าใหม่ของวงการนักเขียนที่มียอดขายทะลุ1ล้านเล่มภายในหนึ่งเดือน
แต่ทว่าชื่อเสียง ตัวตน และคำว่านักเขียนมืออาชีพนั้นกับลดลงไปเมื่อความรู้สึกของผมได้เลือนหายไป ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเนื้อหานวนิยายของผมก็โดนตีกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนเวียนไปทุกวัน
รวมถึงเรื่องราวในตอนนี้ของผมเองก็เช่นกัน กับการปั่นต้นฉบับอย่างหนักเอาการจนทำให้งานหลายอย่างล่าช้าลงอย่างการบ้าน หรืองานภายในบ้าน วันแต่ละวันของสัปดาห์ต้องทำให้ผมมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกวันอย่างนี้
“เนื้อเรื่องก็คงประมาณนี้ ที่เหลือก็คงเป็นฉากต่อไป…”
ต๊อก! ครั้นเมื่อการพิมพ์ถึงคราวเสร็จสิ้นตัวผมเริ่มนอนหลับลึกลงไปในห่วงแห่งความฝัน และในค่ำคืนวันนี้ก็ได้จบลงเหมือนอย่างเคย
วันต่อมา
มิยามุระถือสมุดเล่มเล็กตลอดทางเดินไประหว่างโรงเรียนทั้งยังจดสิ่งที่เขาเห็นในสิ่งที่คิดว่าน่าสนใจ และมันได้เริ่มต้นขึ้นไปเพราะเหตุนั้นจึงทำความคิดต่างๆเริ่มแตกหน่อขึ้นมาราวกับมันได้รับอาหาร ทั้งข้อมูล ทั้งสิ่งที่น่าจำเป็น เมื่อถึงในโรงเรียนก็ยังคงถือมันอยู่ตลอดเวลาคอยตรวจเช็ค คอยจด คอยเฝ้าดู และมันก็ได้ผลสำหรับเขา ทำให้เรื่องราวต่างๆกำลังตื่นขึ้นและได้จุดประกายสิ่งเหล่านั้น มันกำลังเคลื่อนพลราวกับทหารม้ากว่า3000พันนายในสนามรบอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงเวลาหลังเลิกเรียนมิยามุระมักจะเดินอ้อมดูโรงเรียนเพื่อหาแรงบันดาลใจ และสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นซึ่งเกิดมาจากโลกความเป็นจริงไม่ใช่โลกเสมือนจากอนิเม ก็จริงอยู่ที่ว่าผมใช้อนิเม และงานศิลปะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ถ้ายังคงเป็นแบบนั้นงานเขียนของเราก็คงไม่มีทางพัฒนาและต้องโดนตีกลับซ้ำอีกรอบ
ช่วงเวลาไร้ซึ่งผู้คน ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน หรือแม้กระทั่งการหาข้อมูลนอกสถานที่ใกล้บ้านในตอนกลางคืน และวันพรุ่งนี้ก็คงเป็นสวนซากุระ
ข้อมูลที่ผมศึกษามาได้ภายในวันนี้นั้นมันคือสิ่งที่ยังไม่เข้าใจเท่าไร และมันยังคงต้องใช้เวลาในการพิจารณาอีกมาก ฉะนั้นสถานที่ในโอกาสต่อไปก็คือสวนซากุระซึ่งเต็มไปด้วยดอกซากุระมากมาย
เช้าวันต่อมา ในเวลา12นาฬิกา
บนดาดาฟ้าอาคาร4
“ก่อนที่จะไปสวนซากุระ ยังไงก็ต้องเติมพลังก่อนล่ะนะ”
เอี๊ยด— เสียงประตูลากยาว และปิดลงไปโดยผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่สิ โดยอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเธอคืออาจารย์ประจำชั้นของผมอีกแล้ว
“มาที่นี่อีกแล้วเหรอครับ”
“ไม่ได้จะมารบกวนอะไรหรอกนะ ก็แค่อยากให้เธอรีบส่งข้อมูลแบบฟอร์มในอนาคตเท่านั้นเอง”
? เรื่องนั้นเองเหรอ
“ครับๆ เอาเป็นว่าผมจะส่งให้ตอนหลังเลิกเรียนแล้วกัน แล้วก็ช่วยปิดประตูก่อนออกไปด้วยนะครับ”
อาจารย์จ้องเขม่นด้วยสายตาอย่างน่าหนักใจ ถอนลมหายใจออกมายาวประกอบกับมือข้างขวากุมหัวตัวเองและส่ายหน้าไปมา
“อย่าคิดแต่ที่จะอยู่คนเดียวสิ มิยามุระ”
“…”
“ครูเองก็ใช่ว่าจะมาหาเธอเรื่องเดียวหรอกนะ เหตุผลที่มาก็เพราะมีคนฝากส่งจดหมายมาให้เธอโดยผ่านอาจารย์ต่างหาก”
“?”
จดหมาย— การคิดสถานการณ์แบบนี้จะมีทั้งหมดสองแบบด้วยกันคือหนึ่งจดหมายบอกรัก และสองจดหมายท้าประลองตามฉบับของอนิเม
ความคิดที่กำลังพุ่งสูงขึ้นไร้ขีดจำกัดบวกกับหน้าตาซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากเดิม ยังคงเพลียๆ ยังคงหน้าตายเหมือนไร้ความรู้สึกเช่นเดิม
มิยามุระเบนสายตามองจดหมายในมืออาจารย์
“ถ้าให้เดาเหมือนว่าจะเป็นจดหมายรักสินะครับ”
“เอ๊ะ? เธอรู้แล้วเหรอ”
“ไม่หรอกครับ ง่ายๆขั้นแรกเลยก็สังเกตจดหมายที่อยู่บนมือของอาจารย์ ขั้นสองก็หาจุดสังเกตของจดหมาย และข้อสามก็ทำการประมวลผลและตอบออกมาเป็นรูปธรรม”
“งะ งั้นเหรอ”
“แปลกไปกว่านั้นทำไมถึงได้มีจดหมายแบบนั้นมาหาผมได้กัน สกิลติดตัวของผมมันน่าจะเป็นการลบตัวตนนี่นา— อืม— แปลกมากๆ”
“อะ อ่า นั่นสินะ” อาจารย์โคกะพลางพูดเสียงสั่น และเดินเข้ามานั่งใกล้มิยามุระ
ผมจ้องตาเขม่งไปที่อาจารย์
“หรือว่า— อาจารย์ส่งมางั้นเหรอครับ”
ฉับ!!!!! มือของอาจารย์ฉับลงมาใส่หัวของมิยามุระอย่างแรง
“พูดบ้าอะไรของเธอน่ะ ถึงเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่คิดที่จะเลือกวิธีการเด็กๆแบบนี้หรอกนะ” อาจารย์โคกะเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
มิยามุระพลางครุ่นคิดอีกชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้น “อาจารย์คงแก่เกินไปสินะ”
!!!! อาจารย์โคกะสีหน้าโกรธขึ้นมา กำหมัดแน่นแกร็ก! “ไอ้เด็กนี่ ดูถูกกันได้นะ” พูดอย่างแผ่วเบา
“นอกจากนั้นแล้วอาจารย์พอรู้บ้างหรือป่าวครับว่าใครเป็นคนให้จดหมายฉบับนี้มา”
“เรื่องนั้นไม่รู้หรอก นั่นก็เพราะเธอสวมถุงกระดาษปิดหน้าไว้นี่สิ”
“นั่นโจทย์หรือไงครับ ก่อนจะหัดรับอะไรก็หัดดูหน้าค่าตาหน่อยสิครับ อาจารย์นี่ใช้ไม่ได้จริงๆเลย”
“ใครเขาให้พูดถึงครูบาอาจารย์ในด้านลบต่อหน้าด้วยกันเล่า เธอนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ แล้วจะทำยังไงต่อไปละมิยามุระ จะไปหรือไม่ไป”
“เรื่องนั้นก็คง…”
● ● ● ● ● ● ● ● ● ● ● ● ● ●
สรุปแล้วมิยามุระก็มาตามจดหมายฉบับนั้น
ส่วนเนื้อหาเองก็เหมือนจะกล่าวอ้างอิงมาจากสวนซากุระซึ่งเป็นที่ๆเราต้องไปอยู่แล้วด้วย แต่ทำไมข้อความในจดหมายถึงต้องระบุเป็นสวนซากุระ ทั้งที่มันควรจะเป็นห้องเรียน หรือบริเวณใต้ต้นไม้หลังโรงเรียน
จากข้อความในจดหมาย ‘ถึงรุ่นพี่มิยามุระ ตัวฉันนั้นคอยเฝ้ามองการเจริญเติมโตของรุ่นพี่มาโดยตลอด ทั้งตอนทุกข์ และตอนเศร้าเอง รวมถึงบรรยากาศต่างๆที่รุ่นพี่มักสร้างมาด้วยความกรีดกรันมันทำให้ฉันรู้สึกว่ารุ่นพี่กำลังพบเจอกับอะไรบางอย่างอยู่ ดังนั้นสวนซากุระน่าจะเป็นที่ๆเราควรจะเจอกันมากที่สุด เพื่อไม่ให้ใครอื่นเห็น เพื่อบรรยากาศที่สวยงาม นอกจากนั้นแล้วผลงานของรุ่นพี่ฉันก็ชอบมากที่สุดเลย รักนะคะรุ่นพี่มิยามุระของฉัน’
บทความข้างต้นคือเนื้อความภายในจดหมายที่ส่งมาโดยไม่มีชื่อระบุ มีเพียงแค่จ่าหน้าสองสีชมพูแปะด้วยสติ๊กเกอร์รูปหัวใจเท่านั้น
เวลาหลังเลิกเรียน ณ สวนซากุระ
“เราน่าจะถามชื่อเธอจากอาจารย์โคกะมาก่อนหน้านี้แฮะ ทั้งชื่อ หรือสถานที่ก็ไม่มีบอกเลย”
ระหว่างเดินมิยามุระพลางพลิกซองจดหมายไปมาเพื่อหาสถานนัดพบของจดหมายฉบับนี้ เหมือนว่านอกจดหมายจะมีแผ่นกระดาษชิ้นเล็กซ้อนอยู่ในซอง ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน
‘บริเวณสวนซากุระ ซึ่งเป็นจุดชมวิวและจุดวาดภาพที่สวยที่สุด’
“สวยที่สุดเหรอ? เห้อ— ไม่ค่อยอยากมาทำธุระเรื่องแบบนี้เลยแฮะ”
ในใจของผมคิดว่า ‘ช่างมันไปก็แล้วกัน’
เพราะเราเองก็ไม่ได้มาสวนซากุระเพราะเหตุนี้ แต่มาเพื่อหาข้อมูลสำหรับเขียนข้อมูลนวนิยายต่างหาก
หลังจากการสรุปที่แน่ชัดทำให้มิยามุระเลิกอ่านจดหมาย และไม่คิดที่จะไปตามจุดนัดพบภายในจดหมาย เขามุ่งหน้าไปยังสนามเด็กเล่นของสวนซากุระแทนเพื่อที่เขาจะได้หาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กๆมากขึ้น และหาข้อมูลเกี่ยวกับบรรยากาศรอบตัวไปด้วย เปลี่ยนจากถือจดหมายมาเป็นสมุดเล่มเล็กและเริ่มเข้าสู่โหมดค้นคว้าโดยสมบูรณ์
สวนซากุระคือเขตอนุรักษ์พันธุ์ซากุระนานาชนิดทั้งหมด5ชนิดด้วยกันประกอบด้วย โซเม โยชิโนะ (Somei Yoshino) ยามะซากุระ(Yamazakura) คันซากุระ(Kanzakura) ชิดาเระซากุระ(Shidarezaukura) และคาวาซึซากุระ(Kawazuzakura) ซากุระเหล่านี้ล้วนคือต้นซากุระที่ทำการดัดแปลงด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาสตร์เพื่อให้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ ประกอบกับการเจริญเติบโตของดอกซากุระนอกฤดูกาลจึงทำให้สวนแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าสวนซากุระไม่ร่วงโรย
นั่นคือที่มาของสวนซากุระแห่งนี้ มันคือสถานที่ที่วิเศษสำหรับคนหลายๆคนเปรียบได้ดั่งหัวใจของจังหวัดแห่งนี้เลยก็ได้ บรรยากาศซึ่งเต็มไปด้วยความอบอุ่น ความสนุกสนาน ความโศกเศร้า และความรัก ทุกความรู้สึกกำลังอบอวล ณ สวนซากุระแห่งนี้
เมื่อเดินเข้ามาถึงสนามเด็กเล่นภายในสวนซากุระพบเด็กมากมายรวมถึงผู้ใหญ่บางกลุ่มกำลังนั่งจิบช้าอย่างอ่อนโยน และเด็กกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน ท้องฟ้ากับบรรยากาศซึ่งเอื้ออำนวยมันกำลังบดบังแสงของดวงอาทิตย์ให้อ่อนลงเหมาะกับเวลาหลังเลิกเรียนเช่นนี้
“อ๊า— นี่แหละบรรยากาศที่ต้องการ” กล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบา
ผมเดินดูรอบๆสวนซากุระพร้อมจดบันทึกประกอบกับภายในหัวตอนนี้นั้นมันรู้สึกโล่งและขาวโพลนไปหมด อบอุ่นเหลือเกินบรรยากาศเช่นนี้ ขนาดผมที่ขาดความรู้สึกไปแล้วยังสามารถรับรู้ถึงอนุภาคของความรู้สึกได้ขนาดนี้
“มันช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน”
ผมกล่าวขึ้นมาลอยๆกับความสวยงามของสวนซากุระในครั้งนี้
ในรอบปีที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้มาสักเท่าไร เพราะแต่ละวันของช่วงชั้นมัธยมต้นก็ยุ่งไปกับการบ้าน และการดูอนิเมหลายเรื่องทำให้ไม่ค่อยรู้ถึงความรู้สึกที่อัดแน่นแบบนี้มากเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นสนามเด็กเล่น เวทีการแสดง หรือต้นซากุระเอง ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างนั่งอมยิ้มตลอดทางเดินที่ผ่านมา ไม่เว้นแต่…
‘นี่- ตัวผม คิดว่ามนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร ตัวผมคงเคยคิดเช่นนี้’
มิยามุระเดินนั่งพักเก้าอี้ไม้หินอ่อนริมทางมีซากุระพัดปลิวไสวให้ความรู้สึกสดชื่นตาม
‘ในตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะ ว่ามนุษย์นั้นเกิดมาเพื่ออะไร…’
เพื่ออะไรน่ะเหรอ?
‘ความสุขยังไงล่ะ’
ความสุข?
อืมใช้แล้วล่ะตัวของผม เพราะมนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุขเหมือนกับทุกคนที่อยู่ภายในสวนซากุระแห่งนี้ยังไงล่ะ
แกรไฟต์ของดินสอกำลังลงตัวอักษรอย่างชำนาญการ เป็นความรู้สึกซากๆหูเมื่อได้ยิน แต่มันคือเสียงกระทบแห่งความเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานข้อมูลที่จะทำให้มิยามุระพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
บางครั้งคนเราก็คิดว่าโชคดีจังนา— หรือโชคร้ายจังนา— คำพูดเหล่านี้คือคำพูดเพื่อแสวงหาความสุขรอบตัว และอยากให้มีสิ่งดีๆเข้ามาหาตัวเราบ้าง ดังนั้นมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีการตอบโต้ การแสดงความคิดเห็น และการแสดงความรู้สึกออกมาผ่านการกระทำ
มิยามุระนั่งปราดเหงื่อของตัวเองที่ไหลออกมา
“เสร็จสักที-” ผมกล่าวขึ้นมาลอยๆอย่างโล่งอก
“เสร็จอะไรงั้นเหรอคะ?”
“หาข้อมูลยังไงล่ะ… ” เสียงของใครที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน สัมผัสและความรู้สึกแตกต่างจากคนทั่วไป พอหันหน้าขึ้นมองอีกที “ไม่ใช่สิ นี่เธอ— เป็นใครกัน?”
ผู้หญิงผมสีน้าตาลแดงยาวคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าผมอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่เคยเห็น ไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำ และไม่คุ้นหน้าค่าตากับเธอเลยแม้แต่น้อย
“โธ่— ก็คนที่ส่งจดหมายหารุ่นพี่มิยามุระยังไงล่ะคะ” เธอทำแก้มป่องไม่พอใจ แล้วจ้องสายตาเขม็งอย่างสบอารมณ์
“จดหมาย? อืม…”
มิยามุระได้เพียงแค่ครุ่นคิดเรื่องของจดหมาย
“อ๊ะ! หรือว่าเธอคือ-- ”
“ใช่คะๆ” เธอพยักหน้าและแสดงสีหน้าอย่างมั่นใจ
“เธอคือคนที่มาเก็บค่าไฟที่บ้านฉันเมื่อ1เดือนก่อนงั้นสินะ ตอนนั้นฉันตกใจแทบแย่แหนะจู่ๆก็มีจดหมายส่งมาจากสำนักงานกรมไฟฟ้า แต่เธอในตอนนั้นที่มาเก็บค่าไฟบ้านฉัน- รู้สึกจะแก่กว่านี้นา— มันซับซ้อนจริงๆ”
ปัง! เธอทุบโต๊ะด้วยมืออย่างแรง “มันจะใช่ได้ยังไงกันล่ะค่าาา!!!”
“อะ เอ๋? ไม่ใช่หรอกเหรอ แล้วเธอเป็นใครกัน?”
“เห้อ— จะให้บอกสักกี่ครั้งกัน นึกดีๆสิคะจดหมายฉบับนั้น”
จดหมาย? มิยามุระพยายามนึกเรื่องราวของจดหมายอีกครั้งหนึ่งเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรออกเสียแล้ว
“หรือว่าคนที่ส่งจดหมายฉบับนี้มาคือเธอ”
ผมล้วงกระเป๋ากางเกงควักหาจดหมายแล้วแสดงให้เธอเห็น
“โธ่--” เธอทำแก้มป้องอย่างไม่สบอารมณ์
“……..”
“พึ่งจะส่งจดหมายไปแท้ๆก็กลับจะลืมกันซะได้ รุ่นพี่นี่ใจร้ายกว่าที่คิดนะคะ” เธอกอดอกแน่น แล้วพูดต่อ “ว่าแต่ว่าทำไมถึงไม่มาหากันตามที่นัดล่ะคะ”
“ก็มันแปลกไม่ใช่หรือไง ที่จู่ๆก็มีหญิงปริศนาครอบหัวด้วยถุงกระดาษประกอบกับการฝากให้อาจารย์เอาขึ้นมาให้อีก ไม่ว่ายังไงไอ้วิธีการแบบนั้นมันก็เหมือนโจทย์ไม่ใช่หรือไงฟ้ะ! แถมเราก็ยังไม่รู้จักกัน จะไปตามนัดมันก็แปลกๆ”
“เอ๋— เพราะงั้นเองเหรอคะ ฉันคิดว่าการครุมหัวด้วยถุงกระดาษแบบนั้นมันกำลังฮิตในตอนนี้ซะอีก”
“ไปอยู่โลกไหนของเธอมากันล่ะนั่น”
“ฉันคิดว่ารุ่นพี่พอได้จดหมายรักแล้วจะดีใจแบบสุดขีดจนพังบ้านตัวเองซะอีก เรื่องแบบนี้ก็แปลกเหมือนกันนะคะ”
“ฉันไม่ใช่พวกโรคจิตที่คลั่งอะไรพวกนี้สักหน่อย แถมพังบ้านมันก็เกินไปหน่อยมั้ง” มิยามุระพลางหัวเราะแห้งๆออกมาอย่างมีนัย และเอ่ยต่อ
“ขอโทษทีนะที่ต้องทำให้เธอผิดหวัง แต่ฉันเคยได้ฉายาว่าหนุ่มหล่อประจำโรงเรียนตอนอนุบาล3เลยนะเฟ้ย นับอะไรกับจดหมายแค่นี้มันไม่สะเทือนใจฉันหรอก” หัวเราะแห้งๆขึ้นมาอีกครั้ง
จากนั้นเธอก็เอ่ยขึ้น
“โฮ— สุดยอดเลยนะคะที่ชื่นชมตัวเองด้วยเรื่องสมัยเด็กแบบนั้น มันน่าขยะแขยงเข้าขั้นเลยค่ะ ไม่สิ น่าจะเป็นพวกบ้ามากกว่านะคะ” และเธอก็ยิ้มเป็นการปิดท้าย
“ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ” มิยามุระทำหน้าลำบากใจ
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้หินอ่อนตรงหน้ามิยามุระ
“เอาละค่ะ ต่อจากนี้เรามาเข้าเรื่องอย่างจริงๆจังๆกันเลยดีกว่า”
“ควรรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วนะ”
ซู้ด!! เธอซูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง และหายใจออกมาอย่างเต็มแรง พลางลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆประกอบกับกลีบของดอกซากุระที่กำลังพัดปลิวไสว
“ฉันเคียวโกะ ซาจิมะ ผู้มาจากสถาบันการวิจัยจิตใจมนุษย์โดยมีจุดประสงค์เพื่อมาปรับเปลี่ยนทัศนคติของมนุษย์ในแง่ลบให้เป็นไปในทางบวก และช่วยเหลือในด้านของการเข้าสังคมมากขึ้น รุ่นพี่มิยามุระ อากิระ ก็ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ”
“สถาบันการวิจัย? เหมือนเคยได้ยินการแนะนำตัวแบบนี้มาจากอนิเมเรื่องอะไรสักอย่างแฮะ แล้ว— ทำไมต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติด้วยล่ะ”
“เรื่องนั้นเป็นเพราะเราต้องการให้คนคิดในแง่บวก และสู้กับปัญหามากขึ้นค่ะ”
“หืม— งั้นเหรอ”
“พอสนใจขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ งั้นก็…” จากนั้นเคียวโกะก็หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋านักเรียน มันคือใบเซ็นสัญญาเพื่อรับรองการวิจัย
“นี่ค่ะ ถ้างั้นรุ่นพี่ก็เชิญเซ็นตรงนี้ได้เลยนะคะ” พร้อมกับยื่นปากกาหนึ่งด้ามให้มิยามุระ
“เดี๋ยวสิ จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ที่ฉันถามขึ้นเพราะอยากรู้เท่านั้น แต่ไม่ต้องการที่จะให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของฉันหรอก”
“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ ทางเราจะทำการสังเกตดูอยู่ไกลๆและหาวิธีการที่เหมาะสมโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเลยค่ะ”
มิยามุระเกาหัวตัวเองเล็กน้อย “ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ที่ฉันหมายถึงคือช่วยอย่ามาเที่ยวเปลี่ยนทัศนคติของฉันซี่ซั้วทีเถอะ”
“…” เคียวโกะพลางเอียงคอสงสัยประกอบกับหน้างุนงง
เข้าใจอะไรยากจังแฮะ
“ถ้าจะให้พูดง่ายๆเลยคือไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก เป็นแบบนี้ของมันก็ดีอยู่แล้ว”
“แต่แบบนั้น…”
“เอาเถอะ ถือว่าจดหมายฉบับนั้นกับเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกัน” เก็บสมุดเล่มเล็กและกำลังลุกขึ้นออกจากที่นั่ง “ฉันไปล่ะ” เมื่อสะพายกระเป๋า และเดินหันหลังให้เคียวโกะ ในระหว่างที่กำลังเดินออกไปจากบริเวณนั้น
กลับรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรดึงไว้ไม่ปล่อยให้ไปจากตรงนี้ พอหันไปมองก็พบกับมือของเคียวโกะกำลังดึงชายเสื้อเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
“รอก่อนค่ะ รุ่นพี่” เธอพูดขึ้นด้วยความแผ่วเบา
“…”
“คือว่าฉัน— รู้สึกว่า--”
บรรยากาศรอบตัวกำลังเปลี่ยนไปตามสายลมซึ่งกำลังเปลี่ยนทิศทาง ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกของเราอย่างไรอย่างนั้น มีทั้งความเข้าใจและไม่เข้าใจ ความรู้สึกที่หายไปกำลังฟื้นคืนมา สัมผัสอันอ่อนโยนทั้งอบอุ่นและนุ่มนวล สิ่งต่างๆรอบตัวกำลังผสมกลมกลืนเข้ากันทีละนิดและมันรวมตัวกันซึ่งเป็นฉากทิวทัศน์ที่ไม่เคยรู้สึกที่ใดมาก่อน
มันคืออะไร? สัมผัสและไออุ่นที่แตกต่าง…
สายลมยังคงโชยพัดมาตลอดทาง ทั้งท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีส้มและผู้คนต่างกำลังทยอยกลับทีละคนสองคนจนเกือบหายไปเสียหมด สภาพซึ่งไร้ผู้คน ไร้เสียงหัวเราะ บริเวณแทบนี้เหลือเพียงแค่ มิยามุระกับเคียวโกะอยู่เท่านั้น
ตึกตัก ตึกตัก เสียงของหัวใจกำลังร้องไห้ออกมา มันเจ็บปวด…
“ขอโทษทีนะ” ผมก้มหน้าและตอบกลับเธออย่างเศร้าหมอง
ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดกำลังฟื้นคืนมา เรื่องในตอนนั้นกำลังไหลย้อนคืนมา และผมก็เดินจากเธอไปโดยไม่หันมามองอีกเลย
คำพูดสุดท้ายของเธอมันคืออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะเสียงของสายลมและเสียงของสิ่งอื่นๆเข้ามารบกวนในตอนนั้นจึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงอันแผ่วเบานั้น สภาพและสีหน้าของเธอกำลังดูเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าทั้งชีวิตของเธอนั้นเจอเรื่องทุกข์รอนมามากมายอย่างไรอย่างนั้น
ถ้าเกิดความรู้สึกหายไปได้ก็คงดี
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ