สยบรักเมียบำเรอ
เขียนโดย Phaky
วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.23 น.
แก้ไขเมื่อ 10 มกราคม พ.ศ. 2561 13.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
38) แค่อยากได้คำอธิบาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“อ้าว! นี่แกยังอยู่ที่นี่อีกเหรอ นึกว่าเก็บกระเป๋าออกไปแล้วซะอีก”
เสียงทักทายจากทางด้านหลังส่งผลให้มือน้อยที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่มันจะกลับมาหยิบจับของบนโต๊ะได้เหมือนเดิมอีกครั้ง ซึ่งท่าทางเฉยเมยทำหูทวนลมเหมือนเมื่อสักครู่ไม่ได้ยินทำเอาเรนุกาที่ตอนนี้หย่อนก้นลงบนเก้าอี้หรี่ตามองช่ออัญชันว่าคำพูดของเธอมีผลกับความรู้สึกของผู้หญิงหน้าใสตรงหน้าหรือไม่
“ต้องรอให้อาชาออกปากไล่ก่อนรึไง แกถึงจะยอมไสหัวออกไป”
และก็เช่นเคยที่ช่ออัญชันยังคงทำหน้าที่ของตัวเองไปเรื่อยปิดปากเงียบไม่ตอบโต้อะไรออกมาสักคำ ซึ่งมันทำให้เรนุกาชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจเพราะคิดว่าผู้หญิงมอซอคนนี้ต้องการยั่วโมโหตัวเอง ปล่อยเวลาให้เกิดความเงียบอยู่ชั่วครู่เหมือนต่างฝ่ายต่างเล่นสงครามประสาท จนเรนุกาเป็นฝ่ายร้อนรุ่มทนไม่ไหวกระชากแขนเล็กๆ ของช่ออัญชันให้หันมาทางตัวเองพร้อมจิกปลายเล็บยาวลงบนเนื้อแขนขาวเนียนน่าอิจฉาจนคนถูกบีบแขนนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่ถึงกระนั้นช่ออัญชันก็ยังคงปิดปากเงียบก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าโวยวายเหมือนเคย
“ทำไมแกถึงได้หน้าด้านหน้าทนนัก ถ้าเป็นฉันนะ ฉันไม่กล้าเสนอหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปหรอก เห็นๆ กันอยู่ว่าผู้ชายเขา…ไม่เอา!”
“เอาหรือไม่เอาแต่อาชาวินกับช่ออัญชันก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เหมือนพวกปลิงพวกหอยทากที่นอกจากจะไม่ใช่ตัวจริงทำตัวไร้ประโยชน์แล้วยังลอยหน้าลอยตา ‘เกาะ’ ผู้ชายที่มันมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้วไปวันๆ ได้หน้าตาเฉย คนแบบนี้ยิ่งกว่าหน้าด้าน จะหาคุณงามความดีอะไรในตัวสักนิดก็ไม่มี เสียดายที่ได้เกิดมาเป็นคน!”
“แกว่าใคร ไอ้แก่!”
ถ้อยคำที่แน่ชัดว่าต้องการกระทบกระเทียบตัวเองทำเอาเรนุกาหันไปตวาดแว๊ดใส่หน้าผู้มาใหม่ด้วยใบหน้ายับยุ่งเพราะคำพูดนั้นมันแทงใจดำเข้าอย่างจัง ดวงตาคมสวยตวัดมองชายชาวต่างชาติรูปร่างสูงองอาจที่ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยความไม่พอใจชัดเจน ความหงุดหงิดที่ยั่วอารมณ์ให้ช่ออัญชันโมโหไม่สำเร็จหนำซ้ำยังถูกฝรั่งขี้นกที่ไหนก็ไม่รู้เอาเรื่องสถานภาพมาด่าให้เสียหน้าจึงทำให้เรนุกาขาดสติจนลืมฉุกคิดว่าผู้ชายต่างชาติปากจัดคนนี้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายใครสักคนที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี แม้กระทั่งเรื่องที่ผู้ชายคนนี้พูดภาษาไทยได้ชัดเจนก็ถูกมองข้าม
“นอกจากเธอ…ฉันยังมองไม่เห็นว่าจะมีผู้หญิงคนไหนทำตัวไร้ค่าเป็นปลิงเป็นหอยทากอย่างที่ฉันพูดเลยสักคน”
“แก!”
คนถูกเน้นย้ำว่าเป็นปลิงรอบที่สองหน้าบึ้งตึงพลางถลึงตามองคนพูดด้วยแววตาเกลียดชังกินเลือดกินเนื้อ มือข้างหนึ่งยกขึ้นชี้หน้าอัลเฟรด ส่วนอีกข้างก็ระบายความโกรธขึ้งไปบนต้นแขนเรียวจนผิวเนื้อขาวนวลเกิดรอยแผลที่ถูกจิกด้วยปลายเล็บคมๆ เห็นแบบนั้นอัลเฟรดจึงออกคำสั่งเสียงเข้มให้ผู้หญิงหน้าสวยแต่นิสัยหยาบคายก้าวร้าวตรงหน้าปล่อยแขนลูกสะใภ้ที่กัดฟันข่มกลั้นความเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้าแต่กลับไม่ยอมต่อสู้
“ถ้าไม่อยากถูกจับโยนออกไปจากที่นี่ ก็ปล่อยแขนลูกสะใภ้ฉันเดี๋ยวนี้!”
“ลูกสะใภ้? ”
คำๆ เดียวแต่สามารถแสดงฐานะยิ่งใหญ่ของ ‘ไอ้แก่’ ตรงหน้าให้เรนุกาเข้าใจได้เป็นอย่างดี อยู่ๆ อาการชาดิกก็ค่อยๆ ลามไล่ขึ้นมาบนใบหน้าจนเรียวปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดสั่นระริกหลังเอ่ยทวนคำว่า ‘ลูกสะใภ้’ ใบหน้าสวยสะคราญซีดเผือดมองหน้าอัลเฟรดกับช่ออัญชันสลับกันไปมาแล้วยอมรับกับตัวเองว่าเธอได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงเสียแล้ว ถึงว่าสิ! ทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าของ ‘ไอ้แก่’ คนนี้นัก ที่แท้เขาคือบิดาของอาชาวินนั่นเอง
พอได้รู้ฐานะที่แท้จริงความรู้สึกจึงแตกต่างกันลิบลับ จากที่ตอนแรกแทบปรี่เข้าไปทำร้ายร่างกายของคนตรงหน้า ที่ช่างปากกล้าต่อว่าเธอ แต่ตอนนี้แค่เหลือบสายตามองสบกับอัลเฟรด มือเรียวก็รีบปล่อยแขนของช่ออัญชันโดยเร็วตามคำสั่งเหมือนแตะถ่านร้อนๆ เมื่อถูกดวงตาสีขุ่นของหนุ่มใหญ่มองจ้องตรงท่อนแขนที่ถูกเธอทำร้ายจนเกิดรอยแผลนั่น
“อัญชัน เดินมาหาแด๊ด”
ร่างบางที่ยืนก้มหน้าหลบซ่อนน้ำตาเดินมาหาอัลเฟรดอย่างว่าง่ายอย่างต้องการที่พึ่ง ความเจ็บปวดที่ถูกปลายเล็บแหลมคมจิกลงมาบนผิวเนื้อนั้นมากพอที่จะทำให้หยดน้ำใสๆ คลอเบ้า แต่ช่ออัญชันเท่านั้นที่รู้ดีว่าหยาดน้ำตาที่รินไหลดั่งสายธารในตอนนี้เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจเสียมากกว่า คำพูดของเรนุกาที่บอกว่าเธอคือคนไร้ค่าที่อาชาวินไม่ต้องการอีกต่อไปนั้นเสียดแทงจนไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาประจานความเจ็บปวดในหัวใจ
“แด๊ด กลับมาเมื่อไรครับ แล้ว…เกิดอะไรขึ้น!”
ร่างสูงที่เดินเอื่อยๆ เข้ามาในห้องรับประทานอาหารร้องทักเมื่อเห็นว่าบิดากลับมาที่บ้านโดยไม่บอกล่วงหน้า ดวงตาคู่คมกวาดมองทั้งสามชีวิตที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ในห้องอาหารเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียด และใบหน้าหล่อก็ค่อยๆ เครียดขรึมตามบรรยากาศเมื่อเห็นมือหนาของบิดาลูบบริเวณต้นแขนของช่ออัญชัน ไม่ได้มองเพราะหึงหวง แต่สาเหตุที่ทำให้ดวงตาของอาชาวินลุกเป็นไฟนั่นเป็นเพราะรอยแผลที่มีเลือดขึ้นซิบบนผิวกายขาวนวลต่างหาก เมื่อเช้าวานตอนตรวจการบ้านมันยังไม่มีเลย แล้วแผลนั่นมาจากไหนกัน เลือดยังซิบๆ แสดงว่าเพิ่งเกิดเรื่อง น้ำเสียงที่ถามในตอนท้ายจึงเข้มห้วนเต็มไปด้วยโทสะจนคนฟังสัมผัสได้ชัดเจน
“แกลองถามผู้หญิงคนนั้นดูสิ”
อัลเฟรดไม่อธิบายความจริงแต่เลือกจะโยนไปให้เรนุกาเป็นคนตอบคำถามที่ทำให้เจ้าลูกชายหน้าตึง อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงหน้าสวยแต่กิริยาหยาบทรามคนนี้จะตอบเช่นไร และการกระทำของอัลเฟรดก็ทำให้ใบหน้าไร้สีเลือดของเรนุการยิ่งซีดเซียวลงกว่าเดิมจนขาวเหมือนกระดาษเมื่อลอบมองเสี้ยวหน้ากร้าวกระด้างของอาชาวิน
“เอ่อ…คือโรส…โรสเดินไม่ทันระวังน่ะค่ะเลยชนกับอัญชันที่เดินสวนมาพอดี โรสกำลังจะล้มเลยคว้าแขนของอัญชันเอาไว้ เล็บของโรสเลยข่วนแขนอัญชัน อัญชันจ๊ะ ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ เจ็บมากหรือเปล่า ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ไหนๆ อัลเฟรดก็ไม่ชอบขี้หน้าเธออยู่แล้ว เรนุกาจึงไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องมาเกรงกลัวตาแก่ที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ปลื้มตัวเอง หญิงสาวจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วแต่งเรื่องขึ้นมาแก้ตัวให้มีความเป็นไปได้และมีความผิดน้อยที่สุด ที่สำคัญยังแอบโยนความผิดไปให้นังหน้าเซ่อมันแบ่งรับไปด้วยอีกครึ่ง มั่นใจว่าบื้อๆ เชื่องๆ อย่างช่ออัญชันคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแก้ตัวอยู่แล้ว
“จริงหรือเปล่า อัญชัน”
“ค่ะ”
คำตอบของช่ออัญชันทำเอาแต่ละคนที่รอลุ้นเกิดความรู้สึกกันไปคนละแบบ เรนุกาลอบถอนหายใจที่ช่ออัญชันยอมรับสิ่งที่เธอโกหกเอาตัวรอดและโยนความผิดให้แต่โดยดี ซึ่งไอ้นิสัยแบบนี้แหละที่ถูกใจเธอนัก นั่นเพราะมันจะทำให้แผนการที่เธอวางไว้สำเร็จได้อย่างง่ายดาย เรียวปากสีสดจึงกดยิ้มมุมปากพลางส่งสายตาเยาะเย้ยสาแก่ใจไปทางอัลเฟรดที่ทำหน้าตึงอย่างไม่พอใจกับคำตอบนั่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ส่วนอาชาวินนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ชายหนุ่มหงุดหงิดจนเผลอสบถด่าออกไปอย่างหยาบคายจนคนถูกว่ายิ่งก้มหน้างุดไม่กล้ามองใคร
“โง่!”
ฟังเผินๆ คงคิดว่าอาชาวินต่อว่าช่ออัญชันที่ซุ่มซ่ามเดินไม่ระวังจนทำให้เรนุกาต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่อันที่จริงอาชาวินต่อว่าที่หญิงสาวไม่รู้จักแก้ต่างให้ตัวเองต่างหาก ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่อาชาวินก็ค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งที่เรนุกาบอกมาจะต้องไม่ใช่ความจริง ที่เขาถามก็แค่อยากให้ช่ออัญชันรู้จักปกป้องตัวเองบ้าง เรื่องราวเป็นมาอย่างไรก็ขอให้พูดให้บอก แต่เท่าที่เห็น ช่ออัญชันยังคงเป็นคนเดิมที่ไม่เคยคิดจะมีปากมีเสียงและเงยหน้าอธิบายเรื่องอะไรเลย แม้แต่เรื่องไอ้ชิตที่เขายังคงรอคำอธิบายว่าทำไมหญิงสาวถึงไปโผล่อยู่ที่นั่น ช่ออัญชันก็ไม่มีให้เขา
‘ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะเมียกู ปวดกบาล!’
“อ้าว! สวัสดีค่ะนายใหญ่ มาถึงนานแล้วเหรอคะ มาค่ะ ทานข้าวต้มกัน วันนี้อิฉันทำข้าวต้มกุ้งของโปรดของนายใหญ่ด้วยค่ะ”
ก่อนที่บรรยากาศจะคุกรุ่นจนเกิดเป็นสงครามร้อนระอุตั้งแต่หัววัน โชคดีที่ป้าเนียมยกถาดบรรจุถ้วยข้าวต้มที่ยังมีควันอุ่นๆ ลอยฟุ้งเหนือชามเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน อัลเฟรดจึงกวาดสายตาไล่ไปมองสมาชิกที่อยู่ในห้องรับประทานอาหารทีละคนด้วยสายตาเรียบเฉยแต่กลับทำให้คนมีชนักติดหลังอย่างเรนุกาเสียวสันหลังวาบ หรือแม้แต่อาชาวินเองยังรู้สึกแปลกๆ กับสายตาเป็นปริศนาของบิดาที่มองมา จนคนสุดท้ายที่อัลเฟรดหยุดสายตามองนานที่สุดก็คือช่ออัญชันที่ยืนก้มหน้าตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
“ไปเถอะ กินข้าวเช้ากัน อัญชัน มานั่งกินข้าวกับแด๊ดด้วย”
อัลเฟรดเรียกช่ออัญชันให้มานั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมโต๊ะหลังจากเห็นว่าลูกสะใภ้ตัวน้อยกำลังจะเดินตามแม่บ้านออกไปด้านนอก ทั้งที่รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศที่กดดันจนไม่กล้าเงยหน้ามองใคร แต่ช่ออัญชันก็ไม่อาจขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ที่เธอเคารพ หญิงสาวจึงต้องเดินลากเท้ามานั่งตรงเก้าอี้ด้านซ้ายมือของคุณอัลเฟรด ส่วนอาชาวินเลือกไปนั่งทิ้งตัวลงด้านขวาของบิดา สามีภรรยาตามกฎหมายจึงนั่งตรงข้ามกันพอดี ทำให้อาชาวินสามารถนั่งมองหน้าเซียวๆ ของช่ออัญชันได้ถนัด เห็นอย่างนั้นเรนุกาจึงรีบซอยเท้านั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มแล้วลอยหน้าลอยตาลอบส่งยิ้มยียวนให้อัลเฟรดที่มองมาเขม็งอย่างไม่คิดเกรงกลัวอีกต่อไป
“แด๊ดกลับมาบ้านไม่เห็นบอกล่วงหน้า มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“วันนี้ลูกสาวเพื่อนแด๊ดจะแต่งงานน่ะ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว แด๊ดเลยรับปากว่าจะไปร่วมงานแต่ดันลืมว่ารับปากเสี่ยธงรบเอาไว้ว่าจะไปงานเปิดร้านอาหารของท่านเย็นนี้เหมือนกัน เลยว่าจะให้แกกับหนูอัญชันไปงานของเสี่ยธงรบแทนแกกับเมียไปเป็นตัวแทนแด๊ดหน่อยแล้วกันนะ แด๊ดไม่อยากเสียคำพูด”
“แต่ว่าแด๊ดคะ…”
“ครับ” อาชาวินรับคำเสียงเรียบเป็นการตัดบทไม่ยอมให้คนตัวเล็กได้ปฏิเสธพลางปรายตามองช่ออัญชันที่ทำสีหน้าทุกข์ร้อนนิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ไปเถอะอัญชัน ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง คนอื่นๆ จะได้รู้ด้วยว่าหนูเป็นภรรยาของอาชา เป็นลูกสะใภ้ของแด๊ด”
อัลเฟรดปลอบใจช่ออัญชันที่ตอนนี้ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนเด็กถูกรังแกจนใกล้จะร้องไห้เต็มที แต่เรนุกากลับสะอึกกับคำปลุกปลอบเรียบๆ ของอัลเฟรดจนต้องลอบบดกรามกำมือเข้าหากันใต้โต๊ะระงับความไม่พอใจ เพราะรู้เจตนาของนายใหญ่ไร่ดวงหทัยดีว่าต้องการกระทบกระเทียบแดกดันเธอมากกว่า อัลเฟรดคงต้องการให้อาชาวินพาช่ออัญชันไปออกงานเพื่อประกาศตัวให้ชาวโลกรับรู้
แล้วยังไง คิดเหรอว่าทำแบบนี้แล้วคนอย่างเรนุกาจะยอมแพ้ คอยดูแล้วกัน ไอ้แก่!
“ตกลงตามนี้นะ สายๆ แด๊ดจะเรียกช่างมาแต่งตัวให้ เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะอัญชัน”
เมื่ออาชาวินรับปากเงียบๆ ไม่มีท่าทางจะขัดคำสั่งบิดาสักแอะ แล้วช่ออัญชันจะหาทางเอาตัวรอดได้อย่างไร จึงกลายเป็นว่าหญิงสาวถูกสองพ่อลูกแมคคานน์บีบบังคับทางอ้อม คนไม่เคยออกงานอีกทั้งยังมีปัญหาคาราคาซังกับอาชาวินจึงรู้สึกกดดันกับเหตุการณ์ข้างหน้ายิ่งนัก ยิ่งตอนแอบเหลือบสายตาขึ้นมองแล้วเห็นว่าใบหน้าของเขาราบเรียบ เธอก็รู้ดีว่าชายหนุ่มคงไม่เต็มใจจะควงเธอออกไปให้คนนอกรับรู้ แต่ขัดความต้องการคุณอัลเฟรดไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนตัวเองคือตัวปัญหาตัวโตๆ ที่คอยพร่าผลาญความสุขของอาชาวินทำให้ช่ออัญชันรู้สึกผิดจนกลืนข้าวต้มตรงหน้าไม่ลง
‘คุณอาชา อัญขอโทษค่ะ อย่าโกรธอย่าเกลียดอัญเลยนะคะ’
************************************************************************
อ่านตอนนี้แล้วใครเกิดอาการหมั่นไส้ยัยโรสเหมือนภัคบ้าง ยัยนี่ชักจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมากทุกที โชคยังดีที่คุณแด๊ดกลับมาแล้ว เหลือแต่อิพี่อาชานี่แหละ ไม่รู้ว่าวันไหนจะคุ้มดีคุ้มร้าย ยังไงสาวๆ ช่วยส่งกำลังใจให้ยัยหนูอัญชันกันเยอะๆ ด้วยน๊า
ฝาก E-book พี่อาชากับหนูอัญชันด้วยค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ