สุดแต่สายลม :: The Windfall

10.0

เขียนโดย RAPHEE

วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.07 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  3,893 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ ๑ : การกลับมาของเศษความทรงจำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑

การกลับมาของเศษความทรงจำ

 

           “สวย!”

          พรพระพายยกมือขึ้นป้องปองกลั้นเสียงกรีดร้องเมื่อเห็นเพื่อนรักแต่งองค์ทรงเครื่องในชุดเจ้าสาวสีงาช้างที่หางยาวลากพื้นเต็มยศเป็นครั้งแรก ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วจับอีกคนหมุนตัวไปมาอย่างตื่นเต้น นัยน์ตามองเพื่อนด้วยความปราบปลื้มราวกับว่าคนที่ใส่ชุดนั้นคือตัวเธอเอง

          “สวยจริงๆนะเห้ย สีเข้ากับแกมาก คุณธารนี่เลือกเก่งจริงๆ” ยังคงชื่นชมไม่หยุดแม้จะขยับถอยออกมาไกลจากกานต์วิธูพอสมควรเพื่อให้ช่างเย็บชุดเข้ามาจัดแต่งชุดเจ้าสาวให้เข้าที่และปรับแก้ ส่วนคนที่ถูกมะรุมมะตุ้มก็วางหน้านิ่งไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆนอกจากถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า

          “อึดอัด” กานต์วิธูพึมพำเบาๆ แต่ก็พอให้คนทั้งห้องได้ยิน ช่างเย็บชุดสองคนที่ล้อมหน้าล้อมหลังเธออยู่ถึงกับหยุดชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมาลูกค้าพิเศษของตัวเองทันที คนพูดเองที่เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกมาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอบ่น... แต่ลืมนึกไปว่าในห้องนี้มีช่างตัดเย็บอยู่ด้วย พรพระพายต้องรีบยกยิ้มแล้วพูดแก้สถานการณ์

          “อึดอัดใจแกน่ะสิ”

          กานต์วิธูปรายตามองเพื่อนรักแล้วเหยียดยิ้มให้ ยกปากพูดคำว่าขอบคุณแบบไร้เสียงให้คนที่แก้ต่างแทน ความจริงเธอเองก็คิดแบบที่พรพระพายพูดไม่มีผิด

          “ถ้าฉันเป็นแกนะ ได้เจ้าบ่าวแสนดี โปรไฟล์เริดขนาดนั้น ไม่ต้องจัดแล้ว งานแต่งน่ะ เข้าหอไปเลย” พรพระพายพูดต่อแล้วเดินไปนั่งลงที่โซฟารับรอง หยิบนิตยาสารเกี่ยวกับงานแต่งงานขึ้นมาเปิดผ่านไปพลางๆ

กานต์วิธูเบ้ปกกับคำพูดของเพื่อน พรพระพายน่ะชอบพูดไปเรื่อย แต่พอถึงเวลานั้นมาจริงๆ กลับวิ่งหนีซะจนคนที่เข้ามาหาหมดแรงเดินคอตกย้อนศรกลับกันจนหมด

“แล้วทำไมตอนคุณไทม์มาจีบ ไม่ตกลงคบไปละจ๊ะ นั่นก็รูปหล่อ พ่อรวย” ได้ทีก็รีบแซ็วบ้าง

คนที่นั่งอ่านนิตยาสารอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองคนพูดแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “สนใจไหมละ ติดต่อให้” กานต์วิธูรีบส่ายหน้า พรพระพายจึงหลุดหัวเราะออกมา จำได้ว่าเพื่อนเธอยังเข็ดขยาดกับหนุ่มนักเรียนนอกที่เคยเพียรมาขายขนมจีบให้เธอเมื่อตอนต้นปีไม่หาย

คุณไทม์หรือเทพธรรม คือหนุ่มนักเรียนนอก ลูกชายเจ้าของบริษัทผลิตอาหารแช่แข็งรายใหญ่ในประเทศที่มีโอกาสได้รู้จักกันอย่างบังเอิญแล้วหลังจากนั้นชายหนุ่มก็มาเทียวไล้เทียวขื่อเธออยู่สักพัก แรกๆจากที่เธอลองสังเกตก็เป็นคนที่ใช้ได้ที่เดียว จึงลองรับนัดไปรับประทานอาหารกับเขาหลังจากที่เจ้าตัวเอ่ยชวนมาหลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่เคยเปิดโอกาสสักที ครั้งนั้นเธอพาเพื่อนสนิทอย่างกานต์วิธูไปด้วย

ร้านอาหารที่ไปด้วยกันคือร้านอาหารธรรมดาที่พรพระพายเป็นคนขอเลือกเอง แล้วความประทับใจในการรับประทานอาหารด้วยกันในครั้งแรกกับเทพธรรมก็ตราตรึงในใจเธอไปอีกนานแสนนาน...

“เบาะที่ร้านนี้แข็งไปหน่อยนะครับ” ทันทีที่ก้นแตะลงบนเก้าอี้ในร้านนั่นคือสิ่งแรกที่เทพธรรมเอ่ยขึ้น พรพระพายและกานต์วิธูพยักหน้าให้เขาและส่งยิ้ม ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร ปล่อยให้ชายหนุ่มเรียกบริกรและขอเมนู

เทพธรรมจัดการสั่งอาหารทั้งหมดตัวด้วยเองโดยไม่ฟังความคิดเห็นจากคนที่ตัวเองชวนมานัดเดตด้วยแม้แต่น้อย เขาคืนเมนูให้บริกรไปแล้วหันมามองหญิงสาวทั้งสอง “ทำไมพายไม่มานั่งข้างผมละ คุณนั่นกับน่าน ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินเลย”

“นั่งแบบนี้ก็ดีแล้วค่ะ” พรพระพายตอบกลับ แล้วหันไปสบตากับกานต์วิธูที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าไว้

“พายมาทานอาหารพวกนี้บ่อยหรอครับ” เทพธรรมกวาดสายตาไปรอบๆ มองดูบรรยากาศในร้าน

“ก็บ่อยค่ะ ถ้าน่านว่างก็มาด้วยกัน” หญิงสาวตอบตามความจริง

“อืมม.. ถ้าคุณชอบ ผมซื้อเฟรนไชน์ร้านไปเปิดหน้าร้านของคุณไหม จะได้กินบ่อยๆ”

คนฟังแทบสำลักน้ำที่กำลังยกดื่มก่อนจะวางแก้วแล้วพยายามควบคุมลมหายใจตัวเองให้เป็นปกติก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้ชอบขนาดนั้น”

คนเจตนาดีพยักหน้ารับรู้แล้วก้มลงมองเก้าอี้ก่อนจะพูดขึ้นอีก “งั้นผมสั่งเปลี่ยนเก้าอีกทุกสาขาเลยดีกว่า เบาะแข็งมากเลย นั่งไม่สบาย เวลาพายไปกินที่ไหนจะได้นั่งสบายๆเอาไหม”

เป็นอีกครั้งที่พรพระพายต้องรีบส่ายหน้าจนผมกระเซิง

“แหม... ขนาดนี้ไม่ซื้อห้าง ซื้อถนน ซื้อทุกอย่างเลยละคะ” กานต์วิธูที่มองไปทางอื่น แต่ยังมิวายพูดแขวะคนบ้านรวย

“เป็นความคิดที่ดีมากครับคุณน่าน พายคิดว่ายังไงครับ”

!!”

เรื่องราวทั้งหมดจบลงด้วยพรพระพายต้องบอกกับเทพธรรมว่าความจริงแล้วเธอคบอยู่กับชาวต่างชาติ คนช่างตื๊อจึงยอมรามือแล้วหายไปจากชีวิตของเธอเอง

“แล้วไหนชุดแก” กานต์วิธูกวาดสายตาไปรอบๆร้านเมื่อไม่เห็นชุดเพื่อนเจ้าสาวที่เธอบอกให้พรพระพายมาเลือกพร้อมกับตนเอง

“ไว้ค่อยมาดูวันหลังดี ฉันจะกลับละ” คนไม่สนใจอะไรตอบพลางเปิดนิตยสารหน้าถัดไป

“แล้วจะเสียเวลามานั่งเหี่ยวแห้งอยู่ในร้านทำไม มาแล้วก็เลือกสิ”

พรพระพายยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามองแล้วเงยหน้าตอบเพื่อน “อีกหนึ่งชั่วโมงเปิดร้าน ไม่ทันแล้ว ถือซะว่าวันนี้มาเซอร์เวย์ก่อนไงจ๊ะ อีกอย่างมานั่งเป็นเพื่อนแกรอคุณเจ้าบ่าวด้วย” คนมาสำรวจที่ทางพูดหน้าตาย ขัดกับคนชวนมาร้านชุดแต่งงานที่เท้าสะเอวมองเพื่อน

“แต่แกกำลังจะกลับ แล้วตอนนี้คุณธารก็ยังไม่มา”

ก่อนจะเกิดสงครามน้ำลายขนาดย่อมในห้องร้านชุดแต่งงานระหว่างเพื่อนรัก เสียงระฆังที่แขวนไว้ยังประตูก็ดังขึ้นเพราะถูกเปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีครามแขนยาวที่ถูกพับแขนขึ้นมาเกือบขึ้นข้อศอกและกางเกงสแล็คสีดำ สวมรองเท้าหนังอย่างดี ที่แขนของเขายังมีสูทสีดำพาดไว้

ร่างสูงส่งยิ้มบางๆมาให้ว่าที่เจ้าสาวของตัวเองแล้วก้าวตรงเข้ามาหา

“ขอโทษนะครับ คุณน่านมาถึงนานหรือยังครับ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามขณะวางสูทลงบนพนักของเก้าอี้นวมก่อนจะหันมามองพรพระพายที่นั่งอยู่ด้วยความแปลกใจ คนถูกมองยิ้มแหยแล้วรีบลุกขึ้นยืนตรง

“สักพักแล้วค่ะ” กานต์วิธูตอบแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างเพื่อนสนิทของตัวเอง แล้วผายมือไปทางชายตรงหน้า “แก.. นี่คุณชลธาร วัฒนาดล เป็นเจ้าของรีสอร์ตอยู่ทางใต้ ดังๆทั้งนั้นเลย”

พรพระพายยกมือขึ้นไหว้เนื่องจากทราบมาว่าว่าที่เจ้าบ่าวของกานต์วิธูนั้นอายุมากกว่าเพื่อนของเธอ แต่ก็ไม่ทราบว่ากี่ปี แต่ถ้าให้เดาก็คงไม่เกินห้าปี เพราะดูจากหน้าตาและรูปร่างแล้ว คุณธารคนนี้ดูไม่แก่เลยสักนิด ไม่น่าจะเกินสามสิบห้าไปได้ อาจจะสักสามสิบหรือสามสิบเอ็ด

“สวัสดีค่ะ”

ชลธารยกมือขึ้นรับไหว้แล้วยิ้มให้เธอ ก่อนที่กานต์วิธูจะหันไปพูดกับเขา “คุณธารคะ นี่พายค่ะ เพื่อนสนิทน่าน เป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วย”

“ครับ อืม... ผมว่าผมคุ้นหน้าคุณพาย เหมือนเคยเจอ แต่นึกไม่ออก” ชลธารขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วก็คลายออกคล้ายไม่อยากจะนึก “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

พรพระพายตอบกลับ “ยินดีเช่นกันค่ะ ฝากน่านด้วยนะคะ ไม่คิดเลยว่าจะมาแซงคิวแต่งงานตัดหน้ากันแบบนี้” หญิงสาวพูดคุยด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง กานต์วิธูแกล้งเบ้ปากแล้วพูดแบบไร้เสียงอะไรสักอย่างกับเจ้าบ่าวของตัวเอง จนพรพระพายต้องหันมาตีแขนเบาๆ

ชลธารหัวเราะกับสองเพื่อนรัก “พอดีเลย วันนี้ผมก็พาเพื่อนเจ้าบ่าวมาดูชุดเหมือนกัน คุณพายได้ชุดหรือยังครับ จะได้ใส่แนวๆเดียวกัน”

“ยังเลยค่ะ พายยังไม่ได้ดูเลย กะว่าวันหลังค่อยมาดู งานแต่งตัวเดือนธันวา นี่เพิ่งกันยาเอง” พรพระพายอธิบาย ชลธารพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ความจริงเขาเองก็คิดว่าทางผู้ใหญ่รีบเกินไปจริงๆเพราะทั้งชุดของเขาและเจ้าสาวถูกจัดเตรียมไว้ตั้งแต่กลางปีแล้ว ส่วนเรื่องสถานที่และภายในงานไม่ต้องพูดถึง...

“งั้นรอให้น้องผมมาเลือกพร้อมกับคุณพายดีกว่า จะได้ธีมเดียวกัน” ชลธารเสนอ พรพระพายและกานต์วิธูเองก็ไม่ได้ขัดอะไรก่อนเพื่อนเจ้าสาวนึกบางอย่างขึ้นได้จึงรีบรวบเอากระเป๋าสะพายบนโต๊ะมาสะพายแล้วหันไปบอกกับเพื่อนรัก

“ไอน่าน ต้องไปแล้วหวะ เดี๋ยวเปิดร้านไม่ทัน จะห้าโมงแล้ว”

“อ่าวหรอ แล้วจะกลับไง แกไม่ได้เอารถมา” กานต์วิธูถามกลับ ขามาร้านชุดแต่งงาน เธอเป็นฝ่ายไปรับ พรพระพายที่คอนโดของเพื่อน จะเรียกว่าไปลากถึงที่นอนเลยก็ได้ แต่พอขากลับ พรพระพายต้องกลับเองก็แอบรู้สึกไม่ดีไม่ได้ เหมือนตัวเองลอยแพเพื่อนอย่างไรก็ไม่รู้

“บีทีเอสไง บ้านฉันรถไฟฟ้าเข้าถึงแล้วยะ” พรพระพายยู่หน้าใส่คนขี้เป็นห่วง แล้วหันมายกมือไหว้ลาชลธาร แต่น้ำเสียงนุ่มทุ้มกลับขัดขึ้นมาก่อน

“ร้านคุณพายอยู่ที่ไหนครับ ให้น้องผมขับรถไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ พายเกรงใจ จากนี่ไปร้านพายคงรถติดน่าดู บีทีเอสคงสะดวกกว่า ขอบคุณมากนะคะ” พรพระพายปฎิเสธเพราะเกรงใจจริงๆ เนื่องจากตอนนี้คือช่วงเวลาที่เธอเรียกว่านรกแตก จำนวนมวลมหาประชารถยนต์ของชาวกรุงเทพออกมาคลาคลั่งไปทั่วท้องถนน ไม่ขยับไปไหนเกือบสองชั่วโมง

นี่แหละ... นรกของจริง

“งั้นก็เดินทางดีๆนะแก อย่าเหม่อ อย่าใจลอย” พรพระพายหันหลังกลับมาจ้องหน้าเพื่อนรัก ก่อนจะส่งเสียงจึ๊ในลำคอ

“นิ! เพื่อนก็ไม่ได้เป็นเอ๋อหรือเปล่า...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี เสียงระฆังที่หน้าประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใครคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามา

 “พี่ธาร พี่ทำโทรศัพท์ตกในรถผม”

เสียงนั่น!!

คนที่ยืนหันหลังให้ประตูเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด นานแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงแบบนี้ อาจจะราวๆสิบปีที่ไม่ได้ยิน จนเธอเกือบจะลืมเจ้าของของมันไปแล้วว่าเขาเป็นใคร สองมือกำกระเป๋าสะพายไว้แน่น เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ

 “อ่าวหรอ ขอบใจเว้ย” ชลธารเดินผ่านข้างตัวเธอไปหาเจ้าของเสียง แล้วพูดคุยะไรกันอีกเล็กน้อยแต่สมองเธอไม่อาจประมวลผลได้ รู้สึกสูดลมหายใจได้สั้นลงกว่าครั้งไหนๆ ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเป็นแบบนี้นี้เอง พรพระพายหลับตาแล้วพยายามควบคุมลมหายใจตัวเอง บอกให้ตัวเองมีสติเหมือนยามที่ต้องเผชิญเรื่องไม่คาดคิด

เธอไม่ได้ตื่นเต้นที่ได้ยินเสียงนี้ ไม่ได้หัวใจเต้นแรงเหมือนครั้งที่สุดท้ายที่ตัดสินใจแล้วเดินหันหลังจากมา

เธอเพียงตกใจ... และไม่คิดมาก่อนว่าโลกจะกลมถึงเพียงนี้

“ไอนุ!” กานต์วิธูพึมพำและมองเพื่อนเก่าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองก่อนจะขยี้ตาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาดหรือแค่คนหน้าคล้าย

คนตรงหน้าคือนุกูล เมธาหิรัญตัวจริง... งั้นหรอ

“เออสิ ไอนุนี่แหละ ยังจำได้หรือไง” ไอนุของกานต์วิธูตอบกลับ ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้คนที่ยังคงไม่ยอมหันไปเผชิญหน้ามั่นใจมากกว่าเดิมว่าเธอไม่ได้จำคนผิด

“ไม่เจอกันนานมาก เป็นไงบ้าง” คนเคยอยู่ห้องเดียวกันทักทายกัน กานต์วิธูและนุกูลเองก็ไม่ได้พบกันร่วมสิบปีตั้งแยกย้ายกันไปในชั้นอุดมศึกษา เธอกับนุกูลสนิทกับพอสมควร ถึงสมัยมัธยมจะไม่ค่อยชอบหน้าอยู่บ้าง แต่นั่นก็เรื่องสมัยอดีต เธอคิดว่าตัวเองโตพอที่จะแยกแยะได้แล้ว

เรื่องที่ไม่ชอบหน้ามันก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรหรอก...

กานต์วิธูปลายตามองคนที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นในเทวสถานก่อนจะแอบถอนหายใจเบาๆ เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ พรพระพายกำลังคิดอะไรอยู่

“สบายดี แกอะ ตอนที่พี่ธารบอกชื่อเจ้าสาวฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแก จนต้องขอดูรูป สรุปว่าเป็นแกจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าพี่ธารจะแต่งงานกับคนแบบนี้” นุกูลหัวเราะออกมาเมื่อกานต์วิธูชักสีหน้าใส่

“คนแบบฉันมันทำไม”

“คนแบบแกหรอ” นุกูลทำท่าลูบปลายคางแล้วหรี่ตามองหญิงสาว “อื้มม...”

“พูดดีๆ”

“ก็เป็นคนเก่งไง ขยัน เอาการเอางาน รักครอบครัว” นุกูลตอบแล้วหันไปมองทางพี่ชายคนสนิท “สมัยเรียนมัธยมด้วยกันมันไม่เคยมีแฟนเลยนะพี่ เด็กเนิร์ดไง ท็อประดับตลอด”

ชลธารเลิกคิ้วมองกานต์วิธูแล้วยิ้มกว้าง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“เงียบซะไอเฮงซวยนุกูล” กานต์วิธูเรียกนุกูลด้วยฉายาที่เธอมอบให้ครั้งยังเรียนอยู่ด้วยกัน แต่เป็นฉายาที่เพื่อนๆไม่ให้การยอมรับเพราะถ้ามองจากภายนอก นุกูลคนนั้นห่างไกลจากคำว่าเฮงซวยไปมาก

แต่ถ้าฉายานุกูลล้านเล่มเกวียน... ก็คงพอหยวนๆให้กันได้

“ครับ” คนถูกสั่งยกมือขึ้นทำท่ารูดซิปปิดปากตัวเอง

เมื่อเห็นว่าเพื่อนทักทายกันเรียบร้อยแล้วพี่ใหญ่สุดจึงเอ่ยขึ้น “นุ ว่างหรือเปล่า ไปส่งเพื่อนคุณพายเขาหน่อยได้ไหม”

คนถูกพาดพิงถึงกับรีบหันไปมองทางชลธารแล้วส่ายหน้าไปมา สีหน้าดูตื่นตระหนกจนคนมีน้ำใจถึงกับงุนงงว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

“ไม่เป็นไรค่ะคุณธาร ไปเองสะดวกกว่า ขอตัวนะคะ” พรพระพายยกมือไหว้ชลธารเป็นครั้งที่สามแล้วโบกมือลากานต์วิธูก่อนจะเตรียมตัวสับขาวิ่งออกจากร้านให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้แต่โชคร้ายที่เธอช้าไปหนึ่งก้าว

ร่างสูงของคนที่เธอยังไม่อยากพบหน้าขยับเข้ามาขวางทางเธอไว้ “หวัดดี”

คนถูกทักทายถึงกับนิ่งงันไปก่อนจะสูดหายใจลึกๆแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าด้วยใบหน้านิ่งแล้วเบี่ยงตัวเดินผ่านชายหนุ่มไป

 

โรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่พิเศษในกรุงเทพมหานครยามนี้แน่นขนัดไปด้วยเหล่าบรรดานักเรียนและผู้ปกครองที่มารอส่งลูกหลานให้เดินเข้าโรงเรียนอย่างปลอดภัย

พรพระพายชะเง้อคอมองหาเพื่อนสนิทของตัวเองที่ป่านนี้ยังมาไม่ถึงโรงเรียนสักที ก็ตอนแรกนัดกันแล้วนิว่าจะรีบมา รีบขึ้นไปจองโต๊ะด้วยกัน! คนโดนผิดนัดถอนหายใจอย่างแรงแล้วกระแทกตัวลงบนรั้วอิฐสีแดงเตี้ยๆซึ่งเป็นที่นั่งรอของนักเรียนในช่วงเช้า

นักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนในปีแรกยังดูสับสนและงุนงงกับสถานที่พอควร จึงมีน้องม.๑หลายคนเดินมาถามทางเธอบ้าง คนเป็นพี่ม.๓ ก็จำเป็นต้องทำตัวเป็นพี่ที่ดีโดยการบอกทางด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ทั้งที่ตอนนี้เธอหงุดหงิดเหลือเกิน

ถ้าเทอมนี้ต้องระเห็จไปนั่งหน้าละก็... น่าดู!

หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเขย่งปลายเท้าเพื่อสอดส่องสายตาหาเพื่อนรักอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววของกานต์วิธูเลยแม้แต่น้อย

“อุ้ย!” พรพระพายที่กำลังมองหาเพื่อนจนไม่ทันสังเกตว่าใครเดินเข้ามาตรงหน้าถึงกับสะดุ้งร้อง ถุงปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้อุ่นๆถูกยื่นมาตรงหน้าเธอ เฉียดปลายจมูกเธอไปเล็กน้อยจนได้กลิ่นหอมของปาท่องโก๋สีเหลืองทองจนต้องรีบหันไปมองเจ้าของของมัน

“หวัดดี” เจ้าของน้ำเต้าหู ปาท่องโก๋เอ่ยทักทายพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ “หาน่านใช่ไหม โน้น ยังติดอยู่บนรถเมล์อยู่เลย”

“อ่าวหรอ” คนฟังเบ้ปากด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร เนื่องจากวันนี้เป็นวันเปิดเทอม ไม่แปลกใจที่การจราจรจะติดขัด “นุเจอน่านหรอ”

นุกูลพยักหน้า “อืม น่านอยู่บนรถเมล์ เราเดินอยู่ฟุตบาทแถวนั้นพอดี รถมันติด น่านก็เลยฝากมาบอกพายเพราะว่าวันนี้กระเป๋าหนัก ไม่อยากลงเดิน”

พรพระพายตอบรับเบาๆในลำคอแล้วยกกระเป๋าขึ้นสะพาย เธอว่าจะขึ้นไปจองที่ก่อนกานต์วิธู “นุขึ้นห้องไหม เราจะขึ้นห้องแล้ว”

“ไม่อะ เดี๋ยวไปหาโจ้กับไนท์ที่โรงอาหาร ไปกินข้าว”

เมื่อได้ฟังคนตรงหน้าบอก พรพระพายจึงโบกมือลาแล้วเตรียมตัวเดินขึ้นอาคารเรียน แต่เพื่อนร่วมห้องของเธอกลับเรียกเธอไว้ก่อน

“พาย เราให้” นุกูลยื่นถุงปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้มาให้ คนที่อยู่ดีๆก็ได้ของกินถึงกับเลิกคิ้วสูง มองเพื่อนคนนี้ด้วยความไม่เข้าใจ เธอและนุกูลเรียกได้ว่าสนิทกันในระดับหนึ่งเพราะยามทำงานกลุ่มก็อยู่กลุ่มเดียวกัน เพราะเธอสนิทกับจิรวัฒน์หรือโจ้และนัทพงศ์หรือไนท์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของนุกูลอีกที แต่เธอมั่นใจว่าก็ไม่ได้สนิทขนาดที่เขาจะต้องซื้อของมาฝากเธอ

“นุไม่กินหรอ”

“เปล่า ซื้อมาฝาก”

 

เอี๊ยดด!

 พรพระพายกรีดร้องสุดเสียงเมื่อแท็กซี่ที่เธอโดยสารมาเบรกกะทันหันจนศีรษะของเธอกระแทกเข้ากับเบาะของเก้าอี้ข้างหน้าอย่างจัง ไม่ต่างจกคนขับที่ต้องขืนตัวเองไม่ให้พุ่งไปด้านหน้าตามแรงเบรก สีหน้าขงคนทั้งคู่ดูตื่นตระหนก

“เกิดอะไรขึ้นอะพี่” พรพระพายร้องถามด้วยน้ำเสียงสั่นเพราะยังตกใจไม่หาย เมื่อครู่จะเรียกว่าประสบการณ์เฉียดตายได้หรือเปล่า...

“แมวมันกระโดดออกมาจากรถคันข้างหน้า ดีนะที่เบรกทัน โน้นไอแมวนั่นมันวิ่งหนีเข้าพงหญ้าไปแล้ว” พี่คนขับชี้มือไปทางพงหญ้าข้างทาง แล้วบ่นพำพึมด้วยความหัวเสีย

คนที่นั่งอยู่ด้านหลังถึงกับต้องยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง หัวใจของเธอเต้นเร็วจนน่ากลัว ว่าแล้วก็ลองหยิกแขนตัวเองแรงๆเพื่อตรวจสอบว่าตอนนี้เธอไม่ได้เป็นเพียงวิญญาณที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้วใช่หรือไม่ สายตามองออกไปข้างถนนอีกครั้งแล้วพยายามควบคุมสติตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง

 “พี่ๆ เดี๋ยวจอดตรงป้ายรถเมล์หน้าหน่อยนะคะ”  

นิ้วโป้งจรดระหว่างคิ้วก่อนจะค้อมตัวลงแบมือกราบบนพื้นต่อหน้าพระพุทธรูปสีทองอร่ามองค์ใหญ่สามครั้งแล้วจึงเดินออกมาจากโบสถ์ที่ตั้งอยู่ในวัดขนาดกลางติดถนนสายหลักที่คนใจบุญนั่งรถผ่านและเหลือบไปเห็นเข้า ความคิดแรกแวบเข้ามาในหัวสมองคือ เธอต้องทำบุญ! ทำบุญล้างซวยและเรื่องราวแย่ๆที่หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

การเจอนุกูลในรอบ ๑๐ กว่าปีคงไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไหร่สำหรับพรพระพาย

คนจำต้องหันหน้าเข้าพึ่งศาสนายกถังสังฆทานชุดใหญ่ยอเหนือศีรษะ หลับตาพร้อมกับอธิษฐานให้ชีวิตประสบแต่เรื่องราวดีๆ

‘ขอให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญ เรื่องไม่ดีก็ขอให้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หน้าที่การงานก็ขอให้ดีด้วย ขอให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะๆด้วยเถิด’

พรพระพายวางสังฆทานลงบนผ้ารับประเคนสีเหลืองหม่นก่อนจะขยับตัวออกมานั่งพนมมือรับพรและกรวดน้ำ หลังจากนั้นจึงคลานเข่าออกจากศาลาที่เต็มไปด้วยพระภิกษุ

“ไอเป้ วันนี้เปิดร้านไปก่อนเลยนะ พี่เข้าร้านช้าหน่อย” พรพระพายสั่งปัณณ์ซึ่งเป็นลูกน้องในร้าน เมื่อตอนนี้เกือบจะถึงเวลาเปิดร้านแล้ว แต่ตัวเจ้าของร้านยังคงเดินทอดน่องอยู่ข้างริมสระบัวในวัด

‘มีไรอะพี่พาย ทำไมวันนี้มาช้าอะ แล้วนี่อยู่ไหน’ ปัณณ์ถามเจ้านายกลับเพราะตั้งแต่ที่เข้ามาทำงานกับ พรพระพาย พี่สาวคนสวยแทบจะไม่เคยมาเปิดร้านช้าเลยแม้แต่ครั้งเดียวนอกจากว่าวันนั้นเธอจะป่วยแบบใกล้ตายจริงๆ

“เปล่า พอดีมาทำบุญที่วัดเลยจะเข้าช้าหน่อย”

‘ห้ะ! ทำบุญ พี่เข้าวัดหรอ ร้อนปะ’

“กวนละ นี่ฉันเป็นเจ้านายแกนะไอเป้ เดือนนี้ไม่ต้องเอาทิปไหม”

‘นางฟ้าของเป้ เป้ผิดไปแล้วครับพี่ อย่าทำแบบนั้นเลย เป้ยังต้องผ่อนรถอยู่’ คนปากไม่ดีโอดครวญจนพรพระพายต้องดึงโทรศัพท์ให้ห่างจากหู

“เออรู้แล้ว ไปเปิดร้าน ห้าโมงครึ่งจะเข้าไป”

‘เดี๋ยวพี่พาย อย่าเพิ่งวาง คือวันนี้พี่กบเขาลาไปดูเมียเขานะ เห็นว่าจะคลอดลูกมั้ง แต่ว่าเขาให้เพื่อนเขามาเล่นแทน’ ปัณณ์กำลังพูดถึงกัมพล นักดนตรีประจำร้านอาหารของพรพระพายที่วันนี้เกิดลากะทันหันเพราะนุสาผู้เป็นภรรยาปวดท้องเตรียมพร้อมคลอดน้องสุขใจ ลูกสาวคนแรกอยู่ที่โรงพยาบาล

“อ่าวหรอ ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปเยี่ยมพี่กบกับพี่นิ้งแล้วกัน” พรพระพายรับคำก่อนจะกดวางโทรศัพท์แล้วยัดมันลงกระเป๋าใบใหญ่

อากาศตอนนี้เริ่มเย็นลงกว่าตอนกลางวันเล็กน้อยหรืออาจจะเป็นเพราะต้นไม้ต้นใหญ่ที่ขึ้นสูงเรียงรายรอบตัวเอง คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุงอย่างเธอแทบจะลืมคำว่าเงียบสงบไปแล้ว ลืมกลิ่นดินจางๆ ลืมแม้กระทั้งสายลมเย็นๆที่พัดวนอยู่รอบตัวเธอในขณะนี้

เปลือกตาของคนที่กำลังชื่นชมธรรมชาติค่อยๆปิดลง ในใจกล่าวบางอย่างที่เพิ่งคิดได้ว่าตนควรจะต้องทำ

‘สัพเพสัพตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อะเวราโหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย... บุญกุศลที่ลูกได้ทำไปในวันนี้ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร’

 

The Windfall คือร้านอาหารกลางคืนที่เน้นบรรยากาศของความเรียบง่ายผสมผสานกับธรรมชาติ โดยมีอาคารสองชั้นเน้นสีขาวและเขียวเข้มตั้งอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง ด้านบนเป็นดาดฟ้า เปิดให้ลูกค้าที่ต้องการความสงบได้ใช้บริการ พื้นที่รอบข้างล้อมรอบไว้ด้วยบรรยากาศแบบสวนหลังบ้าน มีไม้ยืนต้นที่คอยให้ร่มเงาและไม้ดอก ไม้พุ่มปลูกแซมประดับอยู่โดยรอบ 

บริเวณด้านในสวนมีโต๊ะไม้สีขาวจำนวนกว่าสิบโต๊ะจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ มีเวทีลังไม้ที่ไม่สูงมากตั้งอยู่ ข้างๆมีลำโพงตัวไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่พอให้เสียงกระจายไปรอบร้าน แบ็คดรอปของเวทีเป็นไม้เลื้อยที่เกี่ยวกระหวัดอยู่กับแผ่นไม้และประดับไฟดวงเล็กๆ แสงสว่างล้วนมาจากเหล่าโคมไฟที่ติดไว้ตามต้นไม้สูง ส่วนภายในตัวอาคารเน้นจัดบรรยากาศให้เหมือนบ้านหลังหนึ่งที่เน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก

เป็นเวลาเกือบห้าโมงครึ่งกว่าเจ้าของร้าน The Windfall จะฝ่าเหล่ามวลมหาประชารถยนต์มาถึงร้านอาหารโดยสวัสดิภาพ ร่างบางในเสื้อแขนกุดสีแดงชาดและกางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำสนิทก้าวตรงเข้าไปยังมุมส่วนตัวใกล้กับ เคาท์เตอร์ของพนักงานที่สร้างไว้เพื่อตัวเธอและเพื่อนๆยามมีงานสังสรรค์

“พี่พาย!” ทันทีที่ปัณณ์เห็นพี่สาวสุดที่รักเดินเข้ามาก็ส่งเสียงเรียกแล้วโบกไม้โบกมือ โชคดีที่ตอนนี้ลูกค้ายังไม่เยอะมาก สายตาที่มองมายังเธอจึงมีเพียงไม่กี่คู่เท่านั้น คนที่ตกเป็นเป้าสายตารีบค้อมตัวขอโทษแล้วยิ้มแหยให้ลูกค้าที่จับจ้องเธอเป็นตาเดียวก่อนจะจ้ำอ้าวตรงไปหาลูกน้องคนสนิท

ขวดน้ำบนเคาท์เตอร์ถูกฟาดลงบนศีรษะของปัณณ์อย่างจัง “โอ้ย!!”

“แกพูดเสียงเบาๆเป็นไหม” พรพระพายหยิกไปที่แขนขาวๆของปัณณ์หนึ่งทีแล้วเดินไปเปิดล็อกเกอร์ประจำตัวพร้อมกับเก็บกระเป๋าสะพายแล้วกลับมาหาปัณณ์ “เป็นยังไงบ้าง ตอนพี่ไม่อยู่ไม่ได้มีอะไรใช่ไหม”

หัวหน้าพนักงานรีบพยักหน้า ปัณณ์รู้ดีว่าพี่พายไม่ชอบความไม่เรียบร้อยในการทำงานเพราะเขาทำงานกับเธอตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ จนตอนนี้จบมาได้เกือบจะสี่ปีแล้ว

“เรียบร้อยทุกอย่างครับ ไม่มีอะไรให้พี่พายต้องกังวลใจแน่นอนเพราะมีเป้คอยจัดการดูแลให้” ปัณณ์ยืดอกอย่างภาคภูมิ “โต๊ะนี่เช็ดกันสามรอบ ช้อนส้อมล้างแล้วก็อบเป็นอย่างดี ของในครัวนี่เช็คแล้วเช็คอีกไม่มีขาดแน่นอน อ่อ...แล้วก็นักดนตรีที่มาแทนพี่กบก็มาถึงเรียบร้อยแล้วครับ”

“หรอ... มาตรงเวลาดีจัง” พรพระพายชะโงกไปมองยังคนที่กำลังก้มหาอะไรสักอย่างอยู่ข้างเวที “งั้นพี่ไปคุยกับเขาก่อน เป้ไปทำงานเถอะ”

พรพระพายเดินตรงเข้ามาหาคนที่นั่งหันหลังให้เหล่าลูกค้า หันหน้าเข้าหาต้นไม้สูง ในมือเขาอุ้มกีต้าร์และตอนนี้ก็กำลังเล่นเพลงอะไรอยู่สักเพลง ปลายเท้าของนักดนตรีคนนี้เปิดแล้วตบลงกับพื้นเป็นจังหวะ ซึ่งเธอเดาว่าคงเป็นจังหวะเดียวกับเพลงที่เขากำลังร้อง

แผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตสีดำกางเกงทรงกระบอกสีขาวพับขาและรองเท้าผ้าใบมอๆ

เหมือนใครสักคนที่เธอรู้จัก... พรพระพายหยุดมองนักดนตรีที่มาแทนรุ่นพี่ซึ่งเป็นนักร้องและนักดนตรีประจำร้านของเธอ คนตรงหน้าเหมือนใครสักคน แต่เธอเองก็นึกไม่ออก

“สวัสดีค่ะ เพื่อนพี่กบใช่ไหมคะ พายเองค่ะ เจ้าของร้าน The Windfall ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้มาเจอตั้งแต่ตอนแรก พอดีพายเพิ่งมาถึงร้านค่ะ” เจ้าของร้านเอ่ยทักขึ้น คนที่กำลังเมามันอยู่กับเครื่องดนตรีในอ้อมแขน หยุดเล่นแล้วปล่อยให้เสียงดนตรีแผ่วเบาแล้วจางหายไปกับสายลมก่อนจะค่อยๆหันกลับมา

“ครับ ไม่เป็นไร น้องพนักงานคนนั้นบอกแล้ว” 

พรพระพายแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าคนตรงหน้าคือผู้ชายคนเดียวกับที่เธอเพิ่งทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้เมื่อราวๆหนึ่งชั่วโมงก่อน

“นุ...”

นี่เจ้ากรรมนายเวรของเธอยังไม่ได้รับส่วนกุศลหรือนุกูลกันแน่ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเธอ!

“หวัดดี” นักดนตรีที่อาสามาแทนรุ่นพี่ยกยิ้มให้เจ้าของร้านอาหารที่คล้ายกับจะเป็นลมหรือช็อคเพราะเธอยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากสีชมพูเผยอออกจากกันเล็กน้อย สีหน้าดูตกใจจนน่าขัน แต่ด้วยมารยาทนุกูลไม่ควรจะหัวเราะนายจ้างของเขา ถึงแม้ว่าจะเพียงวันเดียวก็ตาม

คนตกใจสุดขีดแอบจิกเล็บบนฝ่ามือหลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป ก่อนจะพยายามดึงสติตัวเองกลับมาให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้

“พี่กบบอกหรือยังว่าต้องเล่นอะไรบ้าง” พรพระพายสวมวิญญาณเจ้าของร้านอาหารสุดจริงจังกับงาน ซักถาม นุกูลตามอย่างที่เธอมักจะทำกับนักดนตรีที่มาเล่นแทนพี่กบหรือกัมพล หนุ่มนักดนตรีรุ่นพี่เสมอ

“ก็... บอกว่าเล่นสองทุ่มถึงสี่ทุ่มครึ่ง” นุกูลตอบกลับ

“แค่นั้น?” พรพระพายเลิกคิ้วถาม นักดนตรีหนุ่มพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวอธิบายให้ฟังอีกรอบ คือ... เวลาก็ตามที่พี่กบบอก ค่าจ้างก็ชั่วโมงละหกร้อย เล่นสองชั่วโมงครึ่งก็หนึ่งพันห้าร้อยบาท”

คนรับฟังพยักหน้า

“ส่วนมากพี่กบจะเล่นเพลงพวกสากล หรือไม่ก็เพลงไทยเก่าๆหน่อย แต่ไม่ขนาดสุนทราภรณ์”  พรพระพายบอกกับคนตั้งใจฟัง

 “โอเค” นุกูลพยักหน้าอีกครั้ง แล้วจับๆลูกบิดที่ส่วนหัวของกีต้าร์แล้วบิดไปมา เมื่อเห็นว่าตอนนี้นุกูลคงต้องการเวลาส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวและเธอเองก็หมดเรื่องจะพูดกับเขาแล้วจึงเดินกลับมาที่มุมส่วนตัวของเธอ จัดการเช็คของในร้านแล้วตรวจสอบยอดบัญชีของร้านอีกครั้งก่อนจะเข้าไปช่วยในครัว

 

นุกูลมองตามร่างบางที่เดินหายลับไปด้านหลังของร้านที่ปัณณ์แนะนำกับเขาว่ามันคือห้องครัวที่สะอาดพอๆกับโรงพยาบาล เพราะเจ้าของร้านเคร่งครัดเรื่องความสะอาดเป็นที่หนึ่ง ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร พรพระพายเป็นคนรักความสะอาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว   

ความจริง... พี่กบบอกเขาหมดทุกอย่างแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้างเมื่อมาถึงร้าน รวมทั้งเปิดรูปสถานที่ภายในร้านพร้อมบุคลากรของร้านอาหารที่เขาต้องมาเป็นนักดนตรีจำเป็นหนึ่งคืนแล้ว และแน่นอนว่าเมื่อได้ยินชื่อร้าน คนที่ดิ้นรนหาทางมาร้าน The Windfall ก็ตกปากรับคำในทันทีแบบไม่ต้องคิด  

นุกูลมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ตอนนี้เข็มสั้นบอกเวลาเกือบจะสองทุ่มซึ่งเป็นเวลาเริ่มงานของเขาแล้ว นักดนตรีจำเป็นที่เล่นเป็นมืออาชีพอย่างเขาจึงยกเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่มาไว้กลางเวที แล้วนั่งลง จัดการเสียบไมค์กับขาตั้ง ทดลองเสียงเล็กน้อย กล่าวทักทายกับเหล่าลูกค้าที่ปรบมือต้อนรับ 

นุกูลยิ้มเล็กน้อย แล้วค้อมหัวเป็นการทักทาย “สวัสดีครับ คืนนี้คนที่มา The windfall ประจำอาจจะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมนักร้องถึงเปลี่ยนคน ไม่ต้องตกใจครับ นักร้องคนเดิมยังไม่ลาออก แต่ว่าลาไปเลี้ยงลูกสาวครับ คืนนี้ขอให้ทุกคน มีความสุขไปกับเสียงเพลงของผมนะครับ เพราะไม่ว่าพวกคุณจะไปเจอะไรมา เสียงดนตรีจะเยียวยาคุณเอง” 

ร่างสูงเริ่มเกากีต้าร์เป็นทำนองเบาๆ จนคนได้ยินต้องหันมามอง

If I told you I was perfect I’d be lying”

ถ้าฉันบอกเธอว่าฉันสมบูรณ์แบบฉันคงกำลังโกหกอยู่

สียงทุ้มแต่กังวานเปล่งเสียงร้องออกมาสะกดจิตคนที่ได้ฟังให้ด่ำดิ่งลงไปยังก้นมหาสมุทรแห่งเสียงดนตรีของเขา ไม่เว้นแม้แต่คนที่ยืนมองเขาจากประตูห้องครัว

You should know there’s beautiful girls all over the world”  

เธอควรรู้ไว้นะว่าบนโลกนี้มีคนสวยอยู่เต็มไปหมด

พรพระพายจ้องมองคนบนเวทีที่กำลังหลับตา ร้องเพลงและบรรเลงเครื่องดนตรีไปพร้อมกับ ยอมรับอย่างเป็นกลางว่านุกูลเป็นนักดนตรีที่มากความสามารถคนหนึ่ง การันตีได้จากรางวัล The Best Band of The Year สามปีซ้อน สมัยยังเรียนอยู่ระดับมัธยมที่วงดนตรีของเขาและเพื่อนๆได้มาครอบครอง

I could be chasing, but my time would be wasted”

ฉันจะไปไล่ตามผู้หญิงพวกนั้นก็ได้ แต่มันคงเสียเวลาน่าดู

บทเพลงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างลงตัวจนคนฟังแทบจะหาข้อติไม่ได้ ส่วนคนบรรเลงก็ยกยิ้มเล็กน้อยแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นมาแล้วเพ่งมองไปยังคนที่ยืนพิงกรอบประตู หลังต้นไม้ใหญ่ที่มองจากบนเวทีผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ไปจะเห็นใบหน้าที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดมา แสงไฟสีเหลืองอ่อนๆจากโคมไฟห้อยบริเวณใกล้เคียงหญิงสาวกระทบลงบนผิวขาวจนดูเหมือนเธอจะเรืองแสงได้ นุกูลลอบยิ้มบางๆกับความคิดของตัวเอง

They got nothing on you, baby”

พวกนั้นไม่มีอะไรเหนือไปกว่าเธอเลย ที่รัก

คนถูกจ้องมองรับรู้ได้ถึงบางอย่างในสายตาที่เขาคนนั้นส่งมาให้

การกลับมาของนุกูลในครั้งนี้คล้ายกับถูกใครบางคนกวนน้ำที่เคยใสให้กลับมาขุ่นมัวอีกครั้ง เศษความทรงจำที่ตกตะกอนไปแล้วกลับลอยวนขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำอีกครั้ง

แต่พรพระพายมั่นใจว่าเธอรู้จักตัวเองดี เธอไม่ใช่พวกนิยมความเจ็บปวดจากความรัก สิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้เป็นแผลเป็นในใจเธอ ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่ามันจะหาย เธอเชื่อว่าเธอจะไม่พาตัวเองกลับไปในวังวนแห่งคราบน้ำตานั้นอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม...

ถ้านุกูลคิดว่าตัวเองถือกุญแจอยู่ เธอจะปิดตายหัวใจดวงนี้

ถ้านุกูลคิดว่าเขากลับมาหาเธอที่ยืนอยู่ที่เดิม เธอจะซ่อนตัวจากเขา

และถ้านุกูลคิดว่าเขาสามารถเดินเข้าหาเธออย่างง่ายดาย เธอจะสร้างกำแพงล้อมรอบตัวเองให้สูงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ และอย่างหวังว่าคนอย่างเขาจะมีโอกาสผ่านเข้ามา...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา