สุดแต่สายลม :: The Windfall

10.0

เขียนโดย RAPHEE

วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.07 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  3,975 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

          คุ ณ ยั ง จำ ค ว า ม รั ก ค รั้ ง แ ร ก ข อ ง คุ ณ ไ ด้ ห รื อ เ ป ล่ า

 

          ท้องฟ้าในวันนี้ปลอดโปร่ง ดวงอาทิตย์ในปลายฤดูหนาวทอดแสงอบอุ่นราวกับกำลังปลอบโยนคนกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่กลางสนามปูนกว้าง บนใบหน้ามีทั้งคราบน้ำตา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ในมือของแต่ละคนมีดอกไม้ หลายชนิด หลากสีสัน รูปถ่ายจำนวนมากถูกคล้องไว้ที่คอเพื่อแจกจ่ายให้แก่เพื่อนร่วมรุ่นไว้เป็นความทรงจำในวัยมัธยม

          ทันทีที่วงดุริยางเริ่มบรรเลงขึ้น เพลงมาร์ชโรงเรียนก็ถูกร้องประสานโดยนักเรียนชั้นมัธยมปีสุดท้ายของโรงเรียน อดีตผู้นำเชียร์ที่กำลังจะจบการศึกษาในปีนี้ร่วมยี่สิบคนกำลังยืนหลังตรงอย่างภาคภูมิพร้อมวาดแขนไปในอากาศด้วยความพร้อมเพรียงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นศิษย์เก่าอย่างสมบรูณ์แบบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

          วันปัจฉิม...

          “แลกรูปกัน” พรพระพายส่งยิ้มให้คนที่เดินหอบเอาดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ในแขนซ้าย ส่วนมือขวาก็ยื่นรูปภาพตัวเองทำหน้าตาประหลาดมาให้ ด้านหลังมีคำอวยพรที่ไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้ คนได้รับเดาว่าเจ้าของคงเขียนไว้เพื่อให้กับเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิท เธอเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน จึงส่งรูปของตัวเองที่คล้องขออยู่ใน

          “ขอให้ติดมหา’ลัยที่อยากเข้านะแก้ม” นี่คงเป็นคำอวยพรที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ อยากได้รับมากที่สุด คนชื่อแก้ม ยิ้มจนแก้มปริสมชื่อก่อนจะเอ่ยเช่นเดียวกันแล้วเดินหายไปในเหล่านักเรียนกว่าครึ่งพัน

          นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อมองหาคนที่ตัวเองพอจะรู้จัก ก่อนจะเห็นหลังไวๆของเพื่อนสนิทอยู่ไม่ไกลจึงรีบสาวเท้าแทรกตัวผ่านผู้คนจนผมยาวถูกเกล้าเป็นหางม้าติดโบว์สีน้ำตาลขนาดพอดีเริ่มหลุดลุ่ย แต่ร่างบางก็ยังคงเดินต่อไป

          แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เคยเข้าข้างพรพระพายสักเท่าไหร่ เมื่อคนที่เธอมั่นใจว่าจับตามองอย่างดีถูกกลืนหายไปในฝูงชน แผ่นหลังและผมยาวเกือบถึงกลางหลังของเพื่อนสนิทถูกแทนที่ด้วยเสื้อนักเรียนสีขาวสะอาด มีเหงื่อชุ่มเล็กน้อย สายตาของเธอพอดีกับอกของคนตรงหน้าจนต้องเหลือบไปมองตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนที่ติดอยู่บนอกขวา ต่ำลงมามีกล้องโพราลอยด์ถืออยู่ในมือ คนตัวเล็กกว่าค่อยๆเงยหน้าขึ้นเพื่อมองว่าคนที่ขวางทางเธอเป็นใคร

          “ไอพาย”

           “โจ้!” พรพระพายฉีกยิ้มกว้างเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมต้น จิรวัฒน์หรือโจ้ ตากล้องประจำรุ่นเป็นเพื่อนที่เรียนร่วมกับเธอมาตั้งแต่ชั้น ม.๑ จนถึง ม.๓ เรียกได้ว่าค่อนข้างสนิทเพราะยามที่ต้องทำงานกลุ่มใหญ่ เธอและจิรวัฒน์ก็จะอยู่กลุ่มเดียวกันเสมอ

          “มาๆ ถ่ายรูปให้”  จิรวัฒน์ยกกล้องโพราลอยด์ขึ้น พรพระพายถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะชูสองนิ้ว ส่งยิ้มให้ กล้องอย่างสดใส ตากล้องนับหนึ่งถึงสามแล้วจึงลั่นชัตเตอร์ หลังจากนั้นไม่นานกระดาษแผ่นเล็กๆขนาดไม่เกินฝ่ามือก็ไหลออกมาจากด้านล่างของกล้อง

จิรวัฒน์หยิบมันแล้วยื่นให้คนในรูป “ของขวัญวันจบ ไม่มีดอกไม้ให้นะ รู้หรอกว่าเหี่ยวแล้วคนแบบแกก็ทิ้ง”

          คนถูกกล่าวหาส่งเสียงจึ๊ในลำคอแล้วรีบดึงรูปของตัวเองออกจากมือจิรวัฒน์ “อย่ามามั่วเถอะ เพื่อนอุตส่าห์ให้ ใครเขาจะกล้าทิ้งยะ โน่นขึ้นหิ้งบูชาเป็นดอกไม้ถวายพระเลย”

          “โม้ๆ” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา โบกไม้โบกมือราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เพื่อนพูดก่อนจะได้รับฝ่ามือพิฆาตลงที่หัวไหล่ด้านซ้ายจังๆ “เจ็บนะ”

          “สม” คนทำไม่ได้สำนึก ซ้ำยังกลับลอยหน้าลอยให้แล้วก็กลับไปสนใจรูปถ่ายในมือต่อ นักเรียนหญิงในเสื้อนักเรียนกับกระโปรงยาวประมาณเข่า ชูสองนิ้ว ส่งยิ้มหวานค่อยๆปรากฏขึ้นบนแผ่นฟิล์ม คนในรูปคลายยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะเอ่ย “ขอบใจมากนะโจ้”

          จิรวัฒน์มองเพื่อนที่ดูจะพอใจกับรูปแล้วก็ดีใจ ตากล้องที่รับถ่ายรูปไปทั่วอย่างเขา สิ่งที่ต้องการก็คงเป็นรอยยิ้มจากคนที่ได้เห็นภาพที่เขาถ่าย “ไม่เป็นไร ก็บอกแล้วไงว่าของขวัญวันจบ”

          “งั้นแกเอากล้องมา” พรพระพายเก็บรูปที่ได้จากจิรวัฒ์ใส่กระเป๋ากระโปรงแล้วยื่นมือออกไปหน้าอีกคน นิ้วมือกระดิกเป็นเชิงบอกว่าให้เขาส่งกล้องในมือมาแต่โดยดี เจ้าของกล้องหัวเราะเล็กน้อยแต่ก็ยอมส่งกล้องให้แต่โดยดี

          พรพระพายยกกล้องขึ้นมองผ่านช่องส่องเล็กๆ แล้วกะองศาในจิรวัฒน์อยู่กลางภาพ แต่มันก็ดูจะเอียงซ้ายเอียงขวาไปมา ไม่ตรงสักที ตอนนี้เองที่เธอเข้าใจแล้วว่าการถ่ายรูป(ให้ออกมาสวย)ไม่ใช่เรื่องง่าย หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ เพ่งสมาธิแล้วพยายามควบคุมมือตัวเองไม่ให้สั่นก่อนจะกดชัตเตอร์

          จิรวัฒน์ส่ายหน้าไปมาขณะมองรูปในมือ เขากลั้นหัวเราะด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อไม่ให้ตัวเองล้อคนที่เพิ่งเคยเล่นกล้องโพราลอยด์เป็นครั้งแรก “เบลอมาก เบลอจนคิดว่ากล้องฉันสายตาสั้น”

          “เขาเรียกว่าศิลปะ” พรพระพายเถียง

          “เขาเรียกว่าอ่อน” จิรวัฒน์ยักคิ้วหลิ่วตาเยอะเย้ยคนที่เขาเคยคิดว่าทำอะไรก็ออกมาได้ดี แต่ในวันนี้เขารู้จุดอ่อนของพรพระพายแล้ว แต่... ความจริงจะเรียกว่ารู้มาตั้งนานแล้วก็ได้

          ศิลปะเกรดหนึ่งจุดห้า นี่คงเป็นวิชาที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตนักเรียนของเพื่อนร่วมห้องสมัยม.ต้นของเขา

          “ถ่ายให้มันดีเหมือนรูปที่ฉันถ่ายให้แกได้ไหม”

          คนถูกว่าชักสีหน้าแล้วเทเอาช่อดอกไม้ในแขนทั้งสองข้างมารวมไว้ในข้างเดียว ล่วงมือหยิบรูปที่ตากล้อง กิตติมาศักดิ์ถ่ายให้ขึ้นมาเพื่อพิจารณาความแตกต่างแล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูปของเธอและรูปของจิรวัฒน์ช่างต่างกันราวกับฟ้าและเหว

          “เนี่ย ฉันถ่ายรูปแกโคตรสวย” พรพระพายก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดีและไม่แย้ง เธอจนมุมจะเถียงแล้วจริงๆเมื่อหลักฐานมัดตัวอย่างแน่นหนา “แต่ไม่เป็นไร ฉันหล่อและรวยมากเพราะฉะนั้นฉันจะให้อภัยแก”

          คนฟังทำท่าจะอาเจียน แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายพูดบางอย่างขึ้น “ดูรูปดีๆนะ ไปละ ขอให้โชคดีมีชัย ขอให้ร่ำขอให้รวย ขอให้สวยวันสวยคืน” จิรวัฒน์ยักคิ้วให้แล้วบุ้ยปากไปยังรูปถ่ายในมือของพรพระพายอีกครั้ง ก่อนเขาจะเดินถอยหลังแล้วหายไปกับเหล่าเพื่อนที่ลากตัวตากล้องคนเก่งให้ไปถ่ายรูปให้

          หญิงสาวที่ยืนอยู่ตามลำพังยกรูปขึ้นดูอีกครั้งตามอย่างที่จิรวัฒน์บอก รูปบนแผ่นฟิล์มไม่ได้ดูผิดปกติอะไร มีเธอยืนเป็นจุดเด่นของรูป รอบข้างเบลอเล็กน้อยแต่ก็ยังพอเห็นหน้าคนที่ยืนอยู่ในเฟรมบ้าง

          ก่อนสายตาจะไปสะดุดเขากับอะไรบางอย่างในรูป นัยน์ตาเปิดกว้างด้วยความตกใจแล้วรีบหันหลังกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง สายตาจ้องมองยังตำแหน่งเดียวกับบางอย่างในรูป

          อยู่ตรงนั้นจริงๆ

          รูปในมือสั่นระริก ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมดหลังจากที่รู้สึกได้ถึงความร้อนรอบขอบตา หยดน้ำที่ฉ่ำชุ่มอยู่ระหว่างโคนขนตายาวยามกระพริบตา แม้กระนั้นก็ยังไม่สามารถละสายตาได้ รอบกายนิ่งงันราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดไว้ เสียงเพลงฮิตที่ดังกระหึ่มเพื่อสร้างบรรยากาศให้เหล่านักเรียนดูเหมือนจะกลายเป็นเสียงแผ่วคล้ายกับลอยมาจากที่ซึ่งไกลแสนไกล

          คนที่ยืนอยู่แสนไกลแต่อยู่ในสายตาก้าวเดินตรงมาหาร่างที่ไม่ไหวติงด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงถึงอารมณ์อะไรคล้ายกับทุกครั้งที่พบกัน สองมือไร้ซึ่งดอกไม้และรูปภาพดังเช่นเพื่อนคนอื่นทั้งที่เขาควรจะเป็นคนที่ได้มากที่สุดด้วยซ้ำ

          “ไม่ร้อง” น้ำเสียงทุ้มติดกระด้างเล็กน้อยขัดกับอุปนิสัยของเจ้าของเสียงเอ่ยขึ้น

          พรพระพายไม่สามารถหยุดน้ำตาของตัวเองได้ตามที่เขาคนนั้นบอก เธอไม่รู้ว่ามันคือประโยคคำสั่งหรือเพียงแค่ต้องการจะบอก เธอรู้เพียงแค่... ทุกๆอย่างของชายตรงหน้ากำลังทำให้เธอเจ็บปวด ความทรงจำในวันวานตีวนกลับมาให้หวนคิดถึงและทรมาน

          เคยคิดว่าตัวเองผ่านมันมาได้แล้ว... ลืมไปหมดแล้ว

          คิดไว้ว่าการทุ่มเททุกอย่างให้กับการเรียนจะทำให้เรื่องราวของเขาเลือนหายไปจากความทรงจำของเธอ แต่ไม่เลย ทุกๆอย่างของเขากลายเป็นตะกอนที่รอวันกลับมาคละคลุ้งอีกครั้ง เป็นก้อนหินที่ถ่วงให้เธอดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรที่แสนลึก

          “ขอโทษ แต่อยากให้รู้ว่าทุกอย่างที่เคยทำให้... มันเป็นเรื่องจริง”

          โกหก... สัญชาตญาณของเธอบอกเธอแบบนั้น ความเจ็บปวดตะโกนค้านไม่ให้เธอหลงเชื่อคำพูดของคนกลับกลอกอีก

          “ไม่ได้หวังให้เชื่อหรือให้อภัยนะ” เขาพูดราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แววตาเจือปนด้วยอะไรบางอย่างคล้ายความเจ็บปวด ริมฝีปากสีชมพูซีดขมเม้มเข้าหากันก่อนจะสูดหายใจลึกๆ “แค่อยากบอก”

          “ลืมเรื่องทุกอย่างให้หมดนะ อย่าไปจำ” คนถูกขอร้องเงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงกว่าตัวเองเกือบยี่สิบเซนติเมตรอย่างไม่เข้าใจ ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไร ท่าทางเขาดูแปลกไป หรือนี่อาจจะเป็นลูกไม้ใหม่ของเจ้าพ่อมารยาที่เพื่อนร่วมรุ่นยกย่องตำแหน่งให้ “อะไรที่เป็นเรื่องของเราแล้วทำให้พายเจ็บ ลืมไปซะนะ”

          พรพระพายยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มซ้ายและขวา ใจหนึ่งสั่งให้เธอหันหลังแล้วเดินหนีไปซะ แต่อีกใจก็บอกให้หยุดแล้วฟัง... ฟังคำพูดจอมปลอมจากปากของนุกูล

          คนตัดสินใจไม่ได้หลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อควบคุมตัวเอง พอแล้ว... ควรพอได้แล้ว

          “อืม เราจะลืมให้หมด” พรพระพายลืมตาแล้วตอบรับคำขอจากอีกฝ่าย “เพราะเราไม่อยากจำเรื่องแย่ๆให้ชีวิตให้มันรกสมอง”

          นุกูลชะงักไป คิ้วเข้มที่เคยขมวดเข้าหากันเริ่มคลายออก ริมฝีปากที่ขมเม้มไว้แน่นคลี่ยิ้มบางๆ “ดีแล้ว”

          ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน ไม่ยอมหลบสายตา ก่อนนุกูลจะเป็นฝ่ายเบนสายตาไปทางอื่นก่อน

          “เพราะถ้าเรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่เอง ความทรงจำระหว่างเราน่ะ” นุกูลพูดด้วยน้ำเสียงมาดมั่นราวกับว่ามั่นใจว่าตัวเองจะทำได้

          “หรอ” หญิงสาวกระแทกเสียงแล้วหมุนกายเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองคนที่เธอทิ้งให้ยืนอยู่ลำพังท่ามกลางผู้คนอีกเลย

          

          บนตัวอาคารในเวลาเกือบสี่โมงเย็นเงียบสนิทเพราะนักเรียนชั้นม.๖ไปรวมตัวกันอยู่ที่ลานจัดเลี้ยงด้านล่างหมดแล้ว เหลือเพียงพรพระพายและเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนที่มัวแต่นั่งคุยกันจนลืมดูเวลา กว่าจะรู้ตัวก็เลยเวลานัดรวมตัวไปสักพักแล้ว

          “ป่านนี้เขากินหมดแล้วมั้งไอน่าน” พรพระพายลากข้อมือเพื่อนสนิทอย่างกานต์วิธูหรือน่านให้เดินตามมาอย่างรวดเร็ว ทางเดินยาวหน้าห้องซึ่งถูกปูด้วยหินอ่อนมีเด็กนักเรียนสองคนกำลังวิ่งเหยาะๆเพื่อให้ลงไปทันโต๊ะจีนจัดเลี้ยงงานปัจฉิมในช่วงค่ำ

          “เออรู้แล้ว เห็นแก่กินจังวะ” กานต์วิธูบ่นแต่ก็ยอมวิ่งตามที่เพื่อนบอก

          พรพระพายไม่ตอบ แต่วิ่งมาเรื่อยจนมาถึงบันได สองเท้าของเธอค่อยๆแผ่วแรงลงจนกลายเป็นเดินเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยคล้ายอยู่ในอาการโต้เถียงของคนคู่หนึ่ง กานต์วิธูที่เห็นเพื่อนมีอาการแปลกไปก็เบาฝีเท้าลงตามก่อนจะเดินมายืนเคียงข้าง “อะไรวะ” เธอกระซิบถาม

          พรพระพายส่ายหน้าแต่ก็ค่อยๆเดินด้วยเสียงเบาไปยังริมสุดของกำแพงก่อนถึงบันได แล้วชะโงกหน้าออกไปดูด้วยความสงสัย

เสียงของหนึ่งในคนที่กำลังทะเลาะกัน มันคุ้นเคยเหลือเกิน

          “บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำแบบนั้น” ผู้หญิงคนหนึ่งกดเสียงต่ำ ดูวางอำนาจ พรพระพายเอนตัวอีกนิดเพื่อให้เห็นคนทั้งคู่ ก่อนจะต้องเม้มปากเข้าหากันสนิทเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงมุมของบันได ใกล้กับห้องน้ำชายคือคนที่เธอเพิ่งหันหลังให้เมื่อเช้าและคนรักของเขา

          นุกูลไม่ตอบอะไรกลับ เขาสูดหายใจลึกๆ สองมือลวงกระเป๋ากางเกง สายตามองไปทางอื่น

          “อยากจะมีเรื่องใช่ไหม” ผู้หญิงคนนั้นขู่อีก “คิดว่าแน่หรอ” มือบางยกขึ้นผลักไหล่ของนุกูล ร่างสูงเซเล็กน้อย นัยน์ตาแววโรจน์ด้วยความโกรธแต่ยังพยายามรักษาท่าทีให้สงบไว้

          “นุกูล! ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่ามาลองดี”

          “เออลองดี แล้วจะทำไม!” เป็นครั้งแรกที่พรพระพายได้ยินนุกูลตะคอกใส่ใครสักคน “ทำไมหรอขวัญ เธอจะทำไม”

          คนที่ถูกเรียกว่าขวัญเชิดหน้าขึ้นราวกับผู้ชนะ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าสวยคมเข้มอย่างลูกครึ่งตะวันออกกลาง “อย่ามาเยอะกับขวัญดีกว่านะคะคุณแฟน” มือเรียวยกขึ้นตบแก้มของร่างสูงเบาๆ ก่อนจะเขย่งตัวขึ้นจุมพิตเบาๆที่แก้มของคนที่สูงกว่า

          นุกูลที่กำมือแน่น ขบกรามจนขึ้นเป็นสันแล้วผินหน้าหนีในทันที

          เธอคนนั้นถอนตัวกลับมา ชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะฟาดมือลงอย่างแรงบนใบหน้าของนุกูลจนหันไปตามแรงตบแล้วเดินจากไป เหลือเพียงนุกูลที่ถอนหายใจอย่างแรงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

          พรพระพายหันกลับมามองหน้ากับกานต์วิธูที่ดูตกใจไม่แพ้กันก่อนที่เพื่อนสนิทจะลากพรพระพายลงบันไดอีกทางเพื่อไปเข้างานเลี้ยง

          จนดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าได้สักพักใหญ่ๆ งานเลี้ยงส่งท้ายปีการศึกษาจึงสิ้นสุดลง ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน พรพระพายเองก็แยกกับกลุ่มเพื่อนที่หน้าประตูโรงเรียน สองเท้าก้าวไปจนเกือบจะพ้นรั้วบ้านหลังที่สอง เธอจึงหันหลังกลับมามองอีกครั้งเพื่อบันทึกมันไว้ในความทรงจำเพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าหากเธอกลับมาอีกครั้งจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่

          แสงไฟจากเสาไฟต้นสูงสาดลงมากระทบกิ่งไม้ที่โน้นเข้าหากันระหว่างกลางนั้นเป็นทางเดินที่สุดปลายทางมีใครบางคนยืนอยู่ คนที่เธอจำได้ดีแม้จะไม่เห็นใบหน้าด้วยซ้ำ

          สายลมรอบตัวพัดเอาใบไม้จากต้นร่วงลงมาแล้วปลิวว่อนไปทั่ว

          นุกูลคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดียวกับเธอเพียงแต่ตรงข้ามกัน พรพระพายหลับตาลงแล้วอธิษฐาน

          ‘ขอให้สายลมพัดผู้ชายคนนี้ให้หายไปจากชีวิตเธอให้ไกลมากที่สุด ไกลเท่าที่สายลมจะทำได้ ไกลจนเธอจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาไม่ได้อีก’

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา