บ่วงแค้น บ่วงรัก
เขียนโดย sunflower_
วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.55 น.
แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2561 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) จุดเริ่มต้นของความแค้น 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของความแค้น
ตำรวจกลับไปนานแล้ว
มัลลิกาทบทวนความจำระหว่างที่คุยกับตำรวจ 3 นายนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่สะกิดใจเธอเหลือเกิน
“จากการตรวจสอบรถที่เกิดอุบัติเหตุอย่างละเอียด สายเบรกถูกตัด ไม่ใช่เบรกแตกอย่างที่เข้าใจ ทางเราเช็กมือถือของคุณกฤษณา พบว่ามีข้อความขู่เอาชีวิตหลายข้อความ ถึงแม้ว่าแต่ละข้อความจะเป็นคนละเบอร์ แต่คิดว่าน่าจะมาจากคน ๆ เดียวกัน เพราะลักษณะข้อความค่อนข้างคล้ายคลึงกันครับ”
มัลลิกาไม่เคยรู้เลย พ่อไม่มีเคยบอก ไม่เคยแสดงอาการให้เห็นว่ากำลังถูกคุกคามเอาชีวิตแม้แต่นิดเดียว
“คุณพ่อไม่เคยมีศัตรูที่ไหน...”
“ตอนนี้มีบุคคลหนึ่งที่น่าสงสัยมากกว่าใคร เพราะคุณกฤษณาออกไปหาเขา ขากลับก็เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว และทางเราทราบมาว่าคุณกฤษณากำลังอยากได้ที่ดินผืนหนึ่ง และคนที่เราสงสัยก็อยากได้ที่ดินผืนนั้นเหมือนกัน”
“ใครหรือคะ?”
“ไดอิจิ ทากาฮาชิ เจ้าของโรงแรมและรีสอร์ชในเครือทากาฮาชิ ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ครับ”
ตระกูลทากาฮาชิ อย่างนั้นหรอ
“อาโรสคะ เรื่องที่อาโรสพูดเมื่อตอนบ่าย คนที่ทำให้พ่อของมะลิ...ตาย” รสสุคนธ์ชะงักช้อนที่กำลังจะเข้าปาก เธอกับมัลลิกากำลังนั่งทานอาหารเย็นที่เลยเวลามื้อเย็นมาหลายชั่วโมงด้วยกัน ความจริงแล้วรสสุคนธ์เองก็สังเกตเห็นว่ามัลลิกามีท่าทีเปลี่ยนไปหลังจากที่เธอกลับมาจากที่ไปจัดการเรื่องห้องให้นลิน แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป เพราะคิดว่าหลานคงกำลังเสียใจมาก ไม่คิดว่ามัลลิกาจะคิดเรื่องที่เธอพูดไว้เมื่อบ่ายอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าคะน้องมะลิ”
“ทำไมอาโรสพูดเหมือนมั่นใจว่าการเสียชีวิตของคุณพ่อ ไม่ใช่อุบัติเหตุคะ”
รสสุคนธ์วางช้อนลงและยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ดวงตาโตเฉี่ยวมองหลานสาวด้วยความลังเลเพียงครู่เดียว ก่อนจะตัดสินใจเล่าให้มัลลิกาฟังในสิ่งที่เธอสงสัย
“ช่วง 2 เดือนมานี้พี่กฤษแปลก ๆ ไป” หญิงสาวชะงักเล็กน้อยเมื่อต้องนึกถึงเรื่องราวของคนที่จากไป “เวลาคุยกันมักจะพูดแปลก ๆ เหมือนสั่งเสีย”
มัลลิกาตัวชา พ่อพูดกับอาโรสแบบนั้นก็แปลว่าพ่อต้องรู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง แต่เธอเป็นลูก อยู่ใกล้ชิดพ่อทุกวัน กลับไม่รู้สึกเอะใจอะไรเลย
“ครั้งหนึ่ง พี่กฤษหลุดออกมาว่า มีคนกำลังจ้องทำร้ายเขาอยู่ ตอนนั้นอายังไม่อยากจะเชื่อเลย พี่กฤษทำธุรกิจขาวสะอาดมาตลอด ไม่เคยทับเส้นใคร ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยมหาศาล ไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้า ก็แค่นักธุรกิจธรรมดา ทำไมถึงได้มีคนจ้องทำร้ายได้” รสสุคนธ์นึกโทษตัวเองในใจ ถ้าหากเธอเชื่อกฤษณาในวันนั้น เธอคงเป็นหูเป็นตาให้พี่ชายได้มากกว่านี้
“วันนี้ตอนที่รู้ข่าว ในหัวอาก็เอาแต่นึกถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของคุณพ่อเรา พี่กฤษไม่ใช่คนขับรถประมาท เขาจะเช็กรถทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ก็พ่อมะลิน่ะ เคยเป็นนักแข่งรถมาก่อนหนิเนอะ” หญิงสาวยิ้มเมื่อนึกถึงวันวาน สมัยที่เธอและพี่ชายยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น กฤษณาชอบรถมาก เกือบจะไปเป็นนักแข่งมืออาชีพแทนการรับช่วงต่อบริษัทของครอบครัวเสียแล้ว สุดท้ายเมื่อพ่อผู้ดูแลบริษัทมายาวนานจากโลกใบนี้ไป กฤษณาก็กลับมาดูแลบริษัทต่อ แต่ก็ยังแข่งรถเป็นงานอดิเรกอยู่ดี เพราะฉะนั้นก่อนเดินทางไปไหนก็ตาม นิสัยรักรถ และเก่งเรื่องรถทำให้กฤษณาเช็กรถทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย ไม่มีทางที่จะปล่อยให้รถมีปัญหาจนเบรกแตกและพรากลมหายใจของตัวเองไปตลอดกาลแบบนี้ได้
“อาโรสรู้จักตระกูล ทากาฮาชิ ไหมคะ”
“หื้ม? รู้จักสิคะ ขนาดอาอยู่ที่อเมริกายังรู้จักเลย ดังมากนะ ตระกูลนี้หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด ถามทำไมหรอคะ?”
มัลลิกากัดปากเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่รู้จากตำรวจ 3 นายนั่นให้ฟัง
“ตอนที่คุณอาไปจัดการเรื่องห้องให้คุณแม่ มีตำรวจมาหามะลิ 3 คน เขาบอกว่า ที่รถของคุณพ่อคว่ำ มันไม่ใช่อุบัติเหตุ สายเบรกมีร่องรอยการตัดชัดเจน” มัลลิกาลอบกลืนน้ำลาย แม้จะพยายามเข้มแข็งแค่ไหน หัวใจดวงน้อยก็อดรู้สึกเจ็บไม่ได้เมื่อต้องนึกถึงสาเหตุการจากไปของบิดา “คนที่พ่อเจอก่อนรถคว่ำ คือคุณไดอิจิ ทากาฮาชิค่ะ”
“หลักฐานไม่มากพอ?”
“ใช่ครับ ร้านที่คุณกฤษณาและคุณไดอิจินัดเจอกัน ลานจอดรถกล้องวงจรปิดเสียพอดี เราเลยไม่มีหลักฐานว่าสายเบรกถูกตัดที่นั่น และคนร้ายไม่ได้ทิ้งลายนิ้วมือไว้เลย”
มัลลิกาทิ้งตัวลงอย่างอ่อนแรง เช้านี้หลังจากที่เธอเยี่ยมมารดาเรียบร้อย คุณตำรวจก็มาหาอีกครั้ง ครั้งนี้มีรสสุคนธ์อยู่ด้วย เธอคิดว่าจะได้รับข่าวดีว่าได้หลักฐานเพิ่มหรือจับตัวคนทำได้แล้ว กลายเป็นว่าหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้กลับหายไป
“เราพยายามดูกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงแล้ว แต่แถวนั้นมีกล้องวงจรปิดน้อยมากครับ เราไม่เห็นอะไรที่ผิดสังเกตเลย ถ้าหากว่าสายเบรกถูกตัดที่ร้านนั้นจริง ๆ คนร้ายคงชำนาญพื้นที่น่าดูเลยครับ”
“แบบนี้ คนผิดก็ลอยนวลหรือคะ” มัลลิกาถามด้วยความรู้สึกเจ็บปวด สูญเสียพ่อไปแล้ว แต่กลับไม่สามารถลากตัวคนทำผิดมาลงโทษได้เลย
“ทางเราจะพยายามหาหลักฐานเพิ่มให้ได้ครับ ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ แผนที่วางมาดีแค่ไหนก็มักจะมีช่องโหว่เสมอ เราจะทำสุดความสามารถครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ” รสสุคนธ์และมัลลิกาเอ่ยขอบคุณตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้อย่างจริงใจ แม้ว่าพวกเธอจะไม่เห็นทางที่จะจับคนร้ายมาลงโทษได้เลยก็ตาม พวกมันวางแผนมาดี ดีมากจริงๆ
ถ้ากฎหมายทำอะไรคนเลวพวกนั้นไม่ได้ มัลลิกาจะลากพวกมันมากราบศพของพ่อด้วยมือของเธอเอง เธอขอสัญญา!!
100% แล้วค่ะ มัลลิกาเป็นเด็กวัย 15 ย่าง 16 ที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป เธอไม่ใช่เด็กที่ถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู ค่อนข้างเข็มแข็งพอตัว (ได้ข้อนี้มาจากพ่อ สังเกตว่าพ่อโดนขู่ฆ่ายังไม่ปริปากให้คนที่บ้านเป็นห่วงเลย แต่ทำไมกฤษณาไม่แจ้งความ เดี่ยวปมส่วนนี้จะเฉลยเรื่อยๆค่ะ) ถึงแม้ตอนที่รู้ว่าเสียพ่อไปจะฟูมฟาย แต่ก็คิดได้ว่าไม่ควรร้องไห้ เพราะตอนนี้คนที่บอบช้ำมากที่สุดคือนลิน ที่ถึงขั้นฆ่าตัวตาย มัลลิกาเป็นเด็กค่อนข้างโตเกินอายุนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจเนอะ
เขียนนิยายแต่ละตอนเนี้ย ยากมากจริงๆค่ะ เวลาเห็นคนเข้ามาอ่านก็ชื่นใจ หวังว่าจะได้รับฟีดแบกอะไรกลับมาบ้างนะคะ ไม่ว่าดีหรือแย่ก็พร้อมจะรับค่ะ
ช่องทางติดต่อตะวัน
Facebook : Sunflower
https://web.facebook.com/Sunflower-268692590198513/
Twitter : @sunflower_np
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ