สยบรักเมียบำเรอ
เขียนโดย Phaky
วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.23 น.
แก้ไขเมื่อ 10 มกราคม พ.ศ. 2561 13.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) คืนหวาม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บรรยากาศสลัวๆในมุมหนึ่งของร้านอาหารกึ่งผับยังมีชายหนุ่มหนึ่งคนนั่งหมุนแก้วเหล้าในมือกับโต๊ะกระจกใสไปมาช้าๆ ดวงตาคู่คมดูเหม่อลอยไร้จุดหมายไม่ไหวระริกแพรวพราวยามมองสบตาสาวสวยที่คอยส่งสายตาเชิญชวนอย่างเช่นค่ำคืนก่อนๆ ไม่รู้เป็นเพราะบรรยากาศมันเดิมๆ หรือเป็นเพราะตัวเขาเองที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับแสงสีของลูกไฟดวงโตกลางร้านที่หมุนส่าย ในวันนี้อาชาวินจึงไม่รู้สึกคึกคักเอาเสียเลย แม้จะมีสาวๆเพียรพยายามส่งสายตามากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อาชาวินได้แต่ส่งยิ้มแกนๆส่งให้ดอกไม้ราตรีพวกนั้นเล็กน้อยพอเป็นพิธี จากนั้นก็กลับมานั่งจมอยู่กับแก้วบรั่นดีสีอำพันในมือ มองเหมือนมันมีความสำคัญมากมาย ทั้งที่จริงมันก็แค่เครื่องดื่มมึนเมาที่เขาดื่มมันอยู่ทุกครั้งยามมาสถานที่แห่งนี้
ความตื่นเต้นมันจางหาย ความสนุกสนานที่เคยได้รับจากสถานบันเทิงเหล่านี้มันไม่มีเหลือ หรือเป็นเพราะช่วงนี้เขาออกท่องราตรีบ่อยเกินไป จึงทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็เมื่อก่อนผับมันแทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สอง รองลงมาคือโรงแรมหรูสำหรับเริงรักกับสาวสวยที่เขาถูกใจ แต่มาวันนี้เขากลับรู้สึกเฉยชากับมันทั้งคู่ จึงได้แต่เฝ้าถามว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
“ไม่ออกไปสนุกด้วยกันเหรอคะ คุณอาชา”
น้ำเสียงหวานแหบพร่าเอ่ยถามชิดใบหูตามด้วยความอุ่นจากลมหายใจร้อนๆที่เจ้าของตั้งใจให้มันรินรดต้นคอของอาชาวินจากทางด้านหลัง อาชาวินจึงเบี่ยงหน้ามองตามต้นเสียง ริมฝีปากได้รูปกดยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเจอกับวงหน้าสวยเฉี่ยวของอดีตคู่ขาที่อยู่ใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน ดวงตาคู่คมช้อนมองสบกับดวงตาเซ็กซี่ที่ทอดมองอย่างรอคอยแกมท้าทาย ไม่ต้องพูดพร่ำรำพันให้มากความ เพียงพริบตาเดียวริมฝีปากของทั้งคู่ก็เคลื่อนขยับทาบทับกันบดจูบดูดดื่มตามอารมณ์หวามที่พวยพุ่ง เรียวขาเรียวยาวของสตรีที่หาญกล้าเข้ามาเชิญชวนก้าวข้ามพนักโซฟาอย่างไม่คิดอายยามเมื่อกระโปรงสั้นรัดติ้วมันแหวกให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน ก่อนโอบแขนเปล่าเปลือยรอบลำคอแกร่ง แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่เนื้อนุ่มสีแดงสดบดเบียดเนื้อตัวด้านหน้าเสียดสีกับแผ่นอกกว้างแข็งกระด้างอย่างต้องการปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชายที่เธอหมายปอง และทุกๆการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นไม่สามารถแยกริมฝีปากเร่าร้อนของสองหนุ่มสาวที่บดเบียดขบเม้มจนเรียวปากแทบเปื่อยให้ออกห่างจากกันได้
“ไป ‘ที่เดิม’ ของเราไหมคะ”
เจ้าของเสียงหวานที่ตกอยู่ในอารมณ์รัญจวนจนเนื้อตัวร้อนระอุชุ่มฉ่ำด้วยถูกจุมพิตเชี่ยวชาญของอาชาวินเล่นงานเอ่ยชวนปนอาการเหนื่อยหอบ ดวงตาหยาดเยิ้มหรี่ปรือช้อนมองอย่างยั่วยวนยามเมื่ออาชาวินผละริมฝีปากออกห่าง ในขณะที่ถาม ปลายเล็บเคลือบสีแดงสดแวววาวก็วนเวียนลูบไล้อยู่บริเวณต้นขาแข็งแรงของพ่อหนุ่มเจ้าเสน่ห์ อกอวบล้นคอเสื้อจากฝีมือแพทย์ถูไถเสียดสีกับอกกว้างเพื่อปลุกเร้าให้อาชาวินกระสันซ่านและพาเธอไปยังวิมานรักแสนหฤหรรษ์ที่รอคอยเสียที
“ไม่ล่ะ วันนี้ผม…ไม่มีอารมณ์”
อาชาวินจำต้องบอกปัดแม่ดอกไม้ราตรีแสนสวยที่เขาเคยพาเจ้าหล่อนไปเขย่าดินแดนสวรรค์สุดหรรษาด้วยกันมาสามสี่ครั้งด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขากำลังเบื่ออะไรทั้งที่เนื้อตัวก็ถูกปลุกเร้าจากผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดอย่างภารวี สตรีสาวแสนสวยที่หนุ่มๆนักท่องราตรีต่างหมายปองอยากควงแขนไปท่องดินแดนสวรรค์กันสักครั้ง และเมื่อก่อนเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น ซ้ำยังได้รับไมตรีตอบรับจนผู้ชายหลายคนพากันอิจฉา แต่มาวันนี้ความสวยและลีลาเผ็ดร้อนบนเตียงของภารวีกลับไม่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายของเขาตื่นตัวได้เลย ความเบื่อหน่ายยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม และไอ้ที่มันนอนนิ่งเหมือนหนอนป่วย ก็ยังคงนอนนิ่งเฉยไม่แม้แต่จะขยับขึ้นมาทักทายปลายมือของหญิงสาวที่แทบจะปลอดซิปกางเกงเข้าไปสัมผัสมันอยู่รอมร่อนั่นเลย
‘ให้ตาย! อาชา มึงไม่ได้กามตายด้านใช่ไหมวะ!’
อาชาวินคิดอย่างกลุ้มใจเมื่อเจ้าหนอนยักษ์ประจำตัวไม่หือไม่อือกับร่างนุ่มๆโชยกลิ่นน้ำหอมราคาแพงของภารวีเลยสักนิด แม้ปากจะปฏิเสธเพราะไม่มีอารมณ์ร่วม แต่เมื่อเห็นว่าสาวสวยในชุดเกาะอกรัดรูปสีน้ำเงินเข้มสั้นจุ๊ดจู๋ยังคงพยายามที่จะบดเบียดเนื้อตัวปลุกเร้า อาชาวินจึงปล่อยให้ภารวีลวนลามเนื้อตัวต่อไปอย่างที่เจ้าหล่อนต้องการ เพราะใจหนึ่งเขาก็อยากให้เจ้าหนอนยักษ์มันขยับตัวขึ้นมาเหมือนกัน จะได้มั่นใจว่าประสิทธิภาพในการตอกตรึงของมันยังใช้การได้ดีไม่มีเสื่อมประสิทธิภาพให้เสียชื่อนักล่า
“อาชาคะ ทำไม…”
ภารวีเงยหน้าขึ้นจากช่วงกลางลำตัวของอาชาวินอย่างสนเท่ห์ เมื่อตอนนี้มือบางของเธอวนเวียนอยู่ตรงซิปกางเกงยีนส์เนื้อหนาของเขาอยู่นานร่วมๆนาที แต่หญิงสาวกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของสิ่งมหัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ด้านใน แรกๆก็แค่แกล้งปัดมือเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาอย่างไว้เชิง เพราะปกติคนร้อนแรงอย่างอาชาวินเพียงแค่เธอวางมือบนต้นขาอ่อน เขาก็ร้อนเป็นไฟที่พร้อมแผดเผาจนเรือนกายของเธอไหม้เกรียมแล้ว แต่เมื่อแกล้งปัดไปหลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งวางมือหมับอยู่ตรงจุดนั้นก็ยังไร้ซึ่งการตอบรับ ภารวีจึงเงยหน้าขึ้นมองอาชาวินอย่างแปลกใจระคนผิดหวังยิ่งนัก
“ช่วงนี้มีเรื่องเครียดนิดหน่อยน่ะ ยังไงคืนนี้ผมคงต้องขอตัว”
คนอ้างว่ามีเรื่องเครียดคว้าแก้วบรั่นดีขึ้นมาจิบอีกครั้ง จากนั้นจึงล้วงหยิบธนบัตรสีเทาสองใบมาวางไว้บนโต๊ะแล้วใช้แก้วเหล้าใบเดิมวางทับเอาไว้ ก่อนหันมาบอกลาอดีตคู่นอนที่ทำหน้าเหลอหลาด้วยความคาดไม่ถึงว่าสาวสวยรวยเสน่ห์อย่างเธอจะถูกทิ้งไว้กลางทางคนเดียวให้ขายหน้าแบบนี้ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวขายาวๆออกจากผับร้านประจำไปขึ้นจากัวร์คันงามของตัวเองแล้วขับออกไปทันที
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
“เวรเอ๊ย! เพิ่งจะอายุสามสิบเอง มึงจะหมดสมรรถภาพแล้วเหรอวะ ไอ้อาชา!”
ทันทีที่ควบซุปเปอร์คาร์คันหรูกลับมาถึงบ้านโดยใช้ระยะเวลาน้อยกว่าปกติเกือบเท่าตัว อาชาวินก็ก้าวสวบๆตรงดิ่งมานั่งอยู่ตรงบาร์เครื่องดื่มแล้วคว้าขวดบรั่นดีรสเข้มที่อยู่ในตู้กระจกบิ้วด์อินติดกับผนังตรงหน้าห้องครัวมาเทใส่แก้วแล้วกระดกเข้าปากทันทีดับความกลัดกลุ้มที่กำลังทำลายความมั่นใจของหนุ่มโสดเจ้าเสน่ห์ประจำจังหวัดให้สั่นคลอน
ตอนแรกที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวในผับเขาแค่เบื่อๆเหมือนคนกินแต่ข้าวกระเพราะไข่ดาวทุกวันจนเริ่มรู้สึกว่ามันไม่อร่อย แต่เริ่มมาเครียดมากถึงมากที่สุดตอนที่โดนสาวสวยจู่โจมแล้วเจ้าหนอนยักษ์ประจำตัวของเขาไม่ยอมตื่นตัว นอกจากจะเสียเชิงชายที่เคยได้รับเสียงเล่าลือกระฉ่อนจากคู่ขาสาวสวยที่เคยผ่านสังเวียนรักกับเขาว่าเขาเป็นพวกม้าคึกทรงพลังและสุดแสนจะเร่าร้อน แต่ไหงเมื่อครู่กลับนอนนิ่งเฉยเป็นท่อนไม้ที่ตายแล้วแบบนั้น ไม่ว่าภารวีจะลูบจะคลำมันสักกี่ครั้งก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ไม่อยากอยู่ให้เสียหน้ามากไปกว่านั้น เขาจึงต้องรีบกลับมานั่งดื่มแก้กลุ้มอยู่คนเดียวที่บ้าน เพราะเกรงว่าหากยังนั่งอยู่ที่ผับนั่นต่อแล้วคนอื่นจะรู้ว่าเขา…ไม่ขัน!
“ฉิบหาย! หรือว่าก่อนหน้านี้จะใช้งานมันหนักไปวะ มันเลยทำคอตกประท้วง”
อาชาวินยังคงพิจารณาหาสาเหตุอยู่ที่บาร์เครื่องดื่มโดยไม่ยอมเปิดไฟให้แสงสว่างเพราะความคุ้นชิน ในขณะที่สมองปราดเปรื่องครุ่นคิด มือข้างหนึ่งก็หมั่นยกแก้วเหล้าสาดเข้าปากดับความเครียดไม่หยุดหย่อน แก้วแรกผ่านไป แก้วสองแก้วสามค่อยๆผ่านไป และแก้วสี่ ห้า หก จนนับไม่ถ้วนที่แก้วเหล้าถูกกระดกรวดเดียว จนตอนนี้ดวงตาคู่คมที่เคยฉายแววกังวลตึงเครียดหยาดเยิ้มด้วยฤทธิ์น้ำเมาปริมาณค่อนขวดจนดวงตาพร่าพราย ริมฝีปากได้รูปเปิดปากหาววอด สมองหนักอึ้งจนลำคอแข็งแรงเริ่มรับน้ำหนักไม่อยู่เอนไปเอียงมา
“มึงต้องพิสูจน์อีกครั้งสิวะ อาชา มึงต้องพิสูจน์ให้โลกรู้ว่ามึงยังฟิตปั๋ง เอิ๊กกก”
เสียงงัวเงียของอาชาวินบ่นงึมงำๆบอกกับตัวเองก่อนจะเรออกมาเสียงดังเมื่อปริมาณเหล้าที่เข้าสู่ร่างกายนั้นมีมากเสียจนหนุ่มหล่อเริ่มควบคุมสติตัวเองไม่ค่อยอยู่ ใบหน้าสีแทนแดงก่ำ ดวงตาคู่คมหรี่ปรือจะหลับแหล่มิหลับแหล่จนอาชาวินต้องสะบัดศีรษะอยู่หลายครั้งเพื่อขับไล่อาการมึนที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามายึดพื้นที่ของสติ
“ว่ะ! เหล้าหมด รีบหมดทำไมวะ ยังไม่มาวเลย ต้องกินเยอะๆสิ ลูกพ่อจะได้ตัวโตๆ”
พูดจบอาชาวินก็หัวเราะกับตัวเองแล้วตบมือลงไปที่หน้าขาแรงๆหวังให้ลูกชายสุดรักตื่นตัวขึ้นมาเสียที เพราะรู้ว่าสุรามันช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ดีนัก เวลาเขาไปนั่งดื่มที่ผับจนได้ที่แล้วมีสาวสวยผิวนุ่มๆมาเสียดสีเนื้อตัวแค่นิดเดียว ไฟราคะในกายก็ลุกฮือพร้อมออกปฏิบัติการเดินทางทัวร์สรรค์ชั้นเจ็ดได้ทันที วันนี้เขาดื่มเหล้าเข้าไปหมดขวด มีหวังคืนนี้คงเพลินกับการทัวร์สวรรค์ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนแน่ นั่นคือความคิดของคนเมาที่ลืมไปว่านั่งดื่มที่บ้านคนเดียว มิใช่อยู่ในผับที่มีสาวสวยโยกกายยั่วยวนพร้อมส่งสายตาเชิญชวนรายล้อมตัวอย่างคืนก่อนๆ
“หมดแล้ว ไม่กินก็ได้วะ นอนๆๆ พรุ่งนี้ต้องตัดสับปะรดให้แม่ค้า”
แม้จะเป็นนักดื่มนักเที่ยวตัวยงแต่อาชาวินกลับไม่เคยเสียการเสียงาน เขาดื่มหนักแต่ก็สามารถตื่นเช้าไปทำงานในไร่ได้ตามปกติไม่เคยเหลวไหล แม้อยากจะเหลวไหลก็คงทำไม่ได้ เพราะในแต่ละวันจะมีแม่ค้ามารอรับซื้อผลไม้ถึงในไร่จนแทบไม่พอขาย ไหนจะโรงแรมที่เขาต้องหมั่นเจียดเวลาจากในไร่ไปคอยดูแลเพราะลูกค้าเข้าพักกันต่อเนื่องแม้ไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น
และแม้ตอนนี้แอลกอฮอล์ในร่างกายจะควบคุมสติจนพร่าเลือน แต่จิตใต้สำนึกของอาชาวินยังจดจำได้แม่นยำว่าเช้าวันพรุ่งนี้เขามีนัดกับแม่ค้าที่จะมาตัดสับปะรดปัตตาเวียลูกโตเนื้อหวานฉ่ำในไร่ของเขา ร่างสูงจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้บาร์ทรงสูงแล้วหมุนตัวหันหลังเดินโซซัดโซเซก้าวไปข้างหน้าสามถอยหลังกลับมาสอง กว่าจะเดินมาถึงบันไดกลางบ้านก็เล่นเอาเหนื่อย สองมือหนาจับราวบันไดไว้กันก้าวพลาด สองตาหนักอึ้งพยายามเพ่งมองขั้นบันไดที่มองเห็นเลือนลางฝ่าความมืดที่ปกคลุมเพื่อกลับไปยังห้องนอนชั้นบน
“หิวน้ำจัง”
ในขณะที่คนเมากำลังพยายามเดินฝ่าความมืดกลับขึ้นมายังห้องพักอย่างทุลักทุเล ช่ออัญชันที่นอนพักอยู่ที่ห้องสำหรับรับรองแขกทางปีกขวาของตัวบ้านก็ลืมตาโพลงขึ้นมาในความมืดสลัว ด้วยความเศร้าหมองที่ต้องเจอเรื่องร้ายๆกระทบจิตใจอย่างรุนแรงหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องมารดาที่ทำให้หญิงสาวนอนร้องไห้จนน้ำตาท่วมหมอนและความแปลกที่ไม่คุ้นชินกับความหรูหรากว้างขวางของห้องนอนที่อัลเฟรดให้คนรับใช้พามาพัก จึงทำให้ช่ออัญชันนอนไม่หลับพลิกตัวกลับไปกลับมาในความมืดอยู่นาน จนกระทั่งตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาตีสองกว่าแล้วหญิงสาวก็ยังข่มตานอนไม่หลับเสียที อีกทั้งยังรู้สึกลำคอแห้งผากจนอยากดื่มน้ำสักแก้วใหญ่ๆ ร่างเล็กจึงตวัดปลายเท้าลงจากเตียงนอนนุ่มแล้วเปิดประตูฝ่าความมืดออกไป จุดหมายคือห้องครัวที่อยู่ด้านล่างเพื่อดื่มน้ำสักแก้วดับกระหาย
“อุ้ย!”
เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจของช่ออัญชันดังขึ้นเมื่อเดินมาถึงทางสามแพร่งตรงจุดเชื่อมต่อกับบันไดกลางบ้านแล้วชนเข้ากับอะไรสักอย่าง แรงปะทะไม่รุนแรงมากแต่กลับส่งผลให้ร่างของเธอเซถอยหลังไปสองก้าวและเกือบล้มลงไปนอนกับพื้นหากไม่มีท่อนแขนแข็งๆสอดรัดรอบเอวของเธอเอาไว้เสียก่อน ร่างบางถูกดึงเข้าไปประชิดกับอกกว้างแข็งกระด้างจนช่ออัญชันรู้สึกเจ็บหนึบที่ทรวงอกเต่งตึง หญิงสาวหายใจหอบถี่กับอาการตกอกตกใจเมื่อครู่ จนเมื่อสติเริ่มกลับเข้าที่จึงสัมผัสได้ถึงลมหายใจเหม็นคลุ้งกลิ่นเหล้าชวนเวียนหัว ในตอนนี้เองที่ช่ออัญชันมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เธอเดินชนเมื่อครู่คือมนุษย์แน่นอน ดวงตากลมโตเบิกกว้างพยายามเงยหน้าเขม่นมองฝ่าความมืดให้รู้ว่าคนที่เธอเดินชนคือใคร ตัวเขาสูงไม่เหมือนใครสักคนที่เธอเจอเมื่อกลางวัน นาทีต่อมาเรียวปากบางก็ต้องอ้าค้าง หัวใจดวงน้อยไหววูบเมื่อสำเนียกได้ว่าในตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่ง
“อืม หอม”
ความมึนเมาบวกกับความมืดจึงทำให้อาชาวินมองไม่เห็นว่าทางเดินข้างหน้ามีสิ่งกีดขวางหรือไม่ แต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้ชายหนุ่มรีบเอื้อมแขนโอบรับวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่เขาเดินชนเข้าหาตัว เมื่อร่างกายสัมผัสกับความนุ่มนิ่มและกลิ่นหอมรวยรินจากสิ่งที่เขาเผลอชน สติน้อยนิดของอาชาวินก็บอกได้ทันทีว่าสิ่งนั้นคือผู้หญิง แถมยังเป็นผู้หญิงที่มีกลิ่นหอมถูกใจเขาเหลือเกิน กลิ่นหอมที่ว่าไม่ฉุนจมูกเหมือนสาวๆที่เขาคุ้นเคย แต่เป็นกลิ่นหอมแปลกๆ หอมสะอาด หอมหวานละมุนชวนลุ่มหลงจนอาชาวินต้องก้มหน้าลงจรดปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมที่ว่านั่นอีกครั้งอย่างติดใจ
“คุณ! ปล่อย!”
ร่างบางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนของชายที่เธอไม่เห็นหน้า สองมือเล็กทั้งทุบทั้งดันอกกว้างออกห่างเมื่อถูกคนเมาสูดดมกลิ่นหอมที่แก้มนวลหลายต่อหลายครั้งคล้ายกำลังติดใจ แต่ก็เหมือนกำลังผลักดันก้อนหินก้อนโต เพราะเจ้าของร่างสูงคลุ้งกลิ่นเหล้ามิได้ผละออกห่างเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่ายิ่งดิ้นรนยิ่งผลักไส อ้อมแขนแข็งๆนั่นก็ยิ่งรัดแน่น แน่นหนึบเสียจนตอนนี้เอวบางที่ถูกโอบรัดแทบหักเป็นสองท่อนคามือของเขา
“ฮื้อ จะดิ้นทำไมเล่า ตั้งใจมาเสนอฉันถึงที่อยู่แล้วนี่ มาสิ เดี๋ยวฉันจะสนองให้เธอร้องครางทั้งคืนเลย มามะ!”
ท่อนแขนล่ำสันสีแทนดึงร่างบางที่พยายามโก่งตัวหนีเข้ามากระแทกอกกว้างอีกครั้ง ด้วยขนาดร่างกายที่แตกต่างกันสิ้นเชิงทำให้ช่ออัญชันไม่สามารถดิ้นรนออกจากพันธนาการแกร่งของอาชาวินได้เลย ยิ่งได้สัมผัสได้สูดดมกลิ่นหอมละมุนจากร่างบาง อะไรๆที่เคยนอนสงบนิ่งกลับขยับตัวตื่นพร้อมชูคอดึงดันอยู่ใต้กางเกงยีนส์สีเข้มคล้ายเด็กน้อยที่อยากออกมาวิ่งเล่นนอกบ้านเต็มแก่ เนื้อตัวสีแทนร้อนวูบวาบความต้องการที่ไม่รู้มาจากไหนพวยพุ่งตีวนไปทั่วร่างจนอาชาวินสั่นสะท้านระคนตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
“กรี๊ด อื้อ….”
สุดกำลังที่จะต่อต้านขัดขืน ช่ออัญชันจึงเลือกที่จะกรีดร้องเสียงดังให้คนที่อยู่ในบ้านได้ยิน อย่างน้อยก็มีคุณอัลเฟรดหนึ่งคนที่นอนพักอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่เปล่งเสียงร้องได้เพียงนิดเดียว ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อก็ถูกทาบทับด้วยความอุ่นร้อนที่ช่ออัญชันเพิ่งรู้ว่ามันคือริมฝีปากของบุรุษนักดื่ม เพราะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆเคล้ากลิ่นเหม็นฉุนของสุราที่รินรดใบหน้า ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตระหนกสุดขีดในชีวิต พยายามออกแรงดิ้นรนผลักไสอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง คราวนี้ร่างบางจึงถูกอุ้มจนตัวลอยอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งจนไร้ทางหลีกหนี แต่ร่างน้อยก็ยังพยายามดิ้นรนขลุกขลักๆอย่างไม่กลัวว่าจะตกลงมาให้เจ็บตัว
“อ่อย! อ่วยอ้วย อื้อ!”
แอ๊ดดด ปัง!
เสียงร้องให้ช่วยผ่านริมฝีปากบางที่ถูกริมฝีปากอุ่นทาบทับไม่เป็นผลเพราะมันดังอึกอักอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น หนำซ้ำตอนนี้ร่างบางยังถูกอุ้มพามายังห้องนอนกว้างที่บุรุษแปลกหน้าก้มตัวใช้มือที่โอบอุ้มร่างเธอเอาไว้เพื่อหมุนลูกบิดประตู เปิดและปิดด้วยส้นเท้าที่ยกถีบให้บานประตูไม้สีน้ำตาลเข้มปิดเข้าที่ดังสนั่นจนร่างเล็กของช่ออัญชันผวาเฮือกหน้าตาตื่น
ตุบ!
“โอ๊ย!”
แต่ยังมีให้น่าผวากว่านั้น ช่ออัญชันอุทานเมื่อแผ่นหลังกระทบกับเตียงนอนแรงๆจากการโยนของคนเมา เมื่อตั้งสติได้หญิงสาวจึงพลิกตัวเตรียมคลานหนีลงจากเตียง แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด สองมือหนาของอาชาวินกลับตรงเข้ามาคว้าเอวบางไว้เสียก่อน จากนั้นจึงจับร่างเล็กพลิกหงายพร้อมทั้งทิ้งตัวลงทาบทับไม่ให้คนตัวหอมดิ้นหนี สองมือใหญ่ตรึงข้อมือบางแนบไปบนที่นอน พร้อมทั้งซุกไซ้ริมฝีปากเข้าหาซอกคอหอมกรุ่นอย่างหลงใหลและต้องการปลุกเร้า
“อย่างอนสิ ผมจะพิสูจน์ว่ายังฟิตปั๋ง คืนนี้ทั้งคืนจะทำให้คุณร้องครางชื่อผมไม่ได้หยุดเลยทีเดียว อืม หอมจริง”
ทั่วทั้งห้องยังคงมืดมิดเพราะเจ้าของมิได้ต้องการแสงสว่าง แต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่อาชาวินต้องการคือผสานร่างหลอมรวมกับสตรีตัวหอมกรุ่นใต้ร่างคนนี้ต่างหาก ความมึนเมาจากแอลกอฮอล์ปริมาณมากทำให้สติของชายหนุ่มพร่าเลือน สับสนคิดว่าช่ออัญชันคือผู้หญิงที่เขาเจอในผับ เลยคิดว่าที่หญิงสาวใต้ร่างดิ้นรนไม่ยอมให้ชื่นใจเป็นเพราะงอนที่เมื่อกลางดึกเขาไม่มีอารมณ์ร่วมรักกับเจ้าหล่อน มาตอนนี้เมื่อร่างกายถูกปลุกเร้าด้วยกลิ่นสาบสาวจนเลือดในกายร้อนฉ่า อาชาวินจึงไม่รอช้าที่จะแสดงให้สตรีใต้ร่างรู้ว่าสมรรถภาพของเขายังเยี่ยมยอดเหนือคำบรรยาย
“ปล่อยฉันนะ! ปล่อยสิ! ฉันไม่รู้จักคุณ ไม่อยากรู้จักด้วย คนบ้า ปล่อย! ฮือ ฮือ อื้อ! อ่อย!”
คำพูดที่ฟังเหมือนคนเมาเคยรู้จักกับเธอมาก่อนทำให้ช่ออัญชันยิ่งออกแรงดิ้นรน แล้วรีบร้องบอกว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาเคยรู้จัก หวังให้คนเมาได้สติว่ากำลังจำคนผิด แต่คนเมาก็คือคนเมาอยู่วันยังค่ำ เพราะเวลานี้คำพูดของช่ออัญชันไม่ได้เข้าไปกระทบโสตประสาทของอาชาวินเลยสักพยางค์เดียว ชายหนุ่มยังคงคลุกเคล้าริมฝีปากจูบซับซอกคอหอมกรุ่นอย่างชอบใจ และเมื่อเบื่อจะฟังเสียงแจ้วๆของสตรีใต้ร่าง ริมฝีปากได้รูปจึงผละออกจากซอกคอขาววกขึ้นมาประทับจูบปิดปากของหญิงสาวสกัดกั้นเสียงบ่นงึมงำน่ารำคาญที่ไม่ต้องการจะฟัง เปลี่ยนเป็นเสียงร้องครางเรียกชื่อเขาเมื่อไรนั่นแหละอาชาวินถึงจะยอมเปิดปากให้
“จุ๊ๆๆ ตัวนิดเดียว แต่ตรงนี้เบอเริ่มเลย”
***************************************************
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ