-+White meteor(Y)+-
8.3
เขียนโดย galaxy
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 08.29 น.
1 ตอน
1 วิจารณ์
3,047 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 08.45 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Ch.01 This world needs hope.
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ CH.01
This World needs hope.
การเป็นตัวสำรองมาตลอด ทำให้ผมไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ตรงหน้าเอาซะเลย......
ในทุกๆหัวข้อสนทนา “การตายของฮีเลียม สวาเกน “ เป็นสิ่งที่คนพูดถึงมากที่สุด ถึงแม้ทางรัฐบาลใหญ่จะพยายามปิดมันแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงไม่กี่วัน สุดท้ายด้านบนสุดของ’โลก’ก็กำลังหัวปั่นกับสื่อที่รุมทึ้งพวกเขาเหมือนอีแร้ง
และโลกที่ว่าของเราก็ไม่ใช่ก้อนกลมๆอย่างที่รู้กันอีกต่อไป สำหรับเรามันคือฐานอวกาศคล้ายหอคอยที่สามารถกักเก็บ ประชากรกว่าครึ่งของโลกไว้ได้ ฟังดูยิ่งใหญ่ก็จริงแต่ไม่เลย… เอเดน ไม่ใช่โลกในอุดมคติอย่างที่ทุกคนคิด
เราคือความผิดพลาด จากโปรเจ็คสุดล้ำเลิศของนักวิทยาศาสตร์กว่าสองแสนคน และวิศวกรที่เก่งที่สุดในโลก ออกแบบอีเดนให้พร้อมสำหรับการมีชีวิตอยู่ของมนุษยชาติผ่านอุโมงค์เวลา ที่เราตั้งชื่อให้มันว่ารูหนอน โดยมีจุดหมายเพื่อค้นย้ายประชากรคุณภาพเซตแรกไปตั้งฐานใหม่ ณ ดาวเคราะห์ที่มีทรัพยากรใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด
เหตุการณ์นี้ควรจะเป็นความสำเร็จสำหรับมนุษย์ แต่เราทำพลาด.......
สุดท้ายเอเดนติดค้างอยู่ในรูหนอนไม่สามารถออกไปไหนได้ ถึงแม้ทรัพยากรในฐานจะมีมากพอให้ใช้ไปอีกนาน แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีทางหมดไป
และประชากรเซตแรกของพวกเราจะต้องตายไปอย่างไร้ค่า นักวิชาการและนักปกครองที่เหลืออยู่ร่วมมือกันค้นคว้าวิจัยอย่างสุดความสามารถ ความหวังของเราเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งสิ่งนั้นเดินทางมาถึง......
“ฉันอยากเป็นอินฟิไนท์ มั้งสักวันหนึ่ง” หนึ่งในนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์พูดขึ้น ในระหว่างที่ผมเดินผ่าน first center ของเขตที่ 12 เขาดูมีชีวิตและจิตใจของนักสู้ แต่ผมเชื่อมั่น100%ว่า ถ้าวันใดเด็กหนุ่มคนนั้นได้สัมผัสกับชีวิตของเหล่าหน่วยกล้าตายแล้วล่ะก็ เขาต้องถอนคำพูดแน่นอน..........
สำหรับประชากร อินฟิไนท์ คือความหวัง คือฮีโร่ คือความอยู่รอด พวกเขาคือคนที่สามารถขับยูทิเนียมได้..ว่ากันว่ามันคือจักรกลประหลาดที่หลุดวงโคจรเข้ามา มันคือสสารปริศนาที่ไม่มีรูปร่างแน่ชัด แต่มั่นใจได้ว่ามันมีระบบกลไกที่ซับซ้อนกว่าวิทยาการของมนุษย์จะจัดการได้ และมีการเรียนรู้ที่ดีเลิศ ยูทิเนียมมีความรู้สึกและนิสัยเป็นของตัวเอง
และจากการมาถึงของมันได้ไม่นาน.......เราก็เจอทางอยู่รอดของมนุษยชาติ
เอเดนค้นพบทางออกของรูหนอน น่าเสียดายที่มันไม่ได้พาเรากลับสู่โลก แต่ความมืดมิดก็มีแสงสว่างมาเยือนแล้ว เราอาศัยการค้นพบนี้วิจัยเครื่องที่มีชื่อว่า โอเรี่ยน ขึ้นมา
มันคือเครื่องจักรขนาดใหญ่ยักษ์ มีหน้าที่เปิดประตูมิติไปสู่อีกมิติหนึ่ง
และคนที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่ในนั้นก็คือ ....อินฟิไนท์ ผู้อาศัยความเร็วเป็นเพื่อนตาย รูหนอนมีความเลื่อมล้ำทางเวลาสูง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สามารถเปิดประตูได้นาน
พวกเราต้องแข่งกับเวลาถ้ายังอยากมีชีวิตรอด และต้องขอบคุณยูทิเนียมมันคือจักรกลอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุด ความสามารถของมันคือการแปลงกายเป็นยานพาหนะได้ทุกชนิด เพื่อเตรียมพร้อมกับทุกสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของแต่ละดาว รวมถึงความไวที่เหนือกว่าเสียง
แต่ถึงแม้ยูทิเนียมจะไร้เทียมทานขนาดไหนมันก็มีข้อผิดพลาดอยู่
จักรกลมีนิสัยและความรู้สึกเป็นของตัวเอง มีความชอบ มีพฤติกรรมที่เรียนรู้จากเจ้าของ มันเป็นตัวเลือกเราไม่ใช่เราเลือกมัน ด้วยฉะนี้จึงมีหลายครั้งที่เกิดเหตุขัดข้องระหว่างทำภารกิจ
และนั้นก็เป็นอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง...สำหรับการตายของ ฮีเลียม
ลิฟท์หลักคือเส้นทางคมนาคมสำคัญ มันถูกดูแลด้วยระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี สำหรับประชาชนลิฟท์สีขาวคือเส้นทางสัญจรหลัก ครอบคลุมในโซนชั้นของผู้อาศัย ในขณะที่ลิฟท์สีฟ้าคือลิฟท์พิเศษทำจากกระจกแก้วหนา สามารถมองทะลุเห็นความเวิ้งว้างของรูหนอนได้ชัดเจน
มีคนมารอผมอยู่แล้ว เป็นชายทั้งคู่ชุดเกราะลัดรูปคล้ายเกล็ดงู มีสีขาวซีกขวาและซีกดำข้างซ้าย ดูตอนแรกก็ตลกดี แต่ถ้าหลังจากที่ได้รู้ว่าพวกเขาทำงานให้ใคร...ก็คงหัวเราะไม่ออก
ไม่มีบทสนทนาในลิฟท์ บรรยากาศหนักอึ้ง กดดัน ผมหลีกเลี่ยงมันด้วยการมองดูรูหนอนมืดสนิทด้านนอกแทน
และในที่สุดเมื่อลิฟท์ชะลอจนหยุดลง เราก็มาถึงชั้นที่ต้องการ เราเรียกโซนนี้ว่า ลอร์ด...ศูนย์กลางของนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ และ พรรคการเมืองระดับย่อมๆ ผมรู้ว่าข้างหน้า ผมต้องเผชิญหน้ากับอะไร
ผมรู้...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
บรรยากาศรอบข้างเงียบลง นักวิทยาศาสตร์ในเสื้อกาวน์และหน้ากากรูปร่างประหลาดครอบทั้งหัว หยุดทำงานชั่วขณะและหันมาสนใจผู้มาใหม่
เราเดินผ่านสายตาสอดรู้ภายใต้หน้ากากมิดชิดไปเรื่อยๆ มีเสียงอู้อี้ กระซิบถึง “ฮีเลียม สวาเกน” มาให้ได้ยินแว่วๆ มันทำให้ผมแปลกใจ แม้แต่พวกรักวิทยาศาสตร์ยิ่งชีพยังรู้จักฮีเลียม ไม่น่าแปลกที่ผมโดนเรียกตัวมาที่นี่
“คิดว่าเขาจะมาแทนคุณฮีเลียมได้เหรอ”
“ไม่รู้ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก....”
ตรงหน้าบานประตูสีขาวกับดำ สองทหารด้านหลัง ไม่ได้ตามผมมา ต่อจากนี้คือหน้าที่ของผม อันที่จริงแล้วมันก็คือหน้าที่ของผมมาโดยตลอด สู้ด้วยตัวเองมาตลอด...และไม่เคยอยากจะมาถึงจุดๆนี้เลย
เมื่อประตูเลื่อนเปิดออก ผมก็เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ทั้งห้องเป็นสีดำดูเวิ้งว้างเหมือนอวกาศ ตรงกลางคือโต๊ะรูปสามเหลี่ยมสีขาวเรืองแสงได้ ผมค่อยๆเดินไปตรงนั้นตลอดทางมีเสียงก้องของรองเท้าชัดเจน
เพียงไม่นานก็มีภาพโฮโลแกรมระดับสูงฉายภาพของหญิงสาวสูงอายุที่มุมขวาของโต๊ะ และผู้หญิงวัยอ่อนกว่าที่มุมซ้าย ทั้งสองเหมือนอยู่กันคนละขั้วแม่เหล็ก หญิงสูงอายุในชุดสีขาวมีรอยยิ้มกว้างดูใจดี กับอีกคนในชุดสีดำ มีสีหน้าดุขึงไม่เป็นมิตร
และตราสัญลักษณ์รูปดวงตาที่ปักตรงอกเสื้อของทั้งสอง ก็เพียงพอแล้วที่จะให้ผมขนลุก
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกระทรวงกลาโหม และ ผู้บัญชาการใหญ่กระทรวงวิทยาศาสตร์....
“ยินดีต้อนรับคุณสวาเกน”
หญิงชราเป็นคนพูด
“ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และกระทรวงกลาโหมขอแสดงความเสียใจต่อพี่ชายคุณด้วย”
“ฮีเลียมสวาเกนคือหนึ่งในยอดฝีมือของเรา นี่คือการสูญเสียครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเอเดน”
คราวนี้หญิงสาวในหน้าตาจริงจังเป็นคนพูด เธอมีริ้วรอยน้อยกว่าอีกคน สำหรับผมบรรยากาศในนี้ชวนกระอักกระอ่วนจนรู้สึกแน่นหน้าอกอย่างน่าประหลาด
ฮีเลียมคือคนที่สำคัญต่อโลกจริงๆสินะ...
แล้วผมล่ะคืออะไร….
“เพราะฉะนั้น คุณก็รู้แล้วใช่ไหมคุณสวาเกนว่าเราเรียกคุณมาทำไม” นี่คนเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวต่อมนุษย์ กลัวต่อดวงตาสีดำที่กดเราไว้ได้ตลอดเวลา
“ครับ...ผมทราบครับ” รู้สึกว่าทุกๆคำที่พูดออกมายากลำบากเหลือเกิน
“ดี งั้นเราจะไม่พิธีรีตองมาก ทุกๆวินาทีของเอเดนคือค่าของชีวิตเสมอ” สิ้นคำพูดของหญิงชุดดำไป หญิงชราอีกคนก็พูดต่อ
“คุณสวาเกน จากประวัติของคุณ คุณมีผลการทดสอบที่ดีมาโดยตลอด ในฐานะของอินฟิไนท์สำรองทุกคน คุณดูโดดเด่น”
เธอเว้นหายใจนิดนึงก่อนพูดต่อ “แต่คุณแน่ใจเหรอว่า คุณเหมาะที่จะเป็นอินฟิไนท์จริงๆ”
รอยยิ้มอ่อนโยนไม่ได้ช่วยทำให้ประโยคเย็นชาดูอุ่นขึ้นเลย
“คุณไม่ได้โดนเลือกจากอินฟิไนท์ทั้ง 25 คนเพราะคุณใช้นามสกลุลสวาเกน แน่เหรอ”
ผมกลืนน้ำลาย รู้สึกเหงื่อออกมากทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และผมรู้ว่าอาการนี้จะเป็นทุกๆครั้งที่รู้สึกกดดัน...
“คุณแน่ใจเหรอ ว่าคุณไม่ได้โดนเลือกเพราะคุณคือน้องชายของฮีเลียม”
และถ้าผมตอบได้...ผมขอตอบว่า ไม่
ผมโดนเลือกเพราะว่าเป็นน้องชายเขา น้องชายของบุรุษแสนมีค่าในเอเดน...
ส่วนผมคือตัวสำรอง ของ เขา...ที่โดนคาดหวังให้ทำให้ได้เหมือนตัวจริง
คำถามคือ...ผมจะทำได้เหรอ ทำในสิ่งที่ฮีเลียมผู้ยิ่งใหญ่ทำ
คำตอบคือ ทำไม่ได้หรอก...
แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีแล้ว ถึงจะตอบในรูปแบบไหน สุดท้ายแล้วก็วนมาคำเดิม
“ผมมั่นใจครับ ว่าผมโดนเลือกไม่ใช่เพราะเป็นน้องชายของสวาเกน”
นี่คือคำโกหกที่แม้แต่ทั้งสองคนของมุมโต๊ะก็รู้มาก่อนแล้วด้วยซ้ำ แต่เราทั้งสามคนก็ได้แต่เก็บมันเอาไว้ และรอเวลาให้เป็นตัวเปิดเผยมันเอง
“งั้นก็พิสูจน์สิ ว่าคุณทำอะไรได้บ้าง”
แต่นี่ไม่ใช่คำพูดที่ผมคิดเอาไว้ว่าจะได้ยิน........
....................................................................................................................................................
“ยินดีต้อนรับสู่ฐานบังชาการอินฟิไนท์”
หญิงสาวในชุดเกราะสีดำรัดรูปพูด เธอยืนต้อนรับผมตรงประตูลิฟท์ของชั้น knight ที่แตกต่างจากชั้นอื่นเพราะมันถูกสร้างยื่นออกจากตัวเอเดน โดยมีลิฟท์พิเศษเชื่อมต่ออีกที ผมไม่เคยเข้าศูนย์บัญชาการหลักของอินฟิไนท์มาก่อนนี่เป็นครั้งแรกในหน้าที่ของผมในฐานะของอินฟิไนท์ด้วยกัน...
ตัวสำรองส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในโซนknightปลอมๆในชั้นสาม เรามีหน้าที่คือฝึกและรอเวลาให้ตัวเองโดนเรียก หรือไม่ก็แก่ตายและดีใจกับเกียรติยศปลอมๆที่ได้รับ ซึ่งผมก็รู้สึกชอบชีวิตแบบนั้นมากกว่าชีวิตในตอนนี้
ชีวิตที่ไม่ได้เป็นของตัวเองอีกต่อไป
ศูนย์บัชชาการใหญ่เพียงพอจะบรรจุประชากรจากประเทศสิงคโปร์ไว้ได้ ที่นี่คือที่ปฎิบัติการจริง นักวิทยาศาสตร์เดินกันให้ทั่ว ดูเหมือนมดงานสีขาวที่ขยันขันแข็งกับหน้าที่ตัวเอง
ยูทิเนียมจำลองมีให้เห็นเต็มสองข้างทาง พวกเขาดูเหมือนจะทดลองอะไรบางอย่างกับมัน แต่ผู้หญิงที่มาต้อนรับผมไม่ได้ปล่อยเวลาให้เดินสำรวจมากนัก เธอพาผมมาที่ลิฟท์ประหลาดสีทึบมีตราสัญลักษณ์บอกเขตอันตราแปะไว้ใหญ่โต และต้องมีการคีย์รหัสก่อนจะใช้มันได้
มีกลุ่มคนบางกลุ่มเริ่มให้ความสนใจผม...
และหลังจากนั้นก็จะได้ยินอะไรเดิมๆ....
เกี่ยวกับฮีเลียม สวาเกน....และฮีเลียมเพียงผู้เดียว ผมไม่ได้หวังจะเป็นใหญ่กว่าเขา แต่มันทำให้ผมรู้สึกแย่ และหลังจากประตูลิฟท์ปิดลงผมก็รู้สึกโล่งอกไป ที่ไม่ต้องโดนมองด้วยสายตาแบบนั้นอีก
เสียงคำรามของกลไกของลิฟท์ทำให้ไม่เงียบมากนัก แต่ครั้งนี้ก็ดีกว่าครั้งก่อน ยังไงซะผู้หญิงคนนี้ก็ดูธรรมดา ต่างจากสองคนก่อนหน้าลิบลับ สักพักหนึ่งเธอก็พูดขึ้นมา
“ดิฉันไม่ได้อนุญาตให้พูดมาก แต่ในนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดคุณสบายใจได้” ผมไม่เชื่อใจข้อมูลนี้100% เพราะดูจากระบบรักษาความปลอดภัยก่อนหน้านี้ อย่างน้อยเครื่องดักฟังก็ต้องมีอยู่บ้าง ตอนนี้คงต้องหาทางพูดให้น้อยที่สุด...
“คุณคือ ไฮท์ สวาเกนจริงๆหรือคะ ดิฉันไม่เคยคิดว่าฮีเลียมจะมีน้องชาย จนกระทั่งเราเสียเขาไป”
แล้วฮีเลียมเคยสนใจด้วยเหรอว่าผมเป็นน้องชายของเขา....
น้ำเสียงเย็นชาและแววตาดูถูกคือสิ่งที่ผมได้รับเสมอ ต่างกับเวลาที่เขาอยู่กับคนอื่น ผมพนันได้เลยว่าเขาต้องปกปิดตัวตนของผมไว้ ในส่วนที่ลึกที่สุดจนไม่มีใครเอื้อมถึง
เป็นผมมันช่างหนักใจดีแท้.......
ห่างช่วงไปนานโข ผมก็ยังหาคำพูดดีๆมาพูดกับอีกฝ่ายไม่ได้ ในลิฟท์จึงกลับมาเงียบอีกครั้งอย่างที่มันควรจะเป็น ยังไงซะผมก็ไม่ได้รู้สึกย่ำแย่มากกว่าตอนก่อนหน้านี้แล้ว
“ดิฉันขอโทษนะคะที่พูดจาไม่ดีออกไป แต่คุณก็รู้ ประชาชนทุกคนกำลังหวังพึ่งคุณอยู่”
ในนาทีที่ลิฟท์สู่ที่หมายและประตูค่อยๆเลื่อนเปิดออก หญิงสาวตัดสินใจพูดต่อ
“ช่วยทำหน้าที่เป็นฮีเลียมคนใหม่ให้พวกเราด้วยนะคะ”
และผมก็ต้องแบกรับหัวใจหนักๆนี่ก้าวเดินต่อไป.................
ผู้หญิงคนนั้นบอกกับผมว่านี่คือฐานเก็บรักษายูทิเนียม มีประตูบานยักษ์สูงสามเมตรขนาบสองข้าง บนประตูเขียนด้วยตัวอักษรสีเหลืองเป็นหมายเลข เริ่มจาก 01 ไปจนถึง 05 ถัดจากโซนนี้ คือลานกว้างพอๆกับสนามกีฬาของประเทศ มีนักวิทยาศาสตร์ในชุดป้องกันกัมมังตภาพรังสีกระจายอยู่ให้ทั่ว...มีวิศวกร และคนคุมแผงควบคุมบนชั้นลอยสูงห่างจากลานไปสองเมตร หน้าตาพวกเขาดูเคร่งเครียด
แต่สิ่งที่ผมแปลกใจคือผมยังไม่เจออินฟิไนท์เลยสักคน...
“หมดหน้าที่ของดิฉันแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นหน้าที่ของ ดร.วิลเฟลสัน ขอให้คุณโชคดี” แล้วหญิงสาวก็เดินจากไป กลับสู่ลิฟท์หนาทึบที่ขึ้นลงได้แค่ชั้นเดียว ส่วนดร.วิลเฟลสันที่ว่าก็เป็นสาวใหญ่อายุเหยียบเลขสาม เธอแตกต่างจากนักวิทยาศาสตร์คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เราสองคนจับมือทักทาย ถึงแม้เธอจะรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็วก็ตาม
“คุณสวาเกนเป็นเกียรติมากที่ดิฉันได้เจอหนึ่งในนามสกุลของคุณหนูฮีเลียม” คำพูดเธอเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่สนใจมันมากเพราะนี่คือเรื่องปกติที่ผมต้องเจอ
ผมพยายามชินกับมัน
“ครับ ผมก็เป็นเกียรติมากที่ได้เจอกับคุ---“
“ไม่ต้องพูดมากหรอกค่ะ ที่นี่อยู่ต่ำที่สุดของฐานบัญชาการ และก็เป็นที่สำคัญที่สุด เราวิจัยยูทิเนียม ทำตามคำสั่งฉันอย่างเดียวก็พอ ขอให้คุณเข้าใจ”
โอเค...ผมคงไม่ชินกับการโดนรังเกียจขนาดนี้จริงๆ
..............................................................................
ด็อกเตอร์พาผมเดิมอ้อมลานกว้าง ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ที่ผ่านเราก้มหัวอย่างนอบน้อม และคุณวิลเฟอสันก็ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงขอไปที ดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักนิด แต่อย่างน้อยผมก้ไม่ได้ยินคำพูดเกี่ยวกับฮีเลียมดังไล่หลังมาอีก ถือเป็นเรื่องดี
“ในฐานะที่เธอเป็นหนึ่งของพวกเราแล้วฉันอธิบายให้คุณฟังง่ายๆ”
คุณวิลเฟอสันตัดสินใจพูดเมื่อเราขึ้นบนบันไดเลื่อนทอดยาวขึ้นสู่ชั้นใต้ล่างของอาคารนี้
“ยูทิเนียมไม่ใช่เครื่องจักรธรรมดาหรือจะเรียกว่าเครื่องจักรเลยก็ไม่ถูก เราจะทำการเชื่อมต่อคนขับกับยูทิเนียมไว้ด้วยกัน มันจะเรียนรู้ผ่านนิสัย ประสบการณ์และคุณสมบัติที่คนขับที่มันเลือกมี เพราะฉะนั้นยูทิเนียมหนึ่งเครื่องจะมีคนขับแค่คนเดียวเท่านั้น”
เธอเว้นวรรคไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“เฟิร์สไททาไนท์ของพี่ชายคุณ เสียหายอย่างหนักไม่สามารถใช้การได้สักพัก หรืออาจจะไม่สามารถกู้คืนมาได้อีกด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นให้คุณ คุณไฮท์”
เมื่อเธอพูดจบ เราหยุดก็หยุดลงตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่สุด มันล็อคอย่างแน่นหนา และเมื่อดร.มาถึง ก็มีคนในชุดเกราะติดอาวุธกลุ่มหนึ่ง เดินเข้ามาใกล้หนึ่งในกลุ่มนั้นคีย์รหัสปกล็อคประตู
เมื่อมันค่อยๆเปิดออก ทุกคนกระชับอาวุธไว้แน่น เหมือนข้างในประตูนั้นมีสัตว์ร้ายรอโจมตีพวกเขาอยู่ ใจผมเต้นแรงอาจเพราะความตื่นเต้น มือผมสั่น
และเมื่อประตูชั้นในอีกสี่ห้าชั้นเปิดออกทั้งหมด ผมก็ได้เห็นยูทิเนียมตัวจริงเป็นครั้งแรก
ภายในห้องสีขาวสะอาดเปิดโล่ง มีชายหนุ่มอายุใกล้เคียงกับผมนั่งอยู่ในนั้น เส้นผมสีขาวสะอาดและดวงตาสีแปลกๆ เขามองตรงมาที่คนมาเยือน ดร.วิลเฟอสันรับชุดประหลาดดูเทอะทะสีส้มจากทหารข้างๆแล้วเดินเข้าไป ส่วนผมโดนกักไว้ด้านนอก....
ในนาทีนั้นผมสบตากับเขา ใบหน้าเหมือนมนุษย์หมดทุกอย่าง ยกเว้นตาที่แปลกออกไป เหมือนกับหลุดไปอีกจักรวาลหนึ่ง
และผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เหมือนขั้วแม่เหล็กที่ดึงดูดเข้าหากัน
ผมกับเขาเราเหมือนกัน............
“คุณจะต้องขับเจ้าเด็กมีปัญหาตัวนี้ สวัสดีเจ้าของใหม่ของนายหน่อยสิ เอ็มซีทู”
เอ็มซีทู ยูทิเนียมที่ไม่มีใครเคยขับได้มาก่อน...................
แม้แต่ฮีเลียม สวาเกนเองก็ตาม
---0.01
This World needs hope.
การเป็นตัวสำรองมาตลอด ทำให้ผมไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ตรงหน้าเอาซะเลย......
ในทุกๆหัวข้อสนทนา “การตายของฮีเลียม สวาเกน “ เป็นสิ่งที่คนพูดถึงมากที่สุด ถึงแม้ทางรัฐบาลใหญ่จะพยายามปิดมันแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงไม่กี่วัน สุดท้ายด้านบนสุดของ’โลก’ก็กำลังหัวปั่นกับสื่อที่รุมทึ้งพวกเขาเหมือนอีแร้ง
และโลกที่ว่าของเราก็ไม่ใช่ก้อนกลมๆอย่างที่รู้กันอีกต่อไป สำหรับเรามันคือฐานอวกาศคล้ายหอคอยที่สามารถกักเก็บ ประชากรกว่าครึ่งของโลกไว้ได้ ฟังดูยิ่งใหญ่ก็จริงแต่ไม่เลย… เอเดน ไม่ใช่โลกในอุดมคติอย่างที่ทุกคนคิด
เราคือความผิดพลาด จากโปรเจ็คสุดล้ำเลิศของนักวิทยาศาสตร์กว่าสองแสนคน และวิศวกรที่เก่งที่สุดในโลก ออกแบบอีเดนให้พร้อมสำหรับการมีชีวิตอยู่ของมนุษยชาติผ่านอุโมงค์เวลา ที่เราตั้งชื่อให้มันว่ารูหนอน โดยมีจุดหมายเพื่อค้นย้ายประชากรคุณภาพเซตแรกไปตั้งฐานใหม่ ณ ดาวเคราะห์ที่มีทรัพยากรใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด
เหตุการณ์นี้ควรจะเป็นความสำเร็จสำหรับมนุษย์ แต่เราทำพลาด.......
สุดท้ายเอเดนติดค้างอยู่ในรูหนอนไม่สามารถออกไปไหนได้ ถึงแม้ทรัพยากรในฐานจะมีมากพอให้ใช้ไปอีกนาน แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีทางหมดไป
และประชากรเซตแรกของพวกเราจะต้องตายไปอย่างไร้ค่า นักวิชาการและนักปกครองที่เหลืออยู่ร่วมมือกันค้นคว้าวิจัยอย่างสุดความสามารถ ความหวังของเราเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งสิ่งนั้นเดินทางมาถึง......
“ฉันอยากเป็นอินฟิไนท์ มั้งสักวันหนึ่ง” หนึ่งในนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์พูดขึ้น ในระหว่างที่ผมเดินผ่าน first center ของเขตที่ 12 เขาดูมีชีวิตและจิตใจของนักสู้ แต่ผมเชื่อมั่น100%ว่า ถ้าวันใดเด็กหนุ่มคนนั้นได้สัมผัสกับชีวิตของเหล่าหน่วยกล้าตายแล้วล่ะก็ เขาต้องถอนคำพูดแน่นอน..........
สำหรับประชากร อินฟิไนท์ คือความหวัง คือฮีโร่ คือความอยู่รอด พวกเขาคือคนที่สามารถขับยูทิเนียมได้..ว่ากันว่ามันคือจักรกลประหลาดที่หลุดวงโคจรเข้ามา มันคือสสารปริศนาที่ไม่มีรูปร่างแน่ชัด แต่มั่นใจได้ว่ามันมีระบบกลไกที่ซับซ้อนกว่าวิทยาการของมนุษย์จะจัดการได้ และมีการเรียนรู้ที่ดีเลิศ ยูทิเนียมมีความรู้สึกและนิสัยเป็นของตัวเอง
และจากการมาถึงของมันได้ไม่นาน.......เราก็เจอทางอยู่รอดของมนุษยชาติ
เอเดนค้นพบทางออกของรูหนอน น่าเสียดายที่มันไม่ได้พาเรากลับสู่โลก แต่ความมืดมิดก็มีแสงสว่างมาเยือนแล้ว เราอาศัยการค้นพบนี้วิจัยเครื่องที่มีชื่อว่า โอเรี่ยน ขึ้นมา
มันคือเครื่องจักรขนาดใหญ่ยักษ์ มีหน้าที่เปิดประตูมิติไปสู่อีกมิติหนึ่ง
และคนที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่ในนั้นก็คือ ....อินฟิไนท์ ผู้อาศัยความเร็วเป็นเพื่อนตาย รูหนอนมีความเลื่อมล้ำทางเวลาสูง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สามารถเปิดประตูได้นาน
พวกเราต้องแข่งกับเวลาถ้ายังอยากมีชีวิตรอด และต้องขอบคุณยูทิเนียมมันคือจักรกลอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุด ความสามารถของมันคือการแปลงกายเป็นยานพาหนะได้ทุกชนิด เพื่อเตรียมพร้อมกับทุกสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของแต่ละดาว รวมถึงความไวที่เหนือกว่าเสียง
แต่ถึงแม้ยูทิเนียมจะไร้เทียมทานขนาดไหนมันก็มีข้อผิดพลาดอยู่
จักรกลมีนิสัยและความรู้สึกเป็นของตัวเอง มีความชอบ มีพฤติกรรมที่เรียนรู้จากเจ้าของ มันเป็นตัวเลือกเราไม่ใช่เราเลือกมัน ด้วยฉะนี้จึงมีหลายครั้งที่เกิดเหตุขัดข้องระหว่างทำภารกิจ
และนั้นก็เป็นอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง...สำหรับการตายของ ฮีเลียม
ลิฟท์หลักคือเส้นทางคมนาคมสำคัญ มันถูกดูแลด้วยระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี สำหรับประชาชนลิฟท์สีขาวคือเส้นทางสัญจรหลัก ครอบคลุมในโซนชั้นของผู้อาศัย ในขณะที่ลิฟท์สีฟ้าคือลิฟท์พิเศษทำจากกระจกแก้วหนา สามารถมองทะลุเห็นความเวิ้งว้างของรูหนอนได้ชัดเจน
มีคนมารอผมอยู่แล้ว เป็นชายทั้งคู่ชุดเกราะลัดรูปคล้ายเกล็ดงู มีสีขาวซีกขวาและซีกดำข้างซ้าย ดูตอนแรกก็ตลกดี แต่ถ้าหลังจากที่ได้รู้ว่าพวกเขาทำงานให้ใคร...ก็คงหัวเราะไม่ออก
ไม่มีบทสนทนาในลิฟท์ บรรยากาศหนักอึ้ง กดดัน ผมหลีกเลี่ยงมันด้วยการมองดูรูหนอนมืดสนิทด้านนอกแทน
และในที่สุดเมื่อลิฟท์ชะลอจนหยุดลง เราก็มาถึงชั้นที่ต้องการ เราเรียกโซนนี้ว่า ลอร์ด...ศูนย์กลางของนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ และ พรรคการเมืองระดับย่อมๆ ผมรู้ว่าข้างหน้า ผมต้องเผชิญหน้ากับอะไร
ผมรู้...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
บรรยากาศรอบข้างเงียบลง นักวิทยาศาสตร์ในเสื้อกาวน์และหน้ากากรูปร่างประหลาดครอบทั้งหัว หยุดทำงานชั่วขณะและหันมาสนใจผู้มาใหม่
เราเดินผ่านสายตาสอดรู้ภายใต้หน้ากากมิดชิดไปเรื่อยๆ มีเสียงอู้อี้ กระซิบถึง “ฮีเลียม สวาเกน” มาให้ได้ยินแว่วๆ มันทำให้ผมแปลกใจ แม้แต่พวกรักวิทยาศาสตร์ยิ่งชีพยังรู้จักฮีเลียม ไม่น่าแปลกที่ผมโดนเรียกตัวมาที่นี่
“คิดว่าเขาจะมาแทนคุณฮีเลียมได้เหรอ”
“ไม่รู้ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก....”
ตรงหน้าบานประตูสีขาวกับดำ สองทหารด้านหลัง ไม่ได้ตามผมมา ต่อจากนี้คือหน้าที่ของผม อันที่จริงแล้วมันก็คือหน้าที่ของผมมาโดยตลอด สู้ด้วยตัวเองมาตลอด...และไม่เคยอยากจะมาถึงจุดๆนี้เลย
เมื่อประตูเลื่อนเปิดออก ผมก็เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ทั้งห้องเป็นสีดำดูเวิ้งว้างเหมือนอวกาศ ตรงกลางคือโต๊ะรูปสามเหลี่ยมสีขาวเรืองแสงได้ ผมค่อยๆเดินไปตรงนั้นตลอดทางมีเสียงก้องของรองเท้าชัดเจน
เพียงไม่นานก็มีภาพโฮโลแกรมระดับสูงฉายภาพของหญิงสาวสูงอายุที่มุมขวาของโต๊ะ และผู้หญิงวัยอ่อนกว่าที่มุมซ้าย ทั้งสองเหมือนอยู่กันคนละขั้วแม่เหล็ก หญิงสูงอายุในชุดสีขาวมีรอยยิ้มกว้างดูใจดี กับอีกคนในชุดสีดำ มีสีหน้าดุขึงไม่เป็นมิตร
และตราสัญลักษณ์รูปดวงตาที่ปักตรงอกเสื้อของทั้งสอง ก็เพียงพอแล้วที่จะให้ผมขนลุก
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกระทรวงกลาโหม และ ผู้บัญชาการใหญ่กระทรวงวิทยาศาสตร์....
“ยินดีต้อนรับคุณสวาเกน”
หญิงชราเป็นคนพูด
“ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และกระทรวงกลาโหมขอแสดงความเสียใจต่อพี่ชายคุณด้วย”
“ฮีเลียมสวาเกนคือหนึ่งในยอดฝีมือของเรา นี่คือการสูญเสียครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเอเดน”
คราวนี้หญิงสาวในหน้าตาจริงจังเป็นคนพูด เธอมีริ้วรอยน้อยกว่าอีกคน สำหรับผมบรรยากาศในนี้ชวนกระอักกระอ่วนจนรู้สึกแน่นหน้าอกอย่างน่าประหลาด
ฮีเลียมคือคนที่สำคัญต่อโลกจริงๆสินะ...
แล้วผมล่ะคืออะไร….
“เพราะฉะนั้น คุณก็รู้แล้วใช่ไหมคุณสวาเกนว่าเราเรียกคุณมาทำไม” นี่คนเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวต่อมนุษย์ กลัวต่อดวงตาสีดำที่กดเราไว้ได้ตลอดเวลา
“ครับ...ผมทราบครับ” รู้สึกว่าทุกๆคำที่พูดออกมายากลำบากเหลือเกิน
“ดี งั้นเราจะไม่พิธีรีตองมาก ทุกๆวินาทีของเอเดนคือค่าของชีวิตเสมอ” สิ้นคำพูดของหญิงชุดดำไป หญิงชราอีกคนก็พูดต่อ
“คุณสวาเกน จากประวัติของคุณ คุณมีผลการทดสอบที่ดีมาโดยตลอด ในฐานะของอินฟิไนท์สำรองทุกคน คุณดูโดดเด่น”
เธอเว้นหายใจนิดนึงก่อนพูดต่อ “แต่คุณแน่ใจเหรอว่า คุณเหมาะที่จะเป็นอินฟิไนท์จริงๆ”
รอยยิ้มอ่อนโยนไม่ได้ช่วยทำให้ประโยคเย็นชาดูอุ่นขึ้นเลย
“คุณไม่ได้โดนเลือกจากอินฟิไนท์ทั้ง 25 คนเพราะคุณใช้นามสกลุลสวาเกน แน่เหรอ”
ผมกลืนน้ำลาย รู้สึกเหงื่อออกมากทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และผมรู้ว่าอาการนี้จะเป็นทุกๆครั้งที่รู้สึกกดดัน...
“คุณแน่ใจเหรอ ว่าคุณไม่ได้โดนเลือกเพราะคุณคือน้องชายของฮีเลียม”
และถ้าผมตอบได้...ผมขอตอบว่า ไม่
ผมโดนเลือกเพราะว่าเป็นน้องชายเขา น้องชายของบุรุษแสนมีค่าในเอเดน...
ส่วนผมคือตัวสำรอง ของ เขา...ที่โดนคาดหวังให้ทำให้ได้เหมือนตัวจริง
คำถามคือ...ผมจะทำได้เหรอ ทำในสิ่งที่ฮีเลียมผู้ยิ่งใหญ่ทำ
คำตอบคือ ทำไม่ได้หรอก...
แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีแล้ว ถึงจะตอบในรูปแบบไหน สุดท้ายแล้วก็วนมาคำเดิม
“ผมมั่นใจครับ ว่าผมโดนเลือกไม่ใช่เพราะเป็นน้องชายของสวาเกน”
นี่คือคำโกหกที่แม้แต่ทั้งสองคนของมุมโต๊ะก็รู้มาก่อนแล้วด้วยซ้ำ แต่เราทั้งสามคนก็ได้แต่เก็บมันเอาไว้ และรอเวลาให้เป็นตัวเปิดเผยมันเอง
“งั้นก็พิสูจน์สิ ว่าคุณทำอะไรได้บ้าง”
แต่นี่ไม่ใช่คำพูดที่ผมคิดเอาไว้ว่าจะได้ยิน........
....................................................................................................................................................
“ยินดีต้อนรับสู่ฐานบังชาการอินฟิไนท์”
หญิงสาวในชุดเกราะสีดำรัดรูปพูด เธอยืนต้อนรับผมตรงประตูลิฟท์ของชั้น knight ที่แตกต่างจากชั้นอื่นเพราะมันถูกสร้างยื่นออกจากตัวเอเดน โดยมีลิฟท์พิเศษเชื่อมต่ออีกที ผมไม่เคยเข้าศูนย์บัญชาการหลักของอินฟิไนท์มาก่อนนี่เป็นครั้งแรกในหน้าที่ของผมในฐานะของอินฟิไนท์ด้วยกัน...
ตัวสำรองส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในโซนknightปลอมๆในชั้นสาม เรามีหน้าที่คือฝึกและรอเวลาให้ตัวเองโดนเรียก หรือไม่ก็แก่ตายและดีใจกับเกียรติยศปลอมๆที่ได้รับ ซึ่งผมก็รู้สึกชอบชีวิตแบบนั้นมากกว่าชีวิตในตอนนี้
ชีวิตที่ไม่ได้เป็นของตัวเองอีกต่อไป
ศูนย์บัชชาการใหญ่เพียงพอจะบรรจุประชากรจากประเทศสิงคโปร์ไว้ได้ ที่นี่คือที่ปฎิบัติการจริง นักวิทยาศาสตร์เดินกันให้ทั่ว ดูเหมือนมดงานสีขาวที่ขยันขันแข็งกับหน้าที่ตัวเอง
ยูทิเนียมจำลองมีให้เห็นเต็มสองข้างทาง พวกเขาดูเหมือนจะทดลองอะไรบางอย่างกับมัน แต่ผู้หญิงที่มาต้อนรับผมไม่ได้ปล่อยเวลาให้เดินสำรวจมากนัก เธอพาผมมาที่ลิฟท์ประหลาดสีทึบมีตราสัญลักษณ์บอกเขตอันตราแปะไว้ใหญ่โต และต้องมีการคีย์รหัสก่อนจะใช้มันได้
มีกลุ่มคนบางกลุ่มเริ่มให้ความสนใจผม...
และหลังจากนั้นก็จะได้ยินอะไรเดิมๆ....
เกี่ยวกับฮีเลียม สวาเกน....และฮีเลียมเพียงผู้เดียว ผมไม่ได้หวังจะเป็นใหญ่กว่าเขา แต่มันทำให้ผมรู้สึกแย่ และหลังจากประตูลิฟท์ปิดลงผมก็รู้สึกโล่งอกไป ที่ไม่ต้องโดนมองด้วยสายตาแบบนั้นอีก
เสียงคำรามของกลไกของลิฟท์ทำให้ไม่เงียบมากนัก แต่ครั้งนี้ก็ดีกว่าครั้งก่อน ยังไงซะผู้หญิงคนนี้ก็ดูธรรมดา ต่างจากสองคนก่อนหน้าลิบลับ สักพักหนึ่งเธอก็พูดขึ้นมา
“ดิฉันไม่ได้อนุญาตให้พูดมาก แต่ในนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดคุณสบายใจได้” ผมไม่เชื่อใจข้อมูลนี้100% เพราะดูจากระบบรักษาความปลอดภัยก่อนหน้านี้ อย่างน้อยเครื่องดักฟังก็ต้องมีอยู่บ้าง ตอนนี้คงต้องหาทางพูดให้น้อยที่สุด...
“คุณคือ ไฮท์ สวาเกนจริงๆหรือคะ ดิฉันไม่เคยคิดว่าฮีเลียมจะมีน้องชาย จนกระทั่งเราเสียเขาไป”
แล้วฮีเลียมเคยสนใจด้วยเหรอว่าผมเป็นน้องชายของเขา....
น้ำเสียงเย็นชาและแววตาดูถูกคือสิ่งที่ผมได้รับเสมอ ต่างกับเวลาที่เขาอยู่กับคนอื่น ผมพนันได้เลยว่าเขาต้องปกปิดตัวตนของผมไว้ ในส่วนที่ลึกที่สุดจนไม่มีใครเอื้อมถึง
เป็นผมมันช่างหนักใจดีแท้.......
ห่างช่วงไปนานโข ผมก็ยังหาคำพูดดีๆมาพูดกับอีกฝ่ายไม่ได้ ในลิฟท์จึงกลับมาเงียบอีกครั้งอย่างที่มันควรจะเป็น ยังไงซะผมก็ไม่ได้รู้สึกย่ำแย่มากกว่าตอนก่อนหน้านี้แล้ว
“ดิฉันขอโทษนะคะที่พูดจาไม่ดีออกไป แต่คุณก็รู้ ประชาชนทุกคนกำลังหวังพึ่งคุณอยู่”
ในนาทีที่ลิฟท์สู่ที่หมายและประตูค่อยๆเลื่อนเปิดออก หญิงสาวตัดสินใจพูดต่อ
“ช่วยทำหน้าที่เป็นฮีเลียมคนใหม่ให้พวกเราด้วยนะคะ”
และผมก็ต้องแบกรับหัวใจหนักๆนี่ก้าวเดินต่อไป.................
ผู้หญิงคนนั้นบอกกับผมว่านี่คือฐานเก็บรักษายูทิเนียม มีประตูบานยักษ์สูงสามเมตรขนาบสองข้าง บนประตูเขียนด้วยตัวอักษรสีเหลืองเป็นหมายเลข เริ่มจาก 01 ไปจนถึง 05 ถัดจากโซนนี้ คือลานกว้างพอๆกับสนามกีฬาของประเทศ มีนักวิทยาศาสตร์ในชุดป้องกันกัมมังตภาพรังสีกระจายอยู่ให้ทั่ว...มีวิศวกร และคนคุมแผงควบคุมบนชั้นลอยสูงห่างจากลานไปสองเมตร หน้าตาพวกเขาดูเคร่งเครียด
แต่สิ่งที่ผมแปลกใจคือผมยังไม่เจออินฟิไนท์เลยสักคน...
“หมดหน้าที่ของดิฉันแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นหน้าที่ของ ดร.วิลเฟลสัน ขอให้คุณโชคดี” แล้วหญิงสาวก็เดินจากไป กลับสู่ลิฟท์หนาทึบที่ขึ้นลงได้แค่ชั้นเดียว ส่วนดร.วิลเฟลสันที่ว่าก็เป็นสาวใหญ่อายุเหยียบเลขสาม เธอแตกต่างจากนักวิทยาศาสตร์คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เราสองคนจับมือทักทาย ถึงแม้เธอจะรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็วก็ตาม
“คุณสวาเกนเป็นเกียรติมากที่ดิฉันได้เจอหนึ่งในนามสกุลของคุณหนูฮีเลียม” คำพูดเธอเย้ยหยันอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่สนใจมันมากเพราะนี่คือเรื่องปกติที่ผมต้องเจอ
ผมพยายามชินกับมัน
“ครับ ผมก็เป็นเกียรติมากที่ได้เจอกับคุ---“
“ไม่ต้องพูดมากหรอกค่ะ ที่นี่อยู่ต่ำที่สุดของฐานบัญชาการ และก็เป็นที่สำคัญที่สุด เราวิจัยยูทิเนียม ทำตามคำสั่งฉันอย่างเดียวก็พอ ขอให้คุณเข้าใจ”
โอเค...ผมคงไม่ชินกับการโดนรังเกียจขนาดนี้จริงๆ
..............................................................................
ด็อกเตอร์พาผมเดิมอ้อมลานกว้าง ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ที่ผ่านเราก้มหัวอย่างนอบน้อม และคุณวิลเฟอสันก็ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงขอไปที ดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักนิด แต่อย่างน้อยผมก้ไม่ได้ยินคำพูดเกี่ยวกับฮีเลียมดังไล่หลังมาอีก ถือเป็นเรื่องดี
“ในฐานะที่เธอเป็นหนึ่งของพวกเราแล้วฉันอธิบายให้คุณฟังง่ายๆ”
คุณวิลเฟอสันตัดสินใจพูดเมื่อเราขึ้นบนบันไดเลื่อนทอดยาวขึ้นสู่ชั้นใต้ล่างของอาคารนี้
“ยูทิเนียมไม่ใช่เครื่องจักรธรรมดาหรือจะเรียกว่าเครื่องจักรเลยก็ไม่ถูก เราจะทำการเชื่อมต่อคนขับกับยูทิเนียมไว้ด้วยกัน มันจะเรียนรู้ผ่านนิสัย ประสบการณ์และคุณสมบัติที่คนขับที่มันเลือกมี เพราะฉะนั้นยูทิเนียมหนึ่งเครื่องจะมีคนขับแค่คนเดียวเท่านั้น”
เธอเว้นวรรคไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“เฟิร์สไททาไนท์ของพี่ชายคุณ เสียหายอย่างหนักไม่สามารถใช้การได้สักพัก หรืออาจจะไม่สามารถกู้คืนมาได้อีกด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นให้คุณ คุณไฮท์”
เมื่อเธอพูดจบ เราหยุดก็หยุดลงตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่สุด มันล็อคอย่างแน่นหนา และเมื่อดร.มาถึง ก็มีคนในชุดเกราะติดอาวุธกลุ่มหนึ่ง เดินเข้ามาใกล้หนึ่งในกลุ่มนั้นคีย์รหัสปกล็อคประตู
เมื่อมันค่อยๆเปิดออก ทุกคนกระชับอาวุธไว้แน่น เหมือนข้างในประตูนั้นมีสัตว์ร้ายรอโจมตีพวกเขาอยู่ ใจผมเต้นแรงอาจเพราะความตื่นเต้น มือผมสั่น
และเมื่อประตูชั้นในอีกสี่ห้าชั้นเปิดออกทั้งหมด ผมก็ได้เห็นยูทิเนียมตัวจริงเป็นครั้งแรก
ภายในห้องสีขาวสะอาดเปิดโล่ง มีชายหนุ่มอายุใกล้เคียงกับผมนั่งอยู่ในนั้น เส้นผมสีขาวสะอาดและดวงตาสีแปลกๆ เขามองตรงมาที่คนมาเยือน ดร.วิลเฟอสันรับชุดประหลาดดูเทอะทะสีส้มจากทหารข้างๆแล้วเดินเข้าไป ส่วนผมโดนกักไว้ด้านนอก....
ในนาทีนั้นผมสบตากับเขา ใบหน้าเหมือนมนุษย์หมดทุกอย่าง ยกเว้นตาที่แปลกออกไป เหมือนกับหลุดไปอีกจักรวาลหนึ่ง
และผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เหมือนขั้วแม่เหล็กที่ดึงดูดเข้าหากัน
ผมกับเขาเราเหมือนกัน............
“คุณจะต้องขับเจ้าเด็กมีปัญหาตัวนี้ สวัสดีเจ้าของใหม่ของนายหน่อยสิ เอ็มซีทู”
เอ็มซีทู ยูทิเนียมที่ไม่มีใครเคยขับได้มาก่อน...................
แม้แต่ฮีเลียม สวาเกนเองก็ตาม
---0.01
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ