ณ ที่ที่รักพร่างกลางใจ
-
เขียนโดย จอมนางค์
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.50 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
7,157 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ2
แม้แพทย์จะยืนยันว่า กระสุนไม่ถูกเข้าในที่สำคัญ และการผ่าตัดนำกระสุนออกจากร่างผู้บาดเจ็บก็ประสบผลสำเร็จดี อาการของเตมินทร์นั้น เพียงแค่รอให้รู้สึกตัวขึ้นมาเท่านั้นก็มีแต่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เขาคงคุ้นกับโรงพยาบาลด้วย หมอและพยาบาลจำหน้าเขาได้เหมือนเป็นขาประจำกัน
ยังไงก็เถอะ ฟ้าพร่างดาวไม่รู้สึกคลายใจก็เพราะเขาต้องมาเจ็บโดยมีหล่อนเป็นเหตุ ถึงแม้ว่าเขาจะฟื้นตัวแล้วก็ตาม หล่อนยังมีความผิดอยู่ดี
ถ้าเขาไม่เอาตัวเข้าบังหล่อนไว้ เขาก็ไม่ต้องมาถูกเจ็บ หล่อนคิดอย่างหดหู่ว่า พวกมันยังตามมาจองล้างจองผลาญไม่สิ้น วันนี้... เตมินทร์เอาตัวเข้าบังหล่อนไว้ วันหน้า... จะเป็นใครอีก
มันจะไม่มีวันหยุดจนกว่าหล่อนจะตาย หรือ... ก็จนกว่าหล่อนจะจับหางมันได้!
“พร่าง... ” หล่อนหันไปตามเสียงเรียก มองเห็นบุรุษผู้ประพิมพ์ประพรายคล้ายบิดาราวคนคนเดียวกัน ชั่วแต่บิดาหล่อนจะสูงกว่านี้อีกนิด และเจ้าเนื้อกว่านี้อีกหน่อย บิดาหล่อนมีใบหน้าใจดีราวกับจะยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา บุรุษตรงหน้านี้ต่างหาก อายุน้อยกว่า และก็ดูคมสันแม้จะมีอายุ
“นมวาดบอกว่าคุณอาให้หาพร่าง?” หล่อนถาม
“ใช่... อาจะบอกว่า อาทิตย์หน้า พร่างคงต้องเข้าบริษัทกับอา หนูต้องไป...” สุ้มเสียงที่บอกนั้น ราวกับคิดทบทวน ตระหนักในเหตุการณ์มาอย่างหนัก “...ดูงานที่คุณพ่อหนูทำค้างเอาไว้”
อาหริต รักษ์บดี คือญาติที่สนิทชิดเชื้อที่สุดของครอบครัวหล่อน
ตระกูลรักษ์บดีนั้น เป็นตระกูลหัวเก่า แม้จะมีเครือญาติมากและอาศัยอยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นเขตรั้วเดียวกัน แต่ไม่เคยเข้ามาวุ่นวายในบ้านใหญ่ บิดาหล่อนเคยเล่าให้ฟังว่า เรื่องเกิดจากคุณปู่ทวดคนหนึ่งทนเห็นลูกๆ หลานๆ ทะเลาะกันจนปวดหัวไม่ไหวก็เลยคิดกุศโลบายขึ้นมา แบ่งแยกที่ดินและธุรกิจออกเป็นส่วนๆ ให้แยกย้ายกันไปบริหารโดยเลือกวางลูกชายคนโตที่ใกล้ชิดกับท่านไว้ทำงานใกล้มือ ควบคุมกิจการสายใหญ่ที่สุดที่ท่านดูแลเองมาตลอดรวมทั้งบ้านใหญ่ ‘รักษ์บดี’ หลังนี้ด้วย พอท่านสิ้น ทรัพย์ในส่วนที่ท่านถือครองจนวันตายก็ตกแก่ลูกชายคนโตที่ว่านี้ ส่วนลูกหลานอื่นๆ ที่ได้รับส่วนแบ่งไปก่อนหน้านี้ ก็มีหน้าที่ในส่วนเดิม ตกทอดถึงลูกหลานของตัว ต่อมาจึงเรียกเจ้าบ้านรักษ์บดีว่าสายหลัก และบ้านอื่นๆ ก็เป็นสายรอง บ้านหลังนี้รวมทั้งกิจการที่บริษัทใหญ่ก็ตกทอดแก่ลูกคนแรกในตระกูลสืบต่อมา บิดาหล่อนเป็นลูกชายคนแรกของปู่ และต่อมา ก็ถึงหล่อน
ฟ้าพร่างดาวเคยคิดถึงเรื่องนี้เพียงผ่านๆ ว่า วันหนึ่งเมื่อบิดาทอดภาระทั้งหมดลง คนที่จะต้องรับภาระนั้นต่อก็คือหล่อน ทั้งการบริหารธุรกิจของตระกูล และการดูแลสุขภาพและปากท้องของคนในบ้าน เป็นภาระหนักที่หล่อนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หญิงสาวไม่คิดว่า วันนั้น จะมาถึงหล่อนเร็วเพียงนี้...
“พร่างยังไม่คิดว่ามันสมควรแก่เวลาค่ะ” หล่อนตอบเสียงแหบ
“...” หริตเฉย มองดูก็ทราบว่า กำลังลำบากใจ “หนูรู้ใช่ไหม วันศุกร์หน้าจะมีประชุมผู้ถือหุ้น อาปรึกษากับลุงติแล้วว่าพร่างควรจะเข้าไป อย่างน้อย คนอื่นๆ จะรับรู้ว่าใครจะเป็นผู้นำต่อจากพ่อของพร่าง”
“แต่พร่างอยากจัดการคดีของพ่อแม่กับน้องให้เรียบร้อยก่อน” หล่อนทราบว่า ตัวเองกำลังไร้เหตุผล ความจริงแล้ว ตอนนี้หล่อนควรทำอะไร ฟ้าพร่างดาวทราบดี ใช่ว่าหล่อนดึงดันไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้น สมองหล่อนประมวลเหตุผลได้ แต่ก็ใช่ว่าหัวใจจะทำตาม
ครอบครัวที่หล่อนรัก ทุกคนที่เป็นดั่งชีวิตถูกพรากเอาไปหมดสิ้น อย่างโหดร้าย ทารุณที่สุด น่าสังเวชใจที่สุด แล้ว... แล้วพวกมันก็ยังไม่หยุด ยังคงตามล่าล้างหล่อน หมายจะเอาชีวิตจนต้องมีคนมารับเคราะห์แทนหล่อนวันนี้ หล่อนจะนิ่งดูดาย ใช้ชีวิตอยู่โดยเอาชีวิตคนรอบข้างเป็นโล่กำบังหรือ? ท่ามกลางกลุ่มคนที่หล่อนไม่รู้ว่าจะไว้ใจได้แค่ไหน ใครถือมีดแอบไว้ข้างหลังบ้างก็ไม่รู้ จะมีกี่คนกันที่จะยอมเอาตัวเข้ากันหล่อนไว้ เหมือน... เหมือนนายตำรวจคนนั้น
เตมินทร์!
“พร่าง... อาเข้าใจความรู้สึกพร่าง พ่อหนูกับอา... เลือดเดียวกัน!”
ฟ้าพร่างดาวนิ่งอั้น หล่อนนิ่งขึงไปอึดใจเพราะ... ใช่ อาของหล่อน อาหริตผู้อุ้มชูหล่อน ทำเพื่อหล่อนมาไม่น้อยกว่าใครๆ อาผู้มีเลือดเดียวกันกับพ่อ มีมากเสียยิ่งกว่าหล่อน ดวงตารวดร้าว ระทมทุกข์ไม่มีแววลังเลจนนิดเดียวเมื่อพูดประโยคนั้น
เลือดเดียวกัน... คนที่คลานตามกันมา เป็นครอบครัวของกันและกันเพียงลำพังมาตั้งแต่เกิด!
“เพราะพร่างเป็นสิ่งเดียวที่พี่ชายอาเหลือไว้ให้ อาจะส่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของๆ พี่ชายอาลงในมือพร่าง บริษัทเป็นสิ่งที่พ่อของหนูเหลือเอาไว้ให้ เหมือนกันกับบ้านหลังนี้ อาและและอาญาณา แม้แต่พี่กร เป็นสิ่งปกครองในมือพร่าง ทั้งหมด!”
“อาคะ... พร่าง” หล่อนอึกอัก รู้สึกว่าน้ำท่วมปาก
ฟ้าพร่างดาวยังไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ เสียงเอะอะจากทางเดินก็ดังขึ้น ก้อง และสะท้อนราวกับเสียงกู่จากยอดผา
“เดี๋ยวค่ะ... เดี๋ยว ดิฉันเดินมาถึงแล้ว” เอ้วิ่งหน้าตื่น เสียงดังมาก่อนตัวขณะมือกำโทรศัพท์แน่น
“อะไรเอ้ เสียงดังอย่างนี้ได้หรือ?” หริตดุเบาๆ ขณะหันไปรับโทรศัพท์มาจากมือตัวต้นเสียง
“ดิฉันตกใจค่ะ คุณผู้หญิงเธอเสียงแย่เหลือเกิน ฟังเหมือนจะร้องไห้” คุณผู้หญิง ในขณะนี้เหลืออยู่เพียงคนเดียวคือญาณา อาสะใภ้ของหล่อน ภรรยาของหริตและมารดาของฐากร
“มีอะไร?”
“ไม่ทราบค่ะ เธอบอกว่าคุณท่านไม่รับโทรศัพท์เธอเลยโทร.เข้ามาที่โถง”
หริตขมวดคิ้วขณะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“อะไรคุณ ยัยเอ้มันเอะอะมะเทิ่ง...”
“คุณ!” หล่อนได้ยินเสียงดังพอสมควรก็เพราะปลายสายตะโกน “มีรถขับตามฉันมาสองคัน!”
“ว่ายังไงนะ!” เป็นครั้งแรก ท่าทีสงบของหริตแปรเป็นตื่นตระหนก และแม้ฟ้าพร่างดาวที่นั่งรอฟังมาตั้งแต่แรกก็ทำแก้วในมือร่วงเปรื่องเช่นกัน
มัน... พวกมันแน่แล้ว!
ใช่... คงไม่มีใครอื่น คนพวกนี้จะคุกคามคนรอบตัวหล่อน ราวีไม่ให้มีใครได้อยู่สงบสุข หาก... เป้าหมายของมันคือหล่อน!
หญิงสาวใจหายวาบ... จะต้องมีอีกกี่คนสังเวยเพื่อหล่อน!
ฟ้าพร่างดาวมีแต่ต้องหยุดมันเสียก่อน ด้วยมือของหล่อนเอง!
โชคยังดีที่ญาณาประสบเหตุในช่วงกลางวัน ผู้คนพลุกพล่านตำรวจจึงตามไปเจอง่ายเพราะมีคนให้เบาะแสว่า รถของญาณาเปิดแตรตลอดเส้นทาง
สำหรับฟ้าพร่างดาว กับอาสะใภ้คนนี้ แต่เดิมก็ไม่ค่อยสนิทกันนักเพราะหล่อนไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกเสียนาน ไม่ค่อยจะได้เจอหน้ากัน
บิดากับมารดาหล่อนนั้นมีบุตรยากอยู่แล้วคือหลังจากแต่งงานกันนานถึงสิบปีจึงมีหล่อนจนอายุเกือบจะสี่สิบ ระหว่างสิบปีนั้นอาและอาสะใภ้ก็ได้แต่งงานกันและมีฐากรออกมาก่อน กับที่คนในบ้านกระซิบกระซาบกันว่า
‘อยู่ในท้องหกเดือน ออกมาตัวโตเลย!’
หล่อนไม่คิดอะไร ก็เพราะบิดามักจะพูดให้ฟังอยู่เสมอว่า
‘เรื่องนินทา มันเป็นเรื่องลอยลม หลักฐานสักนิดเราก็ไม่เห็น การฟังเรื่องนินทาจึงเป็นการฟังเรื่องไม่มีสาระแก่ตัวเอง หนูพร่างจะฟังไปทำไม?’
คงเพราะอย่างนี้ หล่อนจึงนับถือฐากรเป็นพี่ชายที่รักได้อย่างสนิทใจเสมอมา
จากนั้นมารดาหล่อนจึงตั้งท้องศรากรซึ่งเกิดหลังหล่อนถึงสิบสองปี และเพราะมีลูกเมื่ออายุมากนี้เองศรากรจึงอาภัพ บกพร่องทางการพูดมาตั้งแต่เด็ก
หล่อนลืมคิดไปว่า... ไม่มีไฟก็ไร้ควัน!
อย่างไรก็ตาม ปมเกี่ยวกับฐากรนี้เป็นเรื่องที่หล่อนได้รับทราบในภายหลังจากนี้อีกนาน ในสถานการณ์ที่บีบคั้นมากที่สุด ชวนโศกสลดที่สุดในชีวิตหล่อน
อาสะใภ้ของหล่อนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยในที่สุด ด้วยอาการประสาทผวาโดยมีรถตำรวจขับตามอารักขามาตลอดทาง พอกลับมาได้พบกับหมอ รับยานอนหลับอย่างแรงเข้าไปแล้วก็หลับลงได้ ส่วนฐากรนั้นตามมาทีหลังมารดาเพียงไม่นานคงเพราะใครคนหนึ่งโทรศัพท์ไปบอกเหตุให้ฟัง สองแม่ลูกคุยกันอยู่นานจนคนแม่หลับ ฐากรจึงเดินเลี่ยงออกจากห้องนั้นอย่างค่อยคลายใจ ครั้นพอเดินออกมาพบหล่อนยืนรออยู่เข้าก็ชะงักงัน ส่งรอยยิ้มฝืดฝืนมาให้
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” สำเนียงปลอบโยนนั้นราวกับจะปลอบตัวเองด้วย
“ตำรวจบอกว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ก่อเหตุยิงหน้าบ้านเรา” หล่อนพูดเสียงแหบ
“...” ฐากรพยักหน้า รู้สึกว่าเขาจะเฉื่อยชากว่าปกติ ริ้วรอยบนใบหน้าฉายแววล้า ไหล่ลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด “พี่แทบไม่อยากจะนึกเลย... ถ้า... ถ้ามันทำอะไรแม่...” ประโยคท้ายถูกกลืนหายในลำคอซึ่งคล้ายจะตีบลงอย่างกะทันหัน ฟ้าพร่างดาวได้แต่ก้มหน้านิ่ง อีกครั้งที่หล่อนถามตัวเอง
เท่าไร? ต้องมีคนอีกมากเท่าไรต้องมารับเคราะห์แทนหล่อน?
หล่อนต้องหยุดมันเสียที!
หญิงสาวแยกกับฐากรตรงโถงทางเชื่อมปีกตึกซ้าย ครั้นแล้วต่อมา ก็ไม่มีใครในบ้านได้พบหล่อนอีก ฟ้าพร่างดาวหายไปเหมือนล่องหน ไร้ตัวตน... ไร้ชะตากรรม!
“เป็นไปได้หรือ? ในคืนเดียวคนคนหนึ่งจะหายไปได้ราวกับล่องหน อย่างไงมันต้องมีเบาะแสสิน่า สืบจากตรงนั้นก็จะเจอตัว” ไม่บ่อยนักหริต รักษ์บดีผู้สงบเงียบจะเกรี้ยวกราด เฉพาะวันนี้เท่านั้น นายตำรวจที่มาต่างเข้าหน้าไม่ติด คนเป็นอาดูจะเกินกว่า ‘หัวเสีย’ กับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของหลานสาว ที่ฉายชัดออกทางแววตาและดวงหน้าคล้ำ เครียด คือความวิตกกังวล หวาดกลัว
“ใจเย็นหน่อยซีคุณ โวยวายอย่างนี้คุณตำรวจจะทำงานยังไง?” คนเป็นภรรยานานๆ จะออกปากขัดสามี
“จะให้เย็นยังไง? หลานผมหายไปทั้งคน ถามคนทั้งบ้านไม่มีใครรู้ นี่มีอยู่กันตั้งกี่ตา?” สามีเสียงเขียว เห็นได้ชัดว่าโดยปกติก็ไม่ค่อยจะยอมลงให้กับภรรยานัก และลูกชายก็เหมือนแม่ นอกจากจะได้แต่นิ่งฟัง อาการทักท้วงใดๆ ต่อบิดาดูจะไม่เป็นผลทั้งสิ้น บางครั้ง... ฐากรจะเป็นร้ายกว่าเสียด้วยซ้ำไปคือเพียงบิดาปรายตามองเท่านั้นก็จะนิ่งขึง รอฟังคำสั่งแต่อย่างเดียว
“หลานคุณน่ะเขาไปอยู่อเมริกาเป็นปีๆ แค่นี้จะเป็นไร ตำรวจก็บอกแล้วว่าไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ยัยพร่างหายไปเอง จงใจจะหลบคนในบ้านออกไป” ญาณาไม่ค่อยจะ ‘กินเส้น’ กับหลานสาวคนนี้นักก็เพราะสำนึกอยู่ตลอดว่า วันหนึ่งตัวจะต้องอยู่ในปกครองของเด็กซึ่งอายุน้อยกว่ามาก คนเล็กจะปกครองคนใหญ่ตามสิทธิ์สืบทอดความเป็นเจ้าบ้าน
“อย่า...” คราวนี้หริตเสียงเย็น “อย่าได้พูดอย่างนี้ ทำเสียงอย่างนี้อีกเป็นอันขาดเชียว ...ก็เพราะยัยพร่างอยู่อเมริกาเป็นสิบๆ ปีน่ะซี นี่ออกไปบ้านเมืองก็ไม่คุ้น จะไปอยู่ยังไง แล้วออกไปทำไม?”
“เอ้อ...” นายตำรวจผู้ต้องตกในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อเริ่มขยับตัว คงจะรู้สึกว่าอึดอัด “เก็บข้อมูลหมดแล้วก็เห็นจะต้องขอตัวละครับ ต้องเริ่มทำงานกันเลย ถ้ามีอะไรเพิ่มก็รบกวนแจ้ง หรือถ้าจะตรวจสอบอะไร ผมจะโทร.มาก่อน ล่วงหน้า”
กระทั่งเหลือเพียงคนในครอบครัวเท่านั้น ฐากรจึงกล้าพูด
“ตำรวจตามทางเดียวจะช้า... ผมจะติดต่อหานักสืบ ตามหาน้องเองครับ” พอได้ยินลูกชายขันอาสา คนเป็นพ่อค่อยยิ้มออก
“กร... พ่อฝาก...” ถึงแม้บางครั้ง กับลูกชาย หริตจะรู้สึกไม่ได้อย่างใจนักเพราะนิสัยเป็นคนเด็ดขาด เข้มงวด แต่ฐากรก็เป็นลูกชายที่เขาเลี้ยงมากับมือจึง ‘ฝาก’ ธุระสำคัญแก่กันได้
จำเพาะครั้งนี้ ‘ธุระ’ สำคัญเหลือเกินกว่าครั้งไหนๆ
ฐากรจะพลาดไม่ได้!
หริตไม่รู้ เพียงลับหลังตนเท่านั้น ลูกชายก็หยิบโทรศัพท์ส่วนตัวขึ้นต่อสาย เสียงพูดที่เคยอบอุ่นกลับฟังยะเยือกเมื่อสนทนากับคู่สายด้วยเสียงกระซิบราวคำราม
“มันหนีไป!”
‘ผมจะตามเองครับนาย’ เสียงคู่สายแหบต่ำ ฟังคล้ายกระซิบโต้ตอบกลับมาเช่นกัน
“ไม่ต้อง อีนางนี่มันเลือดสู้... มึงอยู่เฉยๆ มันจะตามหามึงเอง แต่มึงแน่ใจนะว่านอกจากเสียงมึงมันไม่มีหลักฐานอย่างอื่นอีก?”
‘...’ คราวนี้อีกฝ่ายงันไปครู่หนึ่งราวกับนึกทบทวนก่อนจะตอบ ‘ไม่มีหรอกครับ... ไม่มีสักอย่างเดียว’
ฐากรฟังอย่างค่อยคลายใจ
ใช่... เขาควรจะได้เจอฟ้าพร่างดาวก่อนใคร!
เสียงที่ได้ยินมาจากย่านชุมชนนั้นดังเหลือเกิน แรกที่มาเช่าห้องแถวกว้างเท่ารูหนูนี้อยู่ ‘ไอ้ใบ้’ ไม่เคยนอนได้หลับสักคืนเดียว ต้องสะโหลสะเหลไปเข็นผักที่ตลาดตอนเช้าตรู่ ล้มบ้างลุกบ้างจนแม่ค้ามองค้อน ตอนนี้ก็ค่อยดีขึ้น แค่เหนื่อยหน่อยเท่านั้น พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย มือที่ตอนแรกแตกจนเลือดซิบ ตอนนี้เริ่มด้าน กำมือจับรถเข็นได้โดยไม่รู้สึกเจ็บอีก
แม่ค้าที่ตลาดเคยป้องปากกระซิบกระซาบกัน และบางที่ก็ถึงกับเคยนินทาให้ได้ยิน
‘มันน่าจะเป็นลูกผู้ดีตกอับ’ คนที่ฟังมักจะเห็นด้วย
‘ดูผิวมันซิ ขาวอย่างกับหยวก’ คนนินทาไม่ผู้ ผิวที่ว่าขาวเหมือนหยวกนั้น เคยมีคนเปรียบเอาไว้กับหยกน้ำนมเนื้อดีซึ่งไม่ใช่จะพบเห็นได้ง่าย หาก... คนไม่เคยรู้จักหยกน้ำนมจะรู้จักเปรียบได้ถูกอย่างไร คนคุ้นกับหยวกกล้วยมากกว่าจึงเปรียบไปดังนั้น
ไอ้ใบ้มักจะทำหน้าซื่อ เดินเซ่อๆ ซ่าๆ ไปทั่วตลาด ทำราวกับไม่รู้ว่าตัวกำลังเป็นที่กล่าวถึง และเพียงไม่นาน คนมาใหม่ก็กลืนไปกับคนในตลาดบ้านศิลา ชุมชนบ้านศิลาจนไม่มีใครเห็นเป็นคนแปลกที่ต้องหยิบยกมาพูดถึงอีก โดยเฉพาะระยะนี้มีคนมาใหม่ซึ่งเป็นประเด็นให้พูดถึงได้สนุกปากกว่า
‘ผู้กองมาใหม่’ คนเริ่มเรื่องเป็นแม่บ้านที่ทำความสะอาดอยู่ในโรงพัก ‘หล่อสะเด็ดไปเลย’
หลายคนที่ไปเห็นมาแล้วจะเก็บเอามาเล่า ‘หล่อ’ และต้องเสริม ‘หน้าคมหยั่งกะพระเอกหนังแขก!’
ผู้กองคนใหม่จะหล่อแค่ไหนก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ คือไอ้ใบ้รู้สึกหายใจหายคอได้คล่องขึ้นบ้างก็เพราะตัวเองไม่ได้ตกเป็นเป้าสนทนาอีกต่อไป
คนกำลังโล่งใจไม่ทันคาดคิดว่า ตัวจะได้พบ ‘ผู้กองใหม่’ เร็วอย่างใจในเย็นวันนั้นเอง
ในชุมชนบ้านศิลาก็เปรียบได้กับถิ่นบรองซ์ในนิวยอร์ค ปัญหาจริงๆ แต่แรกเริ่มก็คือปัญหาความยากจน พอคนไม่มีกินก็จะก่ออาชญากรรม เริ่มจากคนหนึ่ง หาสมัครพรรคพวกเข้ามากๆ ก็จะรวมกันเป็นกลุ่มก้อน เกิดเป็นสังคมปลาใหญ่กินปลาเล็กไม่รู้จบ หาก... ก็เช่นเดียวกันไอ้ใบ้เพิ่งจะได้เรียนรู้เมื่อเข้ามาอยู่ในย่านสลัม
ไม่ใช่ทุกคนในสังคมสลัมที่จะเป็นคนเลว และเช่นกัน ...ในสังคมคนรวยก็ไม่ได้มีคนดีอยู่ทั้งหมด
น่าแปลก ไอ้ใบ้เป็นที่รักของคนในชุมชนศิลาราวกับเกิดและโตมาในชุมชน
คนที่มาอยู่ในที่ ‘แบบนี้’ ถ้าไม่ใช่คนที่เกิดในสลัมและกระเสือกกระสนไปไหนไม่ได้ ร้อยทั้งร้อยก็เป็นคน ‘ไม่มีที่จะไป’ ฉะนั้นคนมาใหม่ก็เหมือนกับหัวอกเดียวกับคนซึ่งเคยมาอยู่ก่อนเพราะไร้ที่พึ่ง กลายเป็นหัวอกเดียวกันจึงไม่มีใครรังคัดรังแค หนุ่มน้อยอาภัพ... พูดสื่อสารไม่ได้ และดวงตาอ่อนเชื่อม อมโศก หากขยันขันแข็ง เอาการเอางานแม้จะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวสักเท่าไร ไอ้ใบ้กลับเป็นที่รักใคร่เอ็นดู
ยกเว้นก็แต่พวกที่ไม่ค่อยจะมีสติสตางค์คิด หัวจิตหัวใจหลักลอยเพราะฤทธิ์ยาเสพติด และก็อีกพวก... กลุ่มคนที่ใช้ชุมชนศิลาเป็นสถานที่ลักลอบขนย้ายสิ่งของผิดกฎหมาย เข้ามาทำลาย และก็จากไป
ไอ้ใบ้เดินโต๋เต๋ออกจากบ้านในบ่ายวันนั้นก็เจอดีเพราะกลุ่มเด็กเดินยาซึ่งมาคอยลูกค้าอยู่ตรงตีนสะพานไม้ไผ่ พอแลเห็นชัดว่าคนที่ยืนจับกลุ่มอยู่เป็นใครก็เดินถึงตัวเสียแล้ว ไอ้คนเป็นหัวหน้าเดินตาเชื่อมเข้ามาหา ก็คงจะเมาสารอะไรสักอย่างหนึ่งในกระบวนยาเสพติดที่ขายนั่นแหละ เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังมาจากกลุ่มขณะไอ้ใบ้หน้าซีด มือคลำขวดสเปรย์เล็กในกระเป๋า คิดว่าจวนตัวจริงๆ ก็คงใช้พ่นใส่ตัวร้ายเพื่อหาช่องหนีได้
“ไอ้ใบ้” เสียงเรียกราวกับคนคุ้นกัน “ได้ข่าววันนี้รับทรัพย์” ข่าวจะมาจากไหนไม่รู้ ที่รู้ๆ คือต้องดักทางไว้ก่อน ไอ้ใบ้ส่ายหน้าหวือ มือกำขวดในกระเป๋าแน่น รอโอกาส ขณะสมองคิด
เผลอหน่อยเถอะน่า...
“...”
“ไหนเอามากู้หน่อย” การจะบอก ‘ขอ’ ก็ดูจะง่ายไปหน่อย คนกำลังอยู่ในฤทธิ์ยาต้องผึ่งไว้ก่อน รอเวลาว่าเมื่อไรสร่างจากฤทธิ์ยาก็จะกลับไปหงอเท่าเดิม
“...” ไอ้ใบ้ใช้วิธีเดิมคือส่ายหน้าอย่างเดียว
ยังไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไร เสียงตะโกนเหมือนแมวโดนเหยียบหางก็แผดลั่น
“เฮ้ย! ตำรวจ” เท่านั้น วงชั่วคราวตรงตีนสะพานก็เป็นอันแตกฮือ ต่างวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ไอ้ใบ้แทนที่จะโล่งใจกลับยิ่งสติแตกหนักเข้าเมื่อเห็นคนในชุดเสื้อแจ็กเกตสีดำวิ่งตรงมา
หล่ออย่างกับพระเอกหนังแขก!
อย่างนี้ไม่วิ่งจะรออะไร!
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไอ้ใบ้เคยโดนครูพละ ‘จวก’ เสมอค่าที่วิ่งทางไกลได้น้อยกว่าคนอื่นเสมอ และเวลาวิ่งระยะสั้นก็ถูกชาวบ้านทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น
ถ้าครูพละได้มาเห็นไอ้ใบ้ในวันนี้จะ ‘ภูมิใจแย่’
ภาพลูกศิษย์ฮ่อสุดตีนเหยียดเพื่อหนีตำรวจคงจะตราตรึงใจไม่รู้ลืม หรืออยากจะลืม ก็ลืมไม่ลง!
คนตัวโตกว่า ขายาวกว่าแท้ๆ ยังไล่ไม่ทัน พรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่คงจะครือๆ กับแบบนี้เอง! ในกรณีไอ้ใบ้ต้องมีตำรวจเป็นสิ่งกระตุ้น
ไอ้ใบ้วิ่งขาขวิดจากไปแล้วโดยมีผู้กองคนใหม่ฮ่อตามไปติดๆ ทิ้งให้ประดาคนเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นสงสัยว่า
มันจะหนีทำไมของมัน?
คนหนีทั้งๆ ตัวก็ไม่มีความผิดยังโดดโหยงๆ หลบหลีกสิ่งกีดขวางได้เหมือนอัศจรรย์ทั้งๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้มาก่อน ตอนที่เลี้ยวเข้าในตรอกแคบๆ ก็ต้องตะแคงตัวผ่านแต่ไอ้ใบ้ก็ยังทำได้ จะแย่ก็อีตรงที่ร่างกายมันไม่ค่อยจะเชื่อฟัง พอเข้าครึ่งหลังก็เริ่มจะจุกๆ ตรงพุงและรู้สึกเสียดในหน้าอก ต่อมาก็อาการแสบร้อนราวกับสำลักของเผ็ด
เหนื่อย!
ไอ้ใบ้ ‘หอบแฮ่ก’ เมื่อด้นผ่านซอกที่ใช้เก็บเศษเหล็กด้านหลังร้านยาดองของอาแปะ ขาล้าร่ำๆ จะพับลงไปกองคาตาจะติดก็ตรงที่เสียงวิ่งตึกๆ และเสียงตะโกนห้าวหาญที่ดังมาจากทางด้านหลัง
“เฮ้ย! หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
แทนที่จะหยุด ไอ้คนที่วิ่งเต็มเหยียดอยู่ข้างหน้ากลับยิ่งดันทุรังวิ่งให้เร็วขึ้นทั้งๆ เจ้าตัวก็เหนื่อยแทบตาย
ก็จะตามมาทำไม!
ขณะผู้กองมองอากัปกริยาวิ่งหนีสุดจิตสุดใจนั้นแล้วก็ฟันธง
ไอ้นี่ มันวิ่งหนีขนาดนี้แสดงว่าถ้าถูกจับได้มันจะโดนหลายกระทง อย่างนี้ตัวลูกพี่แน่!
เมื่อสองคนคิดกันไปคนละโยชน์ การวิ่งไล่ล่าประชันฝีเท้ากันประหนึ่งพระเอกหนังแขกวิ่งอ้อมเขาสามลูกไล่ตามงอนง้อขอความรักจากนางเอกจึงดำเนินต่อไปท่ามกลางความเหนื่อยแทบจะขาดใจของทั้งคู่อีกเช่นเดียวกัน ต่างกันแค่คราวนี้เป็นการตามจับไปเข้าตะราง ความซวยยังไม่หมดเท่านั้นเมื่อไอ้ใบ้ฮ่อมาถึงริมคลองน้ำดำเพราะน้ำเน่าทั้งคลอง ขนาดปลายังขาดใจตาย ความเหนื่อยทำให้คิดสั้นๆ ว่า
ต้องโดด ว่ายตัดคลองไป ตำรวจไม่กล้าโดดตามหรอกเพราะกลัวปืนเปียก!
และเมื่อคิดได้อย่างนั้น ร่างกายก็ไปไวเท่าใจคิด ไอ้ใบ้โจนลงในคลองเสียงดัง ตู้ม! แล้วก็ได้จุกแอ้กเพราะลงผิดท่า น้ำในคลองทะลักเข้าปากเข้าจมูกจนฉุนกึก ตอนนี้... เข้าใจแล้วว่าทำไมปลามันถึงตาย! แต่โดดลงมาแล้วจะทำอย่างไรได้นอกจากดิ้นรนต่อไป
นายตำรวจที่ฮ่อตามหลังมาติดๆ พอเห็นไอ้ใบ้ทำดังนั้นก็ทำท่าจะโจนลงไปบ้าง ตอนนั้นเองที่คิดถึงปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวแล้วก็ต้องเบรกตัวเองเสียทันควัน จะเอาของหลวงไปพังก็ไม่ได้ คนร้ายก็ต้องจับ ครั้นเหลียวมองสะพานที่เป็นทางอ้อมไปสู่อีกฝั่งแล้วก็คล้ายๆ จะหน้ามืด
อ้อมไกลเลย!
เอาวะ! เจ้าตัวคิด จะปล่อยมันหนีไปง่ายๆ ได้ที่ไหน
ผู้กองใหม่ซึ่งชาวบ้านให้สมญาว่า ‘พระเอก’ จึงทำกริยาสมเป็นพระเอกนั่นคือสับขาวิ่งสุดเหยียดไปตามสะพานไม้โย้เย้ มองเห็นไอ้ใบ้จ้วงน้ำวับๆ อยู่ในคลองก็ยิ่งโหย่งเท้าให้ยาวขึ้น กระบังลมทำงานหนักเหมือนจะพังโดยเฉพาะเจ้าตัวเพิ่งจะได้ออกจากโรงพยาบาลเนื่องจากรักษาอาการกระสุนฝังในไม่นานก็ยิ่งเหนื่อยง่ายไปกว่าเก่า ทั้งผู้(ไม่)ร้ายทั้งตำรวจต่างแข่งความเร็วกันราวกับนักกีฬาโอลิมปิกหวังเหรียญทอง
ผู้กองวิ่งเร็ว
ไอ้ใบ้จ้วงน้ำเร็ว
ผู้กองยิ่งวิ่งตัวปลิว
ไอ้ใบ้ก็ยิ่งจ้วงแขนเป็นระวิงเหมือนกัน!
กระทั่งไอ้ใบ้ตะกายขึ้นฝั่งที่ริมกำแพงวัดและทำท่าจะฮ่อตะบึงต่อไป ผู้กองที่ฮ่อมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันก็กระตุกปืนจากข้างเอวขึ้นส่อง ตะโกนขู่เสียงแหบห้าว
“เฮ้ย! ถ้าลื้อไม่หยุด อั๊วยิง!”
เพียงเท่านั้น ไอ้ใบ้ก็หยุดได้เหมือนอัศจรรย์ สองมือยกขึ้นกุมหูกุมหัวเป็นพัลวัน ดวงหน้าซีดเซียวราวกับไก่เซ่นเจ้า ปากอ้าผะงาบๆ แต่เสียงไม่ออก
“...!!!”
อย่ายิงมานะผู้กอง!
เจ้าคนยกมือกุมหัวเบิ่งตากว้าง น้ำตาทำท่าจะหยดแหมะ คงเพราะกลัวจริงๆ ขณะผู้กองชะงักค้างไปอึดใจหนึ่งเมื่อได้มองคนที่วิ่งไล่จนหอบแฮ่กมาตลอดเต็มตาหนนี้
ดวงตาดำ มันหยับ อย่างนี้ เขาเคยเห็นมาจากไหน?
ครั้นพอนึกถึงหน้าที่ตรงหน้า นายตำรวจหนุ่มก็ตรงเข้าหาเด็กหนุ่มหน้าตาดำมองเห็นแต่ลูกนัยน์ตามันเป็นเลื่อม กับฟันขาวที่เห็นผ่านริมฝีปากเนื่องจากเจ้าหัวหอบจนไหล่กระเพื่อม
ผู้กองไม่รู้ว่า สองตาดำมันนั้นกำลังจ้องเขม็งที่บัตรประจำตัวตำรวจซึ่งห้อยคออยู่
ร.ต.อ. เตมินทร์ ศิริอนันต์
ชื่อนี้ต้องจำซีน่า... จำกันจนวันตายเลย!
ไอ้ใบ้เบ้หน้าราวกับจะร้องไห้
“เอามือพาดหัว” ร.ต.อ. เตมินทร์สั่งการขณะเดินเข้ามาลูบเอว ตบสะโพกแปะๆ ร่ายยาวไปถึงตรงซิปกางเกงด้านหน้าเพื่อสำรวจว่ามีอาวุธเหน็บไว้หรือไม่
น่าแปลก... นอกจากจะไม่มีอาวุธอื่นเหน็บไว้แล้ว ‘อาวุธส่วนตัว’ ของไอ้หนูนี่ก็ยังคลำไม่เจอ น่าจะ ‘เล็กจัด’!
“...อ...” เตมินทร์เงยหน้าขึ้นเพราะเหมือนจะได้ยินเสียงคนตรงหน้าอึกอัก แต่พอเงยขึ้นมองแล้วก็ไม่เห็นว่าไอ้หนูมันจะมีปฏิกิริยาอะไรนอกจากอาการหน้าซีดแล้วแดง แล้วก็เขียว รวดเร็วราวกับปาฏิหาริย์ กับท่าอ้าปากหวอ หอบหายใจผะงาบๆ ราวกับปลาขาดน้ำ ตัวแข็งเหมือนถูกสาปกลายเป็นหิน
คงจะเหนื่อยมาก!
ก็น่าอยู่หรอก ชายหนุ่มคิด ขนาดเราตัวโตกว่ายังเหนื่อยขนาดนี้!
ขณะไอ้ใบ้คิดว่า
อย่านึกจะจับตรงไหนก็จับสิว้า! ถ้าไม่ติดว่ากลัวปืนในมือ จะชกให้คว่ำ! กับเสียงร่ำร้องกระซิกๆ ในอกซึ่งจะให้ใครเห็น หรือได้ยินไม่ได้
ฮือๆๆ หมดกัน!
แม้แพทย์จะยืนยันว่า กระสุนไม่ถูกเข้าในที่สำคัญ และการผ่าตัดนำกระสุนออกจากร่างผู้บาดเจ็บก็ประสบผลสำเร็จดี อาการของเตมินทร์นั้น เพียงแค่รอให้รู้สึกตัวขึ้นมาเท่านั้นก็มีแต่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เขาคงคุ้นกับโรงพยาบาลด้วย หมอและพยาบาลจำหน้าเขาได้เหมือนเป็นขาประจำกัน
ยังไงก็เถอะ ฟ้าพร่างดาวไม่รู้สึกคลายใจก็เพราะเขาต้องมาเจ็บโดยมีหล่อนเป็นเหตุ ถึงแม้ว่าเขาจะฟื้นตัวแล้วก็ตาม หล่อนยังมีความผิดอยู่ดี
ถ้าเขาไม่เอาตัวเข้าบังหล่อนไว้ เขาก็ไม่ต้องมาถูกเจ็บ หล่อนคิดอย่างหดหู่ว่า พวกมันยังตามมาจองล้างจองผลาญไม่สิ้น วันนี้... เตมินทร์เอาตัวเข้าบังหล่อนไว้ วันหน้า... จะเป็นใครอีก
มันจะไม่มีวันหยุดจนกว่าหล่อนจะตาย หรือ... ก็จนกว่าหล่อนจะจับหางมันได้!
“พร่าง... ” หล่อนหันไปตามเสียงเรียก มองเห็นบุรุษผู้ประพิมพ์ประพรายคล้ายบิดาราวคนคนเดียวกัน ชั่วแต่บิดาหล่อนจะสูงกว่านี้อีกนิด และเจ้าเนื้อกว่านี้อีกหน่อย บิดาหล่อนมีใบหน้าใจดีราวกับจะยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา บุรุษตรงหน้านี้ต่างหาก อายุน้อยกว่า และก็ดูคมสันแม้จะมีอายุ
“นมวาดบอกว่าคุณอาให้หาพร่าง?” หล่อนถาม
“ใช่... อาจะบอกว่า อาทิตย์หน้า พร่างคงต้องเข้าบริษัทกับอา หนูต้องไป...” สุ้มเสียงที่บอกนั้น ราวกับคิดทบทวน ตระหนักในเหตุการณ์มาอย่างหนัก “...ดูงานที่คุณพ่อหนูทำค้างเอาไว้”
อาหริต รักษ์บดี คือญาติที่สนิทชิดเชื้อที่สุดของครอบครัวหล่อน
ตระกูลรักษ์บดีนั้น เป็นตระกูลหัวเก่า แม้จะมีเครือญาติมากและอาศัยอยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นเขตรั้วเดียวกัน แต่ไม่เคยเข้ามาวุ่นวายในบ้านใหญ่ บิดาหล่อนเคยเล่าให้ฟังว่า เรื่องเกิดจากคุณปู่ทวดคนหนึ่งทนเห็นลูกๆ หลานๆ ทะเลาะกันจนปวดหัวไม่ไหวก็เลยคิดกุศโลบายขึ้นมา แบ่งแยกที่ดินและธุรกิจออกเป็นส่วนๆ ให้แยกย้ายกันไปบริหารโดยเลือกวางลูกชายคนโตที่ใกล้ชิดกับท่านไว้ทำงานใกล้มือ ควบคุมกิจการสายใหญ่ที่สุดที่ท่านดูแลเองมาตลอดรวมทั้งบ้านใหญ่ ‘รักษ์บดี’ หลังนี้ด้วย พอท่านสิ้น ทรัพย์ในส่วนที่ท่านถือครองจนวันตายก็ตกแก่ลูกชายคนโตที่ว่านี้ ส่วนลูกหลานอื่นๆ ที่ได้รับส่วนแบ่งไปก่อนหน้านี้ ก็มีหน้าที่ในส่วนเดิม ตกทอดถึงลูกหลานของตัว ต่อมาจึงเรียกเจ้าบ้านรักษ์บดีว่าสายหลัก และบ้านอื่นๆ ก็เป็นสายรอง บ้านหลังนี้รวมทั้งกิจการที่บริษัทใหญ่ก็ตกทอดแก่ลูกคนแรกในตระกูลสืบต่อมา บิดาหล่อนเป็นลูกชายคนแรกของปู่ และต่อมา ก็ถึงหล่อน
ฟ้าพร่างดาวเคยคิดถึงเรื่องนี้เพียงผ่านๆ ว่า วันหนึ่งเมื่อบิดาทอดภาระทั้งหมดลง คนที่จะต้องรับภาระนั้นต่อก็คือหล่อน ทั้งการบริหารธุรกิจของตระกูล และการดูแลสุขภาพและปากท้องของคนในบ้าน เป็นภาระหนักที่หล่อนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หญิงสาวไม่คิดว่า วันนั้น จะมาถึงหล่อนเร็วเพียงนี้...
“พร่างยังไม่คิดว่ามันสมควรแก่เวลาค่ะ” หล่อนตอบเสียงแหบ
“...” หริตเฉย มองดูก็ทราบว่า กำลังลำบากใจ “หนูรู้ใช่ไหม วันศุกร์หน้าจะมีประชุมผู้ถือหุ้น อาปรึกษากับลุงติแล้วว่าพร่างควรจะเข้าไป อย่างน้อย คนอื่นๆ จะรับรู้ว่าใครจะเป็นผู้นำต่อจากพ่อของพร่าง”
“แต่พร่างอยากจัดการคดีของพ่อแม่กับน้องให้เรียบร้อยก่อน” หล่อนทราบว่า ตัวเองกำลังไร้เหตุผล ความจริงแล้ว ตอนนี้หล่อนควรทำอะไร ฟ้าพร่างดาวทราบดี ใช่ว่าหล่อนดึงดันไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้น สมองหล่อนประมวลเหตุผลได้ แต่ก็ใช่ว่าหัวใจจะทำตาม
ครอบครัวที่หล่อนรัก ทุกคนที่เป็นดั่งชีวิตถูกพรากเอาไปหมดสิ้น อย่างโหดร้าย ทารุณที่สุด น่าสังเวชใจที่สุด แล้ว... แล้วพวกมันก็ยังไม่หยุด ยังคงตามล่าล้างหล่อน หมายจะเอาชีวิตจนต้องมีคนมารับเคราะห์แทนหล่อนวันนี้ หล่อนจะนิ่งดูดาย ใช้ชีวิตอยู่โดยเอาชีวิตคนรอบข้างเป็นโล่กำบังหรือ? ท่ามกลางกลุ่มคนที่หล่อนไม่รู้ว่าจะไว้ใจได้แค่ไหน ใครถือมีดแอบไว้ข้างหลังบ้างก็ไม่รู้ จะมีกี่คนกันที่จะยอมเอาตัวเข้ากันหล่อนไว้ เหมือน... เหมือนนายตำรวจคนนั้น
เตมินทร์!
“พร่าง... อาเข้าใจความรู้สึกพร่าง พ่อหนูกับอา... เลือดเดียวกัน!”
ฟ้าพร่างดาวนิ่งอั้น หล่อนนิ่งขึงไปอึดใจเพราะ... ใช่ อาของหล่อน อาหริตผู้อุ้มชูหล่อน ทำเพื่อหล่อนมาไม่น้อยกว่าใครๆ อาผู้มีเลือดเดียวกันกับพ่อ มีมากเสียยิ่งกว่าหล่อน ดวงตารวดร้าว ระทมทุกข์ไม่มีแววลังเลจนนิดเดียวเมื่อพูดประโยคนั้น
เลือดเดียวกัน... คนที่คลานตามกันมา เป็นครอบครัวของกันและกันเพียงลำพังมาตั้งแต่เกิด!
“เพราะพร่างเป็นสิ่งเดียวที่พี่ชายอาเหลือไว้ให้ อาจะส่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของๆ พี่ชายอาลงในมือพร่าง บริษัทเป็นสิ่งที่พ่อของหนูเหลือเอาไว้ให้ เหมือนกันกับบ้านหลังนี้ อาและและอาญาณา แม้แต่พี่กร เป็นสิ่งปกครองในมือพร่าง ทั้งหมด!”
“อาคะ... พร่าง” หล่อนอึกอัก รู้สึกว่าน้ำท่วมปาก
ฟ้าพร่างดาวยังไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ เสียงเอะอะจากทางเดินก็ดังขึ้น ก้อง และสะท้อนราวกับเสียงกู่จากยอดผา
“เดี๋ยวค่ะ... เดี๋ยว ดิฉันเดินมาถึงแล้ว” เอ้วิ่งหน้าตื่น เสียงดังมาก่อนตัวขณะมือกำโทรศัพท์แน่น
“อะไรเอ้ เสียงดังอย่างนี้ได้หรือ?” หริตดุเบาๆ ขณะหันไปรับโทรศัพท์มาจากมือตัวต้นเสียง
“ดิฉันตกใจค่ะ คุณผู้หญิงเธอเสียงแย่เหลือเกิน ฟังเหมือนจะร้องไห้” คุณผู้หญิง ในขณะนี้เหลืออยู่เพียงคนเดียวคือญาณา อาสะใภ้ของหล่อน ภรรยาของหริตและมารดาของฐากร
“มีอะไร?”
“ไม่ทราบค่ะ เธอบอกว่าคุณท่านไม่รับโทรศัพท์เธอเลยโทร.เข้ามาที่โถง”
หริตขมวดคิ้วขณะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“อะไรคุณ ยัยเอ้มันเอะอะมะเทิ่ง...”
“คุณ!” หล่อนได้ยินเสียงดังพอสมควรก็เพราะปลายสายตะโกน “มีรถขับตามฉันมาสองคัน!”
“ว่ายังไงนะ!” เป็นครั้งแรก ท่าทีสงบของหริตแปรเป็นตื่นตระหนก และแม้ฟ้าพร่างดาวที่นั่งรอฟังมาตั้งแต่แรกก็ทำแก้วในมือร่วงเปรื่องเช่นกัน
มัน... พวกมันแน่แล้ว!
ใช่... คงไม่มีใครอื่น คนพวกนี้จะคุกคามคนรอบตัวหล่อน ราวีไม่ให้มีใครได้อยู่สงบสุข หาก... เป้าหมายของมันคือหล่อน!
หญิงสาวใจหายวาบ... จะต้องมีอีกกี่คนสังเวยเพื่อหล่อน!
ฟ้าพร่างดาวมีแต่ต้องหยุดมันเสียก่อน ด้วยมือของหล่อนเอง!
โชคยังดีที่ญาณาประสบเหตุในช่วงกลางวัน ผู้คนพลุกพล่านตำรวจจึงตามไปเจอง่ายเพราะมีคนให้เบาะแสว่า รถของญาณาเปิดแตรตลอดเส้นทาง
สำหรับฟ้าพร่างดาว กับอาสะใภ้คนนี้ แต่เดิมก็ไม่ค่อยสนิทกันนักเพราะหล่อนไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกเสียนาน ไม่ค่อยจะได้เจอหน้ากัน
บิดากับมารดาหล่อนนั้นมีบุตรยากอยู่แล้วคือหลังจากแต่งงานกันนานถึงสิบปีจึงมีหล่อนจนอายุเกือบจะสี่สิบ ระหว่างสิบปีนั้นอาและอาสะใภ้ก็ได้แต่งงานกันและมีฐากรออกมาก่อน กับที่คนในบ้านกระซิบกระซาบกันว่า
‘อยู่ในท้องหกเดือน ออกมาตัวโตเลย!’
หล่อนไม่คิดอะไร ก็เพราะบิดามักจะพูดให้ฟังอยู่เสมอว่า
‘เรื่องนินทา มันเป็นเรื่องลอยลม หลักฐานสักนิดเราก็ไม่เห็น การฟังเรื่องนินทาจึงเป็นการฟังเรื่องไม่มีสาระแก่ตัวเอง หนูพร่างจะฟังไปทำไม?’
คงเพราะอย่างนี้ หล่อนจึงนับถือฐากรเป็นพี่ชายที่รักได้อย่างสนิทใจเสมอมา
จากนั้นมารดาหล่อนจึงตั้งท้องศรากรซึ่งเกิดหลังหล่อนถึงสิบสองปี และเพราะมีลูกเมื่ออายุมากนี้เองศรากรจึงอาภัพ บกพร่องทางการพูดมาตั้งแต่เด็ก
หล่อนลืมคิดไปว่า... ไม่มีไฟก็ไร้ควัน!
อย่างไรก็ตาม ปมเกี่ยวกับฐากรนี้เป็นเรื่องที่หล่อนได้รับทราบในภายหลังจากนี้อีกนาน ในสถานการณ์ที่บีบคั้นมากที่สุด ชวนโศกสลดที่สุดในชีวิตหล่อน
อาสะใภ้ของหล่อนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยในที่สุด ด้วยอาการประสาทผวาโดยมีรถตำรวจขับตามอารักขามาตลอดทาง พอกลับมาได้พบกับหมอ รับยานอนหลับอย่างแรงเข้าไปแล้วก็หลับลงได้ ส่วนฐากรนั้นตามมาทีหลังมารดาเพียงไม่นานคงเพราะใครคนหนึ่งโทรศัพท์ไปบอกเหตุให้ฟัง สองแม่ลูกคุยกันอยู่นานจนคนแม่หลับ ฐากรจึงเดินเลี่ยงออกจากห้องนั้นอย่างค่อยคลายใจ ครั้นพอเดินออกมาพบหล่อนยืนรออยู่เข้าก็ชะงักงัน ส่งรอยยิ้มฝืดฝืนมาให้
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” สำเนียงปลอบโยนนั้นราวกับจะปลอบตัวเองด้วย
“ตำรวจบอกว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ก่อเหตุยิงหน้าบ้านเรา” หล่อนพูดเสียงแหบ
“...” ฐากรพยักหน้า รู้สึกว่าเขาจะเฉื่อยชากว่าปกติ ริ้วรอยบนใบหน้าฉายแววล้า ไหล่ลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด “พี่แทบไม่อยากจะนึกเลย... ถ้า... ถ้ามันทำอะไรแม่...” ประโยคท้ายถูกกลืนหายในลำคอซึ่งคล้ายจะตีบลงอย่างกะทันหัน ฟ้าพร่างดาวได้แต่ก้มหน้านิ่ง อีกครั้งที่หล่อนถามตัวเอง
เท่าไร? ต้องมีคนอีกมากเท่าไรต้องมารับเคราะห์แทนหล่อน?
หล่อนต้องหยุดมันเสียที!
หญิงสาวแยกกับฐากรตรงโถงทางเชื่อมปีกตึกซ้าย ครั้นแล้วต่อมา ก็ไม่มีใครในบ้านได้พบหล่อนอีก ฟ้าพร่างดาวหายไปเหมือนล่องหน ไร้ตัวตน... ไร้ชะตากรรม!
“เป็นไปได้หรือ? ในคืนเดียวคนคนหนึ่งจะหายไปได้ราวกับล่องหน อย่างไงมันต้องมีเบาะแสสิน่า สืบจากตรงนั้นก็จะเจอตัว” ไม่บ่อยนักหริต รักษ์บดีผู้สงบเงียบจะเกรี้ยวกราด เฉพาะวันนี้เท่านั้น นายตำรวจที่มาต่างเข้าหน้าไม่ติด คนเป็นอาดูจะเกินกว่า ‘หัวเสีย’ กับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของหลานสาว ที่ฉายชัดออกทางแววตาและดวงหน้าคล้ำ เครียด คือความวิตกกังวล หวาดกลัว
“ใจเย็นหน่อยซีคุณ โวยวายอย่างนี้คุณตำรวจจะทำงานยังไง?” คนเป็นภรรยานานๆ จะออกปากขัดสามี
“จะให้เย็นยังไง? หลานผมหายไปทั้งคน ถามคนทั้งบ้านไม่มีใครรู้ นี่มีอยู่กันตั้งกี่ตา?” สามีเสียงเขียว เห็นได้ชัดว่าโดยปกติก็ไม่ค่อยจะยอมลงให้กับภรรยานัก และลูกชายก็เหมือนแม่ นอกจากจะได้แต่นิ่งฟัง อาการทักท้วงใดๆ ต่อบิดาดูจะไม่เป็นผลทั้งสิ้น บางครั้ง... ฐากรจะเป็นร้ายกว่าเสียด้วยซ้ำไปคือเพียงบิดาปรายตามองเท่านั้นก็จะนิ่งขึง รอฟังคำสั่งแต่อย่างเดียว
“หลานคุณน่ะเขาไปอยู่อเมริกาเป็นปีๆ แค่นี้จะเป็นไร ตำรวจก็บอกแล้วว่าไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ยัยพร่างหายไปเอง จงใจจะหลบคนในบ้านออกไป” ญาณาไม่ค่อยจะ ‘กินเส้น’ กับหลานสาวคนนี้นักก็เพราะสำนึกอยู่ตลอดว่า วันหนึ่งตัวจะต้องอยู่ในปกครองของเด็กซึ่งอายุน้อยกว่ามาก คนเล็กจะปกครองคนใหญ่ตามสิทธิ์สืบทอดความเป็นเจ้าบ้าน
“อย่า...” คราวนี้หริตเสียงเย็น “อย่าได้พูดอย่างนี้ ทำเสียงอย่างนี้อีกเป็นอันขาดเชียว ...ก็เพราะยัยพร่างอยู่อเมริกาเป็นสิบๆ ปีน่ะซี นี่ออกไปบ้านเมืองก็ไม่คุ้น จะไปอยู่ยังไง แล้วออกไปทำไม?”
“เอ้อ...” นายตำรวจผู้ต้องตกในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อเริ่มขยับตัว คงจะรู้สึกว่าอึดอัด “เก็บข้อมูลหมดแล้วก็เห็นจะต้องขอตัวละครับ ต้องเริ่มทำงานกันเลย ถ้ามีอะไรเพิ่มก็รบกวนแจ้ง หรือถ้าจะตรวจสอบอะไร ผมจะโทร.มาก่อน ล่วงหน้า”
กระทั่งเหลือเพียงคนในครอบครัวเท่านั้น ฐากรจึงกล้าพูด
“ตำรวจตามทางเดียวจะช้า... ผมจะติดต่อหานักสืบ ตามหาน้องเองครับ” พอได้ยินลูกชายขันอาสา คนเป็นพ่อค่อยยิ้มออก
“กร... พ่อฝาก...” ถึงแม้บางครั้ง กับลูกชาย หริตจะรู้สึกไม่ได้อย่างใจนักเพราะนิสัยเป็นคนเด็ดขาด เข้มงวด แต่ฐากรก็เป็นลูกชายที่เขาเลี้ยงมากับมือจึง ‘ฝาก’ ธุระสำคัญแก่กันได้
จำเพาะครั้งนี้ ‘ธุระ’ สำคัญเหลือเกินกว่าครั้งไหนๆ
ฐากรจะพลาดไม่ได้!
หริตไม่รู้ เพียงลับหลังตนเท่านั้น ลูกชายก็หยิบโทรศัพท์ส่วนตัวขึ้นต่อสาย เสียงพูดที่เคยอบอุ่นกลับฟังยะเยือกเมื่อสนทนากับคู่สายด้วยเสียงกระซิบราวคำราม
“มันหนีไป!”
‘ผมจะตามเองครับนาย’ เสียงคู่สายแหบต่ำ ฟังคล้ายกระซิบโต้ตอบกลับมาเช่นกัน
“ไม่ต้อง อีนางนี่มันเลือดสู้... มึงอยู่เฉยๆ มันจะตามหามึงเอง แต่มึงแน่ใจนะว่านอกจากเสียงมึงมันไม่มีหลักฐานอย่างอื่นอีก?”
‘...’ คราวนี้อีกฝ่ายงันไปครู่หนึ่งราวกับนึกทบทวนก่อนจะตอบ ‘ไม่มีหรอกครับ... ไม่มีสักอย่างเดียว’
ฐากรฟังอย่างค่อยคลายใจ
ใช่... เขาควรจะได้เจอฟ้าพร่างดาวก่อนใคร!
เสียงที่ได้ยินมาจากย่านชุมชนนั้นดังเหลือเกิน แรกที่มาเช่าห้องแถวกว้างเท่ารูหนูนี้อยู่ ‘ไอ้ใบ้’ ไม่เคยนอนได้หลับสักคืนเดียว ต้องสะโหลสะเหลไปเข็นผักที่ตลาดตอนเช้าตรู่ ล้มบ้างลุกบ้างจนแม่ค้ามองค้อน ตอนนี้ก็ค่อยดีขึ้น แค่เหนื่อยหน่อยเท่านั้น พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย มือที่ตอนแรกแตกจนเลือดซิบ ตอนนี้เริ่มด้าน กำมือจับรถเข็นได้โดยไม่รู้สึกเจ็บอีก
แม่ค้าที่ตลาดเคยป้องปากกระซิบกระซาบกัน และบางที่ก็ถึงกับเคยนินทาให้ได้ยิน
‘มันน่าจะเป็นลูกผู้ดีตกอับ’ คนที่ฟังมักจะเห็นด้วย
‘ดูผิวมันซิ ขาวอย่างกับหยวก’ คนนินทาไม่ผู้ ผิวที่ว่าขาวเหมือนหยวกนั้น เคยมีคนเปรียบเอาไว้กับหยกน้ำนมเนื้อดีซึ่งไม่ใช่จะพบเห็นได้ง่าย หาก... คนไม่เคยรู้จักหยกน้ำนมจะรู้จักเปรียบได้ถูกอย่างไร คนคุ้นกับหยวกกล้วยมากกว่าจึงเปรียบไปดังนั้น
ไอ้ใบ้มักจะทำหน้าซื่อ เดินเซ่อๆ ซ่าๆ ไปทั่วตลาด ทำราวกับไม่รู้ว่าตัวกำลังเป็นที่กล่าวถึง และเพียงไม่นาน คนมาใหม่ก็กลืนไปกับคนในตลาดบ้านศิลา ชุมชนบ้านศิลาจนไม่มีใครเห็นเป็นคนแปลกที่ต้องหยิบยกมาพูดถึงอีก โดยเฉพาะระยะนี้มีคนมาใหม่ซึ่งเป็นประเด็นให้พูดถึงได้สนุกปากกว่า
‘ผู้กองมาใหม่’ คนเริ่มเรื่องเป็นแม่บ้านที่ทำความสะอาดอยู่ในโรงพัก ‘หล่อสะเด็ดไปเลย’
หลายคนที่ไปเห็นมาแล้วจะเก็บเอามาเล่า ‘หล่อ’ และต้องเสริม ‘หน้าคมหยั่งกะพระเอกหนังแขก!’
ผู้กองคนใหม่จะหล่อแค่ไหนก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ คือไอ้ใบ้รู้สึกหายใจหายคอได้คล่องขึ้นบ้างก็เพราะตัวเองไม่ได้ตกเป็นเป้าสนทนาอีกต่อไป
คนกำลังโล่งใจไม่ทันคาดคิดว่า ตัวจะได้พบ ‘ผู้กองใหม่’ เร็วอย่างใจในเย็นวันนั้นเอง
ในชุมชนบ้านศิลาก็เปรียบได้กับถิ่นบรองซ์ในนิวยอร์ค ปัญหาจริงๆ แต่แรกเริ่มก็คือปัญหาความยากจน พอคนไม่มีกินก็จะก่ออาชญากรรม เริ่มจากคนหนึ่ง หาสมัครพรรคพวกเข้ามากๆ ก็จะรวมกันเป็นกลุ่มก้อน เกิดเป็นสังคมปลาใหญ่กินปลาเล็กไม่รู้จบ หาก... ก็เช่นเดียวกันไอ้ใบ้เพิ่งจะได้เรียนรู้เมื่อเข้ามาอยู่ในย่านสลัม
ไม่ใช่ทุกคนในสังคมสลัมที่จะเป็นคนเลว และเช่นกัน ...ในสังคมคนรวยก็ไม่ได้มีคนดีอยู่ทั้งหมด
น่าแปลก ไอ้ใบ้เป็นที่รักของคนในชุมชนศิลาราวกับเกิดและโตมาในชุมชน
คนที่มาอยู่ในที่ ‘แบบนี้’ ถ้าไม่ใช่คนที่เกิดในสลัมและกระเสือกกระสนไปไหนไม่ได้ ร้อยทั้งร้อยก็เป็นคน ‘ไม่มีที่จะไป’ ฉะนั้นคนมาใหม่ก็เหมือนกับหัวอกเดียวกับคนซึ่งเคยมาอยู่ก่อนเพราะไร้ที่พึ่ง กลายเป็นหัวอกเดียวกันจึงไม่มีใครรังคัดรังแค หนุ่มน้อยอาภัพ... พูดสื่อสารไม่ได้ และดวงตาอ่อนเชื่อม อมโศก หากขยันขันแข็ง เอาการเอางานแม้จะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวสักเท่าไร ไอ้ใบ้กลับเป็นที่รักใคร่เอ็นดู
ยกเว้นก็แต่พวกที่ไม่ค่อยจะมีสติสตางค์คิด หัวจิตหัวใจหลักลอยเพราะฤทธิ์ยาเสพติด และก็อีกพวก... กลุ่มคนที่ใช้ชุมชนศิลาเป็นสถานที่ลักลอบขนย้ายสิ่งของผิดกฎหมาย เข้ามาทำลาย และก็จากไป
ไอ้ใบ้เดินโต๋เต๋ออกจากบ้านในบ่ายวันนั้นก็เจอดีเพราะกลุ่มเด็กเดินยาซึ่งมาคอยลูกค้าอยู่ตรงตีนสะพานไม้ไผ่ พอแลเห็นชัดว่าคนที่ยืนจับกลุ่มอยู่เป็นใครก็เดินถึงตัวเสียแล้ว ไอ้คนเป็นหัวหน้าเดินตาเชื่อมเข้ามาหา ก็คงจะเมาสารอะไรสักอย่างหนึ่งในกระบวนยาเสพติดที่ขายนั่นแหละ เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังมาจากกลุ่มขณะไอ้ใบ้หน้าซีด มือคลำขวดสเปรย์เล็กในกระเป๋า คิดว่าจวนตัวจริงๆ ก็คงใช้พ่นใส่ตัวร้ายเพื่อหาช่องหนีได้
“ไอ้ใบ้” เสียงเรียกราวกับคนคุ้นกัน “ได้ข่าววันนี้รับทรัพย์” ข่าวจะมาจากไหนไม่รู้ ที่รู้ๆ คือต้องดักทางไว้ก่อน ไอ้ใบ้ส่ายหน้าหวือ มือกำขวดในกระเป๋าแน่น รอโอกาส ขณะสมองคิด
เผลอหน่อยเถอะน่า...
“...”
“ไหนเอามากู้หน่อย” การจะบอก ‘ขอ’ ก็ดูจะง่ายไปหน่อย คนกำลังอยู่ในฤทธิ์ยาต้องผึ่งไว้ก่อน รอเวลาว่าเมื่อไรสร่างจากฤทธิ์ยาก็จะกลับไปหงอเท่าเดิม
“...” ไอ้ใบ้ใช้วิธีเดิมคือส่ายหน้าอย่างเดียว
ยังไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไร เสียงตะโกนเหมือนแมวโดนเหยียบหางก็แผดลั่น
“เฮ้ย! ตำรวจ” เท่านั้น วงชั่วคราวตรงตีนสะพานก็เป็นอันแตกฮือ ต่างวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ไอ้ใบ้แทนที่จะโล่งใจกลับยิ่งสติแตกหนักเข้าเมื่อเห็นคนในชุดเสื้อแจ็กเกตสีดำวิ่งตรงมา
หล่ออย่างกับพระเอกหนังแขก!
อย่างนี้ไม่วิ่งจะรออะไร!
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไอ้ใบ้เคยโดนครูพละ ‘จวก’ เสมอค่าที่วิ่งทางไกลได้น้อยกว่าคนอื่นเสมอ และเวลาวิ่งระยะสั้นก็ถูกชาวบ้านทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น
ถ้าครูพละได้มาเห็นไอ้ใบ้ในวันนี้จะ ‘ภูมิใจแย่’
ภาพลูกศิษย์ฮ่อสุดตีนเหยียดเพื่อหนีตำรวจคงจะตราตรึงใจไม่รู้ลืม หรืออยากจะลืม ก็ลืมไม่ลง!
คนตัวโตกว่า ขายาวกว่าแท้ๆ ยังไล่ไม่ทัน พรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่คงจะครือๆ กับแบบนี้เอง! ในกรณีไอ้ใบ้ต้องมีตำรวจเป็นสิ่งกระตุ้น
ไอ้ใบ้วิ่งขาขวิดจากไปแล้วโดยมีผู้กองคนใหม่ฮ่อตามไปติดๆ ทิ้งให้ประดาคนเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นสงสัยว่า
มันจะหนีทำไมของมัน?
คนหนีทั้งๆ ตัวก็ไม่มีความผิดยังโดดโหยงๆ หลบหลีกสิ่งกีดขวางได้เหมือนอัศจรรย์ทั้งๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้มาก่อน ตอนที่เลี้ยวเข้าในตรอกแคบๆ ก็ต้องตะแคงตัวผ่านแต่ไอ้ใบ้ก็ยังทำได้ จะแย่ก็อีตรงที่ร่างกายมันไม่ค่อยจะเชื่อฟัง พอเข้าครึ่งหลังก็เริ่มจะจุกๆ ตรงพุงและรู้สึกเสียดในหน้าอก ต่อมาก็อาการแสบร้อนราวกับสำลักของเผ็ด
เหนื่อย!
ไอ้ใบ้ ‘หอบแฮ่ก’ เมื่อด้นผ่านซอกที่ใช้เก็บเศษเหล็กด้านหลังร้านยาดองของอาแปะ ขาล้าร่ำๆ จะพับลงไปกองคาตาจะติดก็ตรงที่เสียงวิ่งตึกๆ และเสียงตะโกนห้าวหาญที่ดังมาจากทางด้านหลัง
“เฮ้ย! หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
แทนที่จะหยุด ไอ้คนที่วิ่งเต็มเหยียดอยู่ข้างหน้ากลับยิ่งดันทุรังวิ่งให้เร็วขึ้นทั้งๆ เจ้าตัวก็เหนื่อยแทบตาย
ก็จะตามมาทำไม!
ขณะผู้กองมองอากัปกริยาวิ่งหนีสุดจิตสุดใจนั้นแล้วก็ฟันธง
ไอ้นี่ มันวิ่งหนีขนาดนี้แสดงว่าถ้าถูกจับได้มันจะโดนหลายกระทง อย่างนี้ตัวลูกพี่แน่!
เมื่อสองคนคิดกันไปคนละโยชน์ การวิ่งไล่ล่าประชันฝีเท้ากันประหนึ่งพระเอกหนังแขกวิ่งอ้อมเขาสามลูกไล่ตามงอนง้อขอความรักจากนางเอกจึงดำเนินต่อไปท่ามกลางความเหนื่อยแทบจะขาดใจของทั้งคู่อีกเช่นเดียวกัน ต่างกันแค่คราวนี้เป็นการตามจับไปเข้าตะราง ความซวยยังไม่หมดเท่านั้นเมื่อไอ้ใบ้ฮ่อมาถึงริมคลองน้ำดำเพราะน้ำเน่าทั้งคลอง ขนาดปลายังขาดใจตาย ความเหนื่อยทำให้คิดสั้นๆ ว่า
ต้องโดด ว่ายตัดคลองไป ตำรวจไม่กล้าโดดตามหรอกเพราะกลัวปืนเปียก!
และเมื่อคิดได้อย่างนั้น ร่างกายก็ไปไวเท่าใจคิด ไอ้ใบ้โจนลงในคลองเสียงดัง ตู้ม! แล้วก็ได้จุกแอ้กเพราะลงผิดท่า น้ำในคลองทะลักเข้าปากเข้าจมูกจนฉุนกึก ตอนนี้... เข้าใจแล้วว่าทำไมปลามันถึงตาย! แต่โดดลงมาแล้วจะทำอย่างไรได้นอกจากดิ้นรนต่อไป
นายตำรวจที่ฮ่อตามหลังมาติดๆ พอเห็นไอ้ใบ้ทำดังนั้นก็ทำท่าจะโจนลงไปบ้าง ตอนนั้นเองที่คิดถึงปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวแล้วก็ต้องเบรกตัวเองเสียทันควัน จะเอาของหลวงไปพังก็ไม่ได้ คนร้ายก็ต้องจับ ครั้นเหลียวมองสะพานที่เป็นทางอ้อมไปสู่อีกฝั่งแล้วก็คล้ายๆ จะหน้ามืด
อ้อมไกลเลย!
เอาวะ! เจ้าตัวคิด จะปล่อยมันหนีไปง่ายๆ ได้ที่ไหน
ผู้กองใหม่ซึ่งชาวบ้านให้สมญาว่า ‘พระเอก’ จึงทำกริยาสมเป็นพระเอกนั่นคือสับขาวิ่งสุดเหยียดไปตามสะพานไม้โย้เย้ มองเห็นไอ้ใบ้จ้วงน้ำวับๆ อยู่ในคลองก็ยิ่งโหย่งเท้าให้ยาวขึ้น กระบังลมทำงานหนักเหมือนจะพังโดยเฉพาะเจ้าตัวเพิ่งจะได้ออกจากโรงพยาบาลเนื่องจากรักษาอาการกระสุนฝังในไม่นานก็ยิ่งเหนื่อยง่ายไปกว่าเก่า ทั้งผู้(ไม่)ร้ายทั้งตำรวจต่างแข่งความเร็วกันราวกับนักกีฬาโอลิมปิกหวังเหรียญทอง
ผู้กองวิ่งเร็ว
ไอ้ใบ้จ้วงน้ำเร็ว
ผู้กองยิ่งวิ่งตัวปลิว
ไอ้ใบ้ก็ยิ่งจ้วงแขนเป็นระวิงเหมือนกัน!
กระทั่งไอ้ใบ้ตะกายขึ้นฝั่งที่ริมกำแพงวัดและทำท่าจะฮ่อตะบึงต่อไป ผู้กองที่ฮ่อมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันก็กระตุกปืนจากข้างเอวขึ้นส่อง ตะโกนขู่เสียงแหบห้าว
“เฮ้ย! ถ้าลื้อไม่หยุด อั๊วยิง!”
เพียงเท่านั้น ไอ้ใบ้ก็หยุดได้เหมือนอัศจรรย์ สองมือยกขึ้นกุมหูกุมหัวเป็นพัลวัน ดวงหน้าซีดเซียวราวกับไก่เซ่นเจ้า ปากอ้าผะงาบๆ แต่เสียงไม่ออก
“...!!!”
อย่ายิงมานะผู้กอง!
เจ้าคนยกมือกุมหัวเบิ่งตากว้าง น้ำตาทำท่าจะหยดแหมะ คงเพราะกลัวจริงๆ ขณะผู้กองชะงักค้างไปอึดใจหนึ่งเมื่อได้มองคนที่วิ่งไล่จนหอบแฮ่กมาตลอดเต็มตาหนนี้
ดวงตาดำ มันหยับ อย่างนี้ เขาเคยเห็นมาจากไหน?
ครั้นพอนึกถึงหน้าที่ตรงหน้า นายตำรวจหนุ่มก็ตรงเข้าหาเด็กหนุ่มหน้าตาดำมองเห็นแต่ลูกนัยน์ตามันเป็นเลื่อม กับฟันขาวที่เห็นผ่านริมฝีปากเนื่องจากเจ้าหัวหอบจนไหล่กระเพื่อม
ผู้กองไม่รู้ว่า สองตาดำมันนั้นกำลังจ้องเขม็งที่บัตรประจำตัวตำรวจซึ่งห้อยคออยู่
ร.ต.อ. เตมินทร์ ศิริอนันต์
ชื่อนี้ต้องจำซีน่า... จำกันจนวันตายเลย!
ไอ้ใบ้เบ้หน้าราวกับจะร้องไห้
“เอามือพาดหัว” ร.ต.อ. เตมินทร์สั่งการขณะเดินเข้ามาลูบเอว ตบสะโพกแปะๆ ร่ายยาวไปถึงตรงซิปกางเกงด้านหน้าเพื่อสำรวจว่ามีอาวุธเหน็บไว้หรือไม่
น่าแปลก... นอกจากจะไม่มีอาวุธอื่นเหน็บไว้แล้ว ‘อาวุธส่วนตัว’ ของไอ้หนูนี่ก็ยังคลำไม่เจอ น่าจะ ‘เล็กจัด’!
“...อ...” เตมินทร์เงยหน้าขึ้นเพราะเหมือนจะได้ยินเสียงคนตรงหน้าอึกอัก แต่พอเงยขึ้นมองแล้วก็ไม่เห็นว่าไอ้หนูมันจะมีปฏิกิริยาอะไรนอกจากอาการหน้าซีดแล้วแดง แล้วก็เขียว รวดเร็วราวกับปาฏิหาริย์ กับท่าอ้าปากหวอ หอบหายใจผะงาบๆ ราวกับปลาขาดน้ำ ตัวแข็งเหมือนถูกสาปกลายเป็นหิน
คงจะเหนื่อยมาก!
ก็น่าอยู่หรอก ชายหนุ่มคิด ขนาดเราตัวโตกว่ายังเหนื่อยขนาดนี้!
ขณะไอ้ใบ้คิดว่า
อย่านึกจะจับตรงไหนก็จับสิว้า! ถ้าไม่ติดว่ากลัวปืนในมือ จะชกให้คว่ำ! กับเสียงร่ำร้องกระซิกๆ ในอกซึ่งจะให้ใครเห็น หรือได้ยินไม่ได้
ฮือๆๆ หมดกัน!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ