27 pairs of chromosomes ภาค บทกวีของผู้หลงทาง

7.0

เขียนโดย จอมนางค์

วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.23 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,031 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 มกราคม พ.ศ. 2561 21.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เปิดทวีป (50%)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เปิดทวีป

 

            ภายหลังเหตุการณ์แกนโลกบิดตัวครั้งใหญ่ โลก... ล่มสลาย มนุษย์และอารยธรรมส่วนใหญ่จมลงสู่ใต้น้ำ ทว่าก่อเกิดผืนแผ่นดินใหม่ ผืนดินที่เคยหลับใหลอยู่ใต้มหาสมุทรดันตัวขึ้นเป็นแผ่นทวีป ผู้รอดชีวิตต่างเรียกขานนาม ‘แอตแลนติส’

            ขอต้อนรับสู่ปีแอตแลนต้าที่ 4264 โลก... ที่มนุษย์วิวัฒนาการสูงสุด

            เผ่าพันธุ์ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนผืนแผ่นดินใหม่ภายหลังความล่มสลายไม่เหลือแม้แต่ซากอารยะ สิ่งที่จะดำรงอยู่บนความร้าง ไร้ซึ่งทุกสิ่งอย่างจำเป็นต้องปรับตัว วิวัฒนาการไปตามแต่ละสภาพพื้นที่ ต้นไม้โปร่งแสงเกือบแก้ว แร่ใหม่ที่ให้พลังงานความร้อนสูง นกที่มีสี่เท้า กระทั่งแมวที่อาศัยอยู่ในน้ำ แม้แต่... มนุษย์

            ความยากลำบากในยุคแรกเริ่มทำให้มนุษย์เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองในระดับพันธุกรรม เซลล์ที่แตกตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่ยังเป็นเอ็มบริโอก่อกำเนิดมนุษย์ที่มีรหัสพันธุกรรมซับซ้อนยิ่งขึ้น จำนวนโครโมโซมที่ผิดปกติมีมากถึงยี่สิบเจ็ดคู่

            มนุษย์ที่มีความเป็นอัตลักษณ์บุคคลสูงสุด ถูกเรียกขานเป็น ‘ผู้หลงทาง’ (wanderer)

            มนุษย์ผู้หลงไปจากเส้นทางของพระเจ้า

            โครโมโซมคู่ที่ยี่สิบเจ็ดกำหนดให้กลุ่มคนเหล่านี้มีความสามารถพิเศษเหนือบุคคลอื่น ความสามารถที่ราวกับเวทย์มนตร์

            มีการถกเถียงกันหลายฝ่ายถึงอำนาจและสถานะในชั้นพลเมืองของผู้หลงทาง บางคนหวาดกลัวและต้องการจะขับไล่ บางคนยินยอมให้มีการอยู่ร่วมในสังคมได้หากผู้หลงทางได้รับสถานะพลเมืองชั้นสองอันจำกัดจำเขี่ย กลุ่มคนที่เรียกร้องสิทธิของผู้หลงทางและสนับสนุนความเท่าเทียม ท้ายที่สุด ไม่มีข้อสรุปแน่ชัด ผู้หลงทางยังคงดำเนินชีวิตต่อไป ซ่อนตัวปะปนกับกลุ่มคนธรรมดา ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างกังขา

 

            ตรอกเล็กๆ แห่งนั้นซ่อนตัวอยู่หลังความวุ่นวายแห่งมหานครแอตลาส(atlas) เมืองหลวงศูนย์กลางแห่งเดียวของแอตแลนติส เมืองที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน เสียงประกาศโฆษณาชวนเชื่อจากป้ายโฮโลแกรมสามมิติที่ราวกับมีชีวิต ตึกรูปทรงบิดเบี้ยวสะท้อนความเป็นสมัยนิยมที่สื่อถึงชีวิตและเสรีภาพ สถานีขนส่งมวลชนสร้างจากผลึกแก้วใส เคลื่อนที่ด้วยลิฟต์ความเร็วสูงสำหรับรับส่งผู้โดยสารจากสถานีรูปทรงพีรามิดที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงต้านจากลมเบื้องบน เมื่อแหงนมองท้องฟ้า  รางรูปทรงประหลาดคดเคี้ยว ฉวัดเฉวียน สร้างเหลื่อมซ้อนกันขึ้นไปหลายชั้น ที่สูงที่สุดหากมองจากพื้น รางโลหะที่ใช้สำหรับขับเคลื่อนขบวนรถขนส่งมวลชนก็เล็กราวกับเป็นกลุ่มเส้นด้ายที่พัวพัน ยุ่งเหยิง การเคลื่อนที่ สับรางเพื่อเปลี่ยนเส้นทางด้วยระบบประมวลผลอัจฉริยะทำให้เส้นสายเหล่านั้นราวกับเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เพียงวัตถุที่ถูกควบคุม

            ในโลกที่รัฐบาลจำกัดให้สิทธิครอบครองพาหนะส่วนบุคคลเป็นเรื่องของกลุ่มคนสำคัญและพนักงานของรัฐ ระบบขนส่งสารธารณะที่เพียงพอและมั่นคงจึงเป็นสิ่งจำเป็น

            แหล่งพลังงานมหาศาลที่ได้จาก ‘เศษซาก’ ของชีวิตที่หลับใหลอยู่ใต้ท้องสมุทรราวกับไม่มีวันจะหมดสิ้น มหานครที่สว่างไสวและไม่เคยหลับใหลเป็นแหล่งรวมของคนทุกจำพวก คนธรรมดา ผู้หลงทาง และอาชญากร

            คนกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในตรอกแคบๆ เบื้องหลังประตูร้านที่ปิดเงียบ มีเพียงเครื่องฉายโฮโลแกรมที่เอียงกระเท่เร่ แสดงภาพของป้ายที่ติดๆ ดับๆ อ่านได้ว่า ‘รับจ้างคุ้มกันสินค้า’ บอกอยู่ทื่อๆ ซึ่งอาจเป็นทั้งชื่อร้านและประโยคโฆษณาชวนเชื่อไปในตัวก็ได้

            ไม่นานจากนั้น ยานขับเคลื่อนส่วนบุคคลพร้อมขบวนอารักขาก็เคลื่อนที่ผ่านยานขนส่งฉุกเฉินสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยของโรงพยาบาล ท่ามกลางสายตาสนใจใคร่รู้ของประชาชนโดยรอบ ก่อนที่กลุ่มคนเหล่านั้นจะถูกล้อมรอบด้วยกองกำลังในชุดปฏิบัติการณ์และถูกกันออกไป

            ถนนที่เคยพลุกพล่าน กลับกลายเป็นถนนร้างในพริบตา

            ยานพาหนะที่มีตราสัญลักษณ์หงส์คู่... เครื่องหมายสำหรับคนในคณะรัฐบาลหายเข้าไปในตรอกที่ตั้งร้านซอมซ่อและหยุดตรงป้ายโฮโลแกรมที่กระพริบปริบ

            ผู้ที่ก้าวลงมาคือสตรีสาว งดงาม ระเหิดระหงในชุดสูทพอดีตัว ตัดด้วยผ้าเนื้อดี สีฟ้าของตัวเสื้อเมื่อกระทบแสงจะกลายเป็นสีเหลือบเทา ตรงหน้าอกโป่ง นูนสวย ติดเข็มกลัดแวววาม สัญลักษณ์หงส์คู่แซมด้วยขนนกสีแดงฉาน

            หงส์สีแดง... อาศัยในทะเลสาบสีชาด มีอยู่เพียงในป่าผลึกแก้วที่ภูเขาทางใต้ของมหานครแอตลาส ถูกนำมาเป็นต้นแบบในตราของคณะรัฐบาล ขณะนี้ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีเกรซ คิงส์ตัน เรือนผมสีทองสุกสว่างสะท้อนกับแสงของดวงจันทร์ยิ่งทำให้ดูโดดเด่น ดวงหน้ารูปไข่เหมือนเด็กสาวประดับด้วยดวงตายาวใหญ่ จมูกเล็กและริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงอมส้ม ที่แอตแลนติส วิวัฒนาการทำให้ช่วงอายุของคนยาวนานขึ้น ช่วงหนุ่มสาวจึงกินเวลาจากเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์จนกระทั่งอายุหกสิบปีร่างกายจึงจะเริ่มเสื่อมลงอย่างช้าๆ

            ท่านประธานาธิบดี ผู้นำหนึ่งเดียวของแอตแลนติส เพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบสี่สิบแปดปีไปเมื่อรอบพระจันทร์ที่แล้ว

            หลังการบิดตัวของแกนโลก อิทธิพลของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์เปลี่ยนไป ในสี่สิบวันจะมีคืนที่พระจันทร์ดับเพียงครั้งเดียว มนุษย์เรียกคืนมืดมิดนั้นว่าคืนวันครบรอบพระจันทร์ และเมื่อพระจันทร์ดับถึงสิบครั้งนั่นถือเป็นการครบรอบหนึ่งปี ที่นี่... ฤดูกาลจะไม่เปลี่ยนผัน  โลก... ที่เก้าสิบเปอร์เซ็นเป็นผืนน้ำ... เวิ้งว้าง ไม่ใช่แต่มนุษย์ที่วิวัฒนาการจนเกิดเป็นลักษณะอันเป็นอัตลักษณ์ ธรรมชาติเองก็เช่นกัน

            ฤดูกาลของแอตแลนติสแยกตามแต่ละพื้นที่ บางเมืองมีฝนตกตลอดทั้งปี บางพื้นที่หิมะปกคลุมไม่เคยละลาย บางเขตร้อนจนเป็นทะเลทราย ที่ดีที่สุดคือนครหลวงแอตลาสที่อากาศจะกำลังดี ถึงแม้จะถูกปกคลุมด้วยเมฆปริมาณมากจนทำให้แลดูครึ้มตลอดทั้งวันหากก็ยังดีกว่าที่อื่น

            “เอ่อ...” เสียงอึกอักอย่างลังเลใจดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้ต้องหันไปมอง ท่านประธานาธิบดีเกรซมองเห็นชายชราผอมสูงในชุดสูทเรียบๆ อ้อมกอดของเขามีห่อผ้าซึ่งถูกกระชับแน่นกับทรวงอก เจ้าของห่อผ้ามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงราวกับกลัวว่าจะมีใครโผล่ออกมาจากผนังตึกแข็งๆ

            “มีอะไรคะคุณคอนราด” เสียงถามไม่ระบุว่าเจ้าตัวใส่ใจนัก

            “ที่นี่น่ะ...” เนรัล คอนราดกระวนกระวาย “ผมคิดว่าท่านจะพาผมไปพบกองกำลังของกระทรวงความมั่นคงเสียอีก”

            ประธานาธิบดีเกรซฟังแล้วถอนหายใจน้อยๆ มองไปรอบๆ ตรอกที่ดูไม่น่าไว้วางใจนี้แล้วก็ถอนหายใจซ้ำ

            ไม่ว่าใครก็คงมองว่าที่นี่ไม่น่าเข้าใกล้ทั้งนั้น

            อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะแม้แต่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจแน่ชัดเหมือนกันว่า ความลับเบื้องหลังประตูนั้นมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง แต่ถ้าพูดถึงความมั่นคงแล้วละก็... ‘ที่นี่’ มั่นคงกว่ากองกำลังของกระทรวงความมั่นคงทั้งกองเสียอีก

            แอ๊ด...

            จู่ๆ ประตูเหล็กเก่าคร่ำก็เปิดออก เบื้องหลังบานประตูนั้น ชายหนุ่มสูงโปร่งในชุดสูทสีดำแบบเป็นทางการยืนตัวตรงอย่างไว้มาด ดวงตาสีน้ำตาลเบื้องหลังกรอบแว่นจ้องมองตรงมา การวางตัวโอ่อ่าไม่เหมาะกับสถานที่ของเขายิ่งทำให้ดูไม่น่าไว้วางใจจนเนรัลถอยกรูดไปยืนซ่อนอยู่ข้างหลัง

            “เชิญครับ ท่านประธานาธิบดี ก็อดกำลังรอคุณอยู่” เขาพูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มน่าเชื่อถือ... ถ้าเพียงฉากหลังไม่ใช่ร้านซอมซ่อมืดๆ ที่ดูไม่น่าเข้าใกล้ก็คงจะดูถูกที่ถูกทางมากกว่านี้

            “ขอบใจ ไวล์... นี่คือคุณคอนราด เจ้าหน้าที่กลุ่มจัดสรรที่ดิน ทำงานในกระทรวงทรัพยากร เขาเป็นผู้ว่าจ้างในครั้งนี้”

            “ครับ” ไวล์มองชายชราที่ยืนตัวสั่นอย่างหวาดวิตกอยู่ข้างหลังก่อนจะโปรยยิ้มการค้าที่ทำให้อีกฝ่ายตัวสั่นหนักกว่าเดิม พูดว่า “เชิญด้านในจะดีกว่า ผมเพิ่งจะปลุกเขาให้ตื่นได้เมื่อครู่นี้เอง... ถ้าช้าเดี๋ยวจะหลับอีก” ท้ายประโยคเป็นเสียงพึมพำที่ปิดร่องรอยเข่นเขี้ยวเอาไว้ไม่มิด

            ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปในร้าน ตามด้วยประธานาธิบดีและนายคอนราดที่ชะงักกลางคันเมื่อเห็นว่ากลุ่มผู้คุ้มกันไม่มีทีท่าจะขยับตัว

            “เอ่อ...” ชายชรางึมงำอย่างขลาดกลัว “พวกเขาจะไม่ตามเข้ามาด้วยหรือครับท่าน”

            “พวกเขาไม่ได้รับอนุญาต” คำตอบจากท่านผู้นำห้วน สั้น ไม่อธิบายว่า ‘ใคร’ ที่ไม่อนุญาต มีเพียงเสียงเร่งรัดอย่างตัดรำคาญว่า “รีบเข้ามาเถอะ”

            คนขี้กลัวมีแต่ต้องทำตาม

 

            ห้องชั้นในสุดต่อจากทางเดินมืดมิด ทอดยาวจากโถงกว้างทรุดโทรมด้านหน้า หญิงสาวที่เดินตามหลังผู้จัดการร้านท่าทางสุภาพดูจะคุ้นเคยดีอยู่แล้ว เมื่อเขาผลักประตูให้เปิดออก หน้าต่างทำจากผลึกแก้ว กว้าง ใช้แทนผนังทั้งบาน แวววาม สะท้อนกับแสงจันทร์ วูบหนึ่งทำให้รู้สึกว่าตาพร่าไปชั่วขณะ ครั้นพอกระพริบตา ปรับให้เคยชินอยู่ครู่หนึ่ง ห้องทำงานกว้าง เพดานสูง ที่ชิดกำแพงมีตู้แบบติดผนังกว้างจากด้านหนึ่งจรดด้านหนึ่ง โต๊ะทำงานตั้งอยู่กลางห้อง จึงดูโดดเด่นออกมา เก้าอี้พนักสูงหันหลังให้กับผู้มาเยือน ยากที่จะมองออกว่ามีใครนั่งอยู่หรือเปล่า กระทั่งเสียงพูดถูกเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก

            “อา... ความรู้สึกแบบนี้นี่มัน ‘นั่น’ สินะ ไม่ได้เห็นมาสักพักแล้วเหมือนกัน คราวนี้เอาของน่าสนใจมาด้วย อาจต้องจ่ายค่าจ้างงามหน่อยนะเกรซ” เสียงพูดกึ่งกระซิบ ฟังดูเจ้าเล่ห์เหมือนงูในนิทานปรัมปรา เป็นเสียงของผู้หญิงสาว จะว่าฟังดูมีเสน่ห์แต่ก็น่าขนลุกอย่างประหลาด

            “รัฐบาลไม่ได้เก็บภาษีเอาไว้ให้รีดไถหรอกนะ” เกรซตอบอย่างเอือมระอา คนที่อยู่บนเก้าอี้หัวเราะน้อยๆ เสียงที่พลิ้วราวกับลอยตามลมชวนให้อยากเห็นว่าคนพูดหน้าตาเป็นอย่างไร ราวกับถูกมนตร์สะกด เนรัล คอนราดคล้ายถูกปลอบประโลมด้วยเสียงเพลงไพเราะ ความหนักอึ้งในอกค่อยๆ มลายลง

            “อย่าใช้มนตร์สะกดกับคนของฉัน” ประธานาธิบดีหญิงเตือนราบเรียบ

            “ใส่ร้าย... คนของเธออ่อนแอมากเกินไปต่างหาก”

            “อะ... เอ่อ... ผะ ผม คือว่าผม” นายคอนราดสำลักน้ำลายตัวเอง

            “เอาเถอะ... เขาเป็นผู้ว่าจ้าง” เกรซตัดบท “หันมาคุยกันดีๆ เถอะ ค่าจ้างน่ะ ฉันจะจ่ายให้เท่าที่เรียกร้อง”

            “สมเป็นท่านประธานาธิบดี” น้ำเสียงสดใสเป็นกังวานขณะไวล์เดินเข้าหา จับพนักเก้าอี้ ดึงให้หมุนกลับมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน ทุกอย่าง... ตกอยู่ในความเงียบชั่วอึดใจ

            นายคอนราดตาเหลือกขณะเหลียวซ้ายแลขวา สอดส่ายสายตาลอกแลกไปทั่วห้อง

            เบื้องหลังเก้าอี้นั้นว่างเปล่างั้นหรือ?

            แล้วที่ผ่านมา เสียงพูดมาจากที่ไหนกัน!

            คนขวัญอ่อนทำท่าเหมือนจะสติแตก หัวหน้ากองจัดสรรที่ดินอ้าปากผะงาบๆ หากแต่ไร้ซึ่งเสียงเล็ดรอด ดูเหมือนความช็อกจะมากกว่าที่คิด

            “นี่!” เสียงเรียกห้วนสั้น ไม่สบอารมณ์ก็ดังอยู่ตรงหน้า เป็นเสียงของผู้หญิงคนนั้นน่ะแหละ เพียงแต่มองไม่เห็นตัวราวกับล่องหน “นี่ ตาแก่ มองไปทางไหนน่ะ!” เสียงตวาดกราดเกรี้ยวเรียกให้มองต่ำลงไปยังต้นเสียง

            บนเก้าอี้พนักสูงตัวเดิม เด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่ ศีรษะแทบสูงไม่พ้นขอบโต๊ะทำงาน เห็นเพียงนัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงจ้องเป๋งตรงมาอย่างก้าวร้าว

            “เหวอ...” นายคอนราดร้องเสียงหลง หงายหลังล้มลงก้นกระแทรกจนใบหน้าบิดเบี้ยว

            “ลูกน้องเธอนี่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย” เด็กหญิงคนเดิมขยับปาก เปล่งเสียงเย้ายวนราวกับเป็นเสียงของหญิงสาวออกมา เสียง ‘ชิ’ ท้ายประโยคบอกว่าไม่สบอารมณ์  

            “ครั้งแรกก็แบบนี้” เกรซยักไหล่อย่างไม่เดือดร้อน “คุณคอนราด ดิฉันขอแนะนำ นี่คือก็อด เจ้าของร้านรับจ้างคุ้มกันสินค้า”

            “สวัสดี” ก็อดทักทายอย่างเป็นทางการอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “ฉันคือก็อด... ความสามารถของฉันก็คือไซเรน”

            นายคอนราดอ้าปากค้าง ไซเรน... ตามตำนานจากโลกเก่าคือปีศาจพรายสาวผู้มีน้ำเสียงไพเราะเป็นมนตร์สะกด ล่อลวงเอาชีวิตมนุษย์ ถ้าความสามารถของเธอผู้นี้คือไซเรน ความรู้สึกที่เขาได้สัมผัสเมื่อครู่นี้ก็เป็นเพียงความสามารถในฐานะผู้หลงทาง

            คนปกติน่ะไม่มีความสามารถแบบนั้น

            “ถ้าอย่างนั้น... ท่านครับ จะดีหรือครับ เราไม่ควรจะไว้ใจให้ผู้หลงทางจัดการกับปัญหาใหญ่ระดับนี้ ท่านก็รู้ว่า...”

            “คุณคอนราด” เสียงราบเรียบนั้นเป็นการปราม “อย่าให้พวกนักเรียกร้องสิทธิผู้หลงทางมาได้ยินคุณพูดแบบนี้เชียวล่ะ”

            นายคอนราดชะงักกึก สุดท้ายก็ยืนคอตก เขาลังเลนิดๆ แต่ก็ยอมคลายอ้อมกอดจากห่อผ้าที่ประคองเอาไว้ตลอดทาง ชายชราค่อยๆ วางผ้านั้นลงอย่างทะนุถนอม คลี่ปมผ้าออกอย่างเบามือ

            สิ่งที่อยู่ภายในถูกเผยออกเมื่อต้องแสงจันทร์ก็แลดูวาววาม เปล่งประกาย

            กล่องใบเล็กๆ ที่กุมชะตาของโลกเอาไว้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา