สุดแต่สายลม :: The Windfall
1) บทนำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
คุ ณ ยั ง จำ ค ว า ม รั ก ค รั้ ง แ ร ก ข อ ง คุ ณ ไ ด้ ห รื อ เ ป ล่ า
ท้องฟ้าในวันนี้ปลอดโปร่ง ดวงอาทิตย์ในปลายฤดูหนาวทอดแสงอบอุ่นราวกับกำลังปลอบโยนคนกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่กลางสนามปูนกว้าง บนใบหน้ามีทั้งคราบน้ำตา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ในมือของแต่ละคนมีดอกไม้ หลายชนิด หลากสีสัน รูปถ่ายจำนวนมากถูกคล้องไว้ที่คอเพื่อแจกจ่ายให้แก่เพื่อนร่วมรุ่นไว้เป็นความทรงจำในวัยมัธยม
ทันทีที่วงดุริยางเริ่มบรรเลงขึ้น เพลงมาร์ชโรงเรียนก็ถูกร้องประสานโดยนักเรียนชั้นมัธยมปีสุดท้ายของโรงเรียน อดีตผู้นำเชียร์ที่กำลังจะจบการศึกษาในปีนี้ร่วมยี่สิบคนกำลังยืนหลังตรงอย่างภาคภูมิพร้อมวาดแขนไปในอากาศด้วยความพร้อมเพรียงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นศิษย์เก่าอย่างสมบรูณ์แบบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
วันปัจฉิม...
“แลกรูปกัน” พรพระพายส่งยิ้มให้คนที่เดินหอบเอาดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ในแขนซ้าย ส่วนมือขวาก็ยื่นรูปภาพตัวเองทำหน้าตาประหลาดมาให้ ด้านหลังมีคำอวยพรที่ไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้ คนได้รับเดาว่าเจ้าของคงเขียนไว้เพื่อให้กับเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิท เธอเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน จึงส่งรูปของตัวเองที่คล้องขออยู่ใน
“ขอให้ติดมหา’ลัยที่อยากเข้านะแก้ม” นี่คงเป็นคำอวยพรที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ อยากได้รับมากที่สุด คนชื่อแก้ม ยิ้มจนแก้มปริสมชื่อก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกันแล้วเดินหายไปในเหล่านักเรียนกว่าครึ่งพัน
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อมองหาคนที่ตัวเองพอจะรู้จัก ก่อนจะเห็นหลังไวๆของเพื่อนสนิทอยู่ไม่ไกลจึงรีบสาวเท้าแทรกตัวผ่านผู้คนจนผมยาวถูกเกล้าเป็นหางม้าติดโบว์สีน้ำตาลขนาดพอดีเริ่มหลุดลุ่ย แต่ร่างบางก็ยังคงเดินต่อไป
แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เคยเข้าข้างพรพระพายสักเท่าไหร่ เมื่อคนที่เธอมั่นใจว่าจับตามองอย่างดีถูกกลืนหายไปในฝูงชน แผ่นหลังและผมยาวเกือบถึงกลางหลังของเพื่อนสนิทถูกแทนที่ด้วยเสื้อนักเรียนสีขาวสะอาด มีเหงื่อชุ่มเล็กน้อย สายตาของเธอพอดีกับอกของคนตรงหน้าจนต้องเหลือบไปมองตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนที่ติดอยู่บนอกขวา ต่ำลงมามีกล้องโพราลอยด์ถืออยู่ในมือ คนตัวเล็กกว่าค่อยๆเงยหน้าขึ้นเพื่อมองว่าคนที่ขวางทางเธอเป็นใคร
“ไอพาย”
“โจ้!” พรพระพายฉีกยิ้มกว้างเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมต้น จิรวัฒน์หรือโจ้ ตากล้องประจำรุ่นเป็นเพื่อนที่เรียนร่วมกับเธอมาตั้งแต่ชั้น ม.๑ จนถึง ม.๓ เรียกได้ว่าค่อนข้างสนิทเพราะยามที่ต้องทำงานกลุ่มใหญ่ เธอและจิรวัฒน์ก็จะอยู่กลุ่มเดียวกันเสมอ
“มาๆ ถ่ายรูปให้” จิรวัฒน์ยกกล้องโพราลอยด์ขึ้น พรพระพายถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะชูสองนิ้ว ส่งยิ้มให้ กล้องอย่างสดใส ตากล้องนับหนึ่งถึงสามแล้วจึงลั่นชัตเตอร์ หลังจากนั้นไม่นานกระดาษแผ่นเล็กๆขนาดไม่เกินฝ่ามือก็ไหลออกมาจากด้านล่างของกล้อง
จิรวัฒน์หยิบมันแล้วยื่นให้คนในรูป “ของขวัญวันจบ ไม่มีดอกไม้ให้นะ รู้หรอกว่าเหี่ยวแล้วคนแบบแกก็ทิ้ง”
คนถูกกล่าวหาส่งเสียงจึ๊ในลำคอแล้วรีบดึงรูปของตัวเองออกจากมือจิรวัฒน์ “อย่ามามั่วเถอะ เพื่อนอุตส่าห์ให้ ใครเขาจะกล้าทิ้งยะ โน่นขึ้นหิ้งบูชาเป็นดอกไม้ถวายพระเลย”
“โม้ๆ” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา โบกไม้โบกมือราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เพื่อนพูดก่อนจะได้รับฝ่ามือพิฆาตลงที่หัวไหล่ด้านซ้ายจังๆ “เจ็บนะ”
“สม” คนทำไม่ได้สำนึก ซ้ำยังกลับลอยหน้าลอยให้แล้วก็กลับไปสนใจรูปถ่ายในมือต่อ นักเรียนหญิงในเสื้อนักเรียนกับกระโปรงยาวประมาณเข่า ชูสองนิ้ว ส่งยิ้มหวานค่อยๆปรากฏขึ้นบนแผ่นฟิล์ม คนในรูปคลายยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะเอ่ย “ขอบใจมากนะโจ้”
จิรวัฒน์มองเพื่อนที่ดูจะพอใจกับรูปแล้วก็ดีใจ ตากล้องที่รับถ่ายรูปไปทั่วอย่างเขา สิ่งที่ต้องการก็คงเป็นรอยยิ้มจากคนที่ได้เห็นภาพที่เขาถ่าย “ไม่เป็นไร ก็บอกแล้วไงว่าของขวัญวันจบ”
“งั้นแกเอากล้องมา” พรพระพายเก็บรูปที่ได้จากจิรวัฒ์ใส่กระเป๋ากระโปรงแล้วยื่นมือออกไปหน้าอีกคน นิ้วมือกระดิกเป็นเชิงบอกว่าให้เขาส่งกล้องในมือมาแต่โดยดี เจ้าของกล้องหัวเราะเล็กน้อยแต่ก็ยอมส่งกล้องให้แต่โดยดี
พรพระพายยกกล้องขึ้นมองผ่านช่องส่องเล็กๆ แล้วกะองศาในจิรวัฒน์อยู่กลางภาพ แต่มันก็ดูจะเอียงซ้ายเอียงขวาไปมา ไม่ตรงสักที ตอนนี้เองที่เธอเข้าใจแล้วว่าการถ่ายรูป(ให้ออกมาสวย)ไม่ใช่เรื่องง่าย หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ เพ่งสมาธิแล้วพยายามควบคุมมือตัวเองไม่ให้สั่นก่อนจะกดชัตเตอร์
จิรวัฒน์ส่ายหน้าไปมาขณะมองรูปในมือ เขากลั้นหัวเราะด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อไม่ให้ตัวเองล้อคนที่เพิ่งเคยเล่นกล้องโพราลอยด์เป็นครั้งแรก “เบลอมาก เบลอจนคิดว่ากล้องฉันสายตาสั้น”
“เขาเรียกว่าศิลปะ” พรพระพายเถียง
“เขาเรียกว่าอ่อน” จิรวัฒน์ยักคิ้วหลิ่วตาเยอะเย้ยคนที่เขาเคยคิดว่าทำอะไรก็ออกมาได้ดี แต่ในวันนี้เขารู้จุดอ่อนของพรพระพายแล้ว แต่... ความจริงจะเรียกว่ารู้มาตั้งนานแล้วก็ได้
ศิลปะเกรดหนึ่งจุดห้า นี่คงเป็นวิชาที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องสมัยม.ต้นของเขา
“ถ่ายให้มันดีเหมือนรูปที่ฉันถ่ายให้แกได้ไหม”
คนถูกว่าชักสีหน้าแล้วเทเอาช่อดอกไม้ในแขนทั้งสองข้างมารวมไว้ในข้างเดียว ล่วงมือหยิบรูปที่ตากล้อง กิตติมาศักดิ์ถ่ายให้ขึ้นมาเพื่อพิจารณาความแตกต่างแล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูปของเธอและรูปของจิรวัฒน์ช่างต่างกันราวกับฟ้าและเหว
“เนี่ย ฉันถ่ายรูปแกโคตรสวย” พรพระพายก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดีและไม่แย้ง เธอจนมุมจะเถียงแล้วจริงๆเมื่อหลักฐานมัดตัวอย่างแน่นหนา “แต่ไม่เป็นไร ฉันหล่อและรวยมากเพราะฉะนั้นฉันจะให้อภัยแก”
คนฟังทำท่าจะอาเจียน แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายพูดบางอย่างขึ้น “ดูรูปดีๆนะ ไปละ ขอให้โชคดีมีชัย ขอให้ร่ำขอให้รวย ขอให้สวยวันสวยคืน” จิรวัฒน์ยักคิ้วให้แล้วบุ้ยปากไปยังรูปถ่ายในมือของพรพระพายอีกครั้ง ก่อนเขาจะเดินถอยหลังแล้วหายไปกับเหล่าเพื่อนที่ลากตัวตากล้องคนเก่งให้ไปถ่ายรูปให้
หญิงสาวที่ยืนอยู่ตามลำพังยกรูปขึ้นดูอีกครั้งตามอย่างที่จิรวัฒน์บอก รูปบนแผ่นฟิล์มไม่ได้ดูผิดปกติอะไร มีเธอยืนเป็นจุดเด่นของรูป รอบข้างเบลอเล็กน้อยแต่ก็ยังพอเห็นหน้าคนที่ยืนอยู่ในเฟรมบ้าง
ก่อนสายตาจะไปสะดุดเขากับอะไรบางอย่างในรูป นัยน์ตาเปิดกว้างด้วยความตกใจแล้วรีบหันหลังกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง สายตาจ้องมองยังตำแหน่งเดียวกับบางอย่างในรูป
อยู่ตรงนั้นจริงๆ
รูปในมือสั่นระริก ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมดหลังจากที่รู้สึกได้ถึงความร้อนรอบขอบตา หยดน้ำที่ฉ่ำชุ่มอยู่ระหว่างโคนขนตายาวยามกระพริบตา แม้กระนั้นก็ยังไม่สามารถละสายตาได้ รอบกายนิ่งงันราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดไว้ เสียงเพลงฮิตที่ดังกระหึ่มเพื่อสร้างบรรยากาศให้เหล่านักเรียนดูเหมือนจะกลายเป็นเสียงแผ่วคล้ายกับลอยมาจากที่ซึ่งไกลแสนไกล
คนที่ยืนอยู่แสนไกลแต่อยู่ในสายตาก้าวเดินตรงมาหาร่างที่ไม่ไหวติงด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงถึงอารมณ์อะไรคล้ายกับทุกครั้งที่พบกัน สองมือไร้ซึ่งดอกไม้และรูปภาพดังเช่นเพื่อนคนอื่นทั้งที่เขาควรจะเป็นคนที่ได้มากที่สุดด้วยซ้ำ
“ไม่ร้อง” น้ำเสียงทุ้มติดกระด้างเล็กน้อยขัดกับอุปนิสัยของเจ้าของเสียงเอ่ยขึ้น
พรพระพายไม่สามารถหยุดน้ำตาของตัวเองได้ตามที่เขาคนนั้นบอก เธอไม่รู้ว่ามันคือประโยคคำสั่งหรือเพียงแค่ต้องการจะบอก เธอรู้เพียงแค่... ทุกๆอย่างของชายตรงหน้ากำลังทำให้เธอเจ็บปวด ความทรงจำในวันวานตีวนกลับมาให้หวนคิดถึงและทรมาน
เคยคิดว่าตัวเองผ่านมันมาได้แล้ว... ลืมไปหมดแล้ว
คิดไว้ว่าการทุ่มเททุกอย่างให้กับการเรียนจะทำให้เรื่องราวของเขาเลือนหายไปจากความทรงจำของเธอ แต่ไม่เลย ทุกๆอย่างของเขากลายเป็นตะกอนที่รอวันกลับมาคละคลุ้งอีกครั้ง เป็นก้อนหินที่ถ่วงให้เธอดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรที่แสนลึก
“ขอโทษ แต่อยากให้รู้ว่าทุกอย่างที่เคยทำให้... มันเป็นเรื่องจริง”
โกหก... สัญชาตญาณของเธอบอกเธอแบบนั้น ความเจ็บปวดตะโกนค้านไม่ให้เธอหลงเชื่อคำพูดของคนกลับกลอกอีก
“ไม่ได้หวังให้เชื่อหรือให้อภัยนะ” เขาพูดราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แววตาเจือปนด้วยอะไรบางอย่างคล้ายความเจ็บปวด ริมฝีปากสีชมพูซีดขมเม้มเข้าหากันก่อนจะสูดหายใจลึกๆ “แค่อยากบอก”
“ลืมเรื่องทุกอย่างให้หมดนะ อย่าไปจำ” คนถูกขอร้องเงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงกว่าตัวเองเกือบยี่สิบเซนติเมตรอย่างไม่เข้าใจ ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไร ท่าทางเขาดูแปลกไป หรือนี่อาจจะเป็นลูกไม้ใหม่ของเจ้าพ่อมารยาที่เพื่อนร่วมรุ่นยกย่องตำแหน่งให้ “อะไรที่เป็นเรื่องของเราแล้วทำให้พายเจ็บ ลืมไปซะนะ”
พรพระพายยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มซ้ายและขวา ใจหนึ่งสั่งให้เธอหันหลังแล้วเดินหนีไปซะ แต่อีกใจก็บอกให้หยุดแล้วฟัง... ฟังคำพูดจอมปลอมจากปากของนุกูล
คนตัดสินใจไม่ได้หลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อควบคุมตัวเอง พอแล้ว... ควรพอได้แล้ว
“อืม เราจะลืมให้หมด” พรพระพายลืมตาแล้วตอบรับคำขอจากอีกฝ่าย “เพราะเราไม่อยากจำเรื่องแย่ๆให้ชีวิตให้มันรกสมอง”
นุกูลชะงักไป คิ้วเข้มที่เคยขมวดเข้าหากันเริ่มคลายออก ริมฝีปากที่ขมเม้มไว้แน่นคลี่ยิ้มบางๆ “ดีแล้ว”
ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน ไม่ยอมหลบสายตา ก่อนนุกูลจะเป็นฝ่ายเบนสายตาไปทางอื่นก่อน
“เพราะถ้าเรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่เอง ความทรงจำระหว่างเราน่ะ” นุกูลพูดด้วยน้ำเสียงมาดมั่นราวกับว่ามั่นใจว่าตัวเองจะทำได้
“หรอ” หญิงสาวกระแทกเสียงแล้วหมุนกายเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองคนที่เธอทิ้งให้ยืนอยู่ลำพังท่ามกลางผู้คนอีกเลย
บนตัวอาคารในเวลาเกือบสี่โมงเย็นเงียบสนิทเพราะนักเรียนชั้นม.๖ไปรวมตัวกันอยู่ที่ลานจัดเลี้ยงด้านล่างหมดแล้ว เหลือเพียงพรพระพายและเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนที่มัวแต่นั่งคุยกันจนลืมดูเวลา กว่าจะรู้ตัวก็เลยเวลานัดรวมตัวไปสักพักแล้ว
“ป่านนี้เขากินหมดแล้วมั้งไอน่าน” พรพระพายลากข้อมือเพื่อนสนิทอย่างกานต์วิธูหรือน่านให้เดินตามมาอย่างรวดเร็ว ทางเดินยาวหน้าห้องซึ่งถูกปูด้วยหินอ่อนมีเด็กนักเรียนสองคนกำลังวิ่งเหยาะๆเพื่อให้ลงไปทันโต๊ะจีนจัดเลี้ยงงานปัจฉิมในช่วงค่ำ
“เออรู้แล้ว เห็นแก่กินจังวะ” กานต์วิธูบ่นแต่ก็ยอมวิ่งตามที่เพื่อนบอก
พรพระพายไม่ตอบ แต่วิ่งมาเรื่อยจนมาถึงบันได สองเท้าของเธอค่อยๆแผ่วแรงลงจนกลายเป็นเดินเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยคล้ายอยู่ในอาการโต้เถียงของคนคู่หนึ่ง กานต์วิธูที่เห็นเพื่อนมีอาการแปลกไปก็เบาฝีเท้าลงตามก่อนจะเดินมายืนเคียงข้าง “อะไรวะ” เธอกระซิบถาม
พรพระพายส่ายหน้าแต่ก็ค่อยๆเดินด้วยเสียงเบาไปยังริมสุดของกำแพงก่อนถึงบันได แล้วชะโงกหน้าออกไปดูด้วยความสงสัย
เสียงของหนึ่งในคนที่กำลังทะเลาะกัน มันคุ้นเคยเหลือเกิน
“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำแบบนั้น” ผู้หญิงคนหนึ่งกดเสียงต่ำ ดูวางอำนาจ พรพระพายเอนตัวอีกนิดเพื่อให้เห็นคนทั้งคู่ ก่อนจะต้องเม้มปากเข้าหากันสนิทเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงมุมของบันได ใกล้กับห้องน้ำชายคือคนที่เธอเพิ่งหันหลังให้เมื่อเช้าและคนรักของเขา
นุกูลไม่ตอบอะไรกลับ เขาสูดหายใจลึกๆ สองมือลวงกระเป๋ากางเกง สายตามองไปทางอื่น
“อยากจะมีเรื่องใช่ไหม” ผู้หญิงคนนั้นขู่อีก “คิดว่าแน่หรอ” มือบางยกขึ้นผลักไหล่ของนุกูล ร่างสูงเซเล็กน้อย นัยน์ตาแววโรจน์ด้วยความโกรธแต่ยังพยายามรักษาท่าทีให้สงบไว้
“นุกูล! ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่ามาลองดี”
“เออลองดี แล้วจะทำไม!” เป็นครั้งแรกที่พรพระพายได้ยินนุกูลตะคอกใส่ใครสักคน “ทำไมหรอขวัญ เธอจะทำไม”
คนที่ถูกเรียกว่าขวัญเชิดหน้าขึ้นราวกับผู้ชนะ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าสวยคมเข้มอย่างลูกครึ่งตะวันออกกลาง “อย่ามาเยอะกับขวัญดีกว่านะคะคุณแฟน” มือเรียวยกขึ้นตบแก้มของร่างสูงเบาๆ ก่อนจะเขย่งตัวขึ้นจุมพิตเบาๆที่แก้มของคนที่สูงกว่า
นุกูลที่กำมือแน่น ขบกรามจนขึ้นเป็นสันแล้วผินหน้าหนีในทันที
เธอคนนั้นถอนตัวกลับมา ชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะฟาดมือลงอย่างแรงบนใบหน้าของนุกูลจนหันไปตามแรงตบแล้วเดินจากไป เหลือเพียงนุกูลที่ถอนหายใจอย่างแรงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
พรพระพายหันกลับมามองหน้ากับกานต์วิธูที่ดูตกใจไม่แพ้กันก่อนที่เพื่อนสนิทจะลากพรพระพายลงบันไดอีกทางเพื่อไปเข้างานเลี้ยง
จนดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าได้สักพักใหญ่ๆ งานเลี้ยงส่งท้ายปีการศึกษาจึงสิ้นสุดลง ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน พรพระพายเองก็แยกกับกลุ่มเพื่อนที่หน้าประตูโรงเรียน สองเท้าก้าวไปจนเกือบจะพ้นรั้วบ้านหลังที่สอง เธอจึงหันหลังกลับมามองอีกครั้งเพื่อบันทึกมันไว้ในความทรงจำเพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าหากเธอกลับมาอีกครั้งจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่
แสงไฟจากเสาไฟต้นสูงสาดลงมากระทบกิ่งไม้ที่โน้นเข้าหากันระหว่างกลางนั้นเป็นทางเดินที่สุดปลายทางมีใครบางคนยืนอยู่ คนที่เธอจำได้ดีแม้จะไม่เห็นใบหน้าด้วยซ้ำ
สายลมรอบตัวพัดเอาใบไม้จากต้นร่วงลงมาแล้วปลิวว่อนไปทั่ว
นุกูลคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดียวกับเธอเพียงแต่ตรงข้ามกัน พรพระพายหลับตาลงแล้วอธิษฐาน
‘ขอให้สายลมพัดผู้ชายคนนี้ให้หายไปจากชีวิตเธอให้ไกลมากที่สุด ไกลเท่าที่สายลมจะทำได้ ไกลจนเธอจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาไม่ได้อีก’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ