จอมใจเหนือแผ่นดิน
เขียนโดย ลู่เสียน
วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.30 น.
แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2561 16.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) จอมใจเหนือแผ่นดิน03
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสายลมเย็นๆพัดดอกท้อที่อยู่ในสวนดอกท้อในจวนใหม่ที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้แก่เว่ยอู๋จี้ ซือเซียนที่ตอนนี้กำลังเดินชมมวลหมู่ดอกไม้นานาพันธุ์ที่หน้าตำหนักด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายกว่าตอนงานแต่งของนาง โดยมีนางกำลังคนสนิทซือหนี่คอยติดตามทุกย่างก้าว
“วันนี้ราชบุตรเขยทรงงานอยู่ที่ห้องทำงาน อาจจะทรงมาร่วมเสวยพระกระยาหารร่วมกับองค์หญิงช้าหน่อยนะเพคะ”
“หึ! ช่างเขาเสียประไร ไม่มีเขาข้าก็กินข้าวเองได้หรอก”
“องค์หญิง พูดแบบนั้นมันมิควรนะเพคะ”
“ช่างข้าเถิด วันนี้ข้าจะอ่านตำราที่สวนดอกไม้เสียหน่อย”
“เพคะ หม่อมฉันจะนำมาให้เดี่ยวนี้เพคะ”
ซือเซียนส่งยิ้มหวานให้กับนางกำนันคนสนิท ก่อนจะย่างกรายเข้าไปในสวนดอกไม้ ที่มีบรรยากาศที่คล้ายๆกับตำหนักมู่หลันเพราะมีต้นท้อเหมือนกัน นางใช้เวลาในช่วงบ่ายอ่านตำรามากมายเหมือนเช่นบุรุษ นี่เป็นความชอบส่วนตัวของซือเซียนที่ตั้งแต่เด็กก็สนใจตำรับตำรา กลยุทธต่างๆจนท้ายที่สุดนางก็อ่านตำราทุกอย่างจนแตกฉาน สามารถเรียนรู้ได้เอง จดจำเนื้อหาได้ทั้งหมด หากเปรียบเทียบกับบุรุษนางถือว่ามีความรู้ที่แน่นเกินใคร แววตาที่สนอกสนใจในตำรากับท่วงท่าที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่อันน่ามองนี้เป็นสิ่งที่งามอย่างประหลาด อาจจะเป็นเพราะนางมีใบหน้าที่งดงามปานนั้น จะทำอะไรก็น่าดูไปเสียหมด
“เจ้าอ่านตำราพิชัยสงครามซุนจือด้วยหรือ”
เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางสุขุมเช่นเคย หากแต่ใบหน้ามีรอยยิ้มที่มุมปากเปื้อนอยู่ ซือเซียนที่ใช้หางตามอง เมื่อรู้ว่าใครมาก็เบนสายตากลับมาสนใจตำราในมือเหมือนเดิม
“ข้าสนใจอ่านตำรา มันน่าแปลกมากหรือ”
“แปลกสิ หญิงทั่วไปเขาไม่สนใจอ่านตำรากันหรอก”
“นั่นสินะ..ท่านพี่หนิงเยว่ก็บอกข้าเช่นนี้เหมือนกัน”
“แล้วทำไม เจ้าถึงทำตัวไม่เหมือนหญิงทั่วไปล่ะ”
“แล้วมีเหตุผลใดที่ข้าจะต้องเหมือนหญิงทั่วไป ข้าพอใจของข้าแบบนี้หรือท่านไม่พอใจ”เว่ยอู๋จี้ไม่ตอบหากแต่เดินมานั่งใกล้ๆกับนางด้วยแวววตาที่ยากจะคาดเดา ก่อนจะยืนใบหน้าที่แสนจะหล่อเหลานั้นเข้ามาใกล้จนทำให้ดวงหน้าหวานนั้นเผลอสะอุ้งเฮือกออกมา
“เจ้าเป็นเช่นใด ยังไงก็คือชายาของข้าแล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่พอใจ”รอยยิ้มที่มุมปากและคำพูดเหล่านั้นทำให้ซือเซียนเผลอหลงไหลไปชั่วขณะจนนางอดที่จะยิ้มเขินอายอย่างเสียมิได้ แต่ก็กลั้นรอยยิ้มนั้นเอาไว้ถึงแม้ว่าจะไม่เนียนเลยก็เถอะ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ล..แล้วนี่ท่านไม่ทำงานแล้วหรือ”
“ทำสิ ข้าเพียงแต่จะมาบอกเรื่องสำคัญกับเจ้าหนึ่งเรื่อง”
“....”
“พรุ่งนี้ข้าต้องไปตรวจการอยู่ต่างเมือง คงจะอยู่ที่นั่นราวๆ6-7 วัน”
“เช่นนั้นหรือ”รอยยิ้มบางค่อยฉายขึ้นมาที่ดวงหน้าหวานจนเว่ยอู๋จี้อดที่จะหมั่นเขี้ยวอย่างเสียไม่ได้เมื่อเดาความคิดของนางได้
“ข้าเลยจะมาบอกเจ้า ให้เตรียมเก็บของใช้ส่วนตัวไปอย่างจำเป็น”
“ฟู่จวิน(สามี)ท่านล้อข้าเล่นกระมัง งานของท่านใยข้าต้องหอบสังขารไปด้วยเล่า”ซือเซียนพูดเสียงประชด
“เพราะเจ้าเป็นชายาของข้ายังไงล่ะ”เว่ยอู๋จี้ว่าพลางลุกขึ้น เดินกลับออกไปด้วยสีหน้านิ่งแต่แววตาวาวอย่างผู้ชนะ
“แล้วก็...ข้าชอบนะ ที่เจ้าเรียกข้าว่าฟู่จวิน”ร่างสูงเอียงคอมองร่างบางที่ตอนนี้มีใบหน้าฮึดฮัดไม่พอใจ รอยยิ้มที่แสนจะน่ามองผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมนั่น ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปทิ้งให้ซือเซียนนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นกับหัวใจที่เต้นระรัวและใบหน้าที่ร้อนผ่าว
เมืองอู่โจว เมืองหน้าด่าน เขตแดนที่ต่อกับรัฐฉู่ เป็นป้อมปราการสำคัญของรัฐฉี ถึงแม้จะเป็นเมืองหน้าด่านแต่ก็มีควมมั่งคั่งทางด้านการค้าและกองกำลังที่เข้มแข็ง เจ้าเมืองที่ปกครองเมืองนี้คือขุนพลที่มากความสามารถตระกูลอิ้ง อิ้งเหยียน แม่ทัพใหญ่แห่งรัฐฉี ปกครองเมืองนี้มาแล้วหลายต่อหลายรุ่น สืบทอดตำแหน่งตามเชื้อสายของตระกูล ซือเซียนที่นั่งเกี้ยวมาพร้อมกับเว่ยอู๋จี้เป็นเวลานาน เมื่อได้มาเห็นโลกภายนอก ก็มีทีท่าสนอกสนใจเป็นพิเศษ เว่ยอู๋จี้ที่แอบมองร่างบางอยู่ไม่ห่างก็ได้แต่อมยิ้มอยู่คนเดียว
“นี่นะเหรอ เมืองอู่โจว ช่างงามตระการตานัก”ซือเซียนว่าพลางเอามือเรียวคลี่ผ้าม่านเปิดดูวิวด้านนอก ผู้คนมากมายพลุกพล่าน ส่วนมากแล้วต่างทำมาค้าขายกัน ดูจากการแต่งกายของชาวเมืองเรียกได้ว่าฐานะของพวกเขาก็ดูจะมีกินกันในระดับนึง เผลอๆอาจจะเทียบเท่ากับชาวเมืองหลวงเสียอีก
“เมืองอู่โจวถือเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของรัฐฉี ไม่ผิดหากที่เมืองจะน่าอยู่ถึงเพียงนี้”เว่ยอู๋จี้ว่าพลางจับไหล่บางดึงกลับมาให้นั่งอยู่กับที่เดิม เพราะคนภายนอกเริ่มสนใจในใบหน้าที่ลอดผ่านผ้าม่านออกไปดูวิวเมื่อครู่ จนซือเซียนที่พึ่งจะเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายนอกก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูกเพราะรู้ว่าตนเองได้ทำพลาดไปแล้ว
“ข้าขอโทษ”
“รู้ผิด ย่อมได้รับการอภัย ข้ายังพอมีเวลาก่อนไปตรวจการหากเจ้าต้องการอยากจะเดินชมตัวเมือง…”
“ข้าอยาก!”แววตาวาววับของซือเซียนที่ตื่นเต้นอย่างกับเด็กน้อยทำเอาเว่ยอู๋จี้อึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มบางออกมาแล้วเอื้อมไปหยิบหมวกคลุมสีขาวที่อยู่ไม่ไกลจากตัวมาใส่ให้ร่างบางอย่างทะมัดทะแมง ซือเซียนที่เห็นท่าทีที่แสนจะคล่องแคล้วนั้นก็อดที่หมั่นไส้อย่างเสียไม่ได้
“ดูจากท่าทางการสวมหมวกให้หญิงแล้ว ดูท่าท่านคงมีประสบการณ์มาไม่น้อยสินะ”
สิ้นเสียงเว่ยอู๋จี้ก็ได้แต่ยิ้มแล้วจัดหมวกคลุมให้เจ้าของใบหน้าหวานนั้นอย่างพิถีพิถัน
“หากข้าบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าทำให้หญิงสาว เจ้าจะเชื่อหรือไม่” เว่ยอู๋จี้ยิ้มมุมปากทำเอาซือเซียนแทบไม่อยากจะเชื่อในคำพูดที่แสนจะเจ้าเล่ห์นั่น
“ในชีวิตนี้ของข้า ผู้หญิงที่ข้าจะปรนนิบัติให้ ต้องเป็นชายาของข้าเท่านั้น”
ไม่รู้ว่าท่วงท่าและใบหน้าหวานคมที่แสนจะน่ามองหรือคำพูดของเขาทำให้ซือเซียนเริ่มที่จะทำตัวไม่ถูก หัวใจที่กำลังเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆส่งผลให้ใบหน้าหวานของนางเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ ร่างสูงสง่าที่พึ่งลงจากเกี้ยวเอี้ยวตัวหันกลับมาเพื่อยื่นมือหนาไปให้ร่างบางที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ซือเซียนมีท่าทางชะงักไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยอมเอามือเรียวบางของนางยื่นไปจับมือหนาอย่างเสียมิได้
ร่างงามทั้งสองเดินจูงมือกันไปตามถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน ไม่นานนักสายตาของทุกคนก็หันมาจับจ้องทั้งสอง ภาพที่เห็นนั้นช่างแตกต่างจากชาวเมืองทั่วไป แม้ใบหน้าที่แสนจะงดงามของซือเซียนจะถูกปกคลุม แต่ท่วงท่าที่อ้อนแอ้น รูปร่างเรียวบางหากแต่มีน้ำมีนวล ผิวขาวอมชมพูที่สวมใส่ชุดสีขาวผ้าพริ้วบางนั่น ช่างเป็นภาพที่งดงามเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน หากแต่ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆช่างน่ามองกว่าเพราะใบหน้าหวานคมเหนือบุรุษทั่วไปนั้นได้ประจักษ์แก่สายตาของคนทั่วไป ท่วงท่าการเดินของทั้งสองช่างน่ามองเสียจริงๆ
“นายท่านทั้งสองสนใจเครื่องประดับที่ร้านของข้าหรือไม่ วันนี้มีแต่เครื่องประดับที่แสนจะงดงามแม้จะไม่งามเท่าท่านทั้งสองก็เถอะ”
“เถ้าแก่ สร้อยจี้หยกขาวลายดอกเหมยนั่นราคาเท่าไหร่”ซือเซียนเอ่ยถาม
“ท่านนี่ตาถึงจริงๆ หยกชิ้นนี้เป็นหยกชั้นดี มีแค่ชิ้นเดียวที่ข้าสั่งทำ ข้าจะขายให้ท่านในราคา 50ตำลึงขอรับ”ยังไม่ทันที่ซือเซียนจะตอบรับ มือหนาก็ชิงจ่ายเงินไปก่อนเสียแล้ว เว่ยอู๋จี้ยื่นมือไปหยิบสร้อยจี้หยกชิ้นนั้นมาสวมให้กับเจ้าของคอเรียวระหงส์ทันทีก่อนที่หน้าขรึมนั้นจะมีรอยยิ้มที่มุมปากเมื่อมองเรียวคอขาวที่สวมสร้อยนี้
“แม้สร้อยเส้นนี้จะงดงาม แต่ก็งามไม่เท่าเรียวคอระหงส์ของเจ้า”คำพูดของเว่ยอู๋จี้ทำเอาใบหน้าหวานหน้าแดงอีกครั้ง แม้ใบหน้าหวานจะถูกปกคลุมด้วยหมวกคลุม แต่ร่างสูงก็คาดเดาได้ว่าตอนนี้ใบหน้าหวานนี้ต้องแดงระเรื่อเหมือนลูกมะเขือเทศเป็นแน่
จวนตระกูลอิ้ง
ขบวนการเดินทางของเสนาบดีีกรมยุติธรรมคนใหม่ได้เคลื่อนขบวนมาถึงหน้าจวนของขุนพลที่ยิ่งใหญ่ ด้านหน้าและภายในจวนได้มีการประดับตกแต่งเพื่อต้อนรับอย่างสมเกียรติ ตระกูลอิ้งแม้จะเป็นทหารทั้งตระกูล นิสัยมุทะลุ เถรตรง หักดิบ แต่ก็พอจะรู้มารยาททางสังคมอยู่บ้าง ยิ่งรู้ว่ามีองค์หญิงเสด็จมาด้วยก็ต้องยิ้งเตรียมการให้สมกับฐานะเพื่อแสดงความซื่อสัตย์ต่อฮ่องเต้
“ยินดีต้อนรับองค์หญิงซือเซียนและท่านเสนาบดี ข้าอิ้งเหยียน ขอคารวะท่านทั้งสอง”
“ท่านแม่ทัพไม่ต้องมากพิธี ข้าซือเซียนจะน้อมรับการคำนับจากท่านผู้อาวุโสกว่าข้าไปอย่างไร”
“ขอบพระทัยองค์หญิงพะยะค่ะ”
“ข้ามาตรวจการครั้งนี้ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ คงต้องขอรบกวนอาศัยท่านและจวนของท่านแล้ว”เว่ยอู๋จี้กล่าวพร้อมกับน้อมคำนับต่อแม่ทัพผู้อาวุโส อิ้งเหยียนเมื่อเห็นดังนี้ก็น้อมคำนับตอบ
“ท่านเสนากล่าวหนักเกินไปแล้ว ฮ่าฮ่า ฮ่า”
การต้อนรับของแม่ทัพใหญ่อิ้งเหยียนเป็นไปอย่างราบรื่นและเรียบง่าย หลังจากนั้นเว่ยอู๋จี้ก็เอาแต่ปรึกษาราชการบ้านราชการเมืองกับท่านแม่ทัพตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้พักเลย ส่วนซือเซียนก็ได้แต่พักอยู่ที่ในจวนอย่างเงียบๆ เช่นวันนี้ นางก็เอาแต่นั่งอ่านตำราอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางกำนันรับใช้ที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ได้แต่ซุบซิบนินทาถึงความงามภายใต้ผ้าปิดหน้านั้น ตั้งแต่ที่นางมาพักที่นี่ ไม่มีใครที่ได้เห็นโฉมหน้าของนางอย่างเต็มที่ซักที เพราะนางเอาแต่ปิดบังเอาไว้ ไม่อยากให้ใครเห็น เพราะอาจจะสร้างความวุ่นวายให้กับตน แต่ก็ไม่วายที่จะมีเสียงซุบซิบกันหนาหู แม้ไม่ได้เห็นหน้าเต็มๆ แต่แค่เห็นดวงตาที่แสนจะมีเสน่ห์นั้น ก็งามเกินกว่าใครเปรียบแล้ว คิ้มดำที่เหยียดยาวชี้โก่งขึ้นช่างน่ามองไปเสียทุกอย่าง ซือหนี่ที่เดินเข้ามาหาในมือถือจานขนมบัวหิมะ ของโปรดของผู้เป็นนายมาวางไว้ใกล้ร่างบางที่เอาแต่อ่านตำราพิชยสงครามอย่างตั้งใจ
“องค์หญิงทรงอ่านตำราทั้งวันแล้วนะเพคะ ไม่ทรงเบื่อหรืออย่างไรเพคะ”
“สิ่งเดียวในโลกที่ข้ารู้สึกเบื่อหน่าย ก็คือใบหน้าที่แสนจะขรึมเย็นชาของเว่ยอู๋จี้”ปากบางคลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะหยิบขนมบัวหิมะเข้าปาก
“หากเจ้าเบื่อหน่ายข้า ก็คงต้องทำใจเสียหน่อยล่ะ เพราะเจ้าคงจะเบื่ออย่างนี้ไปจนแก่เฒ่า”
ร่างสูงที่เดินมาพร้อมกับถืิอตุ๊กตาเจ้าเสือน้อยมา ก่อนจะยื่นให้กับชายาที่มีใบหน้าตึงทมึนในตอนนี้ ซือเซียนรับตุ๊กตานั้นมาก่อนจะเพ่งพิจารณามันอยู่ชั่วครู่
“ท่านไปเอาตุ๊กตาเสือน้อยนี้มาแต่ไหน”ซือเซียนว่าพลางเล่นกับตุ๊กตา
“ฮูหยินของแม่ทัพอิ้งให้ข้ามา นางมาบอกว่าอยากอวยพรให้เราและ…”
“และอะไร”
“ลูกของเราในอนาคต”
สิ้นเสียงเว่ยอู๋จี้ก็ทำหน้าตาที่แฝงไปด้วยเลสนัย แต่ซือเซียนกลับขำออกมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อกึ่งหยอก
“หากท่านอุ้มท้องแทนข้าได้ ข้าก็ยินดีช่วยท่านอีกแรงนะ”
ร่างสูงเปลี่ยวนั่งลงข้างๆร่างบางก่อนที่จะเอาใบหน้าคมนั้นโน้มลงไปใกล้เจ้าของใบหน้าหวานนั้น
“หากนั่นเป็นวิธีเดียวที่เจ้าจะยินยอมข้า...ข้าก็ยินดีที่จะหาวิธีอุ้มท้องแทนเจ้าได้”แววตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มที่มุมปากฉายขึ้นที่ใบหน้าคม ก่อนที่จะค่อยๆโน้มใบหน้านั้นลงหมายจะจุมพิศริมฝีปากบางที่แสนจะเจรจานั้น
หากแต่เจ้าของริมฝีปากนั้นกลับเบือนหน้าหนีด้วยความอาย ก่อนจะลุกจากที่นั่งเพื่อบ่ายเบี่ยงความอายแล้วเสแสร้งแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้
“ถ..ถ้าทำได้จริง ข้าต้องยินยอมท่านแน่”สิ้นเสียงใส ซือเซียนก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ร่างสูงที่โน้มใบหน้าจูบอากาศค้างอยู่อย่างนั้นค่อยๆส่ายหัวเบาๆด้วยอารมณ์ขัน การแกล้งนางทุกครั้งมันช่างมีความสุขดีจริงๆ
ซือเซียนที่เดินหนีเจ้าของใบหน้าที่แสนจะน่าหมั่นใส้นั้น หลังจากที่เดินหนีมาอารมณ์ฉุนเฉียวคนเดียวได้ซักพักก็พึ่งจะนึกออกได้ว่า ตนเดินหลงมาถึงที่ไหนแล้ว ตั้งแต่ที่ได้มาพักที่ จวนตระกูลอิ้ง ตนก็ไม่เคยได้เดินสำรวจที่ไหนเลย ถ้าเช่นนั้นก็ถือเสียว่า วันนี้หลงมาเดินเล่นละกัน เมื่อคิดได้ดังนั้น ซือเซียนที่ยืนคิดอยู่ข้างๆกำแพง ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยที่ลอยดังมาจากบนต้นไม้ใหญ่ เมื่อเหม่อมองขึ้นไปก็พบกับเจ้าของร่างกำยำผู้มีเสี้ยวหน้าที่แสนจะหล่อคมคายอยู่ในชุดสีดำทมึนดูแล้วช่างน่าเกรงขามกำลังเป่าขลุ่ยหลับตาพริ้มเพราะอยู่ในห้วงแห่งการดื่มด่ำเสียงขลุ่ย บทเพลงที่เป่าออกมาทำเอาร่างบางเคลิ้มไป ช่างไพเราะเสียนี่กระไร ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ซือเซียนยืนฟังเสียงขลุ่ยนั้น จนในที่สุดเสียงขลุ่ยก็หยุดลง
“เจ้าเป็นใคร”เสียงทุ้มต่ำที่เปล่งออกมาช่างมีพลังมหาศาลสมกับเป็นชาย ทำเอาร่างบางที่หลับตาพริ้มลืมตาขึ้นมามองร่างสูงกำยำที่กระโดดลงมาจากต้นไม้สูงอย่างไม่กลัวว่าจะพลาดพลั้ง ดวงตากรีดคมนั้นกำลังมองมาทางหญิงงามอย่างสงสัยหากแต่ในใจกลับชื่นชมความงามที่อยู่เบื้องหน้า ร่างบางที่สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์กำลังมองมาที่ร่างกำยำนี้เช่นเดียวกัน
“ข้าขอโทษที่มารบกวนท่าน ข้าคือคนที่มากับขบวนของท่านเสนาบดีกรมยุติธรรม”
“หรือเจ้า...ไม่ยักจะรู้ว่านางกำนันจากเมืองหลวงจะมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามเช่นนี้”ร่างกำยำกรีดรอยยิ้มอย่างร้ายกาจก่อนจะย่างก้าวเดินเข้ามาใกล้ร่างบางอย่างเพ่งพิจารณา
ซือเซียนที่ได้ฟังดังนั้นถึงกับอึ้งไปเพราะไม่รู้ว่าบุรุษที่อยู่เบื้องหน้านี้ ตัดสินนางยังไงถึงคิดว่านางเป็นนางกำนัน...หรือนางแต่งกายเรียบง่ายเกินไปกันนะ
“เจ้าชื่ออะไร ตั้งแต่ข้าเกิดมา แม้ว่าข้าจะชอบเที่ยวชมหญิงงามทั่วแคว้น แต่ก็ไม่เคยเจอหญิงใดที่งามเช่นเจ้า”ร่างกำยำกล่าวก่อนที่จะใช้มือหนาแกร่งเชยคางหญิงงามตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ
“หึ มีหญิงใดเคยพูดกับท่านแบบนี้บ้างหรือไม่ว่า ท่านช่างเป็นคนหยาบคายผิดกับหน้าตาที่หล่อเหลายิ่ง”ร่างบางว่าพลางสะบัดคางหนีมือหนาแกร่งอย่างไม่เกรงกลัว ร่างสูงกำยำที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเมื่อได้ฟังก็นิ่งไปก่อนที่จะหัวเราะชอบใจด้วยวาจาที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของหญิงงามตรงหน้า
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้า….นี่ช่างดึงดูดใจข้านัก นี่ข้า....คงจะตกหลุมรักเจ้าเข้าแล้วสิ”
“....”
ซือเซียนที่ตอนนี้ได้แต่ใช้หางตามองท่าทีของชายที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ในใจก็คิดเปรียบเทียบไปถึงเว่ยอู๋จี้ที่ถึงแม้เขาจะมีท่าทีน่าหมั่นไส้ไปบ้าง ก็ก็ยังถือว่านางยังโชคดีที่เว่ยอู๋จี้คนนั้นยังมีมารยาทไม่หยาบคายเหมือนคนเบื้องหน้านี้
พบเจอกันเมื่อครู่ กลับกล้ามาแตะต้องตัวข้า ช่างหยาบคายสิ้นดี!
...แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมนางต้องถึงถึงชายที่ทำให้นางหงุดหงิดดตลอดเวลาคนนั้นกันล่ะ
“ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าน่ะ”
“....”
“มาเป็นชายาของข้าอิ้งเจิ้งคนนี้เถอะ!”
นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนได้ลงไว้ที่เว็บธัญวลัยอีก 1เว็บ สามารถเข้าไปพูดคุยกันได้นะขอรับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ