บลัดฮันท์/Bloodhunt

7.8

เขียนโดย เอเดน

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 23.19 น.

  7 #
  3 วิจารณ์
  10.38K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561 17.06 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Grimmest of Dawn II

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

II

...ากเปิดดูจากแผนที่ ไคทาสตาวล์จะเปรียบเสมือนเม็ดมณีสี่เหลี่ยมผื่นยาว ตั้งกั้นระหว่างป่าชื้นของมอร์นิ่งวูด คอมเมอร์เซีย เพียร์ตร้าและอเวนการ์ต ผังเมืองถูกแบ่งออกเป็นสามชั้นตามระดับพื้นเนินสูงกลางใจหมู่เขาสีหินนวลเทา รายรอบด้วยแหล่งหินแร่ลึกในภูเขา มันเป็นจุดกระจุกของแร่เหล็กดำอันสารพัดประโยชน์และใหญ่เป็นหนึ่งในสามของนอร์ จำนวนของเหมืองเองก็หมายถึงจำนวนของครึ่งของประชากรในไคทาสตาวล์ที่ประกอบอาชีพเป็นชาวเหมืองอีกด้วย

 

ดิ เฮเลเคอร์เซน de Helekerzen (สว่างเทียน) คือโรงแรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของขุนนางและบุคคลชนชั้นสูงจากทั่วนอร์ เพราะไม่ใช่แค่ขุด ไคทาสตาวล์ยังเป็นชั้นนำในเรื่องของการผลิตอาวุธ ชุดเกราะ วัตถุต่าง ๆ ที่ทำจากเหล็กดำอันแข็งแกร่งที่สุดนี้ ฉะนั้น ภายในโรงแรมหรูหราอลังการแห่งนี้ อาบประกายแสงเทียนสีทองนับพัน เรียงกันในก้อนอิฐของเตาผิงคริสเติล มันจึงไม่เคยขาดแห้งเสียงวุ่นของพ่อค้าหรือนักธุรกิจจากต่างแดน สนทนาการค้า ต่อรองราคาหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ยกเว้นวันนี้...

 

“ขอประทานโทษด้วยครับ แต่ท่านต้องถอดเสื้อโค้ทออกก่อนและห้ามนำอาวุธเข้าไป” สะดุดตาโดยดาบทั้งสามที่เขาสะพาย พนักงานต้อนรับได้สกัดโครว์ไว้ตรงหน้าประตู และยืนเป็นแถวเรียงกันเหมือนรูปปั้น คืออัศวินในชุดเกราะดำแห่งเพียร์ตร้า สัญลักษณ์ประจำชาติ ตราราชสิงห์ทอง หรือที่เรียกกันว่า ‘โกโดนา ลูฟโอวี Goldona Löwii’ ประดับลงบนเกราะและโล่ที่พวกเขาถืออยู่ ไม่ผิดแน่ว่านี่คือทหารอารักขาของมาร์กราฟ เอดอร์ฟ Margrave Adolf of Adara ลอร์ดแห่งอาดาร้าและญาติของพระราชาอัลริคแห่งเพียร์ตร้า

ถึงจะมีอัศวินยืนเฝ้าปกป้อง พนักงานต้อนรับกับรีเซฟชั่นต่างยังไม่ปล่อยวางใจ มือไม้ของพวกเขาสั่น เสียงคลอนแคลน โครว์เหม็นกลิ่นของโคลนดิน อสูร และคาวเลือด ผมดำมันเงาเหมือนสีของขนอีกานั้นรุงรัง รองเท้าบูทเปื้อนเลือด ตัวของเขาสามารถเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นคนร้ายหรือโจรป่า

“รอก่อน” เขาบอก ถอดชุดโค้ทแขนยาว  ปลดสายรัดของดาบทั้งสาม รวมถึงเข็มขัดคาดเอวที่ใช้พกมีด ปืนฟรินท์ล็อกเก่า ๆ กับดักชนิดพกพาและระเบิดมือประเภทต่าง ๆ ภาพของเขาวางเรียงมันที่ละชิ้นไว้บนเคาน์เตอร์ สร้างความพึลึกใจให้แก่ทุกคนโดยรอบ เป็นไปได้ยังไงที่ผู้ชายคนเดียวจะแบกซ่อนอาวุธไว้ถึงขนาดนี้? โครว์เว้นเก็บแต่กล่องบุหรี่ทำจากเงินไว้กับตัว

 

“ดูแลมันดี ๆ หล่ะ” เขาย้ำ จำนนอาวุธทั้งหมดที่มี ...เกือบทั้งหมด

 

“ให้เหมือนเป็นญาติคนที่สองเลยครับ” พนักงานต้อนรับก้มหัวให้กับเขาเล็กน้อย พยายามมอบรอยยิ้มเล็ก ๆ กับแฝงมุขตลกตอบกลับไป หวังขจัดความตรึงเครียดในอากาศและฝีหน้าเซ็ง ๆ ของเขา เพียงแต่มันไม่ได้ผล โดยไม่ต้องอ่านอนาคต โครว์ก็บอกได้ว่าการประชุมนี้จะมีแต่การเมืองอันน่าแสนน่าเบื่อหน่าย และเขาไม่ได้มาที่นี่เพราะการเมือง

 

‘เธอคงอยู่ในห้องเดิม’ เขาคิดในใจ

ระหว่างเท้าเดินตามหาห้องหมายเลข 22 ในแต่ละชั้นของโรงแรมที่แสนเงียบกริบกว่าปกติ

 

ใบหน้านิ่งสงบของเขาอาบโดยแสงเทียนและตะเกียงไฟที่แขวนตามพนัง

ในความเชื่อของศาสนาเปลวไฟแรก ศาสนาหลักของชาวนอร์ พวกเขาห้ามการใช้ของไฟฟ้าใด ๆ ทั้งปวง 'มิมีพลังใดอันยิ่งใหญ่ไปกว่าเปลวไฟแห่งไอราเดน’ คำสอนนี้ของพวกเขาได้ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จะไฟฟ้าหรือเวทมนตร์จึงถูกถือเป็นสิ่งชั่วร้ายในสายตาชาวบ้าน และในทางกลับกัน พิภพนอร์นั้นจึงล้าหลังกว่าที่อื่น

 

...กลิ่นหอมของดาร์คโรส น้ำหอมอันมีชื่อจากยาพิษในตำนานรัก ดุดสวนบุษบาแห่งนภาสวรรค์ หมอกไอละมุนกุหลาบหอมอ่อนมะลิวัลย์ตลบอยู่ตรงหน้าประตูห้อง

เขารับรู้ได้โดยกลิ่นประจำตัวของเธอและเบิกบานประตูเข้าไป โฉมหน้างดงามเหนือนางฟ้าหันมาต้อนรับเขา

เซราน่ามีดวงตาของบุษราคัม สีของตะวันลับขอบฟ้าที่ประจบมองเขานั้นช่างยากจะลืมเลือน

เธอละสายตาจากเขา หันใบหน้ากลับไปจรดกระจกเงาและโต๊ะเครื่องแป้งที่เต็มไปด้วยเครื่องแต่งหน้ากับเครื่องประดับจนแทบจะล้น เขาเดินลึกไปในห้อง เอาหลังของเขากับพิงกำแพงใกล้เตียง ดวงตาแทะชมสัดส่วนอันช่างสมบูรณ์แบบของเธอ ในเพียงชุดครอเซ็ทกับจีสตริง

 

“เข้ามาช่วยฉันหน่อย” หลังจากสวมกระโปรงยาวลากพื้น เซราน่านิ้วชี้สั่งเขาไปตรงสายเชือกครอเซ็ทข้างหลังที่ยังผูกรัดไว้ไม่เสร็จ ด้วยน้ำเสียงของเธอที่หวานแต่ทรงอำนาจ

 

โครว์วางฝีเท้าเงียบ ๆ เข้าหาเธอเหมือนย่องหาเหยื่อ ตากวาดไปบนแผ่นหลังนวลขาวผ่อง มือจับปลายเชือกทั้งสี่เส้น มัดมันเป็นโบว์ แล้วอย่างระมัดระวัง ชอนไชมือของเขาใต้วงแขนเธอ “โครว์!” ลูบคลำไปตามรอบเอวเรียวบางและลูกไม้สีทองประดับชุดครอเซ็ท เขาหยุดตัวเองไม่ได้ เขาวางนิ้วไว้บนหน้าท้องของเธอ- เบา ๆ ก่อนแล้วกดนวดมันขึ้นไป ปิดม้านตาของเขาไว้ ใบหน้าดำว่ายลึกในทะเลของเส้นผมเพอร์เพิลฮาร์ท สูบน้ำหอมที่ทาตรงต้นลำคอของเธอ จมูกจูบลูบไล่สัมผัสไปยันหัวไหล่ และร่างของเธอช้า ๆ จิตทนรั้งอารมณ์ของสัมผัสรัก

 

“ผมไม่ได้เจอคุณมานานถึง 2 เดือน ผมอยากจะลักพาตัวคุณไปอยู่บนเกาะสองต่อสอง…” เขากระซิบ หน้าอกแนบแน่นกับแผ่นหลังของเธอ

 

“อืมหืมมม แล้วไงต่อ?” เธอยิ้มกว้าง แต่งดงาม บรรเทิงในประโยคหวานชื่นที่เขาหยิบสรรหาขึ้น

 

“...พวกเราจะอยู่ห่างไกลจากโลก สัก 2 - 3 สัปดาห์…”

 

“แล้วเราจะทำอะไรกันตลอด 3 สัปดาห์?”

 

“...พลอดรัก บนหาดทรายสีขาว ท่ามกลางเสียงของนกนางนวลและคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ตั้งแต่เช้าจนตกเย็น” เขารินคำหวานใส่หูของเธอ

 

“ฟังน่าสนใจดี... แต่น่าเสียดาย เพราะฉันกับคุณยังมีงานต้องทำกันก่อน” เธอปลดปมกอดของเขาก่อนที่แก้มทั้งสองของเธอจะรู้จักแดงอายได้

 

“เซร่า มันสำคัญด้วยหร่อ-”

 

“มันสำคัญโครว์ ท่านมาร์กราฟเองก็มาเข้าร่วมและนั่งรออยู่ในห้องแล้ว ฉะนั้นรีบ ๆ แต่งตัวซะ” ในเงาสะท้อนของกระจก พวกเขาจับสายตาไปยังเสื้อผ้าวางราดเหนือกระเป๋าเดินทางบนปลายเตียง

 

“มันเป็นอะไรกับชุดผม?”

 

“มันมีกลิ่นของเลือด!” เธอเจาะแจ้งสิ่งที่ดูเหมือนปกติสำหรับเขา

 

“มันไม่ได้ทำให้ผมดู น่าอร่อย สำหรับคุณหร่อครับ?” เสียงเย้ายวนของเขาพยายามแงะเปิดนิสัยเก่าในหัวใจของแวมไพร์สาว “เปล่าเลยย่ะ มันทำให้คุณดูสกปรกโสโครกและกวนตา” เธอปัดมันทิ้ง ตาจ้องแพ่งตรงคอเสื้ออันมีคราบเลือดไม่กี่หยด แต่มันพอจะแยกแยะด้วยตาเปล่าออกระหว่างสีดำของเสื้อและแดงเลือดกล่ำ

โดยไม่ขัดขืนเธอต่อ โครว์หันหลังไปหยิบเสื้อผ้า ส่วนเซราน่าก็กลับไปแต่งหน้าของเธอต่อ

 

เสื้อด็อบเล็ทกับกางเกงขายาวสีดำ เย็บประดับเกร็ดทอง เรียงกันดิ่งตรงยาวเป็นลายเส้น

“ผมต้องใส่มันด้วยหร่อ?”

ตาของเขาทิ่มแทงไปยังผ้าพันคอที่ทำจากขนหมีดำ โครว์กับขนสัตว์ต่างไม่เข้ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องสวมใส่ชุดรัดรูปนี้อยู่แล้ว

“ฉันรู้ว่าเธอแพ้ขนสัตว์นะโครว์ แต่มันเป็นแฟชั่นของทางนอร์”

 

สำหรับเซราน่า ท่านหญิงแห่งคาลิเดล เอกอัครราชทูตแห่งประเทศเพียร์ตร้า ความสวยงามกับแฟชั่นของโลกนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนหายใจเข้าออก เธอรู้จักที่จะเลือกการแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าให้เหมาะสมกับทุกโอกาสและสถานการณ์ มันเป็นบางอย่างที่เขาไม่ค่อยให้ความสนใจหรือคิดว่ามันจำเป็นมากสักเท่าไหร่

 

หลังจากให้เหตุผลกับเขา เธอบรรจงปัดมาสคาร่า ปิดท้ายด้วยลิปสติกกลอสสีพรัมม่วงเข้ม ผสมลงตัวกับสีโทนผมของเธอที่ม้วนมัดไว้ข้างหลัง

 

เธอแอบเหล่เล็กน้อย ในกระจก ถึงแผ่นหลังกว้างกล้ามหนาของเขาที่เปลือยเปล่าฉายปรากฎอยู่ในเงา รอยแผล รอยข่วนของเขี้ยว เล็บ และคมอาวุธจารึกลงบนแผ่นหลังของเขาและทั่วร่าง มันคือหลักฐานของประสบการณ์ที่เขาได้สั่งสมมา

 

“เอาหล่ะ หันมาให้ฉันดูหน่อย” เธอแต่งหน้าจบเสร็จ สวยงามยิ่งกว่าก่อน

โครว์กับเสื้อที่ยังปิดกระดุมไม่เสร็จจึงหันมาอย่างช้า ๆ เซราน่าช่วยปิดมัน ไล่ขึ้นไปจนถึงปกคอเสื้อของเขา เธอนำผ้าพัดคอขึ้นมาพาดไว้บนบ่าของเขา บิดมันเล็กน้อย จัดในรูปทรงที่ให้ส่วนของปลายขอบตกหล่นจากตรงหัวไหล่

 

“อย่าเกาโครว์ เดี๋ยวเสื้อก็ยับหมด”

 

“ก็มันคันอะคับ! ผมแน่ใจเลยว่าไอ้หมีตัวนี้มันเน่าก่อนโดนถลกหนัง” เธอตีมือของเขาเบา ๆ เมื่อมันพยายามจะล้วงเข้าไปเกาใต้ผ้าพันคอซึ่งขนของหมีดูเหมือนได้ทิ่มทะลวงผ่านใยผ้าของเสื้อรัดรูปนี้ไป “นักล่าอสูรผู้เก่งฉกาด แพ้อยู่สองอย่างคือผู้หญิงกับขนสัตว์สินะ”

 

“คุณ ได้โปรด อย่าซ้ำเติมได้ไหม” เธอขำน้อย ๆ ในลำคอ ใจสนุกสนานในความทุกข์ทรมานของเขา แต่เธอหยุดกระทำมันอย่างรวดเร็ว มันไม่งามที่จะขำขันต่อหน้าของสุภาพบุรุษ

 

โครว์กับเซราน่าแต่งตัวในชุดแบบขุนนางแห่งนอร์ ด้วยโทนของสีดำและทองคำ สีประจำชาติของเพียร์ตร้า

“ดูเข้าสิ ถ้าไม่เพราะผมรุงรังของเธอ ฉันก็อาจจะบอกได้เลยว่าเธอเป็นคุณชายชนชั้นสูง”

เธอมองดูตัวเขาในกระจก พออกพอใจในผลงานของการจับตัวเขาสวมแต่งในชุด เหมือนเด็กกับของเล่นตุ๊กตา

 

“ใครจะไปรู้ บางทีผมอาจจะเป็นเจ้าชายผู้หายสาบสูญไปจากดินแดนอื่นก็เป็นได้” เขายิ้มเย้ยที่มุมปาก

“ก็อาจจะนะ แต่เจ้าชายมันน่าเบื่อ และอีกอย่างไม่มีเลือดราชวงค์คนไหนเกลียดการอาบน้ำเหมือนกับเธอหรอก” เธอยับยั้งเขาไว้ไม่ให้ได้อกได้ใจ เซราน่ามิอาจชมหรือขอบคุณได้โดยไม่หยิกกัด

 

“ช่างมันก่อนเถอะ ผมว่าพวกเราต้องรีบไป…”

 

“ทำไมกัน? รู้สึกอยากฟังการเมืองขึ้นมา?”

 

“มันเป็นประมาณว่าผมไม่รู้จะทนความคันนี้ได้นานสักแค่ไหน คุณช่วยร่ายเวทมนตร์หรืออะไรช่วยหน่อยได้ไหม?”

 

“โครว์ จอมเวทย์อย่างฉันเน้นพึ่งพาสมองและไม่ใช้เวทมนตร์อย่างพร่ำเพรื่อ เธอต้องรู้จักอดทนซะเอง” เธอขมวดคิ้วให้กับเขา แสร้งความรำคาญ

 

หลังจากเซราน่าหยิบเสื้อแจ็คเก็ตเวลเว็ทขึ้นมาสวมใส่ พวกเขาก้าวออกไปจากห้องพร้อม ๆ กัน โครว์เดินตามเธอมาข้างหลัง แต่เมื่อแค่เขานึกจะปิดประตูนั้น… มันก็จู่ ๆ ปิดดังปัง อย่างอัตโนมัติ โดยเวทมนตร์ หมุนเกลียวรอบตรงปลายนิ้วมือของเซราน่า

“หืมมม 'ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ’ สินะ?” เขากระซิบ ระหว่างเธอแอบขบรอยยิ้มป่วนแสบนั้นเอาไว้...

 

“...ท่านลอร์ดส์และเลดี้ส์ทั้งหลาย… พวกเรามาเห็นกันด้วยสักอย่างหนึ่งได้ไหม ว่าโลกของพวกเรานั้น มันฉิบหาย... ห่าฉิบหายซะเหลือเกิน”

ลอร์ดมิคาเอล คูสแลนด์ เบอร์การ์ฟแห่งไคทาสตาวล์ นั่งกล่าววาจาฉาดฉานอยู่ ณ หัวโต๊ะในห้องประชุม รูปร่างอ้วนใหญ่กว่าใครของเขาในที่นี้ดูเด่นตา มือถือแก้วทาร์การ์ดขนาดเท่าเหยือกน้ำทำจากทองคำประดับทับทิม ยกมันขึ้น ดื่มเหล้าน้ำผึ้งในแก้วจนหมด

ที่นั่งข้าง ๆ เขาอยู่คือ มาร์กราฟเอดอร์ฟแห่งอาดาร้า กับ ‘อดีต’ ไวส์เคาท์ฮาร์เวลแห่งคอมเมอร์เซีย Viscount Harvel of Commerzia

 

“ผมคงต้องเห็นด้วยกับมิคาเอล แต่คงจะไม่ถือใช่คำที่...หนัก ๆ เหล่านั้น พวกเราไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนเลยว่าจักรวรรดิจะบุกรุกด้วยกำลังที่ป่าเถื่อนอนุภาพเช่นนี้” ไวส์เคาท์ ฮาร์เวลเอ่ยขึ้น นิ้วย่นบางจับแก้วดื่มตาม เขาเป็นผู้ชายที่แก่ชราและอ่อนล้าเกินไป

 

“แต่ท่านฮาร์เวล ผมต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่าข่าวการรอดตายแล้วมาเยือนเพียร์ตร้าของท่านนี้ช่างเหมือนสายฟ้าฟาดกลางฤดูหนาว เพราะจากที่ผมได้ยินมานั้น ศึกสงครามจากทั้งภายนอกและในของเมืองคอมเมอร์เซียยาวนานถึง 2 ปี” เอดอร์ฟลูบหนวดเคราของเขาเล่นระหว่างถามอย่างสงสัย ยังหนุ่มไปสำหรับน้องชายของพระราชมารดาเอลินอร์

 

“ไอ้พวกหมาแห่งจักรวรรดิมันขึ้นชื่อดีกับกองกำลังสายลับและเล่นสกปรก มันน่าประทับใจด้วยซ้ำที่ยังมีคนเอาตัวรอดมาได้” มิคาเอลเพิ่มเติม

 

“มันได้เป็นอย่าง...ทุรนทุราย พวกจักรวรรดิตีเมืองถึง 4 หนในช่วงของ 2 ปีที่ผ่านมา พวกมันส่งทหารมาตีนอกเมืองและส่งสายลับมาก่อวินาศกรรมภายใน วางยาแหล่งน้ำ ปล่อยข่าวลือให้พวกเราทะเลาะฆ่ากันเอง ทั้งหมดนั้นช่าง...โกลาหล เท่าที่พวกท่านได้ทราบกันมา ผมได้สูญเสียทั้งปราสาท เมือง และเกือบจะทั้งหมดของราษฎรที่ผมมี จนตอนนี้แล้วพวกเรายังต้องทนกับผลที่ตามมา”

 

“ข้าต้อนรับท่านกับผู้คนของท่าน ฮาร์เวล แต่มันคงต้องใช้เวลาหน่อย ตัวเมืองไคทาสตาวล์ของข้าเต็มไปด้วยผู้คนอยู่แล้ว ข้าต้องส่งเรื่องไปยังพระราชวังอีกครั้ง ให้ทางนั้นจัดหางานและที่อยู่ใหม่สำหรับท่านและพวกผู้อพยพ”

 

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากครับสหาย ว่าแต่พระราชาไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ?”

 

“พอดีอัลริคเค้า…ไม่ว่างครับ”

 

“อยู่กับสาวโสเภณีไง มันกลับกลายเป็นว่าพระราชาอัลริคของเราชอบคุยการเมืองกับสาว ๆ ให้บริการในสปามากกว่านั่งฟังปัญหาของลูกเมือง ข้ารู้ว่าเขาเป็นหลานของเจ้า เอดอร์ฟ แต่แม้กระทั่งเจ้าก็ต้องยอมรับว่าเขาหลีกเกี่ยงหน้าที่ในฐานะของพระราชา!” ประเด็นของผู้ครองราชในปัจจุบันของเพียร์ตร้าเป็นที่น่าเดือดน้ำลายปากในทุกคราที่มีการสนทนาหรือวิพากษ์วิจารณ์กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมิคาเอล ผู้ได้ร้องเรียนเรื่องต่าง ๆ ไปยังพระราชสำนัก และทุก ๆ ครั้งถูกปฎิเสธความสนใจจากอัลริค

“ผมจะไม่ปฎิเสธว่าพระราชาได้ละเว้นหน้าที่ของเขาเพื่อ...กิจกรรมอื่น ๆ เป็นเหตุที่ทำไมเราถึงมานั่งประชุมกันตรงนี้ มันเป็นไปอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ครับ”

ที่พระราชาอัลริคจะทิ้งภาระการปกครองเมืองทั้งหมดให้แก่พระมารดาของพระองค์ เอลินอร์ และด้านการเงินกับการจัดบริหารแก่มิคาเอล ด้านการทูตและสายสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ให้แก่เซราน่า สุดท้าย การทหารและความปลอดภัยให้แก่ท่านอาของพระองค์ เอดอร์ฟ ระหว่างที่พระราชาอัลริคจะได้ทั้งถือมงกุฏ ตำแหน่งของพระราชาและใช้ชีวิตเสเพลไปวัน ๆ ตามใจของพระองค์

“ผมไม่คิดว่าเขารู้จักกับความหมายที่แท้จริงของสงคราม หรือสนใจถึงผลกระทบของมันนัก”

 

“แต่ทำไมจักรวรรดิลูแมนถึงยกทัพมาตีเคิร์นหล่ะค่ะ? มันไม่มีเหตุมีผลซะเหลือเกิน?” เสียงน้อย ๆ ของเอสเตอร์เอ่ยขึ้น นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง ห่างไกลจากมิคาเอล พ่อของเธอ เอสเตอร์เป็นสาวแปลก ชอบเก็บตัว แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับโลก

 

“เพราะเงินครับ-” เอดอร์ฟดับกระหาย เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบแล้วเอื้อมหน้าหันไปตอบ “-รากฐานจุดประสงค์ของสงครามคือสองอย่าง เงิน และ พลังอำนาจ ดินแดนเคิร์นเป็นจุดศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนของทั่วห้าพิภพ พวกเขานั่งทับอยู่บนกองภูเขาของเหรียญทองคำและจักรวรรดิลูแมนเองก็รู้ดี”

 

“ในวันเก่า ๆ สงครามมันทำกันด้วยเกียรติยศและศักดิ์ศรี แต่พอมันมีเรื่องของเงินกับอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง จะศักดิ์ศรีหรือเกียรติยศก็ไม่มีค่าเท่าตดลิง”

12 ปีที่มิคาเอลใช้เวลาสร้างกองทัพทหารรับจ้างหลังจากถูกขับไล่ออกจากเมืองของเขาเองโดยกองทัพผู้รุกรานจากประเทศเพื่อนบ้านและคู่ปรับของเพียร์ตร้า อเวนการ์ต Avangard

ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับพวกทหารรับจ้างชนชั้นดานและต่ำนานถึง 12 ปีแบบนั้นได้เปลี่ยนแปลงตัวเขา แต่ภายใต้คำหยาบคายและความไร้มารยาทของลูกผู้ดี มิคาเอลปกครองอย่างเป็นธรรมและบ่อยครั้งแทรกมุขตลก

 

“อย่างไรก็ตาม คุณหญิงน้อยเอสเตอร์และท่านลอร์ดทุกท่าน สิ่งหนึ่งที่ขัดข้องใจของผมมาตั้งนานคือทำไมกองทัพของจักรวรรดิที่มาตีเมืองและเพื่อนบ้านของผมถึงเป็นกลุ่มของทหารรับจ้าง? ทำไมจักรพรรดิยูจีนถึงไม่ส่งกองทัพอัศวินของเขา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการยุทธ์มากกว่าผู้คนเถื่อนเหล่านั้น?”

 

“แล้วท่านรู้หรือเปล่าว่าพวกทหารรับจ้างเหล่านั้นมันคือใครกันครับ?”

 

“ผมก็ไม่รู้อะไรมากนัก นอกจากพวกมันแต่งตัวกันในชุดเกราะแปลกประหลาดคล้ายชาวตอนตะวันตก โอเทสร์ Otezr และพวกมันแน่นอนเลยว่าไม่ได้พูดภาษาคอมมอน”

 

“อาจจะเป็นพวกเช็ปส์ Chaps กลุ่มแคลนเร่ร่อนที่รวมเผ่ากันปล้นสะดมอยู่ทางทะเลทรายตะวันตก พวกมันป่าเถื่อน รู้จักแต่ฆ่า ปล้น และข่มขืน” มิคาเอลตอบ ค้นจากความทรงจำของช่วงชีวิตก่อนที่เขาเองก็เคยเป็นทหารรับจ้าง

 

“มันอาจจะหมายความว่ายูจีนสูญเสียจำนวนกองทัพเป็นอย่างมากเมื่อรุกรานดินแดนตะวันออก หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเขาไม่สามารถส่งกองทัพตรงจากทางใต้ได้ แต่ใช้พวกเช็ปส์ฟังดูแล้วไม่เหมือนกับตัวเขาเลยนะครับ”

ดาบแห่งแสงดาวอันศักดิ์สิทธิ์ Sword of the Divine Star -จักรพรรดิยูจีน เอ็ตมัน ดารากอน แห่งลูแมนที่สาม ได้ถูกขนานให้เป็นนักบุญผู้มุ่งหวังจะทำลายล้างศาสนาอื่นบนโลก

ความเชื่อ ความคลั่ง ความศรัทธาของเขาในศาสนาเซเลสทิส Celestis ของเขานั้นเหนือไร้ขีดจำกัด

สำหรับชายผู้ถือศีลธรรมจะใช้กองกำลังของคนนอกรีดแบบนั้น มันดูผิดและมีแต่จะเสียชื่อเสียงของเขาเอง

 

ในระหว่างที่พวกเขาระดมความคิดวิเคราะห์กันอยู่ เสียงเบา ๆ ของบานประตูทั้งสองที่เปิดออกได้ดึงเรียกความสนใจ

 

“ท่านหญิงเซราน่าแห่งคาลิเดล กับ คีราน จากเรเวนฟอร์ต บลัดฮันท์และสหายของพระราชา!” แชมเบอร์ลินอ่านและกล่าวนามของบุคคลทั้งสองทันทีที่พวกเขาพ้นธรณีประตู

 

“ขอประทานอภัยที่ให้รอคอยกันนานค่ะ”

เซราน่าผู้ยื่นสง่าบนละอองของความปริศนาและน่าหลงใหล ก้าวมาข้างหน้าดั่งคุณหญิง เธอยกต้นขาซ้ายขึ้นเล็กน้อยวางไว้บนขาขวา มือเก็บพับไขว่หลัง คางเรียวเงยเชิดหน้า

 

“พี่เซราน่า!” เอสเตอร์กระโจนลุกจากเก้าอี้ไปโอบกอดเธอ เซราน่าเคยเลี้ยงดูเอสเตอร์มาในสมัยที่เธอยังเป็นเด็กแล้วหลังจากโตขึ้นมาพวกเธอทั้งสองก็เปรียบเสมือนพี่น้องกัน “เอสเตอร์!” เซราน่ากอดกลับ มือลูบผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนช็อกโกแลตนั้นอย่างเอ็นดู

 

“พวกผู้หญิงอย่างเจ้านี่ชอบให้ผู้ชายอย่างพวกข้าค่อยนานนักนะ”

 

“และเพศชายอย่างพวกท่านจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีพวกเรา” เธอย้อนคำหยอกเล่นของมิคาเอล สร้างความเฮฮาให้กับฝูงชายในห้อง

เอสเตอร์จูงมือเธอไปนั่งใกล้ ๆ และเมื่อสาว ๆ เคลื่อนตัวออกไปก็เผยพวกเขาให้เห็นถึงโครว์ ชายหนุ่มผู้มีดวงตาเรืองแสงสีฟ้า แต่งในชุดขุนนางด็อบเล็ท เขายืนอยู่ตรงนั้นพยายามเก็บไม้เก็บมือเอาไว้พยายามทนความคันที่แสบเรื่อยมา ณ หัวไหล่

 

“ทุกท่านครับ” โครว์ก้มหัว โค้งตัวคำนับ แต่มันไม่ต่ำพอหรือถูกตามกฏมารยาท ซึ่งมือขวาของเขาควรประกบหน้าอกระหว่างก้มโค้ง

 

“อ้า โครว์! มานั่งดื่มกับพวกเราเลย” เอดอร์ฟกวักมือเรียก และโครว์ก็ไม่ชักช้าที่จะรับคำเชิญนั้น

 

“ท่านมาร์กราฟแน่ใจหรือครับ? ท่านรู้จักกับเขาดีแค่ไหน?” ฮาร์เวลเอ่ยถามในน้ำเสียงที่สั่นคลอนเล็กน้อย โครว์เองก็รู้สึกสัมผัสแปลก ๆ รอบตัวของชายชราท่านนี้ บางทีมันคือความกลัว

 

“โครว์กับพระราชาอัลริคออกไปล่าสัตว์ป่าด้วยกันสองสามครั้งครับ และโครว์เองก็เป็นคนที่ได้ช่วยเหลือชีวิตพี่สาวของผม- พระมารดาของอัลริคเอาไว้” เหตุการณ์นั้นถูกเรียกกันว่า ปฎิบัติการลอบจู่โจมบนรถม้า the Assault On the Carriage

หวังควบคุมอัลริคพระราชาแห่งเพียร์ตร้า กลุ่มของขุนนางได้วางแผนจับลักพาตัวพระราชมารดาของพระองค์ ทั้งหมดจะสำเร็จได้หากโครว์ไม่ดันบังเอิญล่าอสูรอยู่ในพื้นที่นั้นพอดี

 

“ถึงจะเป็นเช่นนั้น ผมยังต้องถามว่าทำไมบลัดฮันท์อย่างเขาถึงมาร่วมโต๊ะกับพวกเราอย่างนี้?” เพราะที่นี่มันเป็นสถานที่เฉพาะขุนนางและชนชั้นสูง บลัดฮันท์ต่ำ ๆ อย่างโครว์ถือว่าไม่มีสิทธิ์ ถึงจะแต่งกายหรือทำตัวเลียนแบบยังไงก็ตาม

 

“ใจเย็น ๆ ฮาร์เวล เซราน่าเองก็ได้บอกกับข้าไปแล้วว่า บลัดฮันท์คนนี้มันคุ้มค่าจ้างจริง ๆ อีกอย่าง ไม่มีบลัดฮันท์คนไหนอยากจะรับสัญญาจ้างนี้”

 

“เอาจริง ๆ?” โครว์ยักคิ้ว หน้าเพ่งไปหามิคาเอล ประหลาดใจเล็กน้อย

 

“เอาจริง ๆ แล้ว บลัดฮันท์คนอื่นก็ได้รับสัญญาจ้างนี้มาหลายครั้งหลายหนในอดีต และทุก ๆ ครั้งพวกเขาก็กลับมาพร้อมหัวของผีดิบกับแค่ปากเปล่าบอกว่าปัญหาได้แก้หายไปหมด แต่พออาทิตย์ต่อมาไอ้พวกผีดิบห่าเหล่านั้นมันก็โพล่ขึ้นมาใหม่อีก! ...มันเหมือนกับเป็น...คำสาป”

 

“ลอร์ดมิคาเอล ท่านกำลังพูดถึงสิ่งชั่วร้ายที่ยึดอาศัยอยู่ในป้อมร้างตรงพรมแดนใช่ไหมครับ?”

 

“ป้อม 'ร้าง’ มันชื่อว่า ไฟอาว้า Fiavah มันเป็นป้อมที่ตระกูลของข้าสร้างมาเมื่อนับร้อย ๆ ปีก่อนและงานประติมากรรมของมันหาที่เปรียบไม่ได้ในทั่วทุกภาคของนอร์! แต่ตอนนี้มันมีแต่ศพเดินเพ่นพ่านไปทั่วป้อม น่าเสียดาย มันมีกำแพงสูงทนและทำเลที่ตั้งดีแก่การสู้รบ มันจะดีมากเลยถ้ามีเอาไว้ใช้ต่อต้านกับผู้บุกรุกจากจักรวรรดิ-”

 

“ท่านคิดว่าไคทาสตาวล์จะเป็นรายต่อไปหร่อครับ?”

 

“มันก็เป็นไปได้ เพียร์ตร้าเป็นประเทศพรมแดนของนอร์และเมืองไคทาสตาวล์นี้เหมือนรั้วสวนข้างบ้านของเพียร์ตร้า พวกจักรวรรดิได้ยึดครองพิภพกลางและตะวันออกใส่ในถุงไปแล้ว ทำไมจะไม่แถมบุกขึ้นเหนือต่อไปอีกหล่ะ?” มิคาเอลยืนยันความกังวลของเอดอร์ฟ

 

“แต่ท่านบอกไปว่ามันเป็นคำสาป นักล่าอสูรอย่างเขาจะรู้อะไรเรื่องคำสาป?!” ฮาร์เวลขึ้นเสียงประทวง

 

“บลัดฮันท์ถูกสร้างมาเพื่อมากกว่าการล่าอสูรค่ะไวส์เคาท์ฮาร์เวล ในเลือดของพวกเขามีพลังต้านทานเวทมนตร์ต่าง ๆ และพวกเขาก็ยังถูกฝึกฝนมาเพื่อต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้อีก ดิฉันแปลกใจที่คอมเมอร์เซียไม่ค่อยได้รับรู้อะไรมากเกี่ยวกับบลัดฮันท์นะค่ะ”

 

“พวกเขามีชื่อเสียงแย่ ๆ ครับ ท่านหญิงแห่งคาลิเดล” ฮาร์เวลทิ้งท้ายเอาไว้ ปิดปาก เขาเก็บเงียบหลังจากที่เซราน่าอธิบายความสำคัญของบลัดฮันท์ในสถานการณ์เช่นนี้

 

“เอายังไงบลัดฮันท์? จะรับสัญญาจ้างนี้ไหม?”

 

“ผมยังอยากรู้ว่าค่าจ้างมันเท่าไหร่กันแน่” ในช่วงเวลาทองและนั้นหมายถึงเงิน โครว์ขจัดความรำคาญของเครื่องแต่งกายของเขา...

 

3,000 ดูเค็ท (Ducat เหรียญทอง ค่าเงินประจำชาติของเพียร์ตร้า)”

 

4,000” โครว์ขึ้นราคา ...ใบหน้าของเขานิ่ง ตาจ้องเขม็งไปหามิคาเอล มันไม่งานไหนที่ตัวโครว์ไม่ต่อรองราคา โดยเฉพาะเมื่อเขาเองยังไม่รู้ว่าควรจะคาดพบเจออะไร

 

“อ่าาา โครว์ ผมคิดว่าคุณไม่รู้ว่ากำลังต่อรองราคากับใครอยู่…” เอดอร์ฟพยายามเตือนเขา มิคาเอล คูสแลนด์ไม่ได้มาคุมเมืองเหมืองแร่ซึ่งเป็นรายได้หลักของเพียร์ตร้าเพียงแค่เขาเกิดมาเป็นลูกขุนนาง เขาเป็นทั้งนักรบ พ่อค้า และนักธุรกิจผู้มีความสามารถ

 

3,100 ข้าได้จ้างพวกบลัดฮันท์อย่างเจ้ามาหลายครั้งจนไม่อยากจะเชื่อใจแล้ว”

 

“แต่ท่านก็ไว้วางใจเซราน่าแล้วสินะ และเธอก็รู้ว่าสามารถวางใจกับผมได้ ข้อเสนอของผมยังเหมือนเดิม 4,000” แต่โครว์เองก็ประกอบอาชีพบลัดฮันท์มาเป็นเวลานานอยู่เหมือนกัน เขารู้ว่ามิคาเอลไม่มีทางเลือกอื่น

 

3,500 เจ้าจะช่วยเหลือข้าและประเทศเพียร์ตร้า!”

 

“แต่บลัดฮันท์อย่างผมถูกห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อีกอย่าง ยอมรับเถอะ ท่านต้องการความช่วยเหลือของผม ถึงแม้จะแค่ฆ่าผีดิบไม่กี่ตัวก็ตาม”

 

“เฮ้อออ ไอ้บลัดฮันท์หน้าเลือด 3,800 ข้อเสนอสุดท้าย!” มิคาเอลกระแทกแก้วทาร์การ์ตกับโต๊ะ เขาจะไม่เพิ่มค่าจ้างตามใจของบลัดฮันท์อีก

 

“หืมมม โอเค” โครว์ทำเสียงพึงพอใจ

 

แชมเบอร์ลินกระฉับกระเฉงยื่นกระดาษเอกสารกับปากกาหมึกขนนกมาให้ เขาจิ้มนิ้วบอกโครว์ “เซ็นตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้” แตกต่างจ้างสัญญาจ้างกับชาวบ้านธรรมดา ที่มักเน้นแค่สัญญาปากเปล่า สัญญาจ้างกับขุนนางนั้นเน้นกระดาษ เอกสารที่ใช้เป็นเครื่องหมายผนึกคำสัญญา เพราะหากมีอะไรผิดพลาด พวกเขาจะมีทั้งหลักฐานและเหตุผลให้แขวนคอเขา “ดูเรียบร้อยดี” แชมเบอร์ลินกล่าว หลังจากที่โครว์เซ็นชื่อของเขาเสร็จ ตากวาดดูทั่วทุกหน้า แปลกใจที่บลัดฮันท์อย่างเขารู้จักเขียนหรืออ่านหนังสือออก

 

“ผมต้องการรู้มากกว่านี้ เกี่ยวกับคำสาปที่ท่านว่ามา”

 

“จำพวกเดิม ๆ อย่างที่มีชาวบ้านมาบ่นกับข้า นมวัวบูด พืชผักเน่าเปื่อยไม่ยอมโต กลิ่นของศพเหม็นในอากาศ เจ้าต้องลองถามในหมู่บ้านผ่านตัวป้อม ฟาเควล์ ตรงทางตะวันตก และก็มีคนเผาถ่านระหว่างทางด้วยเหมือนกัน”

 

“งั้นผมจะออกเดินทางในทันที-” 'และกำจัดไอ้ขนหมีนี้ทิ้งซะ’ เขาได้บันทึกมันในใจตลอดที่นั่งทนมา

 

“ผมเองก็เช่นกันครับ พร้อม ๆ กับท่านหญิงเซราน่า พวกเราต้องออกเดินทางไปเจรจาทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อความปลอดภัยของนอร์” เอดอร์ฟลุกจากเก้าอี้อย่างกระทันหัน

 

“แต่ก่อนที่เธอจะไปโครว์ เธอช่วยรอในห้องพักก่อนได้ไหม?”

 

“บางอย่างสำคัญ ๆ?”

เธอพยักหน้าแต่ไม่ตอบกลับ จากนั้นโครว์จึงเดินจากออกไป ตามด้วยท่านเอดอร์ฟ

 

“พี่เซราน่าจะไปอีกแล้วหร่อ?” ในเสียงออดอ้อนปนความผิดหวังเล็กน้อย ดวงตาของเอสเตอร์กลมใหญ่เหมือนลูกแมว

 

“ช่วงสางของดินแดนเรานี้ช่างหม่นหมอง เอสเตอร์น้อย และความมืดที่แท้จริงยังไกลกว่าจะถึง”

 

และดวงตะวันยังไม่ลอยขึ้นสุดแผ่นฟ้า...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา