ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ
-
เขียนโดย Richa
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 10.03 น.
14 ตอน
0 วิจารณ์
14.13K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 10.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) อมนุษย์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความมืดแห่งราตรีกาลได้เข้ามาปกคลุมทุกพื้นที่โดยรอบ สองพี่น้องร่วมสายโลหิตที่ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านเลยมาไม่เคยลงรอยกันเลยสักครั้งได้หันหน้าคุยกันฉันพี่น้องเป็นครั้งแรก น้ำได้รับรู้เรื่องราวอันแสนเจ็บปวดของน้องชายจอมเกเรและเธอจึงเริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกและพฤติกรรมของน้องชาย เธอรู้สึกสงสารและเวทนาเขาเป็นที่สุด ส่วนนายใบ้ก็ยังคงนอนสลบไสลอยู่บนพื้นในท่าคุดคู้เหมือนเดิม ใบหน้าที่กำลังหลับสนิทนั้นดูเปี่ยมสุขเหมือนคนที่กำลังนอนหลับและฝันถึงสิ่งที่ทำให้หัวใจเป็นสุขที่สุดในชีวิต
“ที่นายบ้าต้องแบกกระสอบทราย นายใบ้พูดไม่ได้แบบนี้ก็เพราะนายบ้ากับนายใบ้ไปเจอพ่อตอนกำลังแปลงกาย พี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อของเราเป็นพญานาค” หญิงสาวจ้องมองดูนายใบ้ที่ยังนอนคุดคู้อยู่อย่างเวทนา
เหตุการณ์ที่ทุกคนต่างสงสัยตลอดมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองพ่อลูกคู่นี้ ทั้งคู่ไปพบเจอกับอะไรมา ชะตาชีวิตของทั้งสองถึงได้ผิดเพี้ยนไปมากมายขนาดนี้ ไม่มีใครรู้เคยรับความจริงมาก่อน จนกระทั่งเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง น้ำเพิ่งจะได้รับรู้มันจากการบอกเล่าของธาร น้องชายผู้อยู่ให้เหตุการณ์และได้รับการลงทัณฑ์ที่โหดร้ายไม่ต่างจากสองพ่อลูกคู่นี้เลย
หญิงสาวไม่อาจจะบอกได้ว่าเธอรู้สึกเช่นไรที่ได้มารับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในวันที่ทุกอย่างสายจนเกินไปแล้วเช่นนี้ เธอเพิ่งรู้ว่าพ่อของเธอเป็นใครในวันที่เธอได้เสียพ่อไปแล้ว เธอรู้ว่านายใบ้และนายบ้าเจอเคราะห์กรรมอะไรในตอนที่ไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้อีก เธอเพิ่งรู้ว่าน้องชายคนเดียวที่เธอคิดมาตลอดเวลาว่าเขาช่างเป็นเด็กที่เกเรจนเกินจะแก้ไข แท้จริงแล้วเขาแค่ต่อสู้และปกป้องตัวเองจากศัตรูที่เป็นอมนุษย์และนี่ก็คงเป็นสิ่งเดียวที่ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไข เธอจะไม่ปล่อยให้เขาต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไป
หญิงสาวยืนนิ่งราวกับรูปปั้นท่ามกลางความหนาวเหน็บยามราตรีกาล ลมพัดมาอีกรอบพร้อมกับพกพาความหนาวเหน็บมาสัมผัสเรือนกาย น้ำหนาวจนตัวเริ่มสั่นในขณะที่ธารยังคงยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านเลือดในกายของเขายังคงอุ่นอยู่เหมือนเลือดของมนุษย์หรือไม่หรือเขาได้กลายเป็นสัตว์เลือดเย็นไปแล้วไฉนสายลมแห่งความหนาวเหน็บไม่อาจจะทำให้เขารู้สึกสะทกสะท้านได้เลย
“การที่พี่น้ำไม่รู้อะไรมาก่อน นั่นล่ะที่ทำให้พี่น้ำใช้ชีวิตมนุษย์ได้เต็มรูปแบบ ไม่ต้องคอยหลบหนีหรือต่อสู้กับศัตรูร้ายเหมือนผม พ่อกับแม่เคยพยายามปกป้องเราสองคนจากสิ่งเหล่านี้มาตลอด แต่ผมมันสอดรู้สอดเห็น ถึงได้กลายเป็นนาคก่อนวัยอันควรและไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะเป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการ”
“พี่สงสารนายนะที่ไม่ได้สิทธิ์เลือก แต่พี่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่ยอมให้พี่เข้าพิธีเลือก”
ธารส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ เขาจ้องมองพี่สาวอย่างเห็นอกเห็นใจเช่นเดียวกัน เขาคือคนที่รู้เรื่องราวหลายอย่างแต่ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตที่ผิดเพี้ยนไป ในขณะที่หญิงสาวไม่รู้เรื่องราวอะไรสักอย่างก็ยังคงต้องชดใช้ด้วยการมีชีวิตอยู่แบบไม่รู้ที่มาและที่ไปของตนเอง
เหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้ได้สร้างโอกาสให้สองพี่น้องปรับความเข้าใจกัน เขาและเธอได้พูดคุยกัน ได้ปรึกษาหารือกันฉันพี่น้องเป็นครั้งแรก ในตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนอยู่กันละโลก พูดกันคนละภาษา คุยกันได้ไม่กี่คำก็ต้องทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลา
“ตอนนี้พี่ไม่มีสิทธิ์ 'เลือก' แล้วใช่มั้ย ในเมื่อพ่อและแม่ได้เลือกให้พี่แล้ว พี่ต้องเป็นมนุษย์ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ใช่มั้ย” หญิงสาวเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ
น้ำในช่วงเวลานี้ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าถ้าเธอต้องเลือกจริง ๆ เธอต้องการเป็นอะไรกันแน่ เธออยากเป็นมนุษย์ มนุษย์ครึ่งนาคเหมือนเดิม หรือเป็นพญานาค ทำไมเสียงจากสายน้ำถึงได้ร่ำเรียกหาเธอ มันยังคงดังก้องอยู่ในห้วงความคิดและหัวใจ ที่นั่นต้องมีอะไรสักอย่างและมันต้องเกี่ยวข้องกับเธออย่างแน่นอน แต่ทำไมพ่อและแม่ถึงได้ปกป้องหรือกีดกันเธอออกมาจากสายน้ำ
“มันสายเกินไปแล้ว พี่ต้องไปเข้าพิธีเลือก ภายใน 14 วันหลังจากอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ตอนนี้อายุของพี่เลยมาหลายเดือนแล้ว พี่ไม่มีสิทธิ์เลือกเพราะแม่เลือกไว้ให้แล้ว เหมือนที่ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์เลือกเพราะพ่อจำเป็นต้องเลือกให้ผม”
ธารถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางหันไปมองหน้าใบหน้าแสนสวยของพี่สาว ใบหน้าของพวกเขาสองคนพี่น้องจ้องประสานกันอย่างอบอุ่นและจริงใจ รอยยิ้มเริ่มแจกจ่ายให้กันและกัน เลือดในกายของทั้งคู่เริ่มเข้มข้นขึ้น ความรักและความผูกพันที่ไม่เคยมีให้กันมาก่อน มันเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อพวกเขาเหลือกันเพียงแค่สองคนพี่น้อง
“พี่เสียใจจริง ๆ เลยที่พลาดโอกาสเลือกเส้นทางชีวิตให้ตัวเอง แต่ถึงจะให้พี่ได้สิทธิ์เลือก พี่เองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากจะเลือกเป็นอะไร มันคงไม่เหมือนเลือกคณะเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย”
“ไม่เหมือนเลย เพราะถ้าพี่เลือกจะเป็นนาคแล้ว พี่จะกลับคืนเป็นมนุษย์อีกไม่ได้เลย พี่จะต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอมนุษย์”
“ยังไง ที่ว่าใช้ชีวิตอย่างอมนุษย์”
“ถ้าพี่เลือกได้แล้วเลือกเป็นนาค พี่จะได้เป็นนาคที่มียศถาบรรดาศักดิ์เพราะพ่อของเราเป็นนาคชั้นสูง แม้เราจะมีมารดาเป็นมนุษย์ แต่ยศที่พี่จะได้รับอาจจะอยู่ระดับกลางค่อนไปทางสูงแล้วแต่สภาพญานาคจะพิจารณา และพี่อาจจะได้รับการถ่ายทอดอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์บางอย่างจากพ่อ อยู่ที่บารมีที่พ่อสร้างเอาไว้” ธารกล่าว
“แต่ในโลกมนุษย์พี่ก็คือนาคี ที่แม้จะแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ แต่พี่ก็คืออมนุษย์ที่จะอยู่บนเมืองมนุษย์ได้เพียงแค่ 7 วันเท่านั้น พี่ต้องลงสู่แม่น้ำโขงเพื่อแช่ตัวให้เกล็ดชุ่มชื้นมีชีวิตชีวาแล้วค่อยกลับขึ้นมาใหม่”
“ณ บ้านเรือนแหล่งพักอาศัยที่มีเจ้าของ พี่ก็จะเข้าไปในนั้นไม่ได้ จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของที่มีตัวตนและต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น” ธารกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เหมือนเช่นที่อนันดาเข้าไปในบ้านของเราไม่ได้ ใช่มั้ย?”
“ใช่ เขาจะเข้ามาไม่ได้ จนกว่าพี่หรือน้ามะปรางซึ่งเป็นมนุษย์และเป็นเจ้าของบ้านจะอนุญาตเท่านั้น”
“แล้วนาย? ก็จัดว่าเป็นอมนุษย์?” น้ำเอ่ยถามน้องชายด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“อมนุษย์!!! ผมคือพวกอมนุษย์” ธารตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สองปีก่อนผมเคยเป็นมนุษย์ครึ่งนาคแต่ตอนนี้ผมคือ อมนุษย์!!! ผู้ไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ทั้งปวง”
“แล้วทำไมนายถึงเข้ามาอยู่ในนี้ได้หรือว่านายได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง”
“บ้านหลังนี้มีอะไรมากกว่านั้น มันไม่ใช่แค่บ้านแต่มันคือเกราะป้องกัน เกราะป้องกันนี้พ่อเป็นคนสร้างขึ้นและให้แม่เป็นเจ้าของที่แท้จริง อมนุษย์ทุกตนจะเข้ามาได้ต้องมีแม่เป็นผู้อนุญาตเท่านั้น และแม่ก็อนุญาตให้ผมเข้ามาได้”
“พอแม่ตายบ้านหลังนี้ตกเป็นของพี่น้ำโดยชอบธรรม และน้ามะปรางเป็นผู้ปกครองของพวกเราก็มีสิทธิ์ในการเชื้อเชิญแขกหรืออมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน” ธารบอกเล่าด้วยท่าทีเป็นกังวลใจ
“แต่น้ามะปรางคงไม่มีวันเชื้อเชิญอมนุษย์เข้าบ้านเราหรอก พี่ไม่คิดว่าน้ามะปรางจะรู้จักกับอมนุษย์ที่ไหน ส่วนพี่ก็จะไม่มีวันเชื้อเชิญอมนุษย์หน้าไหนเข้ามาอีกเป็นอันขาด” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและจริงจังหลังจากที่เธอรับรู้แล้วว่าเกราะป้องกันนี้คือความปลอดภัยของน้องชายและคนในบ้าน
“ผมก็หวังไว้เช่นนั้น” ธารกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่ยังเป็นกังวล
“ดูนายเป็นกังวลมาก” น้ำสังเกตสีหน้าและท่าทางของน้องชายที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
“ใช่ ผมเป็นแค่นาคชั้นต่ำ ไม่มีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ไว้ต่อสู้และป้องกันตัวเอง เกราะนี้เป็นที่แห่งเดียวที่สามารถให้ผมหลบซ่อนตัวและป้องกันผมได้จากการถูกเล่นงานจากอมนุษย์ทุกตน” ธารตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังเป็นกังวลอยู่เช่นเคย
ธารต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนและหวาดระแวงเช่นนี้มายาวนานถึง 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้พ่อของเขาและเธอได้คอยปกป้อง ตอนนี้เขาต้องต่อสู้ทุกอย่างด้วยตัวเองแม้จะมีนาคลึกลับคอยให้ความช่วยเหลือแต่เขาและเธอก็ยังไม่รู้ว่าคือใครและมาให้ความช่วยเหลือด้วยวัตถุประสงค์ใด หญิงสาวจ้องมองดูน้องชายอย่างเวทนาสงสารจับใจ เธอจะต้องคอยปกป้องเขาเพราะเขาคือสมาชิกคนสุดท้ายในครอบครัวที่เธอเหลืออยู่ นี่คือเสียงที่ดังก้องอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเธอ
“ถ้านายไม่โดนนายบ้ากับนายใบ้ล่อหลวงไป ถ้านายรอจนครบกำหนด เมื่อนายอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ถ้านายได้แล้วเลือกเป็นนาค นายคงจะได้เป็นนาคชั้นสูง”
“มันสายเกินไปแล้ว” ธารพูดแทรก
“ไม่มีคำว่าสายหรอก ทุกอย่างมันต้องมีทางแก้ไขซิ” หญิงสาวแทรกขึ้นมาบ้าง
“แก้ไขได้ ด้วยตัวผมเอง ผมต้องเรียนรู้และสร้างบารมีด้วยตนเอง ซึ่งนั่นผมต้องใช้เวลานานนับพันปี เหมือนเช่นอนันดาและอนาคิน พวกเขาก็เริ่มต้นจากการเป็นนาคชั้นต่ำ”
“พันปี?” หญิงสาวทำหน้าตกใจ
“ใช่ พญานาคตนหนึ่งมีอายุเป็นพัน เป็นหมื่นปีเลยนะ พี่น้ำรู้มั้ย พ่อของเราอายุสองพันกว่าปีแล้ว” ธารตอบพลางชำเลืองมองดูสีหน้าที่ตกใจของพี่สาวด้วยอาการนิ่งเฉย นี่เป็นสิ่งใหม่สำหรับผู้เป็นพี่สาวแต่เป็นสิ่งที่น้องชายคุ้นเคยมาเป็นอย่างดี
“เมื่อผมอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว ผมก็ต้องกลายเป็นนาคไปโดยปริยายและไม่อาจจะแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อีก จนกว่าจะสำเร็จวิชาแปลงกายซึ่งอาจจะใช้เวลาศึกษาเรียนรู้และฝึกฝนอีกหลายร้อยปี กว่าผมจะกลับมายังโลกมนุษย์ได้อีกครั้ง” ธารเอ่ยขึ้นแล้วหยุดนิ่งไป
“ถึงตอนนั้นที่ผมกลับมาได้ ร่างกายมนุษย์ของพี่น้ำคงไม่สามารถอยู่รอเพื่อที่จะพบกับผมอีก” แววตาของธารนั้นเลื่อนลอยออกไปสู่ความมืดเบื้องหน้า
“ถ้าผมเลือกได้ ผมจะเลือกเป็นมนุษย์เช่นที่พี่เป็น ในโลกของนาค พี่จะต้องเจอกับพวกครุฑ ถ้าครุฑตนนั้นมีศักดิ์เสมอหรือสูงกว่ามันก็จะมีฤทธิ์พอที่จะเล่นงานพี่ได้ พี่ต้องสู้กับมันหรือไม่ก็เป็นอาหารของพวกมัน และที่โหดร้ายที่สุดพี่ต้องไปเข้าร่วมพิธีคัดเลือกนาคเพื่อไปสังเวยเป็นอาหารให้พญาครุฑ ตามประเพณีโบราณ มีเพียงนาคชั้นสูงเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้น แต่บางทีนาคชั้นสูงบางตนก็ถูกเลือกด้วยเหตุผลบางอย่าง” ธารหันกลับมาจ้องหน้าพี่สาวที่ทำหน้างุนงงสงสัย
“มีประเพณีบ้าบอนี้ด้วยเหรอ พี่นึกว่ามันเป็นแค่ในตำนาน”
“ในโลกของพญานาคโหดร้ายกว่าที่พี่คิดเอาไว้ มันไม่ได้สวยหรู มันคือแหล่งที่อยู่ของอสรพิษร้ายและตอนนี้พวกมันก็กำลังจะมาที่นี่เพื่อเล่นงานผม”
“เล่นงานนาย ...เรื่องอะไร?”
“เรื่องที่ผมแปลงกายต่อหน้ามนุษย์!!! ซึ่งก็คือ พี่ พี่ฝนและพ่อของพี่ฝน ผมไม่ทันสังเกตเห็นพี่ฝนและพ่อของพี่ฝนซึ่งนั่นพออนุโลมได้ แต่ผมเห็นว่าพี่ซึ่งเป็นมนุษย์ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ก็ยังแปลงกายให้พี่เห็นโดยเจตนาของผมเอง มันผิดกฎบาดาล ผมต้องถูกลงทัณฑ์”
“พวกนั้นรู้จะได้ยังไง หรือว่าเพราะอนันดา? เขาใช่มั้ยที่จะไปบอกพวกสภาพญานาคอะไรนั่น” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด ชายแปลกหน้าที่เพิ่งโผล่เข้ามาในชีวิตของเธอนั้นเขาคือผู้อยู่ในเหตุการณ์อันโหดร้ายของนายบ้า นายใบ้และน้องชายของเธอด้วย และชายอีกคนก็กล่าวถึงสภาพญานาคมันคงเป็นสมาคมอะไรสักอย่างที่มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้พ่อของเธอต้องหวาดกลัว
“ไม่ใช่หรอก อนันดาไม่ใช่ศัตรูของผม ถึงเขาจะไม่เป็นมิตรกับผมก็เหอะ พวกสภาพญานาคมีลูกแก้วมหัศจรรย์ที่สามารถสอดส่องดูเหล่านาคทั่วทั้งจักรวาล พวกมันรู้และเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาคทุกตน ไม่มีพญานาคตนใดสามารถปกปิดเรื่องราวจากลูกแก้วมหัศจรรย์นี้ได้ทุกดวงหรอก” ธารตอบ
“พี่ลองจินตนการดูว่าชีวิตของพี่ในทุกย่างก้าวของทุกนาทีต้องอยู่ภายใต้กล้องวงจรปิดนับล้าน ๆ ตัว พี่ปิดจากกล้องตัวหนึ่งแต่ก็อาจจะถูกมองเห็นจากกล้องอีกตัว สภาพญานาคมันคือสถานที่สำหรับสืบค้นหาเหล่านาคทั่วทุกสารทิศ”
“นายจะต้องถูกลงทัณฑ์? แบบไหน โหดร้ายหรือเปล่า” น้ำเอ่ยถามน้องชายด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“ผมเองก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นความผิดมหันต์อยู่” ธารตอบด้วยสีหน้ากังวลไม่น้อยกว่าพี่สาว เขาเคยเจอการลงทัณฑ์ด้วยความผิดมหันต์มาแล้ว ความผิดครั้งนี้ก็ผิดไม่น้อยไปกว่าครั้งที่แล้ว เขาไม่อยากจินตนาการถึงโทษทัณฑ์ที่เขาจะได้รับเลย
“พวกมันเข้ามาในเกราะป้องกันของพ่อไม่ได้ ใช่มั้ย?”
“ไม่ได้ แต่นั่นหมายความว่าผมก็จะออกไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ทันทีที่ผมออกไป มันต้องเล่นงานผมทันที” ธารตอบแต่น้ำเสียงของเขายังแสดงออกถึงความหวาดระแวงอยู่
“งั้นนายก็ต้องอยู่แต่ในนี้ซิ ที่นี่พ่อสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องพวกเรา ปกป้องนาย” สีหน้าของหญิงสาวคลายความกังวลลงมาบ้างเล็กน้อยเหมือนเธอมั่นใจว่าที่บ้านหลังนี้คือสถานที่หลบซ่อนอันปลอดภัยของน้องชายแล้ว
“ไม่ได้ ผมต้องลงไปแช่น้ำโขงทุก 7 วัน แต่ถ้าผมออกไป พวกมันก็จะต้องมาเพื่อจับผมลงสู่บาดาลไปลงทัณฑ์ตามธรรมเนียม”
หญิงสาวเริ่มเดินวนไปมาด้วยความวิตกและกังวลใจไม่น้อยไปกว่าน้องชาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยเป็นห่วงเป็นใยน้องชายเธอเลยเพราะเธอไม่เคยรู้ว่าเขาต้องพบเจอเรื่องราวที่เลวร้ายเช่นไรบ้าง ตอนนี้เธอรู้ความจริงทุกอย่างและเธอต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องชายที่น่าสงสารของเธอ
“พี่จะไม่ยอมให้พวกมันเข้ามาทำร้ายได้นาย พี่จะปกป้องนายเอง” หญิงสาวจ้องมองใบหน้าอันวิตกกังวลของน้องชายอย่างไร้ความหวัง แต่เธอจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา
“มนุษย์ธรรมดาอย่างพี่ปกป้องผมไม่ได้หรอก นอกจาก..” เสียงของธารขาดหายไป
“นอกจากอะไร” หญิงสาวเร่งรัดอย่างอยากรู้อยากเห็น
“นอกจาก เราจะมีตัวช่วย ตัวช่วยที่เป็นอมนุษย์ผู้มีอิทธิฤทธิ์หรือ มนุษย์ผู้สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้" ธารตอบ
“แล้วพี่จะไปหาคนเหล่านี้ได้ที่ไหน?”
“เมื่อก่อน พ่อคอยสอน คอยช่วยเหลือ คอยปกป้องผมจากเหล่าอมนุษย์ผู้มีฤทธิ์เดชที่จ้องเล่นงานผม แต่พอเสียพ่อไป พวกมันก็จิกกัดผมเหมือนพวกแร้งที่รุมทึ้งเล่นงานเหยื่อ การเป็นนาคชั้นต่ำที่ไม่มีนาคผู้มีอิทธิฤทธิ์คอยปกป้องมันโหดร้ายเหลือเกิน .. พี่น้ำ” ธารพึมพำ
“ธาร พี่ขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องตาย” น้ำใส ๆ ไหลรินออกมาจากนัยน์ตากลมโตของหญิงสาว นานแล้วที่ใบหน้าของเธอปราศจากน้ำตา แต่ครั้งนี้มันไหลออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
“พี่จะตามหานาคผู้มีอิทธิฤทธิ์มาคอยปกป้องนายให้ได้ พี่จะ ... พี่จะ ... ขอความช่วยเหลือจากอนันดา” หญิงสาวพยายามจะพูดออกมา แต่เธอไม่อาจจะพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ เธอไม่รู้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นจะยินดีให้ความช่วยเหลือกับเธอรึเปล่าเพราะเขาคือศัตรูเก่าของพ่อเธอแต่เขาเป็นมิตรกับเธอตามคำบอกเล่าของธาร
ความเงียบได้ปกคลุมอีกครั้งเมื่อสองพี่น้องต่างยืนนิ่งงันไปด้วยความวิตกกังวล นายใบ้ลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียและทันทีเหลือบตาขึ้นไปเจอกับธาร สีหน้าที่หวาดกลัวนั้นก็ชัดเจนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด คลานหนีอย่างลุกลี้ลุกลน ล้มกลิ้งไปตามทางเดินของริสอร์ท
ก่อนหน้านี้หญิงสาวเคยสงสัยว่าที่นายใบ้ลนลานหนีธารทุกครั้งที่เจอ คงเป็นเพราะธารเชอบกลั่นแกล้งนายใบ้บ่อยครั้ง แต่ตอนนี้เธอเข้าใจถึงเหตุผลแล้ว นายใบ้รู้ว่าธารคือใครและเขาก็กลัวจนลนลานนั่นเอง
นายใบ้กึ่งวิ่งกึ่งคลานหนีไปอย่างรวดเร็วและสวนทางกับร่างสูงโปร่งสองร่างโดยไม่แวะทักทาย ทั้งสองร่างสูงโปร่งนั้นแยกทางให้นายใบ้วิ่งผ่านไปตรงกลางระหว่างทั้งคู่โดยไม่ถือสาหาความ หนึ่งร่างหันไปมองนายใบ้ด้วยความสงสัย ส่วนอีกหนึ่งนั้นเหมือนรู้ซึ้งถึงสาเหตุของทั้งหมดโดยไม่ต้องการคำอธิบาย
“น้ำ ธาร อยู่กันตรงนี้เองเหรอ น้าตามหาพวกเธอสองคนจนทั่วเลย” เสียงหวานหยดย้อยของน้ามะปรางตะโกนเรียกจากเบื้องหลังของสองพี่น้อง
น้ามะปรางเดินตรงเข้ามาหาน้ำและธาร เธอเดินมาพร้อมกับชายหนุ่มในชุดสีกากี สองพี่น้องต่างคุ้นหน้ากับชายหนุ่มคนนี้ดี เขาคือครูประจำชั้นของธารนั่นเอง
“ครูวายุ!! ครูเข้ามาในนี้ได้ยังไง” ธารอุทานออกมาอย่างตกใจ
“น้าเป็นคนเชิญครูวายุเข้ามาเองจ๊ะ” น้ามะปรางยิ้มแก้มปริจนเห็นลักยิ้มบุ๋มทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
“น้ามะปรางจะเชิญคนแปลกเข้ามาในบ้านโดยไม่บอกผมไม่ได้นะ” ธารตวาดออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว
“เดี๋ยวนะ!!! นี่น้าเป็นผู้ปกครองพวกเธอนะ น้าไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กรับจ้างนะ ธาร ... อย่าเข้าใจอะไรผิดไป” น้ามะปรางดุกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
ธารเมินหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ เขายังเด็กเกินไปที่จะเรียนรู้คำว่า “เก็บอารมณ์” ธารมักจะแสดงออกทางอารมณ์ตามความรู้สึกของเขา โดยไม่มีปิดบังซ่อนเร้น
น้ำยืนนิ่งอยู่ระหว่างบุคคลทั้งสาม เธอเข้าใจดีว่าทำไมธารถึงได้โกรธและวิตกกังวลเรื่องมีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจ คือ ทำไมธารต้องโกรธที่ครูวายุถูกน้ามะปรางเชิญเข้ามาหรือธารจะคิดว่าครูวายุอาจจะเป็นอมนุษย์!!!
หญิงสาวย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์ในอดีต เธอเคยเห็นครูวายุมาที่บ้านหลายครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ครูวายุจะมาเป็นแขกของแม่ ครั้งหนึ่งครูวายุเคยมาเจอกับพ่อของเธอโดยบังเอิญ วันนั้นเธอและแม่ของเธอจึงได้ดูศึกจ้าวมวยไทยกันโดยไม่ได้เจตนา และทั้งคู่เปรียบเหมือนมวยรุ่นเดียวกันถ้าจะเทียบเฉพาะรูปร่างและน้ำหนักตัว เพียงแต่อายุต่างกันหลายปีเท่านั้นเอง พ่อของเธออายุ 45 ปี แม้จะใบหน้าจะอ่อนเยาว์เท่าหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ส่วนครูวายุอายุราว 35 -36 ปี ด้วยกำลังวังชาน่าจะมีมากกว่า แต่แปลกที่พ่อของเธอกลับเป็นผู้ชนะในทุกศึก
หญิงสาวไม่แปลกใจที่พ่อของเธอไม่ค่อยเป็นที่พอใจของใครหลายคนนัก ความหยิ่งยโสและไม่ยอมยกมือไหว้ใครของพ่อเธอทำให้หลายคนไม่ชอบพอ ตามธรรมเนียมของไทยแล้วผู้คนมักนิยมชมชอบการอ่อนน้อมถ่อมตน คนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่เกรงกลัวและก้มหัวให้ใครอย่างพ่อของเธอจึงมักไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็นนัก ครูวายุก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีบุคลิกแทบจะไม่แตกต่างจากพ่อของเธอ เขาเย่อหยิ่งและไม่ยอมใครเช่นกันแต่น่าแปลกที่เขายอมอดทนเป็นข้าราชครู แม้จะมีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นเขาก็รอดพ้นจากคดีความทุกครั้งไปเหมือนเขามีเวทมนตร์สะกดจิตคนได้ สะกดให้พ้นภัยร้ายจากทุกคำกล่าวหา
ตอนนี้น้ำรู้ความจริงแล้วว่าทำไมพ่อของเธอถึงไม่ยอมก้มหัวให้ใครหรือยกมือไหว้ใคร ทำไมพ่อของเธอถึงได้บันดาลทุกสิ่งที่เธอปรารถนาให้เธอได้อย่างไม่มีข้อแม้ เพราะแท้จริงแล้วพ่อของเธอคือพญานาคราชผู้มีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ พ่อของเธอได้บำเพ็ญเพียรบารมีมายาวนานนับสองพันปี พ่อของเธอควรได้รับการกราบไหว้บูชา มิใช่ผู้ที่ควรกราบไหว้ใคร
แล้ว “ครูวายุ” คนนี้คือใครกัน ทำไมธารถึงได้หวาดกลัวเขา ทำไมพ่อของเธอถึงได้จู่โจมกับเขาทุกครั้งที่เจอะเจอกันและทำไมเขาถึงได้เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับพ่อเธอ
ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า “เขาคือมิตรหรือศัตรู ?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ