Almighty Man : The Stone Of Life
-
เขียนโดย antoncob
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.34 น.
4 session
0 วิจารณ์
5,683 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560 03.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) New Century
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฐานทัพลับใต้ดิน
อัลคาร์มา
กรุงแบกแดด, อิรัก
หลังจากสงครามไม่กี่ปี กรุงแบกแดดได้เปลี่ยนจากดินแดนสวรรค์กลายเป็นขุมนรก สภาพบ้านเรือนเต็มไปด้วยซากปรักหักพังจำนวนมาก สภาพของถนนดูเหมือนไร้การเหลียวแล ผู้คนต่างมีสภาพที่อดอยากและปัญหาอาชญกรรมที่เพิ่มมากขึ้นจากการไร้การดูแลของกำลังทหารสหรัฐอเมริกาที่ถอนกำลังออกไปไม่นานมานี้
ประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศไม่ใช่พระเจ้าอีกต่อไป เนื่องจากเขาขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้นำ และข่าวลือที่ว่าเขาคือหุ่นเชิดของกลุ่มอัลคาร์มา กลุ่มอัลคาร์มาคือกลุ่มก่อการร้ายที่เพิ่งตั้งขึ้นไม่นานมานี้และทรงอิทธิพลกลุ่มหนึ่งของโลก ด้วยจำนวนอาวุธที่มากมายจากผู้สนับสนุนไม่ทราบกลุ่ม และจำนวนทหารที่พร้อมพลีชีพให้กับกลุ่มกว่าหลายพันคนจากทั่วโลก
ในฐานทัพใต้ดินชานกรุงแบกแดดที่ไม่มีแผนที่ปรากฏบนจีพีเอส กลับกลายเป็นอาคารที่ทันสมัย มีระบบคุ้มกันอันแน่นหนาและเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาคารที่ถูกออกแบบโดยใช้วัสดุก่อสร้างจากเหล็กกล้าและวัสดุในการสร้างกระสวยอวากาศ
“อีกไม่นานอาวุธพวกนี้ก็พร้อมใช้แล้วครับท่านอาคาลี ลำแสงที่สามารถทำลายตึกได้เพียงสองวินาที” เสียงชายแก่สำเนียงอเมริกันได้พูดขึ้น เขาคือด๊อกเตอร์มาร์ค อาเวอร์รี่ ผู้เชียวชาญด้านอาวุธ ฟิสิกส์ และเคมี
“อีกไม่นานเท่านั้น โลกจะถูกทำลาย และศตวรรษใหม่ของเราจะเริ่มขึ้น” อาคาลีหัวหน้ากลุ่มอัลคาร์มาได้พูดขึ้น
“ผมยังมีสิ่งที่จะมาเซอร์ไพร์สท่านอีกนะครับ” มาร์คพูดขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋าที่ทำด้วยเหล็ก ที่เขาต้องปลดรหัสด้วยม่านตาของเขา ข้างในคือปอกแขนสีทองสองข้าง มีรูเล็กๆทั่วปอกแขน
“ปอกแขนทองคำ มันคืออะไรอย่างงั้นเหรอ” อาคาลีหยิบมันขึ้นมาดูอย่างสนใจ
“ปอกแขนที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ และข้างในสามารถปล่อยรังสีจากดวงอาทิตย์ที่ปมจำลองมาได้ และแรงเทียบเท่สเหมือนดวงอาตย์เลยล่ะครับ มันยังเปลี่ยนความมืดเป็นแสงสว่างได้ภายในพริบตา” มาร์คอธิบายอาวุธชิ้นใหม่ให้อาคาลีฟัง
“มันเสร็จสมบูรณ์แล้วใช่มั้ย” อาคาลีถามขึ้นทันที
“ใช่ครับ แต่อย่าเพิ่งลองเลยนะครับ ลำแสงสามารถเผาร่างของศัตรูได้ในบริเวณกว้าง แค่ยื่นมือไปที่เป้าหมายแล้วแสงนั้นจะทำงาน”
“แล้วฉันจะไม่ตายไปด้วยเหรอนั่น” อาคาลีถามขึ้น
“ผมยังมีของเล่นให้อีกนะครับ ดูนี่ครับ” มาร์คกดสวิทย์รีโมตในมือของเขาขึ้น หลังจากนั้นช่องลับในห้องก็เแดออกมา มันคือชุดเกราะสีเงินขนาดพอดีกับอาคาลี และเกราะหมวกเหล็ก รวมถึงอุปกรณ์สวมใส่ป้องกันดวงตาของเขาคล้ายแว่นกันแดดสีดำแต่กนากว่าหลายเท่า
“เกราะชุดนี้สามารถป้องกันพลังงานต่างๆได้ รวมถึงแรงกระแทรกได้ถึงระดับรถไฟฟ้าความเร็วสูงชนก็จะไม่เป็นอะไรเลย แว่นตาอันนั้นป้องกันแสงจากรังสีที่ปล่อยออกมาได้ และยังมีระบบเอ็กซเรย์ที่สแกนถึงระดับสูงสุด ท่านสามารถเห็นทุกอย่างได้” มาร์คอธิบายต่อ
“เทคโนโลยีของนายมหัศจรรย์จริงๆ อยากจะลองใส่มันเล่นๆแล้วล่ะ สนามรบคงจะเปิดในไม่ช้า” อาคาลีพูดขึ้น
“ผมยังมีเกราะแบบพิเศษของลูกน้องของท่านอีกนะครับ” มาร์คกดรีโมต และช่องอีกช่องก็เปิดออกมา มันเป็นชุดเกราะสีดำตั้งแต่หัวไปถึงเท้า และยังมีแว่นกันแดดเหมือนเขาอีกด้วย
“เกราะพวกนี้คือชุดประจำการของทหารของท่าน มันทำด้วยสารสะกัดจากเหล็กและเทคโนโลยีนาโน และผมฉาบรังสีป้องกันพลังงานต่างๆทับไว้อีกด้วย ประสิทธิภาพอาจจะน้อยกว่าของท่าน แต่รับรองทนทานมากๆ” มาร์คอธิบายต่อ
“มันจะมาพร้อมกับปืนกระบอกพวกนี้” มาร์คหยิบปืนในช่องลับออกมาให้อาคาลีดู มันเป็นปืนขนาดเท่ากับเอ็ม16 แต่ปลายกระบอกปืนนั้นเป็นรูแสีเกลี่ยม และปอกกระสุนเหมือนเสียบก้อนพลังงานบางอย่างอยู่
“นี่คือนวัตกรรมใหม่ของการรบ ปืนที่กระสุนไม่ใช่กระสุนแต่เป็นรังสีที่ทำเหมือนอาวุธนิวเคลียร์ มันไม่มีแรงระเบิดแต่ถ้ายิงไปถูกศัตรูแล้ว ร่างจะสลายลงทันที” มาร์คยื่นไปให้อาคาลีลองจับเล่นดู อาคาลีพอใจเป็นย่างมาก
“ฉันภูมิใจจริงที่ได้ร่วมงานกับด๊อกเตอร์อาเวอร์รี ไม่ผิดเลยที่สวามิภักมาฝ่ายเรา” อาคาลีพูดอย่างจริงใจ
“อเมริกาไม่สมควรได้อาวุธของผม มันฆ่าครอบครัวผมเพราะเพียงอยากได้งานวิจัยของผม พวกCIA” มาร์คพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงโกรธแค้น
“ฉันจะแก้แค้นให้ด๊อกเตอร์เอง และของฉัน แป่นดินบนโลกทุกสัดส่วนต้องเป็นของฉันและอัลคาร์มา แต่อเมริกดินแดนสวะฉันจะยกให้ด๊อกเตอร์……เอาไว้ไปทำลายเล่น” อาคาลีพูดพลางหัวเราะ
“ครับท่าน เราจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง เมื่อทุกอย่างพร้อมนรกก็จะมาเยือนพวกมัน และพวกมนุษย์โลกที่น่าเบื่อ”
“มันจะพร้อมเมื่อไร” อาคาลีถามขึ้นทันที
“อีกสองวันครับท่าน”
“เราจะไปเดินเล่นที่UNก่อน แค่ขู่เท่านั้น” อาคาลีหัวเราะแบบสะใจ
“พลังงานที่อยู่ในแท่นกระสุนเต็มเมื่อไร บุกได้ทันที” มาร์คพูดขึ้นพลางมองไปที่ผลงานของเขาแบบภาคภูมิใจ
“บอกลาพวกอาวุธ M16ได้เลย สงสัยเราต้องหาที่ทิ้งแล้วล่ะ” อาคาลีพูดขึ้น
ตึกคูเปอร์เอนเตอร์ไพร์ส
แมนฮัตตัน, นิวยอร์ก
เอ็ดเวิร์ด คูเปอร์ คือมหาเศรษฐีที่อัจฉริยะที่สุดคนหนึ่งของโลกใบนี้ เขาเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีวิศกรรม จิตวิทยา คอมพิวเตอร์ และที่สำคัญที่สุดเขาเชี่ยวชาญด้านยูโด เทควันโด และศิลปะต่อสู้แขนงต่างๆมากมาย เขาเดินทางไปทั่วโลกและเรียนรู้ที่จะฝึกฝนมัน ด้วยวัยสี่สิบต้นๆของเขาไม่ป็นอุปสรรคใดๆเลย เพราะอำนาจเงินที่มหาศาลของเขานั้นเอง
คูเปอร์เอนเตอร์ไพร์สคือบริษัทเกี่ยวอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งยังเป็นสถาบันวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และเขายังมีงานวิจัยของเขาอย่างลับๆอย่างการพัฒนาอาวุธเทคโนโลยีใหม่ๆนั่นเอง
เขาร่วมมือกับแอช คูเปอร์ หลานชายของเขาวัยยี่สิบสี่ปีในการพัฒนาอาวุธต่างๆ แอชด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ปี แต่ไอคิวของเขานั่นเท่ากับไอสไตลส์ และเชี่ยวชาญด้านวิศกรรม และอาวุธต่างๆ รวมถึงด้านฟิสิกซ์อีกด้วย
“อาเอ็ดครับ รองเท้าติดไอพ่นผมว่าเชื้อเพลิงมันยังไม่มากพอที่จะลอยได้นะครับ เราอาจต้องใช้ของบางอย่างที่อยู่ในปรมนูญ” แอชพูดขึ้น ในขณะที่กำลังประกอบเชื้อเพลิงเข้าไปในรองเท้าไอพ่นสิ่งประดิษฐ์อันล่าสุดของเขา
“อาว่า….ไม่จำเป็นต้องใช้ปรมนูญหรอก มันอันตรายมากถ้ามันขัดข้องหรือระเบิด” เอ็ดเวิร์ดพูดขึ้น
“มันอาจจะไม่มีวันสำเร็จถ้าเราไม่ใช้มัน” แอชแย้งขึ้นทันที
“จะทำอะไรควรนึกถึงผลกระทบด้วย ผลค้างเคียงมันอาจจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตได้” เอ็ดเวิร์ดพูดขึ้น
“แล้วอาวุธที่เราทำขึ้นมาละครับ” แอชถามขึ้นมาทันที
“ห้ามมีปรมนูญและนิวเคลียร์ที่นี่ ของต้องห้ามของคูเปอร์เอ็นเตอร์ไพร์ส” เอ็ดเวริ์ดพูดตัดบททันที แอชำด้เพียงแต่น้อมรับคำสั่งเท่านั้น
“คุณคูเปอร์ครับ ผมมีอะไรจะให้คุณดู” เสียงของเจสันหนุ่มชาวฮ่องกงเลขาของเขาดังขึ้นจากหน้าประตู
“ว่ามา” เอ็ดเวริ์ดพูดขึ้น
“ผมขอเข้าไปได้มั้ยครับ” เจสันพูดพลางจะเดินเข้าไป
“เดี๋ยวฉันออกไปหาเอง” เอ็ดเวริ์ดพูดขึ้นทันที พร้อมเดินออกจากห้องไปหาเจสัน “ห้ามใช้ปรมนูญ” เอ็ดเวริ์ดสั่งหลานชายของเขาก่อนเดินออกไป
“คลิปวีดีโอจากข่าว คุณคงยุ่งอยู่แน่ๆน่าจะไม่มีเวลาติดตามมันเท่าไร” เจสันเปิดคลิปในมือถือของเขาให้เจ้านายเขาดู
มันเป็นคลิ๊ปวีดีโอของอีริค เบรต ในเหตุการณผ์ที่ตริโปลีเมื่อวานนี้ เอ็ดเวริ์ดหยิบมือถือของเขามาดูด้วยมือของเขาเอง วีดีโอนั้นสร้างความปละหลาดใจให้กับเจสันอย่างมาก
“กระสุนเจาะไม่เข้าเลยเหรอ พลังการต่อสู้ของเขามีมากเลยทีเดียว ดูจากสภาพของอัลคาร์มากลุ่มนั้นแล้วสะบักสะบอมไปเลยทีเดียว” เอดเวริ์ดพูดขึ้นในขณะที่เขากำลังตั้งใจดูอย่างจดจ่อ
“ทุกๆคนที่เข้ามาดูต่างเรียกเขาว่า อัลไมท์ตี แมน” เจสันอธิบาย
“อัลไมท์ตี แมน…… คล้ายซูเปอร์ฮีโร่เลยนะเนี่ย” เอ็ดเวริ์ดพูดขึ้น
“เขาใช้เกราะแบบไหนกัน หรืออาวุธประเภทไหน ถึงทรงอนุภาพได้ขนาดนี้” เอ็เวริ์ดพูดแบบครุ่นคิด
“หรือจะเป็นประเภทเดียวกับอิเล็กโตรไนซ์ ฮีโร่พลังไฟฟ้าผู้ไม่เปิดเผยตัวในชิคาโก” เจสันพูดขึ้น
“แต่นี้เห็นหน้าจริงๆเลยนะ ชัดด้วย” เอดเวริ์ดพูดขึ้นพร้อมส่งมือถือคืนเจสัน
“เดี๋ยวฉันหาเอง” เอ็ดเวริ์ดพูดจบพร้อมเดินกลับเข้าไปในห้องทดลองของเขา
“ผมคิดออกแล้ว เราควรใส่…..” แอชพูดขึ้นเมื่อเห็นอาของเขาเดินเข้ามา แต่เอ็ดเวริ์ดยกมือขึ้นมาให้เขาหยุดพูด
“มีงานด่วนให้ทำ” เอ็ดเวริ์ดพูดขึ้น
“งานด่วน…..งานอะไรเหรอครับ” แอชหยุดการกระทำทุกอย่าง พร้อมถามอย่างสงสัย
“ช่วยตามหาคนให้หน่อย ใช้ฐานข้อมูลจากกล้องวงจรปิดทั่วอเมริกาของฐานข้อมูลคูเปอร์เอ็นเตอร์ไพร์ส
“งานช้างแน่ๆเลย” แอชอุทานขึ้น
ตึกเพนตากอน
อาร์ลิงตันเคาน์ตี, เวอร์จิเนีย, สหรัฐอเมริกา
ตึกรูปห้าเหลี่ยมมีห้าชั้นคือที่ทำการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา และรูปตึกห้าเหลี่ยมยังเป็นสัญลักษณ์ทางการทหารของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เจ้าหน้าที่โดมินิค พาวเวอร์ลงจากรถเชฟโรเล็ตคันเก่ารุ่นปีสองพันคันสีดำ ซึ่งมีสนิมเกาะรอบตัวรถซึ่งเขาเช่ามาจากสนามบิน เขาถอดแว่นกันแดดสีดำราคาถูกยี่ห้ออเมริกันอีเกิ้ลที่ลดราคาจากห้างเจซีเพนนี มือข้างซ้ายของเขาถือซองเอกสารสำคัญสีน้ำตาลที่เป็นเหตุผลให้เขามายังเพนตากอนในวันนี้ เนื้อเชิ๊ตสีขาวที่สวมทับโดยเสื้อหนังสีดำตัวเก่าทำให้เขาดูแปลกประหลาดท่ามกลางคนในตึกที่แต่งตัวในชุดราชการทหารและชุดสูทสุภาพ
พนักงานสาวผิวดำตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์โบกมือให้กับเขา ด้วยความเร่งรีบ เขารีบตรงปรี่เข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว โดมินิกมองดูป้ายชื่อของเธอ ร้อยตรีหญิงเคท บาลองก้า และสงสัยเกี่ยวกับทรงผมของเธอระหว่างตัวจริงและในบัตรช่างแตกต่างกันเหลือเกิน เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขึ้น
“คุณคือเจ้าหน้าที่พาวเวอร์จากซีไอเอ” เคทมองไปที่เขาอย่างสงสัยและถามเขา
“ครับ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงครับ” เขาส่งบัตรประจำตัวให้เธอแล้วพูดขึ้น
“ซีไอเอทุกคนมักจะมีท่าทางเหมือนคุณนั่นแหละค่ะ......ฉันล้อเล่น ก็คุณมาตรงเวลาขนาดนั้นฉันก็ต้องคิดว่าคุณเป็นซีไอเอที่นัดไว้วันนี้ซิคะ”
“ใช่ครับ คุณนี่ทายถูกเป๊ะเลย” โดมินิคพูดพร้อมหัวเราะ
“เชิญทางนี้ค่ะ ห้องของเจ้าหน้าที่ประวัติของเรา” เคทพาโดมินิคไปที่ห้องประวัติในตึกเพนตากอน
ภายในอาคารเพนตากอนคล้ายกับสำนักงานออฟฟิศของบริษัทดังทั่วไป มันคึกคักไปด้วยคนทำงานหลายๆแผนก เคทพาเจ้าหน้าที่พาวเวอร์เดินไปยังส่วนของกองทัพบกและตรงดิ่งไปยังห้องของเจ้าหน้าที่แผนกประวัติก่อนที่จะแยกตัวไป ชายวัยยี่สิบปลายๆต้อนรับเจ้าหน้าที่พาวเวอร์ด้วยกาแฟคาปูชิโน่และแคร๊กเกอร์รสนม
“สวัสดีครับเจ้าหน้าที่พาวเวอร์ ผมสิบเอกไมเคิล อาร์วิช เจ้าหน้าที่แผนกประวัติของที่นี่ครับ” เจ้าหน้าที่แผนกประวัติแนะนำตัวกับเขา
"ผมเจ้าเหน้าที่โดมินิค พาวเวอร์จากซีไอเอ" โดมินิคแนะนำตัวพร้อมนั่งข้างหน้าโต๊ะทำงานของเขา พร้อมชิมแคร๊กเกอร์และกาแฟทันที เขาทำหน้าผะอืดผะอมจนไมเคิลสังเกตุเห็น
“ผมยังมีด๊อกเตอร์เปปเปอร์เชอรี่ ในตู้เย็นนะครับ เอามั้ยครับ” ไมเคิลก้มตัวลงหยิบน้ำอัดลมข้างล่างโต๊ะของเขาที่มีตู้แช่มินิบาร์เล็กๆวางอยู่ พร้อมส่งให้เขา โดมินิคขอบคุณเขาพร้อมดื่ม
“คุณพอจะทราบชื่อของคนในรูปหรือเปล่าครับ หรือเปล่าครับ” โดมินิคถามขึ้นพร้อมยื่นแฟ้มสีน้ำตาลให้เขา
“หน้าคุ้นๆนะเนี่ย.......พบต้องค้นหาก่อนนะครับ” ไมเคิลใช้โปรแกรมค้นหาอย่างเร่งด่วนโดยเอารูปที่เขาให้สแกนลงบนเครื่อง ในขณะที่เขาวางแฟ้มไว้บนโต๊ะและยังไม่ได้เปิดอ่าน
“คุณจะไม่เปิดดูสักหน่อยหรือครับ” โดมินิคมองไปที่แฟ้มและถามขึ้นมา แต่ไมเคิลกำลังยุ่งกับการค้นหาชื่ออยู่
“อืม..... อีริค เบรต ไม่มีประวัติอาชญากรรม และอะไรที่พิเศษเลยนี่” ไมเคิลมองไปที่โดมินิคแล้วถามขึ้น จนโดมินิครู้สึกหงุดหงิดจึงหยิบแฟ้มสีน้ำตาลเปิดเอาเอกสารสำคัญยื่นให้กับไมเคิล
“นี่ครับ รายละเอียด” โดมินิพูดพร้อมยื่นเอกสารให้กับไมเคิล
ไมเคิลหยิบเอกสารที่โดมินิคยื่นให้ขึ้นมาอ่าน จำนวนมากกว่ายี่สิบแผ่นทำให้ไมเคิลเริ่มที่จะเบื่อหน่าย รูปของบุคคลในรูปคือรูปของอีริค เบรตที่เขาเซฟจากวีดีโอเหตุการณ์ในตริโปรลีเมื่อวานนี้
“คุณจะให้พบตามหาเขาหรือครับ”
"ไม่ครับ ผมแค่ขอข้อมูลหรือคนรู้จักของเขา และสถานที่อยู่ของเขาครับ”
“เท่าที่ผมค้นดูแล้ว เขาไม่มีครอบครัว และคนรู้จักอื่นๆเลย” ไมเคิลพูดขึ้นพลางยื่นเอกสารให้แก่โดมินิค
“แล้วข้อมูลอื่นๆละครับ เขาไม่มีข้อมูลอาชีพ ประกันสังคม หรือเพื่อนเลยหรือครับ” โดมินิคถามขึ้น
“ไม่มีข้อมูลหรอกครับ แม้แต่ประกันสังคม แล้วข้อมูลพลเมืองละครับหน่วยคุณไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยเหรอ” ไมเคิลย้อนถาม
“ถ้าผมเจอผมคงไม่บินมาที่นี่หรอกครับ แต่ว่าผมขอสำเนาหน่อยสิครับ” โดมินิคร้องขอไมเคิล
“ค่าสำเนาสามดอลลาร์ ห้าสิบเซ็นต์ครับ มันระบุไว้ในกฎ” ไมเคิลพูดขึ้น
“นี่ครับ ผมกำลังสะสมเหรียญสัญลักษณ์ของแต่ละรัฐอยู่เลย” โดมินิคหยิบเหรียญยี่สิบห้าเซนต์ที่เขาสะสมรูปลายนูนสัญลักษณ์ของแต่ละรัฐในอเมริกาให้เขาจำนวนหลายเหรียญก่อนที่จะเดินออกไป
โดมินิคเข้าไปนั่งในรถเช่าของเขา เบาะหนังสีดำในตัวรถมีรอยฉีกขาดเล็กน้อยทำให้เห็นฟองน้ำสีเหลืองเป็นจุดหลายจุด เขาหยิบกระดาษในลิ้นชัดรถ มันคือเอกสารที่อยู่ของอีริค เบรต คือโซลิส เดล มาร์, ซานตาโมนิกา, แคลิฟอร์เนีย
“ครั้งหน้าขอเป็นรถคาร์ดิแลคสีดำละกัน” โดมินิคพูดกับตัวเอง ก่อนที่จะรถไป มุ่งตรงไปยังสนามบิน
**********************************************************************************
อัลคาร์มา
กรุงแบกแดด, อิรัก
หลังจากสงครามไม่กี่ปี กรุงแบกแดดได้เปลี่ยนจากดินแดนสวรรค์กลายเป็นขุมนรก สภาพบ้านเรือนเต็มไปด้วยซากปรักหักพังจำนวนมาก สภาพของถนนดูเหมือนไร้การเหลียวแล ผู้คนต่างมีสภาพที่อดอยากและปัญหาอาชญกรรมที่เพิ่มมากขึ้นจากการไร้การดูแลของกำลังทหารสหรัฐอเมริกาที่ถอนกำลังออกไปไม่นานมานี้
ประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศไม่ใช่พระเจ้าอีกต่อไป เนื่องจากเขาขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้นำ และข่าวลือที่ว่าเขาคือหุ่นเชิดของกลุ่มอัลคาร์มา กลุ่มอัลคาร์มาคือกลุ่มก่อการร้ายที่เพิ่งตั้งขึ้นไม่นานมานี้และทรงอิทธิพลกลุ่มหนึ่งของโลก ด้วยจำนวนอาวุธที่มากมายจากผู้สนับสนุนไม่ทราบกลุ่ม และจำนวนทหารที่พร้อมพลีชีพให้กับกลุ่มกว่าหลายพันคนจากทั่วโลก
ในฐานทัพใต้ดินชานกรุงแบกแดดที่ไม่มีแผนที่ปรากฏบนจีพีเอส กลับกลายเป็นอาคารที่ทันสมัย มีระบบคุ้มกันอันแน่นหนาและเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาคารที่ถูกออกแบบโดยใช้วัสดุก่อสร้างจากเหล็กกล้าและวัสดุในการสร้างกระสวยอวากาศ
“อีกไม่นานอาวุธพวกนี้ก็พร้อมใช้แล้วครับท่านอาคาลี ลำแสงที่สามารถทำลายตึกได้เพียงสองวินาที” เสียงชายแก่สำเนียงอเมริกันได้พูดขึ้น เขาคือด๊อกเตอร์มาร์ค อาเวอร์รี่ ผู้เชียวชาญด้านอาวุธ ฟิสิกส์ และเคมี
“อีกไม่นานเท่านั้น โลกจะถูกทำลาย และศตวรรษใหม่ของเราจะเริ่มขึ้น” อาคาลีหัวหน้ากลุ่มอัลคาร์มาได้พูดขึ้น
“ผมยังมีสิ่งที่จะมาเซอร์ไพร์สท่านอีกนะครับ” มาร์คพูดขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋าที่ทำด้วยเหล็ก ที่เขาต้องปลดรหัสด้วยม่านตาของเขา ข้างในคือปอกแขนสีทองสองข้าง มีรูเล็กๆทั่วปอกแขน
“ปอกแขนทองคำ มันคืออะไรอย่างงั้นเหรอ” อาคาลีหยิบมันขึ้นมาดูอย่างสนใจ
“ปอกแขนที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ และข้างในสามารถปล่อยรังสีจากดวงอาทิตย์ที่ปมจำลองมาได้ และแรงเทียบเท่สเหมือนดวงอาตย์เลยล่ะครับ มันยังเปลี่ยนความมืดเป็นแสงสว่างได้ภายในพริบตา” มาร์คอธิบายอาวุธชิ้นใหม่ให้อาคาลีฟัง
“มันเสร็จสมบูรณ์แล้วใช่มั้ย” อาคาลีถามขึ้นทันที
“ใช่ครับ แต่อย่าเพิ่งลองเลยนะครับ ลำแสงสามารถเผาร่างของศัตรูได้ในบริเวณกว้าง แค่ยื่นมือไปที่เป้าหมายแล้วแสงนั้นจะทำงาน”
“แล้วฉันจะไม่ตายไปด้วยเหรอนั่น” อาคาลีถามขึ้น
“ผมยังมีของเล่นให้อีกนะครับ ดูนี่ครับ” มาร์คกดสวิทย์รีโมตในมือของเขาขึ้น หลังจากนั้นช่องลับในห้องก็เแดออกมา มันคือชุดเกราะสีเงินขนาดพอดีกับอาคาลี และเกราะหมวกเหล็ก รวมถึงอุปกรณ์สวมใส่ป้องกันดวงตาของเขาคล้ายแว่นกันแดดสีดำแต่กนากว่าหลายเท่า
“เกราะชุดนี้สามารถป้องกันพลังงานต่างๆได้ รวมถึงแรงกระแทรกได้ถึงระดับรถไฟฟ้าความเร็วสูงชนก็จะไม่เป็นอะไรเลย แว่นตาอันนั้นป้องกันแสงจากรังสีที่ปล่อยออกมาได้ และยังมีระบบเอ็กซเรย์ที่สแกนถึงระดับสูงสุด ท่านสามารถเห็นทุกอย่างได้” มาร์คอธิบายต่อ
“เทคโนโลยีของนายมหัศจรรย์จริงๆ อยากจะลองใส่มันเล่นๆแล้วล่ะ สนามรบคงจะเปิดในไม่ช้า” อาคาลีพูดขึ้น
“ผมยังมีเกราะแบบพิเศษของลูกน้องของท่านอีกนะครับ” มาร์คกดรีโมต และช่องอีกช่องก็เปิดออกมา มันเป็นชุดเกราะสีดำตั้งแต่หัวไปถึงเท้า และยังมีแว่นกันแดดเหมือนเขาอีกด้วย
“เกราะพวกนี้คือชุดประจำการของทหารของท่าน มันทำด้วยสารสะกัดจากเหล็กและเทคโนโลยีนาโน และผมฉาบรังสีป้องกันพลังงานต่างๆทับไว้อีกด้วย ประสิทธิภาพอาจจะน้อยกว่าของท่าน แต่รับรองทนทานมากๆ” มาร์คอธิบายต่อ
“มันจะมาพร้อมกับปืนกระบอกพวกนี้” มาร์คหยิบปืนในช่องลับออกมาให้อาคาลีดู มันเป็นปืนขนาดเท่ากับเอ็ม16 แต่ปลายกระบอกปืนนั้นเป็นรูแสีเกลี่ยม และปอกกระสุนเหมือนเสียบก้อนพลังงานบางอย่างอยู่
“นี่คือนวัตกรรมใหม่ของการรบ ปืนที่กระสุนไม่ใช่กระสุนแต่เป็นรังสีที่ทำเหมือนอาวุธนิวเคลียร์ มันไม่มีแรงระเบิดแต่ถ้ายิงไปถูกศัตรูแล้ว ร่างจะสลายลงทันที” มาร์คยื่นไปให้อาคาลีลองจับเล่นดู อาคาลีพอใจเป็นย่างมาก
“ฉันภูมิใจจริงที่ได้ร่วมงานกับด๊อกเตอร์อาเวอร์รี ไม่ผิดเลยที่สวามิภักมาฝ่ายเรา” อาคาลีพูดอย่างจริงใจ
“อเมริกาไม่สมควรได้อาวุธของผม มันฆ่าครอบครัวผมเพราะเพียงอยากได้งานวิจัยของผม พวกCIA” มาร์คพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงโกรธแค้น
“ฉันจะแก้แค้นให้ด๊อกเตอร์เอง และของฉัน แป่นดินบนโลกทุกสัดส่วนต้องเป็นของฉันและอัลคาร์มา แต่อเมริกดินแดนสวะฉันจะยกให้ด๊อกเตอร์……เอาไว้ไปทำลายเล่น” อาคาลีพูดพลางหัวเราะ
“ครับท่าน เราจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง เมื่อทุกอย่างพร้อมนรกก็จะมาเยือนพวกมัน และพวกมนุษย์โลกที่น่าเบื่อ”
“มันจะพร้อมเมื่อไร” อาคาลีถามขึ้นทันที
“อีกสองวันครับท่าน”
“เราจะไปเดินเล่นที่UNก่อน แค่ขู่เท่านั้น” อาคาลีหัวเราะแบบสะใจ
“พลังงานที่อยู่ในแท่นกระสุนเต็มเมื่อไร บุกได้ทันที” มาร์คพูดขึ้นพลางมองไปที่ผลงานของเขาแบบภาคภูมิใจ
“บอกลาพวกอาวุธ M16ได้เลย สงสัยเราต้องหาที่ทิ้งแล้วล่ะ” อาคาลีพูดขึ้น
ตึกคูเปอร์เอนเตอร์ไพร์ส
แมนฮัตตัน, นิวยอร์ก
เอ็ดเวิร์ด คูเปอร์ คือมหาเศรษฐีที่อัจฉริยะที่สุดคนหนึ่งของโลกใบนี้ เขาเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีวิศกรรม จิตวิทยา คอมพิวเตอร์ และที่สำคัญที่สุดเขาเชี่ยวชาญด้านยูโด เทควันโด และศิลปะต่อสู้แขนงต่างๆมากมาย เขาเดินทางไปทั่วโลกและเรียนรู้ที่จะฝึกฝนมัน ด้วยวัยสี่สิบต้นๆของเขาไม่ป็นอุปสรรคใดๆเลย เพราะอำนาจเงินที่มหาศาลของเขานั้นเอง
คูเปอร์เอนเตอร์ไพร์สคือบริษัทเกี่ยวอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งยังเป็นสถาบันวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และเขายังมีงานวิจัยของเขาอย่างลับๆอย่างการพัฒนาอาวุธเทคโนโลยีใหม่ๆนั่นเอง
เขาร่วมมือกับแอช คูเปอร์ หลานชายของเขาวัยยี่สิบสี่ปีในการพัฒนาอาวุธต่างๆ แอชด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ปี แต่ไอคิวของเขานั่นเท่ากับไอสไตลส์ และเชี่ยวชาญด้านวิศกรรม และอาวุธต่างๆ รวมถึงด้านฟิสิกซ์อีกด้วย
“อาเอ็ดครับ รองเท้าติดไอพ่นผมว่าเชื้อเพลิงมันยังไม่มากพอที่จะลอยได้นะครับ เราอาจต้องใช้ของบางอย่างที่อยู่ในปรมนูญ” แอชพูดขึ้น ในขณะที่กำลังประกอบเชื้อเพลิงเข้าไปในรองเท้าไอพ่นสิ่งประดิษฐ์อันล่าสุดของเขา
“อาว่า….ไม่จำเป็นต้องใช้ปรมนูญหรอก มันอันตรายมากถ้ามันขัดข้องหรือระเบิด” เอ็ดเวิร์ดพูดขึ้น
“มันอาจจะไม่มีวันสำเร็จถ้าเราไม่ใช้มัน” แอชแย้งขึ้นทันที
“จะทำอะไรควรนึกถึงผลกระทบด้วย ผลค้างเคียงมันอาจจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตได้” เอ็ดเวิร์ดพูดขึ้น
“แล้วอาวุธที่เราทำขึ้นมาละครับ” แอชถามขึ้นมาทันที
“ห้ามมีปรมนูญและนิวเคลียร์ที่นี่ ของต้องห้ามของคูเปอร์เอ็นเตอร์ไพร์ส” เอ็ดเวริ์ดพูดตัดบททันที แอชำด้เพียงแต่น้อมรับคำสั่งเท่านั้น
“คุณคูเปอร์ครับ ผมมีอะไรจะให้คุณดู” เสียงของเจสันหนุ่มชาวฮ่องกงเลขาของเขาดังขึ้นจากหน้าประตู
“ว่ามา” เอ็ดเวริ์ดพูดขึ้น
“ผมขอเข้าไปได้มั้ยครับ” เจสันพูดพลางจะเดินเข้าไป
“เดี๋ยวฉันออกไปหาเอง” เอ็ดเวริ์ดพูดขึ้นทันที พร้อมเดินออกจากห้องไปหาเจสัน “ห้ามใช้ปรมนูญ” เอ็ดเวริ์ดสั่งหลานชายของเขาก่อนเดินออกไป
“คลิปวีดีโอจากข่าว คุณคงยุ่งอยู่แน่ๆน่าจะไม่มีเวลาติดตามมันเท่าไร” เจสันเปิดคลิปในมือถือของเขาให้เจ้านายเขาดู
มันเป็นคลิ๊ปวีดีโอของอีริค เบรต ในเหตุการณผ์ที่ตริโปลีเมื่อวานนี้ เอ็ดเวริ์ดหยิบมือถือของเขามาดูด้วยมือของเขาเอง วีดีโอนั้นสร้างความปละหลาดใจให้กับเจสันอย่างมาก
“กระสุนเจาะไม่เข้าเลยเหรอ พลังการต่อสู้ของเขามีมากเลยทีเดียว ดูจากสภาพของอัลคาร์มากลุ่มนั้นแล้วสะบักสะบอมไปเลยทีเดียว” เอดเวริ์ดพูดขึ้นในขณะที่เขากำลังตั้งใจดูอย่างจดจ่อ
“ทุกๆคนที่เข้ามาดูต่างเรียกเขาว่า อัลไมท์ตี แมน” เจสันอธิบาย
“อัลไมท์ตี แมน…… คล้ายซูเปอร์ฮีโร่เลยนะเนี่ย” เอ็ดเวริ์ดพูดขึ้น
“เขาใช้เกราะแบบไหนกัน หรืออาวุธประเภทไหน ถึงทรงอนุภาพได้ขนาดนี้” เอ็เวริ์ดพูดแบบครุ่นคิด
“หรือจะเป็นประเภทเดียวกับอิเล็กโตรไนซ์ ฮีโร่พลังไฟฟ้าผู้ไม่เปิดเผยตัวในชิคาโก” เจสันพูดขึ้น
“แต่นี้เห็นหน้าจริงๆเลยนะ ชัดด้วย” เอดเวริ์ดพูดขึ้นพร้อมส่งมือถือคืนเจสัน
“เดี๋ยวฉันหาเอง” เอ็ดเวริ์ดพูดจบพร้อมเดินกลับเข้าไปในห้องทดลองของเขา
“ผมคิดออกแล้ว เราควรใส่…..” แอชพูดขึ้นเมื่อเห็นอาของเขาเดินเข้ามา แต่เอ็ดเวริ์ดยกมือขึ้นมาให้เขาหยุดพูด
“มีงานด่วนให้ทำ” เอ็ดเวริ์ดพูดขึ้น
“งานด่วน…..งานอะไรเหรอครับ” แอชหยุดการกระทำทุกอย่าง พร้อมถามอย่างสงสัย
“ช่วยตามหาคนให้หน่อย ใช้ฐานข้อมูลจากกล้องวงจรปิดทั่วอเมริกาของฐานข้อมูลคูเปอร์เอ็นเตอร์ไพร์ส
“งานช้างแน่ๆเลย” แอชอุทานขึ้น
ตึกเพนตากอน
อาร์ลิงตันเคาน์ตี, เวอร์จิเนีย, สหรัฐอเมริกา
ตึกรูปห้าเหลี่ยมมีห้าชั้นคือที่ทำการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา และรูปตึกห้าเหลี่ยมยังเป็นสัญลักษณ์ทางการทหารของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เจ้าหน้าที่โดมินิค พาวเวอร์ลงจากรถเชฟโรเล็ตคันเก่ารุ่นปีสองพันคันสีดำ ซึ่งมีสนิมเกาะรอบตัวรถซึ่งเขาเช่ามาจากสนามบิน เขาถอดแว่นกันแดดสีดำราคาถูกยี่ห้ออเมริกันอีเกิ้ลที่ลดราคาจากห้างเจซีเพนนี มือข้างซ้ายของเขาถือซองเอกสารสำคัญสีน้ำตาลที่เป็นเหตุผลให้เขามายังเพนตากอนในวันนี้ เนื้อเชิ๊ตสีขาวที่สวมทับโดยเสื้อหนังสีดำตัวเก่าทำให้เขาดูแปลกประหลาดท่ามกลางคนในตึกที่แต่งตัวในชุดราชการทหารและชุดสูทสุภาพ
พนักงานสาวผิวดำตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์โบกมือให้กับเขา ด้วยความเร่งรีบ เขารีบตรงปรี่เข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว โดมินิกมองดูป้ายชื่อของเธอ ร้อยตรีหญิงเคท บาลองก้า และสงสัยเกี่ยวกับทรงผมของเธอระหว่างตัวจริงและในบัตรช่างแตกต่างกันเหลือเกิน เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขึ้น
“คุณคือเจ้าหน้าที่พาวเวอร์จากซีไอเอ” เคทมองไปที่เขาอย่างสงสัยและถามเขา
“ครับ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงครับ” เขาส่งบัตรประจำตัวให้เธอแล้วพูดขึ้น
“ซีไอเอทุกคนมักจะมีท่าทางเหมือนคุณนั่นแหละค่ะ......ฉันล้อเล่น ก็คุณมาตรงเวลาขนาดนั้นฉันก็ต้องคิดว่าคุณเป็นซีไอเอที่นัดไว้วันนี้ซิคะ”
“ใช่ครับ คุณนี่ทายถูกเป๊ะเลย” โดมินิคพูดพร้อมหัวเราะ
“เชิญทางนี้ค่ะ ห้องของเจ้าหน้าที่ประวัติของเรา” เคทพาโดมินิคไปที่ห้องประวัติในตึกเพนตากอน
ภายในอาคารเพนตากอนคล้ายกับสำนักงานออฟฟิศของบริษัทดังทั่วไป มันคึกคักไปด้วยคนทำงานหลายๆแผนก เคทพาเจ้าหน้าที่พาวเวอร์เดินไปยังส่วนของกองทัพบกและตรงดิ่งไปยังห้องของเจ้าหน้าที่แผนกประวัติก่อนที่จะแยกตัวไป ชายวัยยี่สิบปลายๆต้อนรับเจ้าหน้าที่พาวเวอร์ด้วยกาแฟคาปูชิโน่และแคร๊กเกอร์รสนม
“สวัสดีครับเจ้าหน้าที่พาวเวอร์ ผมสิบเอกไมเคิล อาร์วิช เจ้าหน้าที่แผนกประวัติของที่นี่ครับ” เจ้าหน้าที่แผนกประวัติแนะนำตัวกับเขา
"ผมเจ้าเหน้าที่โดมินิค พาวเวอร์จากซีไอเอ" โดมินิคแนะนำตัวพร้อมนั่งข้างหน้าโต๊ะทำงานของเขา พร้อมชิมแคร๊กเกอร์และกาแฟทันที เขาทำหน้าผะอืดผะอมจนไมเคิลสังเกตุเห็น
“ผมยังมีด๊อกเตอร์เปปเปอร์เชอรี่ ในตู้เย็นนะครับ เอามั้ยครับ” ไมเคิลก้มตัวลงหยิบน้ำอัดลมข้างล่างโต๊ะของเขาที่มีตู้แช่มินิบาร์เล็กๆวางอยู่ พร้อมส่งให้เขา โดมินิคขอบคุณเขาพร้อมดื่ม
“คุณพอจะทราบชื่อของคนในรูปหรือเปล่าครับ หรือเปล่าครับ” โดมินิคถามขึ้นพร้อมยื่นแฟ้มสีน้ำตาลให้เขา
“หน้าคุ้นๆนะเนี่ย.......พบต้องค้นหาก่อนนะครับ” ไมเคิลใช้โปรแกรมค้นหาอย่างเร่งด่วนโดยเอารูปที่เขาให้สแกนลงบนเครื่อง ในขณะที่เขาวางแฟ้มไว้บนโต๊ะและยังไม่ได้เปิดอ่าน
“คุณจะไม่เปิดดูสักหน่อยหรือครับ” โดมินิคมองไปที่แฟ้มและถามขึ้นมา แต่ไมเคิลกำลังยุ่งกับการค้นหาชื่ออยู่
“อืม..... อีริค เบรต ไม่มีประวัติอาชญากรรม และอะไรที่พิเศษเลยนี่” ไมเคิลมองไปที่โดมินิคแล้วถามขึ้น จนโดมินิครู้สึกหงุดหงิดจึงหยิบแฟ้มสีน้ำตาลเปิดเอาเอกสารสำคัญยื่นให้กับไมเคิล
“นี่ครับ รายละเอียด” โดมินิพูดพร้อมยื่นเอกสารให้กับไมเคิล
ไมเคิลหยิบเอกสารที่โดมินิคยื่นให้ขึ้นมาอ่าน จำนวนมากกว่ายี่สิบแผ่นทำให้ไมเคิลเริ่มที่จะเบื่อหน่าย รูปของบุคคลในรูปคือรูปของอีริค เบรตที่เขาเซฟจากวีดีโอเหตุการณ์ในตริโปรลีเมื่อวานนี้
“คุณจะให้พบตามหาเขาหรือครับ”
"ไม่ครับ ผมแค่ขอข้อมูลหรือคนรู้จักของเขา และสถานที่อยู่ของเขาครับ”
“เท่าที่ผมค้นดูแล้ว เขาไม่มีครอบครัว และคนรู้จักอื่นๆเลย” ไมเคิลพูดขึ้นพลางยื่นเอกสารให้แก่โดมินิค
“แล้วข้อมูลอื่นๆละครับ เขาไม่มีข้อมูลอาชีพ ประกันสังคม หรือเพื่อนเลยหรือครับ” โดมินิคถามขึ้น
“ไม่มีข้อมูลหรอกครับ แม้แต่ประกันสังคม แล้วข้อมูลพลเมืองละครับหน่วยคุณไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยเหรอ” ไมเคิลย้อนถาม
“ถ้าผมเจอผมคงไม่บินมาที่นี่หรอกครับ แต่ว่าผมขอสำเนาหน่อยสิครับ” โดมินิคร้องขอไมเคิล
“ค่าสำเนาสามดอลลาร์ ห้าสิบเซ็นต์ครับ มันระบุไว้ในกฎ” ไมเคิลพูดขึ้น
“นี่ครับ ผมกำลังสะสมเหรียญสัญลักษณ์ของแต่ละรัฐอยู่เลย” โดมินิคหยิบเหรียญยี่สิบห้าเซนต์ที่เขาสะสมรูปลายนูนสัญลักษณ์ของแต่ละรัฐในอเมริกาให้เขาจำนวนหลายเหรียญก่อนที่จะเดินออกไป
โดมินิคเข้าไปนั่งในรถเช่าของเขา เบาะหนังสีดำในตัวรถมีรอยฉีกขาดเล็กน้อยทำให้เห็นฟองน้ำสีเหลืองเป็นจุดหลายจุด เขาหยิบกระดาษในลิ้นชัดรถ มันคือเอกสารที่อยู่ของอีริค เบรต คือโซลิส เดล มาร์, ซานตาโมนิกา, แคลิฟอร์เนีย
“ครั้งหน้าขอเป็นรถคาร์ดิแลคสีดำละกัน” โดมินิคพูดกับตัวเอง ก่อนที่จะรถไป มุ่งตรงไปยังสนามบิน
**********************************************************************************
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ