จอมใจเหนือแผ่นดิน
-
เขียนโดย ลู่เสียน
วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.30 น.
3 ตอน
1 วิจารณ์
5,146 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2561 16.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) จอมใจเหนือแผ่นดิน01
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรััฐฉี
ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นขึ้นในวันที่สภาพอากาศเริ่มอบอุ่นหลังจากที่หิมะปรกคลุมพื้นที่นานอยู่หลายเดือนจนตอนนี้หิมะค่อยๆละลายไปจนเห็นต้นหญ้าสีเขียวขจี
“องค์หญิง! อย่าทรงวิ่งสิเพคะ หม่อนฉันตามเสด็จไม่ทันแล้วนะเพคะ”
“ซือหนี่ ท่านช่างชักช้าเสียจริง”
นางข้ารับใช้วัยกลางคนวิ่งตามผู้เป็นนายอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเพราะกลัวว่าผู้เป็นนายวัย 15 ปี จะเกิดหกล้มขึ้นมา ด้วยยศศักดิ์ของผู้เป็นนายนั้น หากเผลอมีรอยถลอกเพียงน้อยนิด นางข้ารับใช้คงแบกรับโทษไว้ไม่ไหว แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูเจ้านายคนนี้มาก็ตาม
“องค์หญิง หากทรงพลาดหกล้มลงไปหม่อมฉันจะทรงทูลฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ”หญิงรับใช้พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบหลังจากวิ่งตามผู้นายได้ทันแล้ว
“เสด็จพ่อจะทรงว่าอะไรท่านได้ล่ะ อีกอย่าง หากเสด็จพ่อทรงตำหนิท่านขึ้นมาจริงๆพระอาทิตย์คงจะขึ้นในตอนกลางคืนกระมัง”น้ำเสียงหวานเอ่ยด้วยรอยยิ้มและหัวเราะเบาๆ
“องค์หญิงเพคะ…”
“ช่างเถอะ ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นแหละ”ดวงหน้าหวานหันไปส่งยิ้มหวานให้กับหญิงรับใช้ก่อนจะค่อยๆเบือนหน้าไปมองต้นดอกท้อที่อยู่เบื้องหน้าอย่างมีความนัย
ริมฝีปากบางสีแดงธรรมชาติยังคงยิ้มหวานอยู่อย่างนั้น ดวงตาสีดำกลมโตกำลังเหม่อมองต้นดอกท้อที่อยู่ไม่ไกลจากสวนดอกไม้หน้าตำหนักก่อนที่ร่างบางที่สวมชุดสีขาวสะอาดตาลวดลายเรียบง่ายจะค่อยๆย่างกรายเข้าไปในสวนดอกไม้ที่รายล้อมไปด้วยหมู่ดอกผกานานาพันธุ์ที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างเรียบง่ายไม่หรูหรา
หญิงรับใช้วัยกลางคนอดแสดงสีหน้าสลดลงไม่ได้เมื่อนึกถึงชะตาชีวิตของผู้เป็นนาย แม้นายของตนจะได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงที่งามอันดับหนึ่งในใต้หล้าตั้งแต่กำเนิด หากแต่ดวงชะตากลับอาภัพเมื่อโหรหลวงทำนายชะตาว่าองค์หญิงเป็นกาลกินี หนำซ้ำฮองเฮาองค์ก่อนหรือพระมารดาผู้ให้กำเนิดก็สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่องค์หญิงซือเซียนยังทรงพระเยาว์ ทำให้ตั้งแต่เล็กจนโต องค์หญิงซือเซียนต้องทรงเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวในตำหนักวังหลัง ที่ไร้ซึ่งผู้คนมาเยี่ยมเยือนเพราะเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ที่ไม่อยากให้องค์หญิงทรงรับรู้เรื่องราวภายนอก เพราะกลัวจะทำให้องค์หญิงทรงวิตกเกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดขึ้นในอดีตว่าองค์หญิงเป็นตัวกาลกินี
“ซือเซียน ซือเซียนน้องพี่” หากแต่ในตำหนักที่ไร้ผู้คนมาเยี่ยมเยือนแห่งนี้ ยังคงมีพี่สาวต่างมารดาเพียงผู้เดียวที่มาคอยเยี่ยมเยือนนานๆครั้งด้วยท่าทีดีอกดีใจแต่นัยตากลับแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ แม้นางข้ารับใช้จะรู้เหตุผลที่องค์หญิงองค์นี้มาหาไม่ใช่เพราะมีจิตเสน่ห์หาต่อน้องสาวต่างมารดาอย่างแท้จริง แต่เพราะด้วยฐานะอันต่ำต้อยของนางมีหรือที่จะกล้าท้วงเรื่องนี้ออกมา หนำซ้ำอาจจะทำให้นายของตนไม่สบายใจเปล่าๆ
“ท่านพี่หนิงเยว่”ร่างบางวิ่งตัวปลิวจนผมยาวถึงบั้นเอวที่มัดเกล้าขึ้นแค่ครึ่งหัวที่ประดับแค่ปิ่นเงิน 2-3 ชิ้นเล็กสยายไปมา ด้วยความดีใจทำให้ร่างบางวิ่งจนสะดุดหินจนล้มลงไป
“ตายแล้วองค์หญิงเพคะ!”
“ซือเซียน!”ทั้งสาวใช้และพี่สาวต่างมารดาต่างวิ่งกรูมาดูคนที่สะดุดก้อนหินล้มลงไปด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“อย่าตกใจไปเลยท่านพี่ ซือหนี่”ซือเซียนยิ้มหวานพลางค่อยๆยันตัวขึ้น ในขณะที่มีหนิงเยว่และซือหนีคอยพยุงข้าง
“เจ้านี่นะ ชอบทำให้พี่และแม่นมต้องห่วงอยู่เรื่อย”หนิงเหย่อดดุผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาเสียมิได้
“หม่อมฉันไม่เป็นไรง่ายๆหรอกเพคะ ท่านพี่อย่าทรงกังวลไปนักเลย”
“ข้ามีน้องสาวที่รักอยู่แค่คนเดียว...แถมงามเสียด้วยจะไม่ให้ห่วงได้อย่างไรกัน”หนิงเยว่ว่าพลางพยุงน้องสาวจอมซนไปนั่งที่ม้าหินอ่อน สายตาและมือเรียวพลางสำรวจเรือนร่างบางว่ามีตรงไหนได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ก่อนจะนั่งลงข้างกายน้องสาว
“อยู่ที่นี่ คนรับใช้ก็น้อย ถ้าเกิดเจ้าป่วยไม่สบายขึ้นมาต่อให้เป็นซือหนี่ก็คงจะดูแลขาดตกบกพร่องเป็นแน่”
“หากข้าป่วยจริงๆ ท่านพี่คงจะอยู่เฉยได้หรือ?”
ซือเซียนยิ้มทะเล้น
“เจ้านี่นะ โตเป็นสาวแล้วยังจะเล่นเป็นเด็กไปได้”หนิงเยว่อดที่จะตีแขนน้องสาวด้วยความหมั่นเขี้ยวเสียไม่ได้
“วันนี้พี่มาหาเพื่อมาเยี่ยมและมาบอกข่าวใหญ่ในวัง”
“หืม…”
“นี่เจ้าคงจะไม่ลืมไปหรอกนะว่าอีก 2 วันในวังจะมีงานฉลองวันตรุษจีนน่ะ”หนิงเยว่ว่าพลางใช้สายตาจ้องเขม็งผู้เป็นน้องสาว เพราะด้วยนิสัยของซือเซียนแล้ว มักจะไม่สนใจอะไรนอกจากการเล่นในตำหนักและในสวนดอกไม้ จึงไม่แปลกที่ซือเซียนจะลืมวันที่สำคัญเช่นนี้ทุกปี
“ ใครว่าล่ะ ข้ามิได้ลืมเสียหน่อย เพียงแต่มิได้ใส่ใจเท่านั้น”
“เอาเป็นว่าพี่จะเชื่อว่าเจ้าไม่ลืม อ้อ...อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงองค์หญิง ในวันงานฉลองก็ควรที่จะไปร่วมงาน ต้องแต่งตัวให้สมกับเป็นน้องพี่และอย่าทำให้เสด็จพ่อทรงกังวลพระทัยเลย”
ร่างอ้อนแอ้นค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้ซือเซียนได้แต่นั่งยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่กับหญิงรับใช้
“ฮะแฮ่ม!...ปีนี้ พระองค์จะทรงหาข้ออ้างไม่เข้าร่วมงานฉลองไม่ได้นะเพคะ”ซือหนีจ้องเขม็ง
“ฮะๆ…”ซือเซียนยิ้มแห้งลงทันที
“ปีนี้ ฝ่าบาททรงกำชับหม่อมฉันมาโดยเฉพาะนะเพคะ ว่าต้องพาองค์หญิงไปร่วมงานให้ได้”
“เสด็จพ่อน่ะเหรอ…”
“เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นห่วงองค์หญิงมากนะเพคะ”
“หากเสด็จพ่ออทรงห่วงข้าจริง ตลอด 15ปีมานี้ อย่างน้อยๆก็น่าจะทรงมาเยี่ยมข้าบ้าง…มิใช่จะเรียกใช้งานข้าเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น”แววตาของซือเซียนฉายแววความเศร้าน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาใสคลอที่หางตาทั้งสอง
“องค์หญิง...ฝ่าบาททรงทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพระองค์นะเพคะ”
“ข้ารู้แล้วๆ ซือหนี่”
ปลายมือเรียวยาวค่อยปาดน้ำตาที่คลอเบ้าทั้งรอยยิ้มทิ้งก่อนจะเดินนวยนาดกลับเข้าไปที่ตำหนัก ซือหนี่ค่อยๆเดินตามหลังผู้เป็นนายไปอย่างเป็นห่วงโดยที่ไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำพูดใดๆออกไป เพราะกลัวว่าอาจจะต้องพลั้งเผลอทำร้ายจิตใจนายผู้เป็นที่รักยิ่ง
จวนตระกูลเว่ย
ณ คฤหาสน์อันใหญ่โตของตระกูลเว่ย ตระกูลผู้สืบเชื้อสายขุนนางมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ท่ามกลางเสียงประทัดและดนตรีขับกล่อม เหล่าขุนนางตำแหน่งน้อยใหญ่หลายคนกำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศงานฉลองในห้องโถงใหญ่อย่างเฮฮา
“ยินดีกับท่านอัครเสนาบดีฝ่ายขวาที่บุตรชายคนเดียวของตระกูลสอบได้เป็นถึงจอหงวนฝ่ายบุ๋น”
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันลุกขึ้นเคารพเมื่อเจ้าของคฤหาสน์หลังงามนี้เดินเข้ามาพร้อมกับบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของตระกูล ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยแฝงด้วยอำนาจบารมี
“ข้าต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมฉลองในงานครั้งนี้ ขอทุกท่านโปรดทำตัวตามสบาย ดื่มกินกันให้สำราญไปเลย ฮ่ะๆๆ” เว่ยสือเฉิง ว่าพลันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
“ลูกชายท่านก็สอบได้เป็นถึงจอหงวนแล้ว ข้าหวังว่างานฉลองงานต่อไปคงจะไม่แคล้วเป็นงานแต่งสินะท่าน ฮะๆๆ”
“นั่นสินะ ลูกชายท่านดูจะเนื้อหอมไม่เบาบุคคลิกหน้าตาถือว่ายอดเยี่ยมเกินบุรุษทั่วไป ข้าว่าต่อไปไม่แน่ ฝ่าบาทคงจะประทานสมรสให้เองกระมัง”
เหล่าขุนนางต่างพากันแซวและชื่มชมในตัวของบุตรชายของเว่ยสือเฉิง ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหันไปตบไหล่ผู้เป็นลูกที่ยืนเยื้องอยู่ข้างๆด้วยความภาคภูมิใจอย่างเสียไม่ได้
บุรุษผู้มีใบหน้าหวานคม รูปร่างสูงเปลี่ยวที่มักจะมีใบหน้าอยู่ในอารมณ์สุขุมนุ่มลึกอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนทั่วไปมองว่าเป็นคนที่เดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง กำลังยิ้มบางๆให้กับผู้เป็นพ่อ ด้วยใบหน้าและความรู้ความสามารถของเขาทำให้หญิงงามทั้งหลายต่างหมายปองถึงแม้ว่าเว่ยอู๋จี้คนนี้จะไม่สนใจเลยก็ตาม
“มะรืนนี้ในวังหลวงจะมีการจัดงานฉลองวันตรุษจีน ไม่แน่ว่าในงานอาจจะมีอะไรให้ดูอย่างตื่นตาเลยทีเดียวนะ”
“ท่านหมายถึงบรรยากาศการแสดงต่างๆหรือองค์หญิงที่งามเป็นหนึ่งในใต้หล้ากันล่ะ”
“ท่านหมายถึงองค์หญิงหนิงเยว่น่ะหรอ”
“เปล่าเลยท่าน องค์หญิงซือเซียนต่างหาก แม้คนพี่จะงามล้ำเพียงใดแต่ก็สู้ผู้น้องมิได้เลย”
“ท่านพูดอย่างกับเคยเห็นพระพักต์ขององค์หญิงซือเซียนนั่นแหละ ทุกครั้งที่องค์หญิงจะทรงมาพบปะผู้คนก็ทรงใช้ผ้าบางหรือไม่ก็หมวกคลุม มาปิดบังพระพักต์ของพระองค์ทุกครั้ง”
“ที่ข้าพูดก็เพราะว่าข้าได้ยินคำล่ำลือมาจากปากสาวใช้ในตำหนักนั้นอยู่ไม่ขาด เห็นโจทจันกันเสียให้ทั่ว ว่างามกว่าองค์หญิงหนิงเยว่นัก”
“ถึงเป็นเช่นนั้นจริงพวกเราก็คงจะไม่มีโอกาสได้ชมพระสิริโฉมขององค์หญิงเป็นแน่ เพราะฉะนั้นอย่าพูดอะไรที่มันเพ้อฝันไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ”
ท่ามกลางวงสนทนาของเหล่าขุนนาง ทำให้เว่ยอู๋จี้อดคิดถึงใบหน้าของเด็กสาววัย 7 ปีเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กอยู่เสียไม่ได้ ในตอนนั้นเว่ยอู๋จี้อายุได้ 12 ปี ได้มีโอกาสติดตามบิดาเข้าไปในวัง ด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องรออยู่ที่ห้องรับรอง จึงหนีออกมาเดินเล่นทั่ววัง จนในที่สุดก็หลงเข้าไปในตำหนักมู่หลัน และก็ได้พบก็เด็กสาวที่กำลังยืนยิ้มหวานมองต้นดอกท้อที่บานอยู่หน้าตำหนัก…
8 ปีก่อน
“ท่านเป็นใครน่ะ?มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เว่ยอู๋จี้ที่ตอนนี้กำลังยืนแข็งทื่อนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ สะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อเด็กสาวที่เมื่อครู่ยังเอาแต่ยิ้มหวานให้กับต้นดอกท้อแต่ตอนนี้กลับหันมาจ้องเขาด้วยแววตาตกใจ ดวงหน้าใสของเด็กสาวกำลังฉายแววสงสัยในตัวของเขาอยู่ เขาไม่อาจจะปฎิเสธได้ว่า แม้ว่าเขาจะเด็กแต่ก็ได้มีโอกาสได้เจอหญิงสาวมากมาย ทั้งในหนังสือ ภาพวาดต่างๆ แต่ไม่มีใครเลยที่จะมีรูปร่างและหน้าตาได้งามน่ามองขนาดนี้ แม้ว่าเด็กหญิงที่อยู่เบื้องจะยังเด็กนักแต่ก็ฉายแววความงามเด่นไว้อย่างชัดเจน เสมือนดอกเหมยที่กำลังรอเวลาผลิบาน
“...กระหม่อมมีนามว่า เว่ยอู๋จี้ เป็นบุตรชายของท่านอัครเสนาบดีเว่ยสือเฉิง ข้าบังเอิญเดินเล่นในวังแล้วพลัดหลงเข้ามาที่นี่ ข้าต้องขออภัยท่านด้วย....องค์หญิง” แม้เว่ยอู๋จี้จะยังเด็กแต่ด้วยไหวพริบและความฉลาดเกินเด็กทำให้เขารู้ได้ว่าเด็กหญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าต้องเป็นราชนิกูลอย่างแน่นอน เพราะไม่มีคนสามัญทั่วไปที่จะกล้ามาเดินในเขตพระราชฐานได้หากไม่ได้รับอนุญาติเฉกเช่นเขา
“ท่านรู้ด้วยเหรอว่าข้าเป็นใคร”
เด็กหญิงเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ดวงหน้าขาวใสไร้ที่ติ ริมฝีปากบางสีแดงธรรมชาตินั่นทำให้เว่ยอู๋จี้ถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะมันมีเสน่ห์ดึงดูดเกินไปสินะ
“ทูลองค์หญิงหม่อมฉันรู้แค่เพียงว่าพระองค์ทรงเป็นองค์หญิงเท่านั้น แต่กระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์ทรงมีพระนามว่าอะไร”
“ข้าคือ...นางฟ้าที่นำความสุขมาให้ทุกคนยังไงล่ะ ฮิๆ”
เด็กสาวยิ้มหัวเราะอย่างพอใจ เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาได้
“นามของพระองค์ คือ ซือเซียนหรือพะยะค่ะ”
“หูย เจ้านี่ฉลาดไม่เบาเลยนะ”
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่ชมพะยะค่ะ”
ร่างบางที่อยู่ในชุดสีชมพูอ่อน หมุนตัวไปมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับฮัมเพลงร้องเล่นไปมาอย่างอารมณ์ดี
เป็นครั้งแรกที่เว่ยอู๋จี้ เด็กหนุ่มผู้สุขุมเย็นชาวางตัวไม่ถูกต่อหน้าคนอื่น เป็นครั้งแรกที่หัวใจของเด็กหนุ่มหยุดชะงักไปชั่วขณะที่เห็นโฉมหน้าของเด็กหญิงที่อยู่ในชุดชมพูอ่อนบริสุทธิ์ เป็นครั้งแรกที่เขายืนมองตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้น ไม่อยากขยับ ไม่อยากไปไหน และเป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่า การเข้ามาในวังก็ไม่ได้น่าเบื่อไปเสียทุกเรื่อง…
ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นขึ้นในวันที่สภาพอากาศเริ่มอบอุ่นหลังจากที่หิมะปรกคลุมพื้นที่นานอยู่หลายเดือนจนตอนนี้หิมะค่อยๆละลายไปจนเห็นต้นหญ้าสีเขียวขจี
“องค์หญิง! อย่าทรงวิ่งสิเพคะ หม่อนฉันตามเสด็จไม่ทันแล้วนะเพคะ”
“ซือหนี่ ท่านช่างชักช้าเสียจริง”
นางข้ารับใช้วัยกลางคนวิ่งตามผู้เป็นนายอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเพราะกลัวว่าผู้เป็นนายวัย 15 ปี จะเกิดหกล้มขึ้นมา ด้วยยศศักดิ์ของผู้เป็นนายนั้น หากเผลอมีรอยถลอกเพียงน้อยนิด นางข้ารับใช้คงแบกรับโทษไว้ไม่ไหว แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูเจ้านายคนนี้มาก็ตาม
“องค์หญิง หากทรงพลาดหกล้มลงไปหม่อมฉันจะทรงทูลฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ”หญิงรับใช้พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบหลังจากวิ่งตามผู้นายได้ทันแล้ว
“เสด็จพ่อจะทรงว่าอะไรท่านได้ล่ะ อีกอย่าง หากเสด็จพ่อทรงตำหนิท่านขึ้นมาจริงๆพระอาทิตย์คงจะขึ้นในตอนกลางคืนกระมัง”น้ำเสียงหวานเอ่ยด้วยรอยยิ้มและหัวเราะเบาๆ
“องค์หญิงเพคะ…”
“ช่างเถอะ ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นแหละ”ดวงหน้าหวานหันไปส่งยิ้มหวานให้กับหญิงรับใช้ก่อนจะค่อยๆเบือนหน้าไปมองต้นดอกท้อที่อยู่เบื้องหน้าอย่างมีความนัย
ริมฝีปากบางสีแดงธรรมชาติยังคงยิ้มหวานอยู่อย่างนั้น ดวงตาสีดำกลมโตกำลังเหม่อมองต้นดอกท้อที่อยู่ไม่ไกลจากสวนดอกไม้หน้าตำหนักก่อนที่ร่างบางที่สวมชุดสีขาวสะอาดตาลวดลายเรียบง่ายจะค่อยๆย่างกรายเข้าไปในสวนดอกไม้ที่รายล้อมไปด้วยหมู่ดอกผกานานาพันธุ์ที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างเรียบง่ายไม่หรูหรา
หญิงรับใช้วัยกลางคนอดแสดงสีหน้าสลดลงไม่ได้เมื่อนึกถึงชะตาชีวิตของผู้เป็นนาย แม้นายของตนจะได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงที่งามอันดับหนึ่งในใต้หล้าตั้งแต่กำเนิด หากแต่ดวงชะตากลับอาภัพเมื่อโหรหลวงทำนายชะตาว่าองค์หญิงเป็นกาลกินี หนำซ้ำฮองเฮาองค์ก่อนหรือพระมารดาผู้ให้กำเนิดก็สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่องค์หญิงซือเซียนยังทรงพระเยาว์ ทำให้ตั้งแต่เล็กจนโต องค์หญิงซือเซียนต้องทรงเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวในตำหนักวังหลัง ที่ไร้ซึ่งผู้คนมาเยี่ยมเยือนเพราะเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ที่ไม่อยากให้องค์หญิงทรงรับรู้เรื่องราวภายนอก เพราะกลัวจะทำให้องค์หญิงทรงวิตกเกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดขึ้นในอดีตว่าองค์หญิงเป็นตัวกาลกินี
“ซือเซียน ซือเซียนน้องพี่” หากแต่ในตำหนักที่ไร้ผู้คนมาเยี่ยมเยือนแห่งนี้ ยังคงมีพี่สาวต่างมารดาเพียงผู้เดียวที่มาคอยเยี่ยมเยือนนานๆครั้งด้วยท่าทีดีอกดีใจแต่นัยตากลับแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ แม้นางข้ารับใช้จะรู้เหตุผลที่องค์หญิงองค์นี้มาหาไม่ใช่เพราะมีจิตเสน่ห์หาต่อน้องสาวต่างมารดาอย่างแท้จริง แต่เพราะด้วยฐานะอันต่ำต้อยของนางมีหรือที่จะกล้าท้วงเรื่องนี้ออกมา หนำซ้ำอาจจะทำให้นายของตนไม่สบายใจเปล่าๆ
“ท่านพี่หนิงเยว่”ร่างบางวิ่งตัวปลิวจนผมยาวถึงบั้นเอวที่มัดเกล้าขึ้นแค่ครึ่งหัวที่ประดับแค่ปิ่นเงิน 2-3 ชิ้นเล็กสยายไปมา ด้วยความดีใจทำให้ร่างบางวิ่งจนสะดุดหินจนล้มลงไป
“ตายแล้วองค์หญิงเพคะ!”
“ซือเซียน!”ทั้งสาวใช้และพี่สาวต่างมารดาต่างวิ่งกรูมาดูคนที่สะดุดก้อนหินล้มลงไปด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“อย่าตกใจไปเลยท่านพี่ ซือหนี่”ซือเซียนยิ้มหวานพลางค่อยๆยันตัวขึ้น ในขณะที่มีหนิงเยว่และซือหนีคอยพยุงข้าง
“เจ้านี่นะ ชอบทำให้พี่และแม่นมต้องห่วงอยู่เรื่อย”หนิงเหย่อดดุผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาเสียมิได้
“หม่อมฉันไม่เป็นไรง่ายๆหรอกเพคะ ท่านพี่อย่าทรงกังวลไปนักเลย”
“ข้ามีน้องสาวที่รักอยู่แค่คนเดียว...แถมงามเสียด้วยจะไม่ให้ห่วงได้อย่างไรกัน”หนิงเยว่ว่าพลางพยุงน้องสาวจอมซนไปนั่งที่ม้าหินอ่อน สายตาและมือเรียวพลางสำรวจเรือนร่างบางว่ามีตรงไหนได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ก่อนจะนั่งลงข้างกายน้องสาว
“อยู่ที่นี่ คนรับใช้ก็น้อย ถ้าเกิดเจ้าป่วยไม่สบายขึ้นมาต่อให้เป็นซือหนี่ก็คงจะดูแลขาดตกบกพร่องเป็นแน่”
“หากข้าป่วยจริงๆ ท่านพี่คงจะอยู่เฉยได้หรือ?”
ซือเซียนยิ้มทะเล้น
“เจ้านี่นะ โตเป็นสาวแล้วยังจะเล่นเป็นเด็กไปได้”หนิงเยว่อดที่จะตีแขนน้องสาวด้วยความหมั่นเขี้ยวเสียไม่ได้
“วันนี้พี่มาหาเพื่อมาเยี่ยมและมาบอกข่าวใหญ่ในวัง”
“หืม…”
“นี่เจ้าคงจะไม่ลืมไปหรอกนะว่าอีก 2 วันในวังจะมีงานฉลองวันตรุษจีนน่ะ”หนิงเยว่ว่าพลางใช้สายตาจ้องเขม็งผู้เป็นน้องสาว เพราะด้วยนิสัยของซือเซียนแล้ว มักจะไม่สนใจอะไรนอกจากการเล่นในตำหนักและในสวนดอกไม้ จึงไม่แปลกที่ซือเซียนจะลืมวันที่สำคัญเช่นนี้ทุกปี
“ ใครว่าล่ะ ข้ามิได้ลืมเสียหน่อย เพียงแต่มิได้ใส่ใจเท่านั้น”
“เอาเป็นว่าพี่จะเชื่อว่าเจ้าไม่ลืม อ้อ...อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงองค์หญิง ในวันงานฉลองก็ควรที่จะไปร่วมงาน ต้องแต่งตัวให้สมกับเป็นน้องพี่และอย่าทำให้เสด็จพ่อทรงกังวลพระทัยเลย”
ร่างอ้อนแอ้นค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้ซือเซียนได้แต่นั่งยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่กับหญิงรับใช้
“ฮะแฮ่ม!...ปีนี้ พระองค์จะทรงหาข้ออ้างไม่เข้าร่วมงานฉลองไม่ได้นะเพคะ”ซือหนีจ้องเขม็ง
“ฮะๆ…”ซือเซียนยิ้มแห้งลงทันที
“ปีนี้ ฝ่าบาททรงกำชับหม่อมฉันมาโดยเฉพาะนะเพคะ ว่าต้องพาองค์หญิงไปร่วมงานให้ได้”
“เสด็จพ่อน่ะเหรอ…”
“เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นห่วงองค์หญิงมากนะเพคะ”
“หากเสด็จพ่ออทรงห่วงข้าจริง ตลอด 15ปีมานี้ อย่างน้อยๆก็น่าจะทรงมาเยี่ยมข้าบ้าง…มิใช่จะเรียกใช้งานข้าเฉพาะวันสำคัญเท่านั้น”แววตาของซือเซียนฉายแววความเศร้าน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาใสคลอที่หางตาทั้งสอง
“องค์หญิง...ฝ่าบาททรงทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพระองค์นะเพคะ”
“ข้ารู้แล้วๆ ซือหนี่”
ปลายมือเรียวยาวค่อยปาดน้ำตาที่คลอเบ้าทั้งรอยยิ้มทิ้งก่อนจะเดินนวยนาดกลับเข้าไปที่ตำหนัก ซือหนี่ค่อยๆเดินตามหลังผู้เป็นนายไปอย่างเป็นห่วงโดยที่ไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำพูดใดๆออกไป เพราะกลัวว่าอาจจะต้องพลั้งเผลอทำร้ายจิตใจนายผู้เป็นที่รักยิ่ง
จวนตระกูลเว่ย
ณ คฤหาสน์อันใหญ่โตของตระกูลเว่ย ตระกูลผู้สืบเชื้อสายขุนนางมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ท่ามกลางเสียงประทัดและดนตรีขับกล่อม เหล่าขุนนางตำแหน่งน้อยใหญ่หลายคนกำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศงานฉลองในห้องโถงใหญ่อย่างเฮฮา
“ยินดีกับท่านอัครเสนาบดีฝ่ายขวาที่บุตรชายคนเดียวของตระกูลสอบได้เป็นถึงจอหงวนฝ่ายบุ๋น”
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันลุกขึ้นเคารพเมื่อเจ้าของคฤหาสน์หลังงามนี้เดินเข้ามาพร้อมกับบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของตระกูล ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยแฝงด้วยอำนาจบารมี
“ข้าต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมฉลองในงานครั้งนี้ ขอทุกท่านโปรดทำตัวตามสบาย ดื่มกินกันให้สำราญไปเลย ฮ่ะๆๆ” เว่ยสือเฉิง ว่าพลันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
“ลูกชายท่านก็สอบได้เป็นถึงจอหงวนแล้ว ข้าหวังว่างานฉลองงานต่อไปคงจะไม่แคล้วเป็นงานแต่งสินะท่าน ฮะๆๆ”
“นั่นสินะ ลูกชายท่านดูจะเนื้อหอมไม่เบาบุคคลิกหน้าตาถือว่ายอดเยี่ยมเกินบุรุษทั่วไป ข้าว่าต่อไปไม่แน่ ฝ่าบาทคงจะประทานสมรสให้เองกระมัง”
เหล่าขุนนางต่างพากันแซวและชื่มชมในตัวของบุตรชายของเว่ยสือเฉิง ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหันไปตบไหล่ผู้เป็นลูกที่ยืนเยื้องอยู่ข้างๆด้วยความภาคภูมิใจอย่างเสียไม่ได้
บุรุษผู้มีใบหน้าหวานคม รูปร่างสูงเปลี่ยวที่มักจะมีใบหน้าอยู่ในอารมณ์สุขุมนุ่มลึกอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนทั่วไปมองว่าเป็นคนที่เดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง กำลังยิ้มบางๆให้กับผู้เป็นพ่อ ด้วยใบหน้าและความรู้ความสามารถของเขาทำให้หญิงงามทั้งหลายต่างหมายปองถึงแม้ว่าเว่ยอู๋จี้คนนี้จะไม่สนใจเลยก็ตาม
“มะรืนนี้ในวังหลวงจะมีการจัดงานฉลองวันตรุษจีน ไม่แน่ว่าในงานอาจจะมีอะไรให้ดูอย่างตื่นตาเลยทีเดียวนะ”
“ท่านหมายถึงบรรยากาศการแสดงต่างๆหรือองค์หญิงที่งามเป็นหนึ่งในใต้หล้ากันล่ะ”
“ท่านหมายถึงองค์หญิงหนิงเยว่น่ะหรอ”
“เปล่าเลยท่าน องค์หญิงซือเซียนต่างหาก แม้คนพี่จะงามล้ำเพียงใดแต่ก็สู้ผู้น้องมิได้เลย”
“ท่านพูดอย่างกับเคยเห็นพระพักต์ขององค์หญิงซือเซียนนั่นแหละ ทุกครั้งที่องค์หญิงจะทรงมาพบปะผู้คนก็ทรงใช้ผ้าบางหรือไม่ก็หมวกคลุม มาปิดบังพระพักต์ของพระองค์ทุกครั้ง”
“ที่ข้าพูดก็เพราะว่าข้าได้ยินคำล่ำลือมาจากปากสาวใช้ในตำหนักนั้นอยู่ไม่ขาด เห็นโจทจันกันเสียให้ทั่ว ว่างามกว่าองค์หญิงหนิงเยว่นัก”
“ถึงเป็นเช่นนั้นจริงพวกเราก็คงจะไม่มีโอกาสได้ชมพระสิริโฉมขององค์หญิงเป็นแน่ เพราะฉะนั้นอย่าพูดอะไรที่มันเพ้อฝันไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ”
ท่ามกลางวงสนทนาของเหล่าขุนนาง ทำให้เว่ยอู๋จี้อดคิดถึงใบหน้าของเด็กสาววัย 7 ปีเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กอยู่เสียไม่ได้ ในตอนนั้นเว่ยอู๋จี้อายุได้ 12 ปี ได้มีโอกาสติดตามบิดาเข้าไปในวัง ด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องรออยู่ที่ห้องรับรอง จึงหนีออกมาเดินเล่นทั่ววัง จนในที่สุดก็หลงเข้าไปในตำหนักมู่หลัน และก็ได้พบก็เด็กสาวที่กำลังยืนยิ้มหวานมองต้นดอกท้อที่บานอยู่หน้าตำหนัก…
8 ปีก่อน
“ท่านเป็นใครน่ะ?มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เว่ยอู๋จี้ที่ตอนนี้กำลังยืนแข็งทื่อนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ สะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อเด็กสาวที่เมื่อครู่ยังเอาแต่ยิ้มหวานให้กับต้นดอกท้อแต่ตอนนี้กลับหันมาจ้องเขาด้วยแววตาตกใจ ดวงหน้าใสของเด็กสาวกำลังฉายแววสงสัยในตัวของเขาอยู่ เขาไม่อาจจะปฎิเสธได้ว่า แม้ว่าเขาจะเด็กแต่ก็ได้มีโอกาสได้เจอหญิงสาวมากมาย ทั้งในหนังสือ ภาพวาดต่างๆ แต่ไม่มีใครเลยที่จะมีรูปร่างและหน้าตาได้งามน่ามองขนาดนี้ แม้ว่าเด็กหญิงที่อยู่เบื้องจะยังเด็กนักแต่ก็ฉายแววความงามเด่นไว้อย่างชัดเจน เสมือนดอกเหมยที่กำลังรอเวลาผลิบาน
“...กระหม่อมมีนามว่า เว่ยอู๋จี้ เป็นบุตรชายของท่านอัครเสนาบดีเว่ยสือเฉิง ข้าบังเอิญเดินเล่นในวังแล้วพลัดหลงเข้ามาที่นี่ ข้าต้องขออภัยท่านด้วย....องค์หญิง” แม้เว่ยอู๋จี้จะยังเด็กแต่ด้วยไหวพริบและความฉลาดเกินเด็กทำให้เขารู้ได้ว่าเด็กหญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าต้องเป็นราชนิกูลอย่างแน่นอน เพราะไม่มีคนสามัญทั่วไปที่จะกล้ามาเดินในเขตพระราชฐานได้หากไม่ได้รับอนุญาติเฉกเช่นเขา
“ท่านรู้ด้วยเหรอว่าข้าเป็นใคร”
เด็กหญิงเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ดวงหน้าขาวใสไร้ที่ติ ริมฝีปากบางสีแดงธรรมชาตินั่นทำให้เว่ยอู๋จี้ถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะมันมีเสน่ห์ดึงดูดเกินไปสินะ
“ทูลองค์หญิงหม่อมฉันรู้แค่เพียงว่าพระองค์ทรงเป็นองค์หญิงเท่านั้น แต่กระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์ทรงมีพระนามว่าอะไร”
“ข้าคือ...นางฟ้าที่นำความสุขมาให้ทุกคนยังไงล่ะ ฮิๆ”
เด็กสาวยิ้มหัวเราะอย่างพอใจ เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาได้
“นามของพระองค์ คือ ซือเซียนหรือพะยะค่ะ”
“หูย เจ้านี่ฉลาดไม่เบาเลยนะ”
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่ชมพะยะค่ะ”
ร่างบางที่อยู่ในชุดสีชมพูอ่อน หมุนตัวไปมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับฮัมเพลงร้องเล่นไปมาอย่างอารมณ์ดี
เป็นครั้งแรกที่เว่ยอู๋จี้ เด็กหนุ่มผู้สุขุมเย็นชาวางตัวไม่ถูกต่อหน้าคนอื่น เป็นครั้งแรกที่หัวใจของเด็กหนุ่มหยุดชะงักไปชั่วขณะที่เห็นโฉมหน้าของเด็กหญิงที่อยู่ในชุดชมพูอ่อนบริสุทธิ์ เป็นครั้งแรกที่เขายืนมองตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้น ไม่อยากขยับ ไม่อยากไปไหน และเป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่า การเข้ามาในวังก็ไม่ได้น่าเบื่อไปเสียทุกเรื่อง…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ