บลัดฮันท์/Bloodhunt

7.8

เขียนโดย เอเดน

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 23.19 น.

  7 #
  3 วิจารณ์
  10.37K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561 17.06 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Grimmest of Dawn I

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Grimmest of Dawn

I


“โลกของผมคือกลิ่นคาวนองของเลือดและไอเถ่าธุลีของสงคราม สุสานขนาดไพศาลที่ทับทมกันอย่างไม่รู้จุดจบ เหมือนแผ่นหินของกาลเวลา”

...ายหนุ่มในชุดคลุมดำนั่งบนอานม้าสีทมิฬ ดวงตาของน้ำแข็งฟ้าเปล่งสว่าง จับมองไปยังแคมป์ซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าของกำแพงเมืองผังทับซ้อน ไคทาสตาวล์ Kitazstahl กำแพงขนาดยักษ์อันถือเป็นหนึ่งในรั้วป้อมปราการของทวีปเหนือ หรือเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า นอร์ Nor

เขาชมมันเงียบ ๆ ฟังถึงเสียงเปาะแปะของสายฝน ถึงลมที่พัดเข้าหาเบา ๆ ผ่านดงป่าโดยรอบ ถึงเสียงของเส้นน้ำขังจับตัวกันไหลแซะผ่านร่องหินค่อย ๆ ดิ่งลงสู่ลำธาร และถึงเสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้หญิง


“ใจเย็น ๆ น้องสาว ข้าขอแค่จับดูว่าในกระเป๋าผัวน้องมีอะไรหน่อย” หลังพงไม้ กลุ่มของชายเสื้อผ้ารุ่งริ่งเนื้อตัวสกปรก คนหนึ่งพกดาบคนหนึ่งถือขวานตัดฟืน อีกคนพยายามลากดึงตัวเธอออกห่างจากหลุมศพที่ตัวเธอพึ่งขุดมาใหม่ ๆ
“หยุดสะดิ้งดี ๆ อยากจบแบบผัวเอ็งหรือไงวะ?”

แคททิค็อป(ไอ้หน้าทุเรศ)! ไม่รู้จักบาปหรือไง มาปล้นศพแบบนี้!” หญิงสาวด่าในภาษาและสำเนียงของชาวเคิร์น Kern(ชาวกลาง)

“หุบปากซะ ยัยนี่!” ชายผู้มีฝีเต็มหน้าตบปากของเธอด้วยหลังมือ ใบหน้าของเธอสบัดตามแรงกระทบจนปรากฏเลือดให้เห็นตรงริมปาก ผู้ชายถือดาบมีฝีเต็มหน้า และไม่อยากเสียเวลาจึงเริ่มถอดรองเท้าของสามีเธอมาสวมใส่ และชายที่จับรั้งเธอเอาไว้ทนหื่นแอบมองผ่านร่องกระดุมเสื้อของเธอไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงพยายามปลดมันออก

ชายในชุดคลุมดำเดินหน้าม้าของเขาตามมาทางลงเนินนี้
ระหว่างสายฝนตกกระหน่ำเป็นเม็ดก่อให้วิสัยทัศน์ยากแก่การมองเห็น แต่ตาสามคู่ย่อมดีกว่าหนึ่ง พวกชายสามคนได้สังเกตุเห็นเขามาตั้งแต่ไกล พวกเขาก้มต่ำ ปิดปากของหญิงสาวไว้ เตรียมอาวุธในมือ ตาแห้ง ๆ เหลือง ๆ ของพวกเขาสอดมองชายคลุมดำหยุดอยู่สักพัก ห่างเหินจากพุ่มไม้เล็กน้อย ดูเหมือนกำลังหาแหล่งกำเนิดของเสียงร้องนั้น อย่างกับมันง่ายในสภาพอากาศเช่นนี้

ไม่ช้าจึงค่อย ๆ จากไป

“อ้ากกก!” เธอกัดมือเขา หัวดันผลักผู้จับกุมจนหลังกระแทกกับต้นลินเดน “ได้โปรดค่ะ ช่วยฉันที!” ชายคลุมดำรู้แล้วถึงตำแหน่งของเสียง เขาลงจากหลังม้า แหวกม่านใบไม้เข้ามาเห็นศรีษะของหญิงสาว ตัวขด นั่งร้องไห้ในหลุมศพที่เธอขุดเอง จากหนึ่งเป็นสอง ชายถืออาวุธโผล่มาต้อนรับเขาทั้งซ้ายทั้งขวา คนที่สามแอบมาข้างหลัง เขาสัมผัสมันได้จากการเคลื่อนที่ของใบหญ้าและเสียงของฝนที่กลับเบาลงนั้น

“ดูดี๊ดูดี! มีดาบตั้งสามเล่มเชียววะ พอกับพวกเราสามคนพอดี” เอ่ยขึ้นมาข้างหลัง มันมีความประสาทผิดพิลึกในน้ำเสียงของชายผู้ถือขวาน เห็นถึงฝีมืองานสลักบนครอสการ์ดของดาบเงินบนหลังของเขา ดาบสามเล่มทำจากเหล็ก เงิน และคริสตัล


“สวย ๆ งาม ๆ ทั้งน้าน จะขายได้ราคาแพงแน่ ๆ พวกเราจะรวย!”


“ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่ลอง” เขาตอบกลับในน้ำเสียงของเหล็กเยือก

แฟปดูล(ไอ้โง่) โดนล้อมแล้วยังมีหน้ามาปากดีอีก” ชายผู้ถือดาบพยายามเตือนให้เขารู้ถึงสถานการณ์ ถ้าฟังดูดี ๆ พวกเขาทั้งหมดนี้เป็นชาวเคิร์นกันทั้งนั้น


“กูจะถลกหนังมึงทั้งเป็น” และอย่างที่จบประโยคไว้ มันคือคมขวานจามมาจากข้างหลัง ซึ่งถูกป้องกัน ปะทะเข้ากับเหล็กสีเงาดำ ของดาบอันมีฟันเขี้ยวไม่รู้จบ ฝีหน้าของทั้งหมดซีดลงเสียยิ่งกว่าสีผิวของชายคลุมดำ ดวงตาเปร่งแสงสีฟ้าอมนุษย์นั้นทิ่มแทงถึงรากเหง้าวิญญาณของพวกเขา เพราะไม่มีคนไหนเลยเห็นมือที่เอื้อมไปจับดาบในความเร็วสุดเหนือธรรมชาตินั้น “ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าอย่าลอง” ...

จากบล็อคขวานข้างหลัง ตัดแขนชายผู้ถือดาบ  ตวัดหมุนกลับมาปาดคอของชายถือขวาน และเสียบคมดาบยาวตรงแม่นกับหัวใจของชายผู้มีฝีเต็มหน้า อย่างช้า ๆ และซาดิสม์ ฝังจมดาบยาวลึกไปยันสุดเล่มและปาดมัน ขึ้น บน ผ่าแยกร่างนั้นออกเหมือนแตงโมสองซีก ทั้งหมดจบลงในแค่ไม่กี่วินาที

 

หลังดงไม้นั้นเอง มันคือเสียงกรีดร้องของชายไร้แขน พุ่งทะลุกลางพายุฝน ดาบสึกกร่อนเกาะสนิมยังอยู่ในมือของแขนข้างที่ขาด ความร้อนและเจ็บปวดบังเกิดขึ้นตามรอยตัดอันที่เผยให้เห็นกระดูกขาว เลือดกระฉูดไหล พ่นระบายแทนสีมรกตของผื่นหญ้าด้วยแดงฉาน เขาตายอย่างช้า ๆ จากการสูญเสียเลือดและกรีดร้องสุดท้ายในลำคอ

 

หญิงสาวในหลุมศพกุมใบหน้าสยดสยองของเธอไว้เหมือนกรงขัง ผ่านช่องเล็ก ๆ ของแต่ละนิ้วนั้น เธอได้เห็นเป็นพยานกับทุกช่วงของเหตุการณ์ ว่าชายแต่ละคนถูกหั่นสับยังไงอย่างไร้เมตตา จากชายคลุมดำ จากนักล่าอสูรผู้ชั่วร้าย บลัดฮันท์

 

เหวี่ยงกลางอากาศสะบัดขจัดคราบเลือดออกจากดาบในสองมือ ก่อนจะเก็บมันเร็วพลันไม่ต่างจากเมื่อชักออก

ชายคลุมดำมอบมือหวังช่วยพยุงตัวหญิงสาวขึ้นจากหลุมศพ แต่เมื่อมือหนึ่งโชกเลือดมอบให้ หนึ่งมือนั้นก็ถูกปัดทิ้ง

“ออกไปห่าง ๆ จากฉันซะ! ไอ้อสูรบ้า! ไปไกล ๆ ไปไกล ๆ!!!”
มันไม่ใช่ความเกลียจชั่งในเสียงกรีดร้องขับไล่ของเธอ แต่มันเป็นความกลัว แห่งความบริสุทธิ์ของความกลัว หวาดผวา

แต่เขาก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงมันอะไรไปได้

ชายในคลุมดำไม่เอ่ยกลับอะไรไป เขาแค่ถอยหลัง กลับไปขึ้นนั่งบนอานม้าของเขา ออกเดินทางต่อ ลงเนินอย่างที่ได้ตั้งใจ ขณะที่หญิงสาวนอนกอดตัวโค้ง ร้องไห้ ขวัญผวา เพราะมันคือปัญหาที่ตัวของเขาแก้ด้วยดาบไม่ได้…

 

...วกเขาอพยพมาจากคอมเมอร์เซีย ดินแดนแห่งการค้า ผ้าทอ ไวน์รสเลิศและบ้านเกิดของกิลด์โจร และตอนนี้ หลังจากพ่ายแพ้สงครามให้กับจักวรรดิอันศักดิ์สิทธิ์นภาแสงแห่งลูแมน พวกเขาได้ถูกปล้นซึ่งทุกสิ่ง บ้าน ทรัพย์สิน คนที่รักห่วงใย แม้กระทั่งศาสนาของพวกเขา

 

ชายในชุดคลุมดำขับย่องม้าฝ่าถนนที่ถูกบีบอัดโดยเต็นท์นับร้อย พื้นจากดินถูกย้ำไปมากลางท่ามของพายุฝนวันนี้เปลี่ยนไปเป็นโคลน จากทุก ๆ ทั้งมีและไม่มีรองเท้าของเหล่าผู้อพยพที่มามุงกันหวังจะได้เข้าไปในไคทาสตาวล์แปดเปื้อนสะพานสีขาวทางหน้าประตูเมือง

 

“แต่ลุงของผมอยู่ในเมืองนี้ ทำไมผมถึงเข้าไปข้างในไม่ได้หล่ะคับ?” เด็กน้อย อายุราว ๆ 10 ขวบ เนื้อตัวทั้งเปอะและเปล่า ๆ เหมือนทุกคนที่มามุงกันหน้าประตูเมือง

 

“ฟังดี ๆ ไอ้หนู ข้าให้เอ็งเข้าไปไม่ได้ถ้าไม่มีเอกสาร ยืนยันและประทับตราโดยลอร์ดมิคาเอล” ทหารยามผู้เฝ้าหน้าประตูเมืองตอบด้วยน้ำเสียงเครียด ๆ เป็นเนื่องมาจากต้องจัดการกับผู้อพยพนับร้อยที่ต้องการจะเข้าไปในเมือง

 

“ตะ-แต่ว่าผมจะหามันได้ยังไง?” เด็กน้อยยักคิ้วและกังวล “ไม่รู้ไปถามพ่อกับแม่เอ็งให้เขียนคำขอร้องมายืน” มันเป็นสองคำศัพท์ที่กระตุ้นน้ำตาและทำให้แขนขาของเด็กน้อยเหมือนจะไร้กำลัง “พะ-พ่อกับแม่ของผม ถูกทหารลูแมนฆ่าหมดแล้ว…” ใบหน้าของพ่อกับแม่ของเขาเผ่าไหม้ในเปลวไฟแห่งสงครามยังคงสถิตลึกในจิตวิญญาณและในความทรงจำที่ปลุกตัวเขาทุกคืนวันให้ตกตื่นขึ้น

“โทษที...แต่ข้าได้รับคำสั่งมาและช่วยเอ็งไม่ได้ แล้วพวกเจ้าที่มุงกันถ้าไม่มีเอกสารหรือธุระสำคัญก็กลับไปที่แคมป์ซะ! ไคทาสตาวล์เป็นเมืองปิดและเปิดสำหรับเฉพาะธุระทางการเท่านั้น!” ทหารยามตะโกนสุดก้นปอดผ่านช่องเล็ก ๆ ของมหาประตูทมิฬ เพียงแต่นั่นไม่ได้เคลียร์ผู้คนให้ออกไปจากหน้าประตูเลย และแค่หมู่ทหารยืนเฝ้ากันเป็นแถว ๆ หลังมันก็ฟังดูออกกันว่า เสียงของฝูงผู้อพยพเหล่านี้นั้นยิ่งกราดส่งเสียงอึกทึกกันมากกว่าเดิม

ปัง! กระสุนบินขึ้นสู่ฟ้า ตามมาด้วยความโกลาหลของชาวผู้อพยพที่กรีดร้องวิ่งสกัดชนกันเหมือนผึ้งรังแตก เมื่อ รูท แห่งอีสฟาริย์ หัวหน้าทหารในเมืองไคทาสตาวล์ได้ยิงขู่ขวัญของฝูงอพยพ “ไอ้ห่าพวกนี้…” เอ่ยเบา ๆ อย่างหงุดหงิดพร้อมรีโหลดกระสุนปืนไรเฟิลซิงเกิ้ลช็อตของเขา มันคือรุ่นเดียวกับที่ใช้เป็นอาวุธหลักของพลทหารประจำเมืองทุกนาย

“ท่านครับ?” นายทหารที่นั่งเฝ้าตรวจเอกสารอยู่ได้ทักขึ้น เพราะในระหว่างที่ใครก็ตามหน้าประตูเมืองได้หนีวิ่งกลัวตายจางกันออกไป ชายหนุ่มคลุมดำยังคงนั่งหยุดนิ่งอยู่บนหลังม้าตรงนั้น

“แล้วเอ็งยังมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

 

“ข้ามีธุระกับเจ้าเมืองนี้” ดวงตาอมนุษย์ของเขาจ้องสบผ่านช่องสอดแนม ดวงตาที่เป็นเอกลักษณ์ของบลัดฮันท์ นักล่าอสูร ปิศาจและสัตว์แห่งเวทมนตร์

“แล้วไง? เมืองมันปิด ถ้าแกไม่มีเอกสารก็เข้าไปไม่ได้ อีกอย่าง พวกเรารู้ดีหมดว่าบลัดฮันท์อย่างแกมันมีแต่รู้จักสร้างปัญหา”

 

“งั้นข้าจะรอตรงนี้ ไม่ไปไหน”

 

“มึงปัญญาอ่อนหรือไงวะ? พึ่งบอกไปว่าจะไม่เปิดให้”

 

“ข้าจะรอ”

 

“ฮึ ตามใจมึงเลย พลทหาร!” รูทอย่างสุดทนแต่ก็บันเทิงจิตนิด ๆ ยกมือเรียกให้นายทหารนับ 30 นายไปประจำบนเชิงเทินของกำแพงแล้วออกคำสั่ง... “เล็ง!” ...ด้วยทุกปากกระบอกปืนจ่อมายังชายคลุมดำ ทุก ๆ นิ้วที่วางบนไกปืนไม่สั่นสะท้านลังเลแต่อย่างใด เพราะยังไงก็ตาม ไม่มีชาวเหนือคนไหนสนใจคนสัญชาติลูแมนเนียร์อย่างเขา

“ยิ-”

“เดี๋ยวก่อน! ท่านครับ!” ทหารคนหนึ่งท่าทางเหนื่อยล้าวิ่งเข้ามาหารูท มือกุมม้วนกระดาษยับ ๆ ไว้ในมือ “จะอะไรกันอีกวะวันนี้” “คำ- คำสั่งโดยตรง- จากลอร์ดมิคาเอลกับท่านหญิงแห่งคาลิเดล ครับท่าน” เขายืนกระดาษม้วนพันโดยสายริบบิ้นสีทองผนึกตราประทับให้กับรูทผู้แกะมันออกและเกาหัวอ่าน

“...จากคำสั่งของ...หืมมม...ให้บลัดดี้...แห่ง…หืมมม” ตรงจบท้ายของหน้ากระดาษประทับตรา ซึ่งมิผิดแน่นอนว่าเป็น ตราประทับของทั้งสองตระกูลหลวงแห่งไคทาสตาวล์และคาลิเดล

“แกชื่ออะไร ไอ้หนุ่ม?” รูท หมดอารมณ์ เงยหน้าขึ้นหนีข้อความในกระดาษนั้นมาถามเขา

‘คีราน แห่งเรเวนเบลดส์’ ชื่อนั้นทำให้เหล่าทหารที่เล็งปืนจ่อหัวเขาอยู่เริ่มซุบซิบกัน “สหายของพระราชา?” “บลัดดี้ โครว์ ผู้ฆ่านับร้อย? ที่นี้? ในไคทาสตาวล์?” “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เดี๋ยวก็ท่านมาร์กราฟ เดี๋ยวก็ท่านหญิงแห่งคาลิเดล” มันเป็นเพราะจำนวนของขั้นขุนนางจากต่างแดนซึ่งมาเยือนไคทาสตาวล์ที่ทำไมฝูงของผู้อพยพจากเมื่อก่อนถึงได้คิดว่าจะได้เข้าไปหลบภัยข้างในกัน

ฟาร์แด้ม(แม่ง)… ลดอาวุธและเปิดประตู!” รูทผิดหวังเล็กน้อย อีกครั้ง เขาก็ออกคำสั่งและพลทหารก็ทำตามอย่างไม่ขัดแย้ง ประตูเมืองบานใหญ่ทำจากเหล็กน้ำหนักกว่า 2 ตัน ค่อย ๆ เปิดอ้ากว้าง สั่งงานจากเครื่องยนต์กลไกที่ดูแลโดยนายทหาร เสียงถากของเหล็กดำขูดกับพื้นศิลาฉุกดึงความสนใจของใครก็ตามในรัศมี รวมถึงชาวผู้อพยพ

“แกมีเพื่อนในที่สูงนะ เจ้าบลัดฮันท์ แต่ระวังตัวเอาไว้ดี ๆ รู้ไว้ด้วยว่าข้าจับตาดูแกอยู่’”

“อือหือ” ชายคลุมดำทำเสียงในลำคอคล้ายแปลมันออกมาว่ารับทราบและไม่สนในขณะเดียวกัน

 

ฮ้! มิสเตอร์! มิสเตอร์!” เด็กหญิงในชุดลูกไม้สีขาวแดงชบากระโดดโลดเต้นเรียกหานักล่าอสูร บลัดฮันท์ ผู้พึ่งข้ามพ้นกองแนวของทหารหน้าตาตึงเครียด ม้าของเขาเตาะแตะไปใกล้และเธอจึงยื่นแขนน้อย ๆ กับจดหมายนั้นมาให้กับเขา น่าแปลก ผู้คนส่วนใหญ่ รวมถึงเด็ก ถ้าไม่รังเกียจก็หวาดกลัวเขา แต่เด็กหญิงคนนี้กลับมองเขาตาใส อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองไม่ใส่ใจอะไรมาก เขารับจดหมายนั้นไว้ เนื้อของกระดาษดูคล้ายประเภทเดียวกันกับที่รูทได้รับ เพียงแต่ใบนี้ไม่มีตราประทับใด ๆ เด็กหญิงหลังเสร็จภารกิจของเธอก็รีบวิ่งกระโดดเริงร่าหายไปในตรอกมืด ตัวเขาเกือบจะอดเอ่ยถามนามชื่อของผู้ส่งจดหมายนี้สักหน่อย แต่กลิ่นของน้ำหอม มันไม่ผิดแน่นอน

 

‘ ถึง โครว์ เพื่อน สุดที่รัก

 

รอคุณอยู่ ที่เฮเลเคอร์เซน อย่าให้พวกฉันรอนาน

- S  ’

 

เท่าจากการจ่าหน้า เขาก็เกือบจะเข้าใจผิดว่า ‘เธอ’ ส่งจดหมายรักหาเขา เพียงแต่ตรงส่วนของ ‘อย่าให้รอนาน’ ที่อ่านดูเหมือนถูกประสงค์สั่งการให้เขาต้องรีบทำ เป็นนิสัยของเธอที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา