สยบรักเมียบำเรอ
7.2
เขียนโดย Phaky
วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.23 น.
41 ตอน
3 วิจารณ์
41.87K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 มกราคม พ.ศ. 2561 13.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) ยังยิ้มได้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เป็นยังไงบ้าง ปาล์ม”
“อาการไม่ค่อยดีเลยนะ ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายอยู่ก่อน คนป่วยไม่รู้เหรอว่าตัวเองป่วย ทำไมยังฝืนไปทำงานกลางแดดร้อนๆแบบนั้น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หมวกใส่กันแดดก็ไม่มี หน้าแดง ตัวร้อนจัด ปากก็แห้งกรังเชียว แสดงว่าร่างกายขาดน้ำมาก เกิดอาการหนักเป็นฮีทสโตรกขึ้นมาจะทำยังไงน่าตีจริงๆเลย”
คุณหมอหน้าใสวัยยี่สิบเก้าปีถอดเครื่องช่วยฟังออกจากหูพลางถอนหายใจดังเฮือกเมื่อถูกถามถึงอาการคนไข้ที่นอนอยู่บนโซฟาตัวยาว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก คุณหมอปาล์มถูกอาชาวินเรียกตัวมาที่ไร่ดวงหทัยเป็นการด่วนด้วยน้ำเสียงร้อนรน โชคดีที่คุณหมอสาวตรวจสุขภาพคนงานอยู่อีกไร่ไม่ไกลจากไร่ของอาชาวินมากนัก รอไม่ถึงสิบนาที ปาล์มเรขาก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในบ้านพร้อมกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ใบใหญ่
‘อาการแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ!’
อาชาวินที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกลขยับเข้ามาก้มมองใบหน้าซีดเซียวอย่างพิจารณา ดวงตาคู่คมไหววูบไปนิดเมื่อภาพที่เห็นชัดเต็มสองตาก็ไม่ได้ต่างไปจากที่หมอปาล์มกล่าวไว้เลยสักอย่าง เรียวปากที่เคยระเรื่อหวานฉ่ำซีดเซียวแห้งผากอย่างคนขาดน้ำซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเขาปล่อยทิ้งช่ออัญชันให้ทำงานกลางแดดแต่กลับไม่ได้ให้น้ำไว้ดื่ม ผิวแก้ม แขนขา และหลังเท้าที่เคยขาวนวลแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะถูกเผาด้วยไอแดดร้อนจัด นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้เตรียมเสื้อแขนยาวกับหมวกกันแดดไว้ให้เจ้าหล่อน ที่สำคัญก่อนเข้าไร่ ป้าเนียมเตือนเขาแล้วว่าช่ออัญชันไม่สบาย เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องแปลกใจเมื่อคนป่วยตัวเล็กๆต้องไปนั่งทำงานกลางแดดจะเป็นลมล้มพับไปแบบนี้ โชคดีที่หลังจากเอาไปปล่อยทิ้งไว้ไม่นานแล้วเขาแอบย้อนกลับไปดู มิเช่นนั้นป่านนี้ช่ออัญชันคงได้นอนเป็นลมให้แดดเผาจนอาการหนักกว่านี้แน่
“โถ นายหญิงของป้า”
หัวหน้าแม่บ้านนั่งอยู่ที่พื้นหน้าโซฟาจับมือบางของช่ออัญชันขึ้นมาบีบพลางครางเสียงแผ่วอย่างสงสารเมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยจากคุณหมอ ตอนที่ป้าเนียมเห็นอาชาวินอุ้มร่างไร้สติของช่ออัญชันเข้ามาในบ้าน แกตกใจรีบโผเข้ามาดูอาการนายหญิงน้อยของตัวเองด้วยความเป็นห่วง จากนั้นก็วิ่งไปมาทั่วบ้านราวหนูติดจั่น ปากร้องสั่งให้สาวใช้คนอื่นช่วยกันหายาหอมละลายน้ำมาป้อนคนเป็นลมจนสถานการณ์ในห้องนั่งเล่นดูวุ่นวาย
“อื้อ”
“นายน้อยคะนายน้อย นายหญิง เอ่อ…หนูอัญชันฟื้นแล้วค่ะ”
เมื่อเห็นร่างเล็กที่นอนแน่นิ่งเริ่มขยับตัว ป้าเนียมก็รีบหันไปเรียกอาชาวินด้วยความดีใจ เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเรียกช่ออัญชันผิดเมื่อเห็นสายตาเป็นคำถามของคุณหมอสาวที่เลิกคิ้วสูงมองมา
“ป้าเนียม”
“ค่ะ ป้าอยู่นี่ พระคุ้มครองบุญรักษา ขวัญเอ๊ยขวัญมาไม่เป็นไรแล้วนะคะแม่คุณของป้า”
ป้าเนียมรีบดึงมือบางเข้ามาบีบขยำซ้ำๆอย่างตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นดวงตากลมโตแยกออกจากกัน จากนั้นริมฝีปากสีซีดของช่ออัญชันก็ขยับเรียกแก ทำเอาหญิงวัยกลางคนที่นั่งใจหายใจคว่ำมาพักใหญ่ค่อยยิ้มออกมาได้
“ยังไม่หายดี ป้าว่าอย่าเพิ่งลุกเลยนะคะ”
“อัญดีขึ้นแล้วค่ะต้องรีบกลับไปถอนหญ้าต่อด้วย”
ป้าเนียมปรามเมื่อเห็นคนป่วยพยายามดันตัวลุกขึ้นนั่ง แม้จะเป็นไปด้วยความยากลำบากแต่ช่ออัญชันก็ไม่คิดจะหยุด เพราะสองตาพร่าเลือนมองเห็นอาชาวินที่ยืนกอดอกมองจ้องเธออยู่ไม่ไกล เขาเอาแต่มองไม่ยอมพูดอะไรสักคำจนเธอเองก็ชักหวั่นๆว่าเขาจะไม่พอใจที่เธอยังทำงานไม่เสร็จตามที่เขาสั่งแต่กลับมานอนสบายอยู่ในบ้าน แม้อาการวิงเวียนจะยังมีอยู่มากแต่หากนอนอยู่นานกว่านี้ เธอต้องถูกอาชาวินต่อว่าอีกแน่ๆ
“แต่หมอว่าหน้าคุณอัญชันยังซีดอยู่เลยนะคะ ตัวก็ร้อน กินยาแล้วนอนพักก่อนดีกว่าค่ะ”
ปาล์มเรขาที่นั่งฟังสองสาวต่างวัยคุยกันแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มๆตามประสาคุณหมอใจดี
“แต่ว่าอัญ…”
ช่ออัญชันปรายตามองผู้หญิงหน้าตาสวยจิ้มลิ้มผิวขาวจั๊วที่นั่งอยู่ไม่ไกล รอยยิ้มสดใสของคุณหมอสาวทำให้คนป่วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง แต่กระนั้นช่ออัญชันก็ยังไม่สบายใจหากเธอต้องนอนพักตามที่คุณหมอบอก เพราะงานที่ได้รับมอบหมายจากคนหน้าดุยังทำได้ไม่ถึงไหนเลย ไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้อาชาวินทำหน้าบึ้งหน้าตึงอยู่ตอนนี้เป็นเพราะเธอทำงานล้าช้าหรอเปล่า ถ้าใช่เธอก็ยิ่งต้องรีบพาตัวเองกลับไปที่ไร่ให้เร็วที่สุด
“ดื้อด้าน!”
คนที่ยืนกอดอกฟังอยู่เงียบๆตะคอกเสียงดังจนคุณหมอกับป้าเนียมยังสะดุ้ง แล้วช่ออัญชันจะไปเหลืออะไร หญิงสาวผวาพลางกระถดตัวชิดพนักโซฟาอัตโนมัติ ก้มหน้าหลบสายตาเมื่อเห็นอาชาวินขยับเข้ามาใกล้ รู้สึกสับสนจนทำตัวไม่ถูก เพราะไม่ว่าเธอจะพูดหรือทำอะไรก็เหมือนจะขัดหูขัดตาของอาชาวินทุกครั้งไป
“กลับไปนอน หมอสั่งให้พักแล้วจะทำตัวดื้อด้านทำไม อย่ามาหาเรื่องตายในไร่ฉัน ขี้เกียจรับผิดชอบ”
“งั้นป้าพาหนูอัญชันกลับไปนอนพักก่อนนะคะนายน้อย ไปค่ะหนูอัญ เดี๋ยวป้าพากลับไปที่ห้อง”
ได้โอกาสป้าเนียมจึงรีบตัดบทแล้วตรงเข้าไปประคองร่างสั่นเทิ้มของช่ออัญชันให้ลุกจากโซฟาเพราะเกรงว่าหากยังอยู่ตรงนี้ต่อไป อีกเดี๋ยวอาชาวินคงมีคำพูดร้ายกาจมาทำร้ายจิตใจของนายหญิงน้อยให้ชอกช้ำอีกเป็นแน่
“นี่ยาค่ะ ทานตามที่หมอเขียนไว้ให้นะคะ พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายเร็วๆ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
แต่ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น คุณหมอคนสวยกลับเรียกเอาไว้พร้อมนำถุงยามาส่งให้ ช่ออัญชันพนมมือไหว้ขอบคุณก่อนพากันเดินออกไปช้าๆโดยไม่กล้าเงยหน้ามองอาชาวินที่ยืนมองจ้องตาไม่กะพริบนั่นเลย
“ไง เป็นห่วงมากไม่ใช่เหรอ ห่วงเค้าแล้วทำไมไม่ตามไปส่ง มัวเก๊กท่าอยู่ได้”
ปาล์มเรขายืนกอดอกอิงกายตรงประตูห้องนั่งเล่นแล้วหันใบหน้ากลับมามองอาชาวินที่ทำยืนเก๊กหน้าดุแต่ดวงตาที่มองช่ออัญชันกลับฉายแววกังวลด้วยสีหน้ายิ้มๆ นึกหมั่นไส้ผู้ชายจอมดุท่ามากแต่กลับชะเง้อคอยาวมองตามช่ออัญชันเดินออกไปจนลับสายตา คิดเล่นๆว่าถ้าหากอาชาวินสามารถยืดคอมองตามได้ตามใจต้องการ ป่านนี้ลำคอของชายหนุ่มคงมีความยาวเท่ากับความสูงของเสาไฟฟ้า ถ้าจะยืดคอมองตามซะขนาดนี้ช่วยเดินตามติดไปเลยจะดีกว่า
“ห่วงเหิ่งอะไร ฉันก็แค่กลัวว่าแม่นั่นจะมาตายในบ้าน” คนถูกรู้ทันรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“อ๊อ! เหรอคะ ไม่ได้ห่วง ก็แค่มองตามไปจนลับสายตา ชะเง้อมองจนคอยืดคอยาว ก็แค่นั้น ไม่ได้ห่วงเล๊ย”
“พูดมากน่า กลับเลยไหม จะได้ไปส่ง”
“ยัง มานั่งนี่ แกต้องเล่ามาก่อนว่าความสัมพันธ์ของแกกับคุณอัญชัน มันยังไง”
ด้วยความอยากรู้ ปาล์มเรขาจึงลากแขนของอาชาวินมานั่งด้วยกันที่โซฟา แล้วรีบใช้สองมือตะครุบไหล่หนาๆเอาไว้เมื่อจำเลยทำท่าจะลุกหนี คุณหมอคนสวยจ้องใบหน้าของเรียบเฉยของอาชาวินเขม็ง จ้องเอาๆจนคนถูกจ้องได้แต่ถอนหายใจหนักๆพลางกลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
แต่ถามว่าอาชาวินทำแบบนั้นแล้วมันทำให้ปาล์มเรขาลดทอนความอยากรู้ลงบ้างไหม? ไม่เลย คุณหมอคนสวยมีความพยายามมากกว่านั้น ปาล์มเรขายังคงกดดันด้วยสายตาต่อไปจนอาชาวินต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยอมเปิดปากในที่สุด
“ก็ไม่มีอะไรนี่”
“ต้องมีสิ ก็ฉันได้ยินป้าเนียมเรียกคุณอัญชันว่านายหญิง ตกลงเค้าเป็นเมียแกเหรอ ตั้งแต่เมื่อไร แล้วเป็นได้ยังไง จีบกันตอนไหน แล้วทำไมฉันไม่รู้เลยล่ะ แล้ว…”
“พลาด!”
“ฮะ! อย่างแกเนี่ยนะ…พลาด!”
คุณหมอจำไมกะพริบตาปริบๆอ้าปากค้างทำหน้าตาเหลอหลา อุตส่าห์ถามไปตั้งมากตั้งมายแต่อาชาวินกลับตอบมาสั้นๆง่ายๆคำเดียวว่า ‘พลาด’ ซึ่งเธอพอจะเข้าใจความหมายที่เพื่อนต้องการสื่อ แต่ที่ไม่อยากเชื่อคือคนอย่าง อาชาวิน แมคคานน์ เนี่ยนะจะพลาดเรื่องผู้หญิง สมองอันชาญฉลาดคิดคำนวณตามคำตอบของเพื่อนอย่างรวดเร็ว ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ หลงผิดเป็นเพื่อนสนิทกับมันมาตั้งนาน อาชาวินไม่เคยมีประวัติเรื่องนี้มาก่อน ขนาดสาวสวยเจนจัดหลายต่อหลายคนยังหาทางจับมันไม่สำเร็จเลย แล้วผู้หญิงหน้าซื่อๆตาใสๆอย่างสาวน้อยที่เป็นลมดูอ่อนแอไร้ทางสู้เมื่อสักครู่เนี่ยนะจะทำให้หนุ่มเจ้าสำราญอย่างอาชาวินพลาด มันไม่น่าเป็นไปได้เลย แววตาของปาล์มเรขาจึงแสดงออกว่าไม่เชื่อถือชัดเจน
“เออ! จะทำหน้าข้องใจแบบนั้นทำไม พลาดก็คือพลาดสิวะ ไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้นแหละ เก็บกระเป๋าของแกเดี๋ยวนี้เลย จะไปส่ง ชักช้าจะให้เดินกลับเอง”
“โห! ใจร้ายชะมัด พอโดนซักเข้าหน่อยล่ะรีบไล่กลับเลยนะ เชอะ! กลับก็กลับ”
“ดีแล้ว เป็นหมอไม่ใช่นักข่าว ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นเยอะ”
“เหมือนถูกหลอกด่าว่าเผือกยังไงไม่รู้เนอะ ว่าแต่…ฉันถามอะไรหน่อยสิ อาชา”
ปาล์มเรขาดึงศีรษะออกได้ทันก่อนที่กำปั้นแข็งๆของอาชาวินจะเคาะลงมาให้เจ็บตัว ก่อนทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตๆแล้วขยับตัวหันหน้าเข้าหาพร้อมจ้องมองเพื่อนสนิทด้วยท่าทีจริงจัง
“อะไร”
อาชาวินที่ยังนั่งทำหน้าหล่ออยู่กับที่ช้อนสายตาขึ้นมองคนถาม แววตาคู่คมเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกตามสไตล์ แต่เพราะหลงเป็นเพื่อนสนิทของไอ้ตัวร้ายอย่างอาชาวินมานานแล้วจึงทำให้ปาล์มเรขาก้าวขาออกห่างไปสามช่วงขายาวๆทางด้านหลังในระยะปลอดภัย ก่อนเอ่ยปากถามเรื่องที่ยังค้างคาด้วยแววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ระยิบระยับ
“ก็เรื่องพลาดไง ฉันอยากรู้ว่าเวลาที่เราพลาดเนี่ย มันมีแบบ‘เต็มใจพลาด’ ไหมวะแก”
“ไอ้ปาล์ม!”
อาชาวินกำมือชูขึ้นในอากาศตั้งท่าจะเคาะกะโหลกคุณหมอที่เขาคิดว่าไร้ความสงบเสงี่ยมมากที่สุดในโลกเป็นการลงโทษสักทีสองทีให้หลาบจำที่บังอาจมาล้อเลียนคนอย่างเขา แต่ก็ไม่ทัน เพราะปาล์มเรขาเล่นโกยแน่บออกไปถึงหน้าประตูแล้ว แถมก่อนไปยังชี้ไม้ชี้มือส่งสัญญาณให้เขาหิ้วกระเป๋าสี่เหลี่ยมคู่ใจของคุณหมอจอมแสบไปให้อีกด้วย คนถูกล้อจนใบหน้าเห่อร้อนจึงได้แต่ถอนหายใจฮึดฮัดอยู่คนเดียว ก่อนคว้ากระเป๋าเครื่องมือแพทย์ขึ้นมาถือแล้วเดินตามไปยังรถกระบะสีดำที่จอดไว้หน้าบ้าน ซึ่งตอนนี้ปาล์มเรขาเปิดประตูขึ้นไปนั่งลอยหน้าลอยตาอย่างกับเป็นเจ้าของรถเรียบร้อยแล้ว
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
“หนูอัญชัน ป้าขอโทษนะคะ ป้าทำให้ได้เท่านี้จริงๆค่ะ”
เสียงเบาๆคล้ายกำลังรู้สึกผิดของป้าเนียมเอ่ยบอกเมื่อหัวหน้าแม่บ้านประคองพาช่ออัญชันกลับมายังห้องพักหลังริมสุดที่เรือนคนใช้ ตอนเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น ป้าเนียมพยายามพาคนป่วยเดินให้ห่างออกมาโดยเร็วที่สุด หวังให้ช่ออัญชันอยู่พ้นสายตาของคนใจร้ายอย่างอาชาวิน แต่พอมาถึงห้องพัก ป้าเนียมกลับรู้สึกว่าอยากย้อนเวลาถอยหลัง แกยังไม่อยากพาช่ออัญชันมาถึงห้องพักห้องนี้เลย เพราะเมื่อเปิดประตูห้อง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ห้องโล่งๆสีหวานที่มีเตียงกว้างน่านอน ผ้าม่านหน้าต่างสีสวยพลิ้วตามแรงลม หรือโคมไฟดวงโตสีเหลืองนวลตรงหัวเตียงเหมือนห้องบนตึกใหญ่ที่ช่ออัญชันพักก่อนหน้านี้
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับมีแค่…ช่องว่างกลางห้อง ใช่! ช่องว่าง พื้นที่ในห้องที่อาชาวินสั่งให้ช่ออัญชันย้ายมานอนมันมีขนาดแคบมาก แคบเท่าที่คนตัวเล็กๆอย่างช่ออัญชันจะทิ้งตัวลงนอนได้เท่านั้น จะพลิกหรือขยับตัวคงทำได้ลำบากเต็มที ถามว่าแล้วห้องนี้มันถูกออกแบบมาให้แคบมากขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมคนออกแบบถึงใจร้ายขนาดนั้น?
เปล่าเลย! จริงแล้วห้องๆนี้มันก็มีขนาดกว้างตามปกตินั่นแหละ แต่พื้นที่ส่วนอื่นในห้องมันถูกจับจองด้วยตู้เสื้อผ้าใบใหญ่หลายใบ ชุดโซฟาไม้ โต๊ะเอกสาร ลังใส่เอกสารต่างๆภายในไร่ อุปกรณ์ตัดแต่งต้นไม้ เลื่อย จอบ พลั่ว เครื่องใช้ไฟฟ้า และข้าวของจิปาถะอีกมากมายวางระเกะระกะ เพราะมันคือ…ห้องเก็บของ!
ใช่! อาชาวินสั่งให้ช่ออัญชันย้ายมานอนที่ห้องเก็บของ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้อาชาวินมีคำสั่งแบบนั้นกับผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าภรรยา แล้วช่ออัญชันที่ได้เห็นห้องพักแล้วก็ไม่คิดโต้แย้งหรือปฏิเสธสักคำเสียด้วย เป็นป้าเนียมต่างหากที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ระหว่างที่อาชาวินพาช่ออัญชันเข้าไร่ ป้าเนียมกับบัวจึงช่วยกันทำความสะอาดจัดเก็บห้องหาพื้นที่ว่างสำหรับให้ช่ออัญชันนอนให้ได้มากที่สุด แต่มันเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะอาชาวินไม่ห้ามเรื่องการจัดวางข้าวของใหม่ แต่สั่งห้ามเคลื่อนย้ายข้าวของทุกชิ้นออกนอกห้องเด็ดขาด กว่าป้าเนียมกับบัวจะช่วยกันหาพื้นที่ว่างได้เท่าที่เห็นก็เล่นเอาเหงื่อตก นี่ถ้าสองสาวไม่มาจัดห้องให้ มีหวังคืนนี้ช่ออัญชันคงต้องนอนหน้าห้องเก็บของแทนแน่นอน
“ไม่เป็นไรค่ะป้าเนียม อัญต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ป้าเนียมอุตส่าห์ช่วยทำความสะอาดแล้วก็จัดที่นอนให้”
ช่ออัญชันหันไปส่งยิ้มหวานจริงใจให้ป้าเนียม รู้สึกขอบคุณหัวหน้าแม่บ้านด้วยใจจริง เพราะตอนที่เอากระเป๋ามาเก็บก่อนไปเข้าไร่ เธอยังคิดอยู่ว่าจะต้องจัดข้าวของเยอะแยะในห้องยังไงดีเธอถึงจะหาที่นอนให้ตัวเองได้ พวกอุปกรณเครื่องใช้ไม่ใช่ปัญหาเพราะมั่นใจว่าเธอสามารถจัดเก็บคนเดียวได้อยู่แล้ว แต่พวกตู้เสื้อผ้ากับโซฟาไม้เข้าชุดพวกนั้นต่างหากที่เธอคงยกไม่ไหว แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะป้าเนียมทำไว้ให้เรียบร้อย แถมยังหาผ้าปูที่นอน หมอน กับผ้าห่มมาปูไว้ให้อีกหนึ่งชุด ป้าเนียมมีน้ำใจให้เธอขนาดนี้แล้วเธอจะต่อว่าท่านได้อย่างไร
“แล้วหนูอัญชันจะนอนได้เหรอคะ ห้องมัน… แคบมากเลยนะคะ”
ดวงตาที่ฝ้าฟางไปตามวัยกวาดมองภายในห้องแล้วให้สะท้อนใจ ขนาดห้องคนใช้คนอื่นๆในบ้าน หรือแม้กระทั่งห้องพักคนงานในไร่ยังกว้างขวางอยู่สบายมากกว่าห้องของคนที่เป็นนายหญิงด้วยซ้ำ อย่างที่บอกว่าห้องๆนี้มีแค่ช่องว่างตรงกลางพอให้ล้มตัวนอน จะดิ้นจะนอนกลิ้งนี่คงเป็นไปได้ยาก เพราะข้างซ้ายก็ติดโต๊ะกินข้าว ข้างขวาก็ติดตู้เสื้อผ้า นี่หากช่ออัญชันมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เผลอๆอาจต้องตะแคงตัวนอนด้วยซ้ำ เพราะมันแคบ แคบมากจริงๆ
“อัญนอนได้ค่ะ ตอนเรียนอยู่กรุงเทพฯ ห้องที่อัญอยู่ก็กว้างประมาณนี้เหมือนกัน”
“หมายความว่ายังไงคะ”
ป้าเนียมนับถือความคิดของช่ออัญชันที่ยังอุตส่าห์ใช้คำว่า ‘กว้าง’ กับห้องๆนี้ได้ ก่อนจะทำหน้าฉงนจนหัวคิ้วสีจางผูกเป็นโบว์เมื่อนายหญิงน้อยบอกว่าเคยอยู่ห้องที่มีขนาดเล็กกว่ารูหนูแบบนี้มาก่อน นอกจากอาชาวินยังมีใครใจร้ายทำห้องนอนให้มีขนาดแคบเท่านี้ได้อีกหรือ
“อัญนอนห้องเก็บของใต้บันไดน่ะค่ะ ค่าเช่ามันถูกกว่าห้องปกติเยอะ นอนมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจนกระทั่งเรียนจบ ไม่เคยมีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นห้องนี้อัญก็นอนได้สบายมากค่ะ ป้าเนียมไม่ต้องเป็นห่วง”
“โถ แม่คุณของป้า”
ช่ออัญชันเล่าด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนจนป้าเนียมทำได้เพียงครางเสียงเครือด้วยความเวทนาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้จับใจ แกเองอาจจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทองแถมยังเป็นได้แค่แม่บ้านและอาจต้องเป็นไปจนตาย แต่ในชีวิตกลับยังไม่เคยต้องลำบากยากแค้นอย่างที่ช่ออัญชันเคยเจอ ก่อนหน้านี้มีโอกาสได้คุยไถ่ถามและพอรู้ว่าเด็กสาวคนนี้เคยผ่านการทำงานมาสารพัดป้าเนียมก็สงสารจะแย่อยู่แล้ว แต่พอรู้ว่าช่ออัญชันต้องทนลำบากอาศัยนอนในห้องใต้บันไดแคบๆเพื่อจะได้เก็บเงินส่งให้ที่บ้าน ป้าเนียมก็ยิ่งเวทนา มืออูมลูบศีรษะเล็กๆแผ่วเบาสลับกับเสียงถอนหายใจหนักๆ
สงสารมาก เวทนาจับใจ แต่แกเองก็ไม่มีปัญญาจะไปช่วยเหลืออะไรมากนัก
“งั้นหนูอัญชันทานยาแล้วนอนพักนะคะ เย็นๆเดี๋ยวป้ามาเรียกไปทานข้าว”
“ขอบคุณค่ะป้าเนียม”
ก่อนที่น้ำตาจะไหลพาลให้บรรยากาศย่ำแย่กว่าที่เป็นอยู่ ป้าเนียมจึงรีบตัดบทแล้วจูงมือบางส่งเข้าไปในห้องให้คนป่วยได้นอนพัก ช่ออัญชันยิ้มรับไม่ขัดข้องเพราะกำลังรู้สึกเวียนศีรษะอยู่พอดี มือเล็กกระพุ่มมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อมแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนผ้าปูลายดอกไม้ที่ป้าเนียมนำมาปูไว้ให้ จากนั้นจึงรื้อถุงยาขึ้นมาอ่านหยิบกลืนเข้าปากไปสามเม็ดตามที่หมอสั่ง ดื่มน้ำที่วางไว้ข้างๆหมอนแล้วล้มตัวลงนอน ยืนมองจนมั่นใจว่าคนป่วยหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาและความอ่อนเพลียป้าเนียมจึงยอมถอยหลังออกจากห้อง แต่ไม่ปิดประตูสนิท แกเอารองเท้าคั่นประตูไว้ให้พอมีช่องว่าง เพราะห้องนี้เป็นห้องเก็บของไร้หน้าต่างระบายอากาศและสวิซไฟ
*********************************************************
ประกาศ วันนี้เล่นเกมส์กันวันสุดท้ายแล้วนะคะ ใครยังไม่ได้เริ่ม ใครยังไม่ลุ้น อย่าลืมเข้าไปทำตามกติกาที่ง่ายแสนง่ายกันน๊า โชคดีมีฟลุ๊คได้นิยายไปอ่านกันฟินๆแบบฟรีๆกันเลยค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ