THE EYES นัยน์ตาแห่งรัก
10.0
เขียนโดย เรื่อยเปื่อย
วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 09.39 น.
5 ตอน
1 วิจารณ์
6,516 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2561 10.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอนที่ 1 คำเตือนที่เป็นจริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่1 คำเตือนที่เป็นจริง
ณ.ธนาคารแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพ
“ขอร้องนะคะ ขอเวลาฉันแค่เดือนเดียว เดือนเดียวเท่านั้น ฉันจะหาเงินมาใช้หนี้ให้ครบทุกบาททุกสตางค์.....นะคะฉันขอร้อง แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ...นะคะ...ช่วยฉันด้วยเถอะ”
“ทางเราก็ผ่อนผันให้คุณมากหลายครั้งมากแล้วนะคะ...ขอโทษจริงๆฉันคงช่วยอะไรคุณไม่ได้”
“นะคะ อีกแค่ครั้งเดียว...ฉันไหว้ล่ะค่ะ” หญิงสาวพูดอ้อนวอนพร้อมกับยกมือไหว้ พนักงานสาวที่กำลังทำหน้าหนักอกหนักใจท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆพนักงานด้วยกัน..และเหล่าลูกค้าที่มาใช้บริการประมาณสิบกว่าคนเห็นจะได้...พวกเขาต่างจับจ้องไปที่การสนทนาของทั้งคู่
“อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ..ยิ่งคุณทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งลำบากใจ..ฉันเองก็เป็นแค่พนักงานผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น..ฉันทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรหรอกนะคะ...ฉันเองก็เห็นใจคุณ...แต่ต้องขอโทษจริงๆนะคะ ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้จริงๆ”
พนักงานสาวรีบกุมมือที่เธอยกขึ้นไหว้เอาไว้....แต่ทว่าตัวเธอกลับแข็งทื่อยืนจังงังโดยไม่รู้สาเหตุก่อนที่หญิงสาวจะรีบสะบัดมือของพนักงานธนาคารคนนั้นออกและทำท่าทางเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง....
“ปะ เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” พนักงานสาวรีบถามทันทีเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆของเธอ...
“...............” หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับจ้องหน้าพนักงานคนนั้นด้วยดวงตาที่สั่นระริก
“คุณคะ เป็นอะไรรึเปล่าคะ....” พนักงานถามขึ้นอีกพร้อมกับจับที่ไหล่ของเธออย่างเป็นห่วง
“คืนนี้......อย่าไปหาผู้ชายคนนั้นนะคะ.....” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือพร้อมจ้องไปที่พนักงานสาวคนนั้น....
“อะ อะไรนะคะ คุณกำลังพูดอะไร....”
“อย่าไปหาเขานะคะ คุณต้องเชื่อฉันนะ อย่าไปหาเขาเด็ดขาด” คราวนี้เธอกลับเป็นฝ่ายใช้มือทั้งสองข้างเขย่าตัวของพนักงานคนนั้นแทน...ท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของคนที่อยู่ในธนคาร...
“คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย ปล่อยฉันนะคะ”
“รับปากฉันก่อนสิว่าจะไม่ไปหาเขา!! รับปากสิ!!!” หญิงสาวพูดพร้อมเขย่าตัวของพนักงานคนนั้นไม่หยุด จนยามต้องรีบเข้ามาแยกตัวของเธอออกไป
“เป็นอะไรรึเปล่า?” เพื่อนพนักงานอีกคนเดินเข้ามาหาพนักงานสาวคนนั้นและถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไร...สงสัยจะเสียสติไปแล้ว...” พนักงานสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอามือลูบแขนตัวเองปอยๆ มองผู้หญิงคนนั้นถูกยามลากออกไปข้างนอก แต่เธอก็ยังพยายามตะโกนบอกว่า อย่าไปหาเขา....อย่าไปหาเขา โดยที่ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังจะบอก
“อย่าไปหาเขานะคะ เขาจะฆ่าคุณ คุณต้องเชื่อฉันนะ!!! ปล่อยฉันนะคะ ฉันจะต้องไปห้ามเธอ ปล่อยฉันนะ!!!” หญิงสาวดิ้นไปมาสุดกำลังพยายามจะให้หลุดจากมือของยามสองคนที่กำลังลากเธอออกมา
แต่เธอก็ไม่สามารถสู้แรงของผู้ชายสองคนได้ เธอถูกโยนออกมาจากธนาคารทันที
“รีบไปซะเถอะ ก่อนที่เขาจะแจ้งตำตวร สงสัยคิดมากเรื่องหนี้จนเสียสติไปแล้ว ” ยามพูดกับเธอก่อนจะเดินพำพึมกลับเข้าไปในธนาคารพร้อมล็อกประตูเอาไว้...
“เปิดก่อนสิ คุณต้องห้ามเธอนะ พวกคุณต้องห้ามเธอ อย่าให้เธอไปหาผู้ชายคนนั้นนะคะ” หญิงสาวยังพยายามตะโกนบอกแม้จะไม่มีใครสนใจฟัง
ให้ตายเถอะ ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้างทำไมต้องหาว่าฉันบ้าด้วย เธอคิดในใจ....
“ทำไมถึงไม่เชื่อฉันนะ ” หญิงสาวสบถออกมาอย่างหัวเสีย.....ก็ได้ในเมื่อไม่ฟังกันใครจะเป็นจะตายก็ช่างหัวมันเถอะ...เธอถอนหายใจก่อนจะหันหลังเตรียมจะเดินหนี แต่ทว่ากับชนกับใครคนหนึ่งเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ...เธอหงายหลังล้มตึ้งก้นจ้ำเบ้า.....
“โอ๊ยยยยยย ก้นฉัน....ไม่มีตารึไงห๊ะ!” เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองคู่กรณีที่ทำให้เธอล้มกระตดูกก้นกบแทบหัก.....
ผู้ชายในชุดสูทสีเทาเข้มที่ถูกรีดจนเรียบเนี๊ยบไปทุกตารางของผืนผ้าชุดของเขาแทบจะไม่มีรอยยับเลย ผมสีดำของเขาถูกเซ็ตเล็กน้อยเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ตัดกับสีผิวที่ขาวและเนียนละเอียดจนผู้หญิงบางคนยังต้องอาย...คิ้วดกดำหนาเข้มรับกับดวงหน้าคมของเขาได้เป็นอย่างดีจมูกโด่งสันเป็นคมช่างเหมาะกับริมฝีปากอิ่มได้รูปของเขายิ่งนัก เหมือนดั่งพระเจ้าบรรจงปั้นมาไม่มีผิด.....เธอมองตั้งแต่หัวจรดลงมาถึงร้องเท้าหนังขัดมันที่เขาใส่ มันมันวาวจนเห็นเงาสะเทือนใบหน้าของเธอ....สรุปคือทุกอย่างในตัวของผู้ชายคนนี้เนี๊ยบมากไม่มีที่ติเลย....แต่ว่าในมือของเขาข้างหนึ่งกลับถือไม่เท้าคล้ายๆไม่ตะพดสีน้ำตาลเข้มมันเงาแกะสลักรวดลายมังกรสวยงามแต่ก็ดูดุดันอย่างบอกไม่ถูก....แต่ช่างมันเถอะเรื่องไม่เท้าไม่ได้เกี่ยวกับความหล่อของเขาซะหน่อย....^^
หญิงสาวกำลังตกตลึงงันในความหล่อเหลาที่ไม่เคยพบเจอที่ไหน...หรือว่าสวรรค์จะส่งเขามาให้กันนะ ความเพ้อเจ้อเริ่มก่อเกิดขึ้นมาในหัว...และอยู่ๆเขาก็ยืนมือของเขาออกมาตรงหน้าเธอ...หญิงสาวเอื้อมไปจับเอาไว้ทันทีโดยไม่รู้ตัว...เขาจึงพยุงตัวเธอลุกขึ้น....
“เป็นอะไรมั๊ย.....” เสียงขรึมๆเรียบๆเอ่ยถาม....
“มะ ไม่เป็นอะไรค่ะ.....” เธอยังคงไม่หลุดจากภวังค์แห่งความเพ้อเจ้อ
“ถ้าไม่เป็นอะไร ก็ปล่อยมือฉัน แล้วหลีกไปให้พ้นสักทีเถอะ....”
เพล้ง!! เสียงใบหน้าของเธอแตกจนละเอียด...ทำไมคำพูดคำจาถึงได้ขัดกับบุคลิกเช่นนี้...
หญิงสาวได้แต่ยืนอึ้ง...เขาจึงสะบัดมือเธอออกก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่แต่งตัวดีไม่ต่างกันยื่นผ้าผืนเล็กให้กับชายหนุ่มผู้ดูเหมือนจะเป็นเจ้านาย...เขาเช็ดมือของตัวเองเหมือนกำลังทำความสะอาดมือเพราะสัมผัสสิ่งสกปรกมา...ทำแบบนี้หมายความว่าไงย่ะ! หญิงสาวกัดฟันดังกรอด....
“นี่......!!!” เธอกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่เขากลับเดินเลี่ยงหนีไปเพื่อจะเข้าไปในธนาคารที่เธอพึ่งถูกโยนออกมา...เขาไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย...
“นี่...เพราะนิสัยแบบนี้สินะ ถึงมีคนคอยจ้องแต่จะฆ่า....” หญิงสาวพลั้งปากออกมาด้วยความโมโห...แต่มันกลับทำให้เขาชะงักฝีเท้าทันที...
“ว่าไงนะ....” เขาถามเธออย่างฉงนสงสัย
“ไม้เท้านั่นน่ะ ไม่ใช่ไม้เท้าธรรมดาใช้ม่ะ....” เธอพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่าง...มันยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสัยเข้าไปอีก...
“......................” แต่เขาก็ยังเงียบไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ
“ยังไงก็ระวังผู้ชายผิวเข้ม สวมถุงมือสีดำด้วยแล้วกัน...ดูท่าทางเขาจะไม่ประสงค์ดีกับคุณเท่าไหร่นะ...”
“เธอกำลังหมายถึงใคร” เขาถาม
"ไม่รู้สิ ก็ผู้ชายคนหนึ่ง อย่าให้เขาเข้าใกล้คุณก็พอ ไม่งั้นก็ใช้เจ้านั่นแทงเขาซะ ก่อนที่เขาจะแทงคุณ" หญิงสาวชี้ไปที่ไม้เท้าของเขา
"เธอพูดอะไรของเธอเนี่ย" ชายหนุ่มถามพร้อมทำหน้าสงสัย
"โอ๊ย ช่างมันเถอะฉันมันก็แค่คนบ้าพูดเพ้อเจ้อไปอย่างนั้นเองแหละพวกข้างในถึงได้โยนฉันออกมาอยู่ตรงนี้ไง คุณกำลังจะเข้าไปข้างในใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นช่วยเตือนผู้หญิงคนนั้นด้วย ช่วยบอกเธอทีว่าคืนนี้อย่าไปหาผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด" หญิงสาวชี้มือไปที่พนักงานหญิงที่ยืนอยู่ในธนาคาร
"ทำไมฉันต้องทำตามที่เธอบอกด้วย" เขาถามหน้านิ่ง
"ฉันก็แค่อยากช่วยเธอแต่เธอหาว่าฉันบ้า ถ้าเธอไม่ฟังคำเตือนของฉันพรุ่งนี้เธอคงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งดังไปทั่วประเทศแน่ๆ"
".............................." ชายหนุ่มนิ่งและไม่ถามอะไรต่อ
"เอาเถอะคุณจะไม่เชื่อก็ตามใจ ฉันไปล่ะ พูดอะไรไปคนก็หาว่าบ้า ไม่รู้จักฟังคำเตือนของคนอื่นบ้างเลย "
หญิงสาวเดินเอามือปัดก้นปอยปอยแล้วเดินเลี่ยงหนีไป….ชายหนุ่มได้แต่ยืนงงและสงสัยเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อกี้ มันหมายความว่ายังไงกันนะ
** **
** **
ณ ห้องเช่าเล็กๆแห่งหนึ่ง
มีร่าเดินโซเซกลับมาที่ห้องพักของเธอเธอโยนกระเป๋าสะพายทิ้งลงทันที ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอน
"ทำไมมันทั้งเหนื่อยทั้งหล้าแบบนี้นะ" มีร่าถอนหายใจเฮือกใหญ่
มีร่าหญิงสาววัย 20 ปี เธอตัวคนเดียวอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆแห่งหนึ่ง เธอทั้งทำงานและพยายามส่งตัวเองเรียนไปด้วย พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็กตอนนั้นเธอ 5 ขวบเห็นจะได้ อันที่จริงครอบครัวของเธอค่อนข้างมีฐานะแต่พอพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตเธอก็ต้องไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าเพราะไม่มีญาติคนไหนรับเลี้ยง...จนกระทั่งเธออายุได้ 17 ปีก็มีคุณน้าซึ่งเป็นน้องสาวของแม่ของเธอมาขอรับเธอไปเลี้ยงเพราะเธอไม่อยากอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าอีกต่อไปเธอจึงยอมไปอยู่กับน้าสาวของเธอ
น้าสาวของเธอค่อนข้างเกเรมากเธออายุเพียง 35 ปีเท่านั้นเธอทำงานในผับเวลากลางคืนส่วนตอนกลางวันจะนอนเอาแรงอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นน้าที่ดีคนหนึ่ง
แต่ถึงน้าของเธอจะดีกับเธอมากเธอก็ชอบสร้างปัญหาให้กับมีร่าอยู่ตลอดเวลา เธอชอบดื่มเหล้าชอบเล่นการพนันไปติดหนี้เขาอยู่หลายแสน ซ้ำยังเอาที่ดินบ้านหลังเดิมที่เป็นชื่อแม่ของมีร่าไปจำนองที่ธนาคารเป็นเงินจำนวน 500000 บาท
ที่ดินตรงนั้นเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่ของมีร่าทิ้งเอาไว้ให้แต่เพราะเธอเชื่อใจและเห็นใจน้าสาวของเธอว่ากำลังลำบากเธอจึงยอมเซ็นต์เอกสารสิทธิ์มอบอำนาจให้น้าสาวของเธอดูแล จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้น
เพราะน้าสาวของเธอไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ธนาคาร ทางธนาคารก็เลยจะยึดบ้านพร้อมที่ดินของเธอมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องหยุดเรียนและพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้แต่ไม่ว่าจะพยายามหายังไงมันก็ไม่พอสักทีเงินตั้ง 500,000 บาทมันเยอะเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอ...แต่ถึงอย่างนั้นมีร่าก็ยังพยายามขอร้องทางธนาคารให้ยืดเวลาให้เธออีกสักหน่อย แต่เขาก็ผ่อนผันให้เธอมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
มีร่านอนขดตัวสะอื้นร้องไห้อยู่บนเตียงของเธอ
"แม่จ๋า พ่อจ๋า หนูคงทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาจะยึดบ้านเราแล้วพ่อแม่ หนูควรทำยังไงดีคะ อึก"
หญิงสาวสะอื้นร้องไห้จนปัญญากับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาเธอไม่รู้ว่าทำไมชีวิตของเธอถึงเจอแต่เรื่องเลวร้ายเช่นนี้และที่แย่ไปกว่านั้นสิ่งที่เธอไม่ชอบที่สุดในตัวของเธอคือการมองเห็นอนาคต
ใช่ มันฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแต่มันเป็นเรื่องจริงมีร่าสามารถมองเห็นอนาคตของคนอื่นได้เพียงแค่สัมผัสมือของคนคนนั้นแต่เรื่องราวที่เธอชอบเห็นมักจะมีแต่เรื่องไม่ดีมีแต่การสูญเสียและความตายเพราะฉะนั้นถ้าไม่จําเป็นจริงๆเธอจะไม่จับมือใคร สุ่มสี่สุ่มห้าเพราะเธอไม่อยากเห็นภาพที่ไม่ควรจะเห็น
มีร่า พยายามกลั้นน้ำตาหยุดสะอื้นร้องไห้ก่อนจะลุกนั่งบนเตียงแล้วหยิบรูปของแม่กับพ่อที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมาดู
“พ่อจ๋าแม่จ๋า อึก หนูเห็นอีกแล้วผู้หญิงคนนั้นจะตาย ผู้ชายที่เธอจะไปหาจะฆ่าเธอ ฮือออๆๆ หนูจะทำยังไงดีคะแม่หนูพยายามแล้วหนูอยากช่วยเธอแต่ไม่มีใครเชื่อหนูเลย อึกๆ อึกๆ ทั้งทั้งที่หนูรู้ว่าจะมีคนตาย ฮือออๆๆๆ อึกๆ แต่หนูกับช่วยอะไรใครไม่ได้ ฮือๆๆ อึก อึก ทำไมหนูต้องมองเห็นอะไรพวกนี้ด้วยคะทำไมต้องเป็นหนูด้วย...หนูกลัว อึกๆ ฮือๆๆ”
มีร่าพึมพำด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ..
ความสามารถพิเศษของเธอที่เธอไม่ชอบที่สุดคือการรับรู้เรื่องราวของคนอื่น
"ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ" มีร่ายังอดเป็นห่วงเธอไม่ได้
หญิงสาวเหนื่อยล้าจากการทำงานและการไปอ้อนวอนขอให้ธนาคารยืดเวลาใช้หนี้ไปก่อนเธอนอนกอดรูปพ่อแม่และพล่อยหลับไป
เช้าวันต่อมา
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพในเนื้อที่กว่าร้อยไร่
เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้เป็นชายหนุ่มอายุเพียง 27 ปีเท่านั้นต้นตระกูลของเขาร่ำรวยมาแต่โคตรเหง้าเขาทำธุรกิจหลายอย่างรวยติดอันดับมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทยเขาเน้นทำธุรกิจที่ได้ผลประโยชน์มากเท่านั้น เพราะการลงทุนทุกบาทต้องคุ้มค่าต่อการเสี่ยง
คาร์เรย์ ชายหนุ่มวัย 27 ปี เจ้าของธุรกิจแสนล้าน เขาเป็นคนเงียบๆดูดุและขรึมมากแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นที่สนใจของสาวๆเพราะความร่ำรวยและหน้าตาที่หล่อเหลาจึงทำให้เขาเป็นหนุ่มเนื้อหอม ดุจดอกไม้งามที่มีสตรีเป็นดั่งผีเสื้อผลัดเปลี่ยนกันอยากเข้ามาดอมดมแต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่เคยมีสาวคนไหนได้ครอบครองหัวใจของเขาเลย…
คาร์เรย์ยังพุดคิดถึงคำพูดของหญิงสาวที่เขาเพิ่งเจอมาเมื่อวาน... เขาแปลกใจว่าผู้หญิงคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าไม้เท้าที่เขาถือไม่ใช่แค่ไม้เท้าธรรมดาเพราะที่จริงแล้วข้างในนั้นมันเป็นดาบที่ทำปลอกและด้ามให้เหมือนไม้ตะพดเท่านั้นเขาพกติดตัวไปตลอดเวลาเพราะว่ามีคนจ้องจะฆ่าและทำร้ายเขาอยู่จริงๆอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูด
คาร์เรย์สวมเสื้อคลุมสีดำนั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องนอนชั้น 2 บนคฤหาสน์ เขานั่งบนเก้าอี้ไม้แกะสลักตัวใหญ่ทอดสายตามองออกมาด้านนอกของหน้าต่าง...ท้องฟ้าวันนี้ช่างมืดครึ้มหนักฝนตั้งเค้าว่าจะตกแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆจิบกาแฟก่อนจะวางถ้วยลงบนโต๊ะแล้วหยิบไม้เท้าของเขาขึ้นมาเขาปลดล็อคและดึงด้ามของดาบออกมามันเป็นดาบเนื้อดีที่คมเงางามและสวยมากเป็นอาวุธที่ดูไม่เหมือนอาวุธที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อน...มันเป็นมรดกตกทอดมาจากคุณปู่ของเขา…
ต้นตระกูลของเขาร่ำรวยและมีอำนาจมาก แต่ทว่ายิ่งมีอำนาจมาก เหล่าศัตรูจึงมีมากกว่าพอๆกันพ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายตั้งแต่เขายังเด็กและหลังจากนั้นเขาจึงเป็นผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูลเขาเติบโตมาท่ามกลางลูกน้องที่ยังจงรักภักดีนับร้อยๆชีวิตโดยมีคนสนิทของคุณพ่อเป็นคนเลี้ยงดูมาและบอกสิ่งที่เขาควรทำทุกอย่างเขาถูกเลี้ยงมาให้อดทนและเข้มแข็ง...ให้ดูนิ่งสงบไม่ให้ใครสามารถอ่านใจหรือ อ่านความรู้สึกทางสีหน้าของเขาได้…
คนสนิทของคุณพ่อของเขาพร่ำบอกเขาอยู่เสมอว่าการตายของคุณพ่อเป็นการตายที่ไม่ยุติธรรม เขาต้องแก้แค้นให้กับคุณพ่อของเขาให้ได้และต้องขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดเหนือคนทั้งปวงให้ได้ถึงแม้ว่าจุดสูงสุดนั้นมันจะหนาวและเย็นเยือกแค่ไหนเขาก็ต้องยืนหยัดอยู่ให้ได้และนั่นคือสิ่งที่เขาจดจำฝังใจและตั้งใจจะทำมาตลอด
แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังหาตัวคนร้ายที่ฆ่าพ่อกับแม่ไม่ได้ ไหนยังจะพวกที่คอยตามฆ่าอีกเขาไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใครหรือต้องการอะไรไม่แน่อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับที่ฆ่าคุณพ่อคุณแม่ของเขาก็เป็นได้
“ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของฉัน” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะเก็บดาบเอาไว้
สักพักภาคินมือขวาคนสนิทของเขาก็เข้ามา
“เจ้านายครับมีจดหมายเชิญจากไอ้เกนนิสครับ” ภาคินยื่นบัตรเชิญให้คาร์เรย์
“......................”
“เจ้านายจะไปไหมครับ ผมว่าอย่าไปดีกว่า”
“ฉันจะไปฉันก็อยากรู้ว่ามันจะมาไม้ไหนอีก”
“แต่มันเสี่ยงมากนะครับ เจ้านายก็รู้ว่ามันไม่หวังดีกับเรา”
“ใช่ฉันรู้ เพราะฉะนั้นฉันยิ่งต้องไป เพราะถ้าฉันไม่ไปมันคงจะคิดว่าฉันกลัวมันจนไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันต้องทำให้มันรู้ซะบ้างว่ามันไม่ใช่ฝ่ายที่ล้าเราเพียงฝ่ายเดียว”
“งั้นก็ได้ครับ ผมจะเตรียมคนให้พร้อม”
“งานจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เหรอ”
“ครับ งานเลี้ยงจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้”
“อืม”
คาร์เรย์พูดแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งบนโซฟาหน้าทีวีตัวใหญ่ในห้องของเขามีขวดเหล้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศวางอยู่บนโต๊ะ เข้ารินมันใส่แก้วก่อนจะยื่นให้กับภาคิน
“นั่งสินายควรพักผ่อนบ้าง”
“ครับ” ภาคินเดินเข้ามารับแก้วอย่างนอบน้อมก่อนนั่งลงที่โซฟาอีกตัว
“เปิดทีวีให้ที ฉันอยากดูข่าววันนี้ว่ามีอะไรบ้าง”
“ครับ”
ภาคินหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวี...รายการอยู่ในช่วงข่าวเช้าพอดีกำลังรายงานข่าวเรื่องรถติดและเรื่องทั่วๆไปแต่สักพักก็มีรายงานด่วนตัดภาพเข้ามา
เนื้อหาของข่าวบอกว่ามีการฆาตกรรมพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง...เธอถูกชายหนุ่มที่คาดว่าจะเป็นแฟนของเธอใช้มีดปาดคอจนเกือบขาดและใช้ของแข็งทุกที่ใบหน้าของเธอจนเละสภาพศพดูไม่ออกเลยว่าเป็นใคร และตามร่างกายของเธอยังถูกกรีดเป็นริ้วทั่วทั้งตัว เธอเสียชีวิตอยู่ในห้องพักของแฟหนุ่มของเธอ ก่อนที่ข่าวจะโชว์รูปคนร้ายและผู้เสียชีวิตขึ้นมาคู่กัน
และนั่นมันทำให้คาร์เรย์และภาคินหันขวับมองหน้ากันทันที…
“นั่นมัน………” ภาคินสะอึกไป พูดไม่ออก
“ใช่ พนักงานที่คาธนาคารเมื่อวานนี้”
“ใช่ครับผมก็จำได้”
มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก คำพูดที่ดูเพี้ยนๆของยัยเด็กผู้หญิงคนเมื่อวานนี้เกิดขึ้นจริงๆ
“ เป็นไปได้ยังไง เรื่องที่เธอบอกเมื่อานเกิดขึ้นจริงๆด้วย ยัยเด็กคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนี้จะ”
“ใช่ครับ เมื่อวานเธอบอกให้เราเตือนผู้หญิงคนนั้น และบอกอีกว่าถ้าไม่ฟังคำเตือนของเธอพนักงานธนาคารคนนั้นจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งดังไปทั่วประเทศ”
“........................” คาร์เรย์ เงียบอึ้งกับสิ่งที่เขากำลังเจออยู่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
คำพูดที่เธอบอกวันนั้นเป็นจริงทุกอย่างข่าวการตายของพนักงานสาวคนนี้ดังไปทั่วประเทศเพราะเป็นการฆ่าที่โหดเหี้ยมมาก ข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ออกโทรทัศน์ทุกช่องไม่ว่าจะออกไปที่ไหนทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องการตายสยองขวัญในครั้งนี้
“ภาคินนายจำได้ไหมว่าเธอบอกอะไรฉัน”
“จำได้ครับเธอบอกให้เจ้านายระหว่างผู้ชายผิวเข้มใส่ถุงมือหนังสีดำ”
“นายคิดว่ามันจะจริงไหม”
“ผมเองก็ไม่รู้ครับ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงเธอคนนั้น.....รู้ได้ยังไง”
“......................”
“หรือว่าเธอจะเป็นหมอดู”
“จริงไม่จริงฉันว่าเราคงจะรู้ในอีกไม่นาน”
“ถ้ามันเป็นเรื่องจริงละครับเจ้านายจะทำยังไง”
"ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะทำนายอนาคตได้.... "
"แต่เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายนะครับเจ้านาย ดูข่าวนั่นสิครับ เธอพูดถูก"
".........................." คาร์เรย์นั่งนิ่งสีหน้าเรียบเฉย เรื่องนี้มันยากที่จะเชื่อ.....
“งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ ผมจะสั่งให้ลูกน้องของเราจับตาดูคนในงานเอาไว้ดูซิว่ามีผู้ชายผิวเข้มที่ใส่ถุงมือหนังสีดำหรือเปล่า”
"นี่นายเชื่อที่ยัยเด็กนั่นพูดจริงๆหรอ"
"ไม่เชิงว่าเชื่อ ผมแค่ต้องระวังเพราะถ้าเป็นเรื่องจริง...เจ้านายอาจจะเป็นอันตรายได้"
"ฉันไม่กลัวหรอก นายไม่ต้องห่วง"
“ผมว่ามันเสี่ยงเกินไปนะครับเจ้านายเราอย่าไปงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้เลย”
“อย่าห่วงไปเลยฉันไม่ยอมตายง่ายๆหรอก.....นายก็รู้”
“แต่ว่า…..”
“ทำตามที่บอกก็พอนายออกไปข้างนอกเถอะ”
“ครับ”
คาร์เรย์ยังดูนิ่งสงบกับเรื่องนี้ เขายังไม่เชื่อว่าเรื่องที่มีร่าบอกจะเป็นจริง มันเป็นไปได้ยังไงที่เธอคนนั้นจะรู้ทุกอย่างและถ้าเรื่องที่เธอเตือนเขาเกิดขึ้นจริงๆ มันต้องมีอะไรบางอย่างซะแล้วล่ะ
“ถ้าเรื่องที่ยัยเด็กคนนั้นพูดเป็นเรื่องจริงฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง...ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรอย่างที่เธอบอกรึเปล่า”
ติดตามตอนต่อไปนะคะ
ณ.ธนาคารแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพ
“ขอร้องนะคะ ขอเวลาฉันแค่เดือนเดียว เดือนเดียวเท่านั้น ฉันจะหาเงินมาใช้หนี้ให้ครบทุกบาททุกสตางค์.....นะคะฉันขอร้อง แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ...นะคะ...ช่วยฉันด้วยเถอะ”
“ทางเราก็ผ่อนผันให้คุณมากหลายครั้งมากแล้วนะคะ...ขอโทษจริงๆฉันคงช่วยอะไรคุณไม่ได้”
“นะคะ อีกแค่ครั้งเดียว...ฉันไหว้ล่ะค่ะ” หญิงสาวพูดอ้อนวอนพร้อมกับยกมือไหว้ พนักงานสาวที่กำลังทำหน้าหนักอกหนักใจท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆพนักงานด้วยกัน..และเหล่าลูกค้าที่มาใช้บริการประมาณสิบกว่าคนเห็นจะได้...พวกเขาต่างจับจ้องไปที่การสนทนาของทั้งคู่
“อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ..ยิ่งคุณทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งลำบากใจ..ฉันเองก็เป็นแค่พนักงานผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น..ฉันทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรหรอกนะคะ...ฉันเองก็เห็นใจคุณ...แต่ต้องขอโทษจริงๆนะคะ ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้จริงๆ”
พนักงานสาวรีบกุมมือที่เธอยกขึ้นไหว้เอาไว้....แต่ทว่าตัวเธอกลับแข็งทื่อยืนจังงังโดยไม่รู้สาเหตุก่อนที่หญิงสาวจะรีบสะบัดมือของพนักงานธนาคารคนนั้นออกและทำท่าทางเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง....
“ปะ เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” พนักงานสาวรีบถามทันทีเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆของเธอ...
“...............” หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับจ้องหน้าพนักงานคนนั้นด้วยดวงตาที่สั่นระริก
“คุณคะ เป็นอะไรรึเปล่าคะ....” พนักงานถามขึ้นอีกพร้อมกับจับที่ไหล่ของเธออย่างเป็นห่วง
“คืนนี้......อย่าไปหาผู้ชายคนนั้นนะคะ.....” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือพร้อมจ้องไปที่พนักงานสาวคนนั้น....
“อะ อะไรนะคะ คุณกำลังพูดอะไร....”
“อย่าไปหาเขานะคะ คุณต้องเชื่อฉันนะ อย่าไปหาเขาเด็ดขาด” คราวนี้เธอกลับเป็นฝ่ายใช้มือทั้งสองข้างเขย่าตัวของพนักงานคนนั้นแทน...ท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของคนที่อยู่ในธนคาร...
“คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย ปล่อยฉันนะคะ”
“รับปากฉันก่อนสิว่าจะไม่ไปหาเขา!! รับปากสิ!!!” หญิงสาวพูดพร้อมเขย่าตัวของพนักงานคนนั้นไม่หยุด จนยามต้องรีบเข้ามาแยกตัวของเธอออกไป
“เป็นอะไรรึเปล่า?” เพื่อนพนักงานอีกคนเดินเข้ามาหาพนักงานสาวคนนั้นและถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไร...สงสัยจะเสียสติไปแล้ว...” พนักงานสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอามือลูบแขนตัวเองปอยๆ มองผู้หญิงคนนั้นถูกยามลากออกไปข้างนอก แต่เธอก็ยังพยายามตะโกนบอกว่า อย่าไปหาเขา....อย่าไปหาเขา โดยที่ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังจะบอก
“อย่าไปหาเขานะคะ เขาจะฆ่าคุณ คุณต้องเชื่อฉันนะ!!! ปล่อยฉันนะคะ ฉันจะต้องไปห้ามเธอ ปล่อยฉันนะ!!!” หญิงสาวดิ้นไปมาสุดกำลังพยายามจะให้หลุดจากมือของยามสองคนที่กำลังลากเธอออกมา
แต่เธอก็ไม่สามารถสู้แรงของผู้ชายสองคนได้ เธอถูกโยนออกมาจากธนาคารทันที
“รีบไปซะเถอะ ก่อนที่เขาจะแจ้งตำตวร สงสัยคิดมากเรื่องหนี้จนเสียสติไปแล้ว ” ยามพูดกับเธอก่อนจะเดินพำพึมกลับเข้าไปในธนาคารพร้อมล็อกประตูเอาไว้...
“เปิดก่อนสิ คุณต้องห้ามเธอนะ พวกคุณต้องห้ามเธอ อย่าให้เธอไปหาผู้ชายคนนั้นนะคะ” หญิงสาวยังพยายามตะโกนบอกแม้จะไม่มีใครสนใจฟัง
ให้ตายเถอะ ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้างทำไมต้องหาว่าฉันบ้าด้วย เธอคิดในใจ....
“ทำไมถึงไม่เชื่อฉันนะ ” หญิงสาวสบถออกมาอย่างหัวเสีย.....ก็ได้ในเมื่อไม่ฟังกันใครจะเป็นจะตายก็ช่างหัวมันเถอะ...เธอถอนหายใจก่อนจะหันหลังเตรียมจะเดินหนี แต่ทว่ากับชนกับใครคนหนึ่งเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ...เธอหงายหลังล้มตึ้งก้นจ้ำเบ้า.....
“โอ๊ยยยยยย ก้นฉัน....ไม่มีตารึไงห๊ะ!” เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองคู่กรณีที่ทำให้เธอล้มกระตดูกก้นกบแทบหัก.....
ผู้ชายในชุดสูทสีเทาเข้มที่ถูกรีดจนเรียบเนี๊ยบไปทุกตารางของผืนผ้าชุดของเขาแทบจะไม่มีรอยยับเลย ผมสีดำของเขาถูกเซ็ตเล็กน้อยเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ตัดกับสีผิวที่ขาวและเนียนละเอียดจนผู้หญิงบางคนยังต้องอาย...คิ้วดกดำหนาเข้มรับกับดวงหน้าคมของเขาได้เป็นอย่างดีจมูกโด่งสันเป็นคมช่างเหมาะกับริมฝีปากอิ่มได้รูปของเขายิ่งนัก เหมือนดั่งพระเจ้าบรรจงปั้นมาไม่มีผิด.....เธอมองตั้งแต่หัวจรดลงมาถึงร้องเท้าหนังขัดมันที่เขาใส่ มันมันวาวจนเห็นเงาสะเทือนใบหน้าของเธอ....สรุปคือทุกอย่างในตัวของผู้ชายคนนี้เนี๊ยบมากไม่มีที่ติเลย....แต่ว่าในมือของเขาข้างหนึ่งกลับถือไม่เท้าคล้ายๆไม่ตะพดสีน้ำตาลเข้มมันเงาแกะสลักรวดลายมังกรสวยงามแต่ก็ดูดุดันอย่างบอกไม่ถูก....แต่ช่างมันเถอะเรื่องไม่เท้าไม่ได้เกี่ยวกับความหล่อของเขาซะหน่อย....^^
หญิงสาวกำลังตกตลึงงันในความหล่อเหลาที่ไม่เคยพบเจอที่ไหน...หรือว่าสวรรค์จะส่งเขามาให้กันนะ ความเพ้อเจ้อเริ่มก่อเกิดขึ้นมาในหัว...และอยู่ๆเขาก็ยืนมือของเขาออกมาตรงหน้าเธอ...หญิงสาวเอื้อมไปจับเอาไว้ทันทีโดยไม่รู้ตัว...เขาจึงพยุงตัวเธอลุกขึ้น....
“เป็นอะไรมั๊ย.....” เสียงขรึมๆเรียบๆเอ่ยถาม....
“มะ ไม่เป็นอะไรค่ะ.....” เธอยังคงไม่หลุดจากภวังค์แห่งความเพ้อเจ้อ
“ถ้าไม่เป็นอะไร ก็ปล่อยมือฉัน แล้วหลีกไปให้พ้นสักทีเถอะ....”
เพล้ง!! เสียงใบหน้าของเธอแตกจนละเอียด...ทำไมคำพูดคำจาถึงได้ขัดกับบุคลิกเช่นนี้...
หญิงสาวได้แต่ยืนอึ้ง...เขาจึงสะบัดมือเธอออกก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่แต่งตัวดีไม่ต่างกันยื่นผ้าผืนเล็กให้กับชายหนุ่มผู้ดูเหมือนจะเป็นเจ้านาย...เขาเช็ดมือของตัวเองเหมือนกำลังทำความสะอาดมือเพราะสัมผัสสิ่งสกปรกมา...ทำแบบนี้หมายความว่าไงย่ะ! หญิงสาวกัดฟันดังกรอด....
“นี่......!!!” เธอกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่เขากลับเดินเลี่ยงหนีไปเพื่อจะเข้าไปในธนาคารที่เธอพึ่งถูกโยนออกมา...เขาไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย...
“นี่...เพราะนิสัยแบบนี้สินะ ถึงมีคนคอยจ้องแต่จะฆ่า....” หญิงสาวพลั้งปากออกมาด้วยความโมโห...แต่มันกลับทำให้เขาชะงักฝีเท้าทันที...
“ว่าไงนะ....” เขาถามเธออย่างฉงนสงสัย
“ไม้เท้านั่นน่ะ ไม่ใช่ไม้เท้าธรรมดาใช้ม่ะ....” เธอพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่าง...มันยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสัยเข้าไปอีก...
“......................” แต่เขาก็ยังเงียบไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ
“ยังไงก็ระวังผู้ชายผิวเข้ม สวมถุงมือสีดำด้วยแล้วกัน...ดูท่าทางเขาจะไม่ประสงค์ดีกับคุณเท่าไหร่นะ...”
“เธอกำลังหมายถึงใคร” เขาถาม
"ไม่รู้สิ ก็ผู้ชายคนหนึ่ง อย่าให้เขาเข้าใกล้คุณก็พอ ไม่งั้นก็ใช้เจ้านั่นแทงเขาซะ ก่อนที่เขาจะแทงคุณ" หญิงสาวชี้ไปที่ไม้เท้าของเขา
"เธอพูดอะไรของเธอเนี่ย" ชายหนุ่มถามพร้อมทำหน้าสงสัย
"โอ๊ย ช่างมันเถอะฉันมันก็แค่คนบ้าพูดเพ้อเจ้อไปอย่างนั้นเองแหละพวกข้างในถึงได้โยนฉันออกมาอยู่ตรงนี้ไง คุณกำลังจะเข้าไปข้างในใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นช่วยเตือนผู้หญิงคนนั้นด้วย ช่วยบอกเธอทีว่าคืนนี้อย่าไปหาผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด" หญิงสาวชี้มือไปที่พนักงานหญิงที่ยืนอยู่ในธนาคาร
"ทำไมฉันต้องทำตามที่เธอบอกด้วย" เขาถามหน้านิ่ง
"ฉันก็แค่อยากช่วยเธอแต่เธอหาว่าฉันบ้า ถ้าเธอไม่ฟังคำเตือนของฉันพรุ่งนี้เธอคงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งดังไปทั่วประเทศแน่ๆ"
".............................." ชายหนุ่มนิ่งและไม่ถามอะไรต่อ
"เอาเถอะคุณจะไม่เชื่อก็ตามใจ ฉันไปล่ะ พูดอะไรไปคนก็หาว่าบ้า ไม่รู้จักฟังคำเตือนของคนอื่นบ้างเลย "
หญิงสาวเดินเอามือปัดก้นปอยปอยแล้วเดินเลี่ยงหนีไป….ชายหนุ่มได้แต่ยืนงงและสงสัยเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อกี้ มันหมายความว่ายังไงกันนะ
** **
** **
ณ ห้องเช่าเล็กๆแห่งหนึ่ง
มีร่าเดินโซเซกลับมาที่ห้องพักของเธอเธอโยนกระเป๋าสะพายทิ้งลงทันที ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอน
"ทำไมมันทั้งเหนื่อยทั้งหล้าแบบนี้นะ" มีร่าถอนหายใจเฮือกใหญ่
มีร่าหญิงสาววัย 20 ปี เธอตัวคนเดียวอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆแห่งหนึ่ง เธอทั้งทำงานและพยายามส่งตัวเองเรียนไปด้วย พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็กตอนนั้นเธอ 5 ขวบเห็นจะได้ อันที่จริงครอบครัวของเธอค่อนข้างมีฐานะแต่พอพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตเธอก็ต้องไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าเพราะไม่มีญาติคนไหนรับเลี้ยง...จนกระทั่งเธออายุได้ 17 ปีก็มีคุณน้าซึ่งเป็นน้องสาวของแม่ของเธอมาขอรับเธอไปเลี้ยงเพราะเธอไม่อยากอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าอีกต่อไปเธอจึงยอมไปอยู่กับน้าสาวของเธอ
น้าสาวของเธอค่อนข้างเกเรมากเธออายุเพียง 35 ปีเท่านั้นเธอทำงานในผับเวลากลางคืนส่วนตอนกลางวันจะนอนเอาแรงอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นน้าที่ดีคนหนึ่ง
แต่ถึงน้าของเธอจะดีกับเธอมากเธอก็ชอบสร้างปัญหาให้กับมีร่าอยู่ตลอดเวลา เธอชอบดื่มเหล้าชอบเล่นการพนันไปติดหนี้เขาอยู่หลายแสน ซ้ำยังเอาที่ดินบ้านหลังเดิมที่เป็นชื่อแม่ของมีร่าไปจำนองที่ธนาคารเป็นเงินจำนวน 500000 บาท
ที่ดินตรงนั้นเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่ของมีร่าทิ้งเอาไว้ให้แต่เพราะเธอเชื่อใจและเห็นใจน้าสาวของเธอว่ากำลังลำบากเธอจึงยอมเซ็นต์เอกสารสิทธิ์มอบอำนาจให้น้าสาวของเธอดูแล จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้น
เพราะน้าสาวของเธอไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ธนาคาร ทางธนาคารก็เลยจะยึดบ้านพร้อมที่ดินของเธอมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องหยุดเรียนและพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้แต่ไม่ว่าจะพยายามหายังไงมันก็ไม่พอสักทีเงินตั้ง 500,000 บาทมันเยอะเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอ...แต่ถึงอย่างนั้นมีร่าก็ยังพยายามขอร้องทางธนาคารให้ยืดเวลาให้เธออีกสักหน่อย แต่เขาก็ผ่อนผันให้เธอมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
มีร่านอนขดตัวสะอื้นร้องไห้อยู่บนเตียงของเธอ
"แม่จ๋า พ่อจ๋า หนูคงทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาจะยึดบ้านเราแล้วพ่อแม่ หนูควรทำยังไงดีคะ อึก"
หญิงสาวสะอื้นร้องไห้จนปัญญากับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาเธอไม่รู้ว่าทำไมชีวิตของเธอถึงเจอแต่เรื่องเลวร้ายเช่นนี้และที่แย่ไปกว่านั้นสิ่งที่เธอไม่ชอบที่สุดในตัวของเธอคือการมองเห็นอนาคต
ใช่ มันฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแต่มันเป็นเรื่องจริงมีร่าสามารถมองเห็นอนาคตของคนอื่นได้เพียงแค่สัมผัสมือของคนคนนั้นแต่เรื่องราวที่เธอชอบเห็นมักจะมีแต่เรื่องไม่ดีมีแต่การสูญเสียและความตายเพราะฉะนั้นถ้าไม่จําเป็นจริงๆเธอจะไม่จับมือใคร สุ่มสี่สุ่มห้าเพราะเธอไม่อยากเห็นภาพที่ไม่ควรจะเห็น
มีร่า พยายามกลั้นน้ำตาหยุดสะอื้นร้องไห้ก่อนจะลุกนั่งบนเตียงแล้วหยิบรูปของแม่กับพ่อที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมาดู
“พ่อจ๋าแม่จ๋า อึก หนูเห็นอีกแล้วผู้หญิงคนนั้นจะตาย ผู้ชายที่เธอจะไปหาจะฆ่าเธอ ฮือออๆๆ หนูจะทำยังไงดีคะแม่หนูพยายามแล้วหนูอยากช่วยเธอแต่ไม่มีใครเชื่อหนูเลย อึกๆ อึกๆ ทั้งทั้งที่หนูรู้ว่าจะมีคนตาย ฮือออๆๆๆ อึกๆ แต่หนูกับช่วยอะไรใครไม่ได้ ฮือๆๆ อึก อึก ทำไมหนูต้องมองเห็นอะไรพวกนี้ด้วยคะทำไมต้องเป็นหนูด้วย...หนูกลัว อึกๆ ฮือๆๆ”
มีร่าพึมพำด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ..
ความสามารถพิเศษของเธอที่เธอไม่ชอบที่สุดคือการรับรู้เรื่องราวของคนอื่น
"ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ" มีร่ายังอดเป็นห่วงเธอไม่ได้
หญิงสาวเหนื่อยล้าจากการทำงานและการไปอ้อนวอนขอให้ธนาคารยืดเวลาใช้หนี้ไปก่อนเธอนอนกอดรูปพ่อแม่และพล่อยหลับไป
เช้าวันต่อมา
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพในเนื้อที่กว่าร้อยไร่
เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้เป็นชายหนุ่มอายุเพียง 27 ปีเท่านั้นต้นตระกูลของเขาร่ำรวยมาแต่โคตรเหง้าเขาทำธุรกิจหลายอย่างรวยติดอันดับมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทยเขาเน้นทำธุรกิจที่ได้ผลประโยชน์มากเท่านั้น เพราะการลงทุนทุกบาทต้องคุ้มค่าต่อการเสี่ยง
คาร์เรย์ ชายหนุ่มวัย 27 ปี เจ้าของธุรกิจแสนล้าน เขาเป็นคนเงียบๆดูดุและขรึมมากแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นที่สนใจของสาวๆเพราะความร่ำรวยและหน้าตาที่หล่อเหลาจึงทำให้เขาเป็นหนุ่มเนื้อหอม ดุจดอกไม้งามที่มีสตรีเป็นดั่งผีเสื้อผลัดเปลี่ยนกันอยากเข้ามาดอมดมแต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่เคยมีสาวคนไหนได้ครอบครองหัวใจของเขาเลย…
คาร์เรย์ยังพุดคิดถึงคำพูดของหญิงสาวที่เขาเพิ่งเจอมาเมื่อวาน... เขาแปลกใจว่าผู้หญิงคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าไม้เท้าที่เขาถือไม่ใช่แค่ไม้เท้าธรรมดาเพราะที่จริงแล้วข้างในนั้นมันเป็นดาบที่ทำปลอกและด้ามให้เหมือนไม้ตะพดเท่านั้นเขาพกติดตัวไปตลอดเวลาเพราะว่ามีคนจ้องจะฆ่าและทำร้ายเขาอยู่จริงๆอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูด
คาร์เรย์สวมเสื้อคลุมสีดำนั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องนอนชั้น 2 บนคฤหาสน์ เขานั่งบนเก้าอี้ไม้แกะสลักตัวใหญ่ทอดสายตามองออกมาด้านนอกของหน้าต่าง...ท้องฟ้าวันนี้ช่างมืดครึ้มหนักฝนตั้งเค้าว่าจะตกแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆจิบกาแฟก่อนจะวางถ้วยลงบนโต๊ะแล้วหยิบไม้เท้าของเขาขึ้นมาเขาปลดล็อคและดึงด้ามของดาบออกมามันเป็นดาบเนื้อดีที่คมเงางามและสวยมากเป็นอาวุธที่ดูไม่เหมือนอาวุธที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อน...มันเป็นมรดกตกทอดมาจากคุณปู่ของเขา…
ต้นตระกูลของเขาร่ำรวยและมีอำนาจมาก แต่ทว่ายิ่งมีอำนาจมาก เหล่าศัตรูจึงมีมากกว่าพอๆกันพ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายตั้งแต่เขายังเด็กและหลังจากนั้นเขาจึงเป็นผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูลเขาเติบโตมาท่ามกลางลูกน้องที่ยังจงรักภักดีนับร้อยๆชีวิตโดยมีคนสนิทของคุณพ่อเป็นคนเลี้ยงดูมาและบอกสิ่งที่เขาควรทำทุกอย่างเขาถูกเลี้ยงมาให้อดทนและเข้มแข็ง...ให้ดูนิ่งสงบไม่ให้ใครสามารถอ่านใจหรือ อ่านความรู้สึกทางสีหน้าของเขาได้…
คนสนิทของคุณพ่อของเขาพร่ำบอกเขาอยู่เสมอว่าการตายของคุณพ่อเป็นการตายที่ไม่ยุติธรรม เขาต้องแก้แค้นให้กับคุณพ่อของเขาให้ได้และต้องขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดเหนือคนทั้งปวงให้ได้ถึงแม้ว่าจุดสูงสุดนั้นมันจะหนาวและเย็นเยือกแค่ไหนเขาก็ต้องยืนหยัดอยู่ให้ได้และนั่นคือสิ่งที่เขาจดจำฝังใจและตั้งใจจะทำมาตลอด
แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังหาตัวคนร้ายที่ฆ่าพ่อกับแม่ไม่ได้ ไหนยังจะพวกที่คอยตามฆ่าอีกเขาไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใครหรือต้องการอะไรไม่แน่อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับที่ฆ่าคุณพ่อคุณแม่ของเขาก็เป็นได้
“ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของฉัน” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะเก็บดาบเอาไว้
สักพักภาคินมือขวาคนสนิทของเขาก็เข้ามา
“เจ้านายครับมีจดหมายเชิญจากไอ้เกนนิสครับ” ภาคินยื่นบัตรเชิญให้คาร์เรย์
“......................”
“เจ้านายจะไปไหมครับ ผมว่าอย่าไปดีกว่า”
“ฉันจะไปฉันก็อยากรู้ว่ามันจะมาไม้ไหนอีก”
“แต่มันเสี่ยงมากนะครับ เจ้านายก็รู้ว่ามันไม่หวังดีกับเรา”
“ใช่ฉันรู้ เพราะฉะนั้นฉันยิ่งต้องไป เพราะถ้าฉันไม่ไปมันคงจะคิดว่าฉันกลัวมันจนไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันต้องทำให้มันรู้ซะบ้างว่ามันไม่ใช่ฝ่ายที่ล้าเราเพียงฝ่ายเดียว”
“งั้นก็ได้ครับ ผมจะเตรียมคนให้พร้อม”
“งานจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เหรอ”
“ครับ งานเลี้ยงจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้”
“อืม”
คาร์เรย์พูดแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งบนโซฟาหน้าทีวีตัวใหญ่ในห้องของเขามีขวดเหล้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศวางอยู่บนโต๊ะ เข้ารินมันใส่แก้วก่อนจะยื่นให้กับภาคิน
“นั่งสินายควรพักผ่อนบ้าง”
“ครับ” ภาคินเดินเข้ามารับแก้วอย่างนอบน้อมก่อนนั่งลงที่โซฟาอีกตัว
“เปิดทีวีให้ที ฉันอยากดูข่าววันนี้ว่ามีอะไรบ้าง”
“ครับ”
ภาคินหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวี...รายการอยู่ในช่วงข่าวเช้าพอดีกำลังรายงานข่าวเรื่องรถติดและเรื่องทั่วๆไปแต่สักพักก็มีรายงานด่วนตัดภาพเข้ามา
เนื้อหาของข่าวบอกว่ามีการฆาตกรรมพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง...เธอถูกชายหนุ่มที่คาดว่าจะเป็นแฟนของเธอใช้มีดปาดคอจนเกือบขาดและใช้ของแข็งทุกที่ใบหน้าของเธอจนเละสภาพศพดูไม่ออกเลยว่าเป็นใคร และตามร่างกายของเธอยังถูกกรีดเป็นริ้วทั่วทั้งตัว เธอเสียชีวิตอยู่ในห้องพักของแฟหนุ่มของเธอ ก่อนที่ข่าวจะโชว์รูปคนร้ายและผู้เสียชีวิตขึ้นมาคู่กัน
และนั่นมันทำให้คาร์เรย์และภาคินหันขวับมองหน้ากันทันที…
“นั่นมัน………” ภาคินสะอึกไป พูดไม่ออก
“ใช่ พนักงานที่คาธนาคารเมื่อวานนี้”
“ใช่ครับผมก็จำได้”
มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก คำพูดที่ดูเพี้ยนๆของยัยเด็กผู้หญิงคนเมื่อวานนี้เกิดขึ้นจริงๆ
“ เป็นไปได้ยังไง เรื่องที่เธอบอกเมื่อานเกิดขึ้นจริงๆด้วย ยัยเด็กคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนี้จะ”
“ใช่ครับ เมื่อวานเธอบอกให้เราเตือนผู้หญิงคนนั้น และบอกอีกว่าถ้าไม่ฟังคำเตือนของเธอพนักงานธนาคารคนนั้นจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งดังไปทั่วประเทศ”
“........................” คาร์เรย์ เงียบอึ้งกับสิ่งที่เขากำลังเจออยู่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
คำพูดที่เธอบอกวันนั้นเป็นจริงทุกอย่างข่าวการตายของพนักงานสาวคนนี้ดังไปทั่วประเทศเพราะเป็นการฆ่าที่โหดเหี้ยมมาก ข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ออกโทรทัศน์ทุกช่องไม่ว่าจะออกไปที่ไหนทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องการตายสยองขวัญในครั้งนี้
“ภาคินนายจำได้ไหมว่าเธอบอกอะไรฉัน”
“จำได้ครับเธอบอกให้เจ้านายระหว่างผู้ชายผิวเข้มใส่ถุงมือหนังสีดำ”
“นายคิดว่ามันจะจริงไหม”
“ผมเองก็ไม่รู้ครับ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงเธอคนนั้น.....รู้ได้ยังไง”
“......................”
“หรือว่าเธอจะเป็นหมอดู”
“จริงไม่จริงฉันว่าเราคงจะรู้ในอีกไม่นาน”
“ถ้ามันเป็นเรื่องจริงละครับเจ้านายจะทำยังไง”
"ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะทำนายอนาคตได้.... "
"แต่เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายนะครับเจ้านาย ดูข่าวนั่นสิครับ เธอพูดถูก"
".........................." คาร์เรย์นั่งนิ่งสีหน้าเรียบเฉย เรื่องนี้มันยากที่จะเชื่อ.....
“งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ ผมจะสั่งให้ลูกน้องของเราจับตาดูคนในงานเอาไว้ดูซิว่ามีผู้ชายผิวเข้มที่ใส่ถุงมือหนังสีดำหรือเปล่า”
"นี่นายเชื่อที่ยัยเด็กนั่นพูดจริงๆหรอ"
"ไม่เชิงว่าเชื่อ ผมแค่ต้องระวังเพราะถ้าเป็นเรื่องจริง...เจ้านายอาจจะเป็นอันตรายได้"
"ฉันไม่กลัวหรอก นายไม่ต้องห่วง"
“ผมว่ามันเสี่ยงเกินไปนะครับเจ้านายเราอย่าไปงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้เลย”
“อย่าห่วงไปเลยฉันไม่ยอมตายง่ายๆหรอก.....นายก็รู้”
“แต่ว่า…..”
“ทำตามที่บอกก็พอนายออกไปข้างนอกเถอะ”
“ครับ”
คาร์เรย์ยังดูนิ่งสงบกับเรื่องนี้ เขายังไม่เชื่อว่าเรื่องที่มีร่าบอกจะเป็นจริง มันเป็นไปได้ยังไงที่เธอคนนั้นจะรู้ทุกอย่างและถ้าเรื่องที่เธอเตือนเขาเกิดขึ้นจริงๆ มันต้องมีอะไรบางอย่างซะแล้วล่ะ
“ถ้าเรื่องที่ยัยเด็กคนนั้นพูดเป็นเรื่องจริงฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง...ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรอย่างที่เธอบอกรึเปล่า”
ติดตามตอนต่อไปนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ