THE HIDDEN SCENE
-
เขียนโดย Pukkie
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 11.50 น.
8 chapter
0 วิจารณ์
9,013 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 12.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Back to the beginning
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันรู้จักที่นี่...เมืองโสมมน่ารังเกียจที่พ่อของฉันเคยเป็นส่วนหนึ่งของมัน ฉันเติบโตมาท่ามกลางการแก่งแย่งแข่งขัน การสร้างเกียรติยศชื่อเสียง อำนาจ เงินทอง รวมถึงเรื่องสกปรกอีกหลายอย่างที่คนในเมืองยอมทำเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดต่อไป ฉันไม่ชอบเมืองนี้นักแต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาอีกครั้งแม้จะรู้สึกแย่มากก็ตาม
ตอนนี้ฉันกำลังยืนรอข้ามถนนท่ามกลางแดดร้อนระอุที่ทำให้คนเป็นบ้าได้ง่ายๆอย่างอดทน ความรู้สึกว่าผิวหนังโดดแดดเผาจนแสบร้อนเข้ากันได้ดีกับเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดขึ้นมาและค่อยๆหยดแหมะลงพื้น
แบบนี้ไม่ดีเลย อันที่จริงแล้วไม่ควรจะมีใครเห็นเชลซี มิลเลอร์ หญิงสาวที่หายไปในสภาพนี้ ฉันเม้มปากแน่น ความกระหายน้ำและความหงุดหงิดใจแทรกขึ้นมาเป็นระยะ แม้จะพยายามเสมองภาพแม่น้ำสายยาวที่ทอดเลียบไปตามถนนฝั่งตะวันออกก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้น มีคนสามสี่คน เป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นท่าทางเหมือนพวกสาวแสบจอมปาร์ตี้เดินมารอข้ามถนนด้วยเหมือนกัน พวกเธอหันมองฉันอย่างสนอกสนใจก่อนจะกระซิบกระซาบกันเองอย่างไร้มารยาท ฉันยืดอกขึ้นเหมือนจะบอกว่า ใช่ ฉันนี่แหละเชลซี หญิงสาวคนนั้น มันก็ฟังดูเจ๋งดี แต่ฉันยังไม่อยากมีเรื่องกับคนใครเลยทำได้แค่ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองรถคันหรูที่เคลื่อนตัวมาจอดรอสัญญาณไฟแทน
นั่นคือรถของพวกเดวิยงยังไงล่ะ
ทายาทคนสำคัญของตระกูลนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เขาสวมเสื้อสีเทาทึมและกำลังพยักหน้าให้กับบทสนทนาอันน่าเบื่อของผู้หญิงอีกคนซึ่งนั่งข้างกันและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้เขาสนใจ แต่อาร์ซี่ก็เป็นแบบนี้แหละ เขาชอบแสดงตัวว่าเป็นคนมีมารยาท รับฟังทุกสิ่งที่ทุกคนพูดแต่ไม่เคยให้ใครสนิทสนมหรือเข้าใกล้มากไปกว่านี้ ฉันรู้จักเขาดีเพราะเราเคยสนิทกันมาก่อน
“นั่นอาร์ซี่ เดวิยง”
ฉันมองเด็กสาวคนนั้น เธอคือหนึ่งในกลุ่มสาวแสบ “ฉันรู้จักเขา” ฉันยิ้มขรึมก่อนจะขยับตัวเมื่อรถอีกสองคันทยอยมาจอดตามหลัง
“เหรอ” เด็กสาวเลิกคิ้วอย่างสนใจก่อนจะหันไปกระทุ้งศอกใส่เพื่อน “แต่เธอดูไม่ใช่คนแถวนี้”
“โอ ก็ต้องไม่อยู่แล้วล่ะ” ฉันบิดปากเป็นรอยยิ้มก่อนจะเดินข้ามถนนฉับๆและสงสัยชั่ววูบหนึ่งว่าตัวเองเสียเวลาคุยกับเด็กสาวคนนั้นทำไม ฉันไม่ควรให้เดวิยงหรือใครๆเห็น เพราะการมาที่นี่ในวันนี้จะต้องเป็นการมาแบบเซอร์ไพรส์ เอาให้พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดและถึงกับเหวอไปเลย อ้อ ไม่สิ ยังไงคนตระกูลเดวิยงก็ไม่เคยตกตะลึงกันอยู่แล้ว พวกเขารักษามารยาทและสงวนท่าทีกันจะตาย ทำราวกับว่ามีคีมเหล็กบีบเกร็งอยู่บนหน้าและเดินคอตั้งเหมือนปกคอเสื้อมันแข็งจนหันไปทางอื่นแทบไม่ได้
ส่วนคนในรถอีกสองคันที่ขับมาจอดตามหลังก็เป็นเพื่อนเก่าของฉันเอง เวอร์จิล ออร์ซินี และเมดิสัน เกรแฮม ลูกผู้ดีของเมืองทั้งนั้น มีแต่ฉันคนเดียวที่เป็นลูกคนใช้ หึ ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าฉันไปมีเพื่อนที่ต่างกันขนาดนั้นได้ยังไง แล้วก็เลิกคิดไปเลยว่าชีวิตของเชลซีคนนี้จะโชคดีและหวือหวาเหมือนในนิยาย แบบนั้นมันออกจะฝันเฟื่องไปหน่อยนะ เรื่องของฉันมันเข้าใจง่ายและยืนบนพื้นฐานความจริงมากกว่านั้นเยอะ
เมื่อก่อนแม่ของฉันเป็นคนดูแลคฤหาสน์เกรแฮม(พูดง่ายๆก็คนรับใช้นั่นแหละ) ส่วนพ่อเป็นหัวหน้าตระกูลออร์ซินีผู้ร่ำรวยเงินทองและเกียรติยศ มีธุรกิจล้านแปดที่ฉันจะไม่สาธยายให้น่าเบื่อ ตรงนี้ฟังดูนิยายอยู่สักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า เรื่องต่อจากนั้นมันไม่สวยงามเลยสักนิด
“นี่มัน...โฮปเหรอ”
“หืม” ฉันชะงักเท้าก่อนจะเดินถึงสนามกีฬาในมหาวิทยาลัย เมื่อแน่ใจแล้วว่าเหงื่อสกปรกได้ถูกเช็ดออกจากใบหน้าฉันก็จำใจหันกลับไปและขยับยิ้มมีมารยาทให้คนตรงหน้าทันที
“โฮปจริงๆด้วย พระเจ้าช่วยซี่!!”
ฉันไม่ได้ชื่อโฮป แต่แน่นอนว่าฉันเป็น คือโฮปเป็นตำแหน่งที่สำคัญในเมืองนี้น่ะ และฉันก็ได้มันมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนอายุสิบขวบโดยผ่านการเห็นชอบจากผู้คนในเมืองและพ่อผู้สูงส่งของฉัน โอ๊ย ให้ตายเถอะ มันฟังดูประหลาดนะ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับความสวย เก่งหรืออะไรแบบนั้นแน่ มันเกี่ยวกับการต่อสู้อย่างยากลำบากของฉันกับแม่ต่างหาก
“คุณรู้จักฉัน?” ฉันเอียงคอมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสนใจ ไม่คิดว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันจะรู้จักฉันหรอก เพราะฉันไม่ได้สวยดีเด่อะไรขนาดนั้น
“แน่นอน มีใครในเมืองนี้ไม่รู้จักคุณบ้าง โฮป ว่าแต่...ทำไมคุณ เอ่อ โทษทีนะ คุณไม่ควรจะอยู่ที่นี่หลังเกิดเรื่องยุ่งๆพวกนั้น”
ฉันมองเขาก่อนจะยักไหล่ “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าชะตาจะเล่นตลกอะไร จริงมั้ย ปีก่อนคุณอยู่ที่นี่ ได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นเจ้าหญิงที่มีแต่คนรัก แต่แล้วอยู่ๆ...” ฉันยิ้มปริศนา “ก็มีคนดึงคุณตกจากบัลลังก์ แน่นอน เจ้าหญิงอาจตกใจกลัวจนต้องหนี แต่ตอนนี้เธอมาทวงบัลลังก์กับมงกุฎอันชอบธรรมคืนแล้ว”
“ผมนึกอยู่แล้วว่าคุณต้องกลับมา ผู้บริสุทธิ์ทำแบบนี้เสมอ” เขาเผยรอยยิ้มจริงใจ
“ขอบคุณที่ยังเชื่อฉันนะคะ แล้วก็ขอบคุณที่เรียกฉันว่าโฮปด้วย”
“เพราะคุณคือความหวัง ผู้คนรักความหวังมาก”
“ฉันรู้ ฉันถึงมาอยู่นี่ไง” ฉันเอื้อมมือไปตบบ่าเขาเหมือนเพื่อนที่สนิทกันมานาน ชายหนุ่มยิ้มเขินก่อนจะตะโกนชื่อตัวเองตอนฉันหมุนตัวพอดี ฉันพยักหน้าทั้งที่ไม่หันกลับไปมองเพราะกำลังสนใจเกมกีฬาสุดโปรดกลางสนามมากกว่า
เกมกำลังเริ่มโดยมีอาร์ซี่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นบนที่ติดกระจกเป็นส่วนตัวล้อมกรอบเหมือนในหนัง เขาดูเหมาะสมกับเก้าอี้สีดำเคร่งขรึม ด้านซ้ายมีเมดิสันนั่งคุยอยู่ด้วย ส่วนด้านขวาก็มีเวอร์จิลยืนล้วงกระเป๋าท่าทางถือดีคอยพากย์เกมอยู่ ทั้งสามกำลังใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับไอ้ลูกรีๆของทีมในมหาวิทยาลัย ถ้าจำไม่ผิดเมดิสันไม่ได้เชียร์ทีมเดียวกับทั้งสองหนุ่ม เธอก็เลยค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อคนทั้งคู่หันมาเยาะเย้ยอะไรบางอย่าง
“คุณขึ้นไปบนนั้นไม่ได้นะครับ”
ฉันหยุดระหว่างขั้นบันไดก่อนจะหันไปหาคนพูด “ทำไมคะ ฉันเป็นนักศึกษาของที่นี่”
“แต่คุณอยากจะขึ้นไปที่ส่วนตัวของสามตระกูล ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”
ฉันถอนหายใจ พวกงี่เง่าน่ะ นักศึกษาที่คอยดูแลเวลาคนเข้าคนออก คอยควบคุมและเดินกร่างอย่างกับหมาบ้าแต่ไม่เคยเรียนรู้ว่าใครเป็นใครบ้างเลย “รู้จักฉันหรือเปล่า”
“อย่าบอกว่าคุณเป็นลูกใครเลยนะ แม้แต่เอมิลี่ ทัลลีย์ก็ยังไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปบนนั้น”
ฉันกลอกตา รู้หรอกว่าเป็นมารยาทยอดแย่ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ “คนอย่างยัยนั่นก็สมควรจะติดแหง่กอยู่ข้างล่างแล้วล่ะ”
เขาหลุดขำก่อนจะกระแอมเมื่อเห็นฉันส่งยิ้มรู้ทันไปให้ “ให้ฉันขึ้นไปเถอะ สาบานว่านายจะไม่เดือดร้อน เอ้า นี่” ฉันยัดบัตรประจำตัวใส่มือเขาก่อนจะรอดูปฏิกิริยาที่ตามมาด้วยความสนใจ อากาศตอนนี้ร้อนมาก อัฒจันทร์คนแน่นขนัดอย่างกับการแข่งขันนี่มันเป็นเรื่องระดับโลก มีเสียงโห่อย่างขัดใจเมื่อทีมโปรดของตนทำคะแนนไม่ได้ตามมาด้วยกริยาห่ามๆ ฉันยืนนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อรอให้คนตรงหน้าพูดอะไรบางอย่าง
ห้า หก เจ็ด
“คุณคือโฮป!”
ครั้งนี้ต้องนับถึงเจ็ดแน่ะ
“ถูกเผงเลย โฮปเป็นที่หนึ่งนะ จำได้ใช่ไหม ฉันเป็นตัวเอชส่วนพวกเขาเป็นแค่โอ พี อี เป็นส่วนประกอบของฉันเท่านั้นเอง” ฉันเน้นคำว่าส่วนประกอบอย่างจงใจและดึงบัตรกลับมา ก่อนจะพยักพเยิดเป็นเชิงถามว่าไปได้แล้วใช่ไหม เขารีบกุลีกุจอหลีกทางและถึงกับวิ่งไปเปิดปะตูให้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะทุกคนมัวแต่สนใจเกมจนไม่ทันสังเกตว่าฉันเข้ามาแล้ว
“ไง ทุกคน”
“บ้าชิบ นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย พระเจ้าช่วย” เป็นเมดิสันที่ได้สติก่อน เธอวิ่งมากระชากฉันเข้าไปกอดและจับเขย่าๆอยู่หลายที บอกไปหรือยังว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน เพื่อนรักเพื่อนซี้ที่เคยอมลูกอมเม็ดเดียวกันเพื่อพิสูจน์มิตรภาพที่แท้จริงตั้งแต่ยังเด็ก “โอ้โห ดูสิ ดูๆๆ นางฟ้าตัวน้อยของฉันกลายเป็นเจ้าหญิงไปแล้ว”
“ยัยนี่เวอร์แบบนี้ตลอดเลย น่ารำคาญชะมัด”
“อะไรยะ หุบปากไปเถอะเวอร์จิล นายทำเสียบรรยากาศหมด” เธอหันไปตวาดเวอร์จิลแต่ก็ยอมปล่อยให้เขาดึงฉันไปกอดบ้าง
“ฉันหาเธอไม่เจอ ฉันเลยคิดว่าเธอ...” เสียงเขาสะดุด ก่อนจะลูบผมฉันเหมือนพี่ชายผู้แสนดี เวอร์จิลเป็นลูกชายของคุณอา แต่เพราะสายเลือดครึ่งนึงของฉันมันต่ำต้อยอย่างที่พวกออร์ซินีชอบกล่าวหาเลยทำให้เราถูกจับแยกกันตั้งแต่เกิด “ขอบคุณที่เธอกลับมา ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”
“อย่าเล่นบทซึ้งน่า นายไม่เหมาะกับมันหรอก”
“ยัยบ้านี่” เขาดันฉันออกอย่างหัวเสีย เวอร์จิลก็เป็นแบบนี้ ชอบทำเป็นคนอ่อนไหวเจ้าอารมณ์อยู่เรื่อย
“นั่งก่อนสิ ตอนนี้ทีมของเรากำลังนำอยู่เลย” เมดิสันดึงฉันไปนั่งเก้าอี้ของเธอซึ่งมันก็อยู่ข้างๆอาร์ซี่พอดี ฉันกลั้นหายใจ สาบานเลยว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ฉันเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดอาการประหม่า แต่ท้องไส้ของฉันก็ยังหดเกร็งราวกับอาร์ซี่เป็นคุณครูประจำชั้นจอมเข้มงวด
“ว่าไง”
เขาอุตส่าห์ทักอะไรที่ดีกว่า ไง ตั้งพยางค์นึงแน่ะ นี่ฉันควรจะดีใจหรือเปล่า ให้ตาย ฉันเกลียดหมอนี่ เกลียดตั้งแต่ปีที่แล้วยันตอนนี้เลย
“สบายดี ขอบคุณ”
“หึ” เขาทำเสียงแบบนี้หรือคล้ายๆอย่างนี้แหละ ฉันฟังไม่ค่อยถนัด อาร์ซี่เก่งนักล่ะเรื่องทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนเป็นอากาศธาตุล่องลอยไปมาอย่างไร้ค่า แต่ฉันรู้จักเขาดี เพราะฉะนั้นฉันเลยยิ้มสบายๆแล้วเท้าคางมองลงไปที่สนาม
“เขาหล่อดีนะ”
“ใคร”
“นั่นไง” ฉันชี้มือ ปีกขวาสวมเสื้อเบอร์แปดกำลังวิ่งอย่างแน่วแน่ เห็นชัดว่าเขามีทักษะที่ดีและหลบหลีกเก่งมาก ฉันเกือบจะจินตนาการออกเลยว่าดวงตาของเขาต้องเป็นสีเข้มเมื่อมันกำลังเพ่งมองเป้าหมายอย่างจริงจัง
“อ้อ” นั่นคือคำตอบรับของเขา
“นายไม่เปลี่ยนเลย”
เขาหันศีรษะที่จัดแต่งทรงผมอย่างดีกลับมา อาร์ซี่พยายามรักษามาตรฐานของตัวเองอย่างมาก “อะไร”
“ยังเย็นชืดเหมือนซุปเห็ดเน่าๆไม่เคยเปลี่ยน”
เมดิสันหลุดหัวเราะ ส่วนเวอร์จิลก็ทำเสียงขลุกขลักอยู่ข้างหลัง
“ยัยบ้า”
“เขาชื่ออะไรนะ”
“ยัยประสาท”
“ฉันชอบเขาจริงๆ ให้ตายสิ สีผมที่ลอดหมวกออกมาน่ะ มันใช่สีบลอนด์หรือเปล่า โว้ๆๆ เขากำลังจะเตะลูกเข้าประตูอยู่แล้ว” ฉันแกล้งทำเสียงดังก่อนจะดึงเสื้อขนสัตว์ของเมดิสันแรงเกินความจำเป็นให้เธอหันมอง คนถูกดึงหัวเราะเสียงลั่นก่อนจะตะโกนฮูเร่และกอดคอฉัน เพราะพ่อหนุ่มสุดหล่อข้างล่างนั่นเป็นนักเล่นทีมโปรดของเราและเขาทำประตูได้อย่างสวยงาม
“ฉันเกลียดไอ้บ้านั่นชะมัด” เวอร์จิลสบถ
“เห็นตั้งแต่แรกก็รู้แล้วว่าเขาเจ๋ง” ฉันเกทับ
“คำว่าเจ๋งไม่เหมาะจะใช้กับพวกเราหรอกนะเชล” อาร์ซี่ปรามด้วยเสียงเย็นชา
“เชลเหรอ” ฉันทวนชื่อเล่นของตัวเองที่อาร์ซี่ไม่ยอมเรียกมานานแล้ว
“ฉะ...” เขาเกือบเอามือตะครุบปากถ้าไม่ติดการฝึกฝนให้ตัวเองกดอารมณ์ความรู้สึกตั้งแต่เด็ก นั่นเพราะเขาเป็นลูกชายคนโปรดของคุณและคุณนายเดวิยงเขาเลยต้องไม่ทำอะไรผิดพลาด ไม่ควรเลยโดยเฉพาะการแสดงความสนิทสนมกับฉันโดยเรียกแค่ชื่อเล่นที่มีไม่กี่คนอยากจะทำกับลูกคนใช้
“นายเรียกฉันว่าไงนะ”
“เปล่า”
“หึ” ฉันรู้สึกเหมือนจะอาเจียนเมื่อลำไส้มันบิดแน่นอย่างกับงูร้ายที่พยายามจะรีดลมหายใจออกไป เชลเหรอ แค่คำนี้มันก็ทำให้ฉันเกือบสติหลุดได้เลยล่ะ
“มีใครหิวบ้าง จำได้ว่าเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลยนะ”
“ฉันๆๆ เราให้คนออกไปเอาอะไรมาให้กินดีไหม” เวอร์จิลไม่รอคำตอบ เขาแค่อยากทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนด้วยความกระตือรือร้นและกดปุ่มบนอินเตอร์คอม กรอกเสียงลงไปสั่งสลัดซีซาร์ต่อด้วยแซนด์วิชชีส เบอร์เกอร์เนื้ออีกสองสามอันและเฟรนฟรายด์ทอดกับโค้กแก้วใหญ่ รวมๆแล้วเขาสั่งแต่อาหารขยะที่ฉันพอจะทนกินได้แต่อาร์ซี่นั้นเรียกได้ว่าขยะแขยงมันเต็มที่
“นายกินของแบบนั้นมากเกินกว่าสัปดาห์ละครั้งไม่ได้หรอกนะเวอร์จิล และที่สำคัญนายไม่ถามความคิดเห็นคนอื่นเลยว่าอยากจะกินอะไรกัน”
“ฉันควรต้องถามเหรอ คิดว่าอยากจะให้บริการซะอีก” เขายักไหล่แบบไม่ใส่ใจ เวอร์จิลเป็นพวกคิดว่าตัวเองถูกเสมอ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราตำหนิเขา เขาก็จะแค่ยักไหล่และแถให้ตัวเองดูดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรือเรื่องใหญ่แค่ไหน หมอนี่ก็ยังยืนยันว่าตัวเองทำถูกด้วยท่าทางเหมือนเด็กผู้ชายเอาแต่ใจ ทำปากยื่น เอามือล้วงกระเป๋าและเปล่งเสียงที่ดังน้อยกว่าการตะโกนนิดเดียวว่า ฉันว่าฉันทำถูกแล้วนะ
“นายมันน่าเบื่อจริงๆ”
“เห็นด้วย” ฉันตบบ่าเมดิสันก่อนจะหันไปมองเกมที่กำลังดุเดือดอีกครั้ง ตอนนี้แต้มของอีกทีมกำลังไล่เข้ามาแล้ว แต่เวลาก็ไล่จี้พวกเขามาด้วยเหมือนกัน อาร์ซี่เม้มปากแน่น ดูเหมือนเขาจะจริงจังกับเกมนี้พอสมควร
เสียงโทรศัพท์แผดดังขึ้น อาร์ซี่ควักมันออกจากกระเป๋ากางเกงและกดรับโดยที่สายตายังไม่ละไปจากสนาม
“สวัสดีครับ หืม ใช่” เขาเหลือบสายตามามองฉัน “อยู่..เข้าใจแล้วครับ...จะจัดการให้...ครับ”
“พ่อนายล่ะสิ” เวอร์จิลเบะปาก
“อืม”
“โทรมาถามว่าโฮปอยู่ที่นี่ด้วยจริงไหม เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไง กับใครและมีคนเห็นหรือเปล่า” เขาเลียนเสียงเย็นชาของหัวหน้าตระกูลเดวิยงได้อย่างน่าเกลียดสุดๆ “รีบกลับมาที่บ้าน เรามีเรื่องต้องประชุมกัน”
“บ้านนายก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน” อาร์ซี่ตอกกลับอย่างเย็นชา
“แต่ฉันเป็นคนช่วยเธอ”
“หึ”
“ไอ้ทุเรศเอ๊ย” เวอร์จิลเกลียดท่าทางยโสโอหังแบบนี้ของอาร์ซี่ที่สุด
“นายมันหยาบคายเหมือนเมดิสันเปี๋ยบเลย ฉันคงต้องเตือนพวกนายบ่อยๆแล้ว”
“บอกพวกเขาด้วยนะว่าฉันสบายดี ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ” ฉันแทรกขึ้นมา อาร์ซี่หันมองฉันช้าๆ ใบหน้าของเขาแข็งกระด้าง มันเหมือนหุ่นกระบอกทื่อๆแสนน่าเกลียดที่คนปกติทั่วไปจะไม่จับเอามาเล่นเด็ดขาด แต่ก็แน่ล่ะ เขาเติบโตมาในบ้านที่เป็นเหมือนโรงละครหุ่นกระบอกอยู่แล้ว จะให้ทำสีหน้าที่ดีกว่านี้ไปได้ยังไง และที่สำคัญคืออาร์ซี่เกลียดฉัน เขาชิงชังและไม่อยากจะมองหน้าฉันผ่านดวงตาสีเข้มนั่นด้วยซ้ำ
“อีกหน่อยเธออาจไม่สบายดีก็ได้” เขาลุกขึ้นยืนช้าๆด้วยหลังตรงแน่ว ลำตัวโน้มไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อยและไม่เอาศอกยันที่เท้าแขนเลยแม้แต่น้อย
มารยาทดีจนน่ารำคาญ!
“ฉันไม่เคยกลัวเกมสกปรก เพราะผ่านมันมาเยอะ”
“ก็ไม่รู้สินะ”
เราเบือนหน้าหนีกัน เกมจบลงแล้วและทีมของฉันกับเมดิสันเป็นฝ่ายชนะ โดยที่กัปตันทีมอย่างผู้ชายคนที่ฉันประทับใจในการเล่นอันปราดเปรื่องกำลังถูกกอดและลูบหลังลูบไหล่ไปทั่ว เขาเป็นดาวเด่น เป็นไฮไลท์หรืออาจจะเป็นคนดังสุดๆในมหา’ลัยก็ได้ ฉันเห็นมันในดวงตาเป็นประกายของเขา คิดว่าคงต้องไปทำความรู้จักผู้ชายคนนี้แล้วล่ะ
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
“ได้เวลาไปมอบถ้วยรางวัลให้กับทีมแล้วค่ะ” หญิงสาวแต่งกายเรียบๆยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตู อาร์ซี่พยักหน้า ประตูปิดลงพร้อมกับที่เขากำลังจัดเนกไทให้เข้าที่และซ้อมยิ้ม เขาต้องแน่ใจว่าตัวเองยิ้มอย่างเป็นมิตรพอแต่ก็ไม่ได้ดูสนิทสนมเกินไปให้ผู้คนที่รอดูอยู่เบื้องล่าง
“นายคือคนที่รักษาการแทนเหรอ”
“อะไร”
“รักษาการแทนฉัน”
“หมายความว่าไง” เขาหยุด เงยหน้ามองเหมือนฉันเป็นคนโง่ไร้สติ “ฉันเป็นไพรด์ เป็นคนมีเกียรติและต้องออกไปทำหน้าที่ในวันนี้”
“แต่ฉันเป็นโฮป ฉันคือคนที่ต้องทำหน้าที่นี้ต่างหาก”
“ไม่มีใครบอกว่าเธอเป็นโฮป” ริมฝีปากของเขาเริ่มบิดอีกแล้ว มันทำให้เขาดูเหมือนปีศาจร้ายยังไงไม่รู้
“คนทั้งเมืองบอกว่าฉันเป็นโฮป และฉันมาเพราะสิ่งนี้” ฉันขยับตัว ดูเหมือนอาร์ซี่จะมองเห็นเข็มกลัดรูปตัวเอชตัวเขียน ซึ่งทำจากทองคำที่กลัดไว้บนเสื้อสเวตเตอร์สีเขียวสดของฉัน และมันก็ทำให้ปากของเขาแข็งเกร็งส่วนมือข้างลำตัวก็ดูเกะกะเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง “นายไม่ได้เป็นโฮป นายเป็นแค่ไพรด์ เหมือนที่เวอร์จิลเป็นอีโก้และแมดดี้เป็นออร์เนท”
“อย่าเรียกฉันว่าแมดดี้ ขอแค่แม้ดก็พอ” เมดิสันไม่สนใจบรรยากาศตึงเครียดระหว่างเรา อันที่จริงเธอไม่เคยสนอะไรนอกจากแฟชั่นสวยๆและการถลุงเงินไปกับเสื้อผ้าหรือเพชรพลอย แบบนั้นทุกคนจึงเรียกคนในตระกูลเกรแฮมว่าออร์เนท มันแปลว่าฟุ่มเฟือย อะไรที่เกินพอดีและหรูหราเกินไป เหมือนที่ขนานนามเดวิยงว่าไพรด์ ไอ้คำนี้แปลว่าความภาคภูมิใจ ความทะนงตนหรือการยโสนั่นแหละ
ส่วนออร์ซินี(ที่พ่อผู้อ่อนแอของฉันเคยเป็นหัวหน้าตระกูลก่อนหน้าเวอร์จิล) ก็ได้ชื่อว่าอีโก้ ตอนแรกอีโก้ไม่ใช่คำในด้านลบหรอก ถ้าคุณเคยเรียนทฤษฎีนี้ของซิกมันด์ ฟรอยด์ แต่เพราะความเชื่อมั่นในตัวเองที่มากเกินไป มันเลยกลายเป็นอาการอีโก้สูงและออร์ซินีก็ทำแบบอื่นไม่เป็นนอกจากเห็นว่าตัวเองเจ๋งและทำถูกต้องทุกเรื่อง พวกเขาโคตรจะเหลือทนในบ้างครั้ง แต่ก็เป็นเพื่อนกันมานาน อักษรตัวแรกที่แทนเอกลักษณ์ของตระกูลมี โอ พี อี และพวกเขาดันหัวใสอยากให้กลุ่มธุรกิจที่สร้างขึ้นมามันมีจุดเด่น เลอเลิศ ล้ำค่าเลยเติมตัวเอชข้างหน้า เรียกตัวเองว่าโฮป แปลว่าความหวังของทุกคน(ฉันว่าแค่เฉพาะคนรวยต่างหาก) จากนั้นก็สถาปนาหัวหน้ากลุ่มธุรกิจโดยใช้ตัวเอชเป็นตัวแทน คนที่ได้ตำแหน่งโฮปจะเป็นใครก็ได้ในสามตระกูล มันสำคัญมากเพราะถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าโฮปให้กำเนิดอักษรตัวอื่นทั้งนั้น
ตระกูลเราจะได้เป็นจ่าฝูงถ้าได้เป็นโฮป พวกเขาสอนลูกกันแบบนี้มาตลอด
“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนรอเราอยู่นะ” เวอร์จิลทำเป็นไม่สนใจความตึงเครียดในห้อง “รีบไปกันเถอะ”
“ฉันจะต้องเป็นคนมอบถ้วย” ฉันยืนกราน
“แต่เธอไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมใดๆเลย”
“จะต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งว่าฉันเป็น...”
“เธอเป็นฆาตกร” เขาสวนกลับ น้ำเสียงเหมือนหนามแหลมคมที่ทำให้ฉันแทบผงะ นี่แหละสาเหตุที่อาร์ซี่เกลียดฉัน เขาคิดว่าฉันเป็นฆาตกรวางแผนฆ่าฌากส์ พี่ชายของเขา
“อย่าเริ่มเรื่องน่ะอาร์ซี่ นายคงไม่อยากคุ้ยเรื่องนี้มาพูดให้ตัวเองเจ็บใจเล่นหรอกนะ”
“ฉันจะดีใจมากถ้าคนผิดถูกลงโทษ” เขาปัดมือเวอร์จิลออกก่อนจะเดินลงจากอัฒจันทร์ไปที่สนามด้วยไหล่เหยียดตรงและศีรษะที่เชิดขึ้นจนน่าซัดสักผัวะ
“ฉันบอกมันเป็นล้านรอบแล้วว่าเธอไม่ได้จะฆ่าฌากส์” เวอร์จิลทำหน้าบึ้ง “ไอ้ปัญญาอ่อนเอ๊ย“
“ช่างหัวหมอนั่นเถอะ เชล ถ้าเธออยากเปิดตัวความเป็นโฮปก็ต้องรีบลงไปให้ทันนะ” เมดิสันดุนฉันลงไปด้านล่างท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงนับร้อยคู่ พวกนักข่าวทั้งของมหาวิทยาลัยและนักข่าวท้องถิ่นต่างหันกล้องมาทางเราทั้งหมด
เมดิสันรู้จังหวะดี เธอเอียงหน้ามายิ้มให้ฉัน เล่าเรื่องตลกราวกับว่าเราเป็นหญิงสาวที่ไม่เคยมีความทุกข์มาก่อนในชีวิตและหยิกแขนให้ฉันขำเมื่อฉันเอาแต่ทำหน้างง เธออยากให้ฉันเด่นขึ้นกล้องและตัวเองก็ต้องเป๊ะสุดเลยหันไปทำหน้าใส่เวอร์จิลจนเขาต้องกระซิบตอบกลับมาด้วยความรำคาญว่าเธอดูดีที่สุดในโลก
“ไปได้แล้วที่รัก” เมดิสันหยิกแก้มฉันก่อนจะดันให้เดินไปที่เวที ฉันผ่านอาร์ซี่ไปเหมือนเขาไร้ตัวตน อธิการบดีที่คุ้นเคยกับฉันทำหน้ากระอักกระอ่วนก่อนจะยื่นถ้วยมาให้ฉันอย่างเสียไม่ได้
“เชลซี” เอาร์ซี่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาแทบไม่ขยับปากเลยตอนเอ่ยชื่อฉันด้วยความเคียดแค้น
เฮอะ คิดว่าตัวเองแค้นเป็นคนเดียวเหรอ ฉันเองก็เกลียดเขาเหมือนกัน เกลียดมันทั้งตระกูลนั่นแหละ!
ไม่รู้เมื่อไรไอ้งานบ้านี่มันจะจบลงสักที ยัยพิธีกรก็พล่ามอะไรไม่รู้ยืดยาว ฉันเลยยืนจ้องไปข้างหน้าเบื่อๆจนเธอประกาศว่า เชลซี เอเลน่า มิลเลอร์ ฉันถึงจะยื่นถ้วยรางวัลออกไป กัปตันทีมสุดหล่อเป็นตัวแทนมารับ เขาแจกยิ้มกระจายให้ทุกคนก่อนจะจ้องมองฉัน มองอย่างตกใจแต่แล้วก็ยิ่งฉีกยิ้มหนักกว่าเดิม ฉันขยับเข้าใกล้และยิ้มตอบด้วยใบหน้าเป็นมิตร...เพราะฉันต้องการมิตรในเมืองนี้
“แย่แล้ว มือผมสั่นตอนยื่นออกไปแน่เลย” เขากระซิบตอนที่จับถ้วยและยืนค้างไว้ให้นักข่าวได้เก็บภาพคู่
“มือคุณไม่สั่นหรอก หรือถึงมันจะสั่นคนก็คงมองไม่เห็น พวกเธอจ้องหน้าคุณอย่างกับจะเขมือบเข้าไปอยู่แล้ว!”
เขาพยายามกลั้นหัวเราะไม่ให้ใบหน้าเบี้ยวจนเสียรูป “อย่านะ ผมไม่อยากมีภาพแปลกๆบนหน้าหนังสือพิมพ์”
“โอเค ฉันจะพยายามไม่ปล่อยมุกแล้วกัน” ฉันขยิบตา อันที่จริงมันอาจจะดูทอดสะพานไปหน่อย แต่ช่างเถอะ ก็เขาน่ารักจะตาย
“ผมอาเธอร์ หวังว่าจะได้เจอคุณอีกเร็วๆนี้นะ...เชล” มือนั้นบีบกับมือฉันแน่น เขาถอยออกไปอย่างให้เกียรติและรอจนฉันเดินออกจากสนามด้วยความสง่างามที่สุด
“เขาหล่อลากกกกกกเลยนะว่าไหม” เมดิสันวิ่งมาเคียงข้างหลังจบงาน เธอไม่เคยรักษากิริยาอะไรหรอก ไม่เหมือนเวอร์จิลกับอาร์ซี่ที่เดินกอดอกกับล้วงกระเป๋าตามมาห่างๆ
“อืมมมม”
“เธอทำเสียงอย่างกับเขาเป็นแค่ไอ้เห่ยอีกคนที่เคยเดทด้วย”
“อะไร ฉันเปล่า”
“ทำสิ เธอทำชัดๆเลย อืมมมม เขาก็น่าสนใจดี แต่หัวช้าสุดๆ เธอพูดแบบนี้ตลอดแหละเชล แม่เด็กหัวดีสอบได้ที่หนึ่งตลอดปีตลอดชาติ” แล้วเธอก็กวักมือเรียกเพื่อนอีกสองคน เวอร์จิลเดินมาถึงก่อน แต่ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องกระโปรงลายเสือที่เมดิสันเลือกใส่และมันเกือบจะดูแย่ในสายตาเวอร์จิล ทั้งคู่เลยจิกกัดกันจนลามไปถึงการลงไม้ลงมือ ยัยเมดิสันไล่ทุบเวอร์จิลไปทางลานจอดรถ เหลือแค่ฉันกับอาร์ซี่เดินกันอยู่สองคน
“สนุกมากเหรอที่ทำแบบนี้”
“นายพูดเรื่องอะไร”
“เชลซี เธอไม่ควรกลับมาที่นี่ เธอจะไปไหนก็ได้ หายไปแบบไร้ความรับผิดชอบอย่างที่ทำมานั่นไง เธอมันเก่งอยู่แล้วเรื่องวิ่งหนีไปอย่างไร้สำนึก แล้วทำไมวันนี้ถึงได้กลับมาอีก มาทวงตำแหน่งบ้าบอที่มันไม่เคยใช่ของเธอมาตั้งแต่ต้น”
“นี่เป็นครั้งแรกที่นายพูดประโยคยาวๆกับฉัน” ฉันหัวเราะเสียงสูงแต่มันฟังดูน่าสมเพช ฉันพยายามควบคุมตัวเองอยู่ พยายามอย่างมากที่จะไม่สติแตกและตะโกนใส่หน้าเขาว่าฉันไม่ใช่ฆาตกร ไม่ได้วางแผนจะฆ่าพี่ชายของเขาและไม่เคยทรยศเขาเลย
“อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่ฉัน มันทุเรศ” เขาหันหน้าหนี เรายืนอยู่ระหว่างผู้คน รถหลายคันและความเย็นที่พัดมาตามลำน้ำ บรรยากาศมันสวยดีเวลาเย็นย่ำแบบนี้ แต่อารมณ์ของฉันดำดิ่งราวกับพึ่งสูญเสียคนสำคัญไป
ไม่สิ ฉันสูญเสียจริงๆ ฉันเสียความไว้ใจจากอาร์ซี่ไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว
“ฉันไม่ได้ฆ่าฌากส์หรอกนะและที่กลับมานี่ก็เพื่อจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น”
“ไม่ใช่ว่าจะกลับมาแก้แค้นหรอกเหรอ แก้แค้นพวกเราเหมือนเมื่อหลายปีก่อน”
“...” ฉันกัดกระพุ้งแก้มก่อนจะพลั้งปาก แม่กับฉันเคยหนีไปตอนฉันสิบขวบ และฉันก็กลับมาที่เมืองโสมมนี่อีกครั้งเพื่อเรียนต่อมัธยมปลายในโรงเรียนเดียวกับเด็กทั้งสามตระกูล จากนั้นทั้งเดวิยงและออร์ซินีก็หันมาเล่นงานฉัน พวกเขาเกลียดฉัน ฉันเลยต้องสู้รบปรบมือกับคนพวกนี้ที่มีอยู่เกือบครึ่งเมือง ฉันอยู่ที่นี่หลายปีจนเข้าเรียนปีหนึ่งก็เกิดเรื่องฆาตกรรมขึ้น ยัยบ้าเอมิลี่ ทัลลีย์(คนที่นั่งรถมากับอาร์ซี่ตอนบ่ายนั่นไง)โทษฉันว่าตั้งใจสกัดขาฌากส์ให้เขาหัวฟาดพื้นแถมยังผลักเขาตกลงไปในสระน้ำ ตอนนั้นฉันคบกับฌากส์อยู่เลยตกเป็นเป้าหมายเพราะฉันอยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุด
บัดซบจริงๆ ยัยเอมิลี่รวย พูดอะไรใครก็เชื่อ เรื่องมันก็ง่ายๆแบบนั้นแหละ ฉันเลยต้องหนีออกจากเมืองด้วยความช่วยเหลือของเวอร์จิล ก่อนจะกลับมาตอนนี้เพื่อเรียนต่อปีสามและขอยอมรับเลยว่าจะแก้แค้นอีกครั้ง แต่ฉันไม่ให้อาร์ซี่รู้หรอก
“ในหัวเธอกำลังคิดอะไรอยู่นะเชลซี คิดว่าจะพูดยังไงให้ฉันเห็นใจอีกใช่ไหม จะทำยังไงให้อาร์ซี่ตกหลุมพรางฉันอีกครั้งนะ เธอเคยหลอกฉันได้แล้วนี่ เธอคงคิดว่าจะทำมันอีกครั้งอย่างง่ายดาย” เขากระชากฉัน แรงไม่พอจะทำให้ฉันเซแต่ก็แรงพอจะทำฉันเจ็บ “แต่ไม่หรอก ฉันไม่ใช่คนที่ไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด”
“ปล่อย”
“หึ” เขาทำท่ารังเกียจ “สกปรก” แล้วอาร์ซี่ก็หันหลังเดินตรงไปหาเวอร์จิลกับเมดิสันที่รออยู่ พวกเขามองตรงมาและเมดิสันก็กระสับกระส่ายอยากจะไปส่งฉัน เธอคงอยากรู้ว่าฉันพักอยู่ที่ไหน แต่ฉันส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหันหลังเดินข้ามถนนผ่านความวุ่นวาย ปรับสีหน้าให้เป็นปกติเผื่อเจอใครก็ได้ที่อยากถ่ายรูปของโฮป ฉันเหนื่อยล้า ปวดหัวเวลาต้องลับสมอง ลับฝีปากอย่างระมัดระวังกับคนพวกนั้นแต่ก็ไม่อาจหันหลังเดินหนีไปอย่างที่แม่เคยบอกไว้ได้ ฉันจะต้องสู้ และครั้งนี้มันต้องชนะ
**เขียนด้วยความตั้งใจ คอมเม้นท์ กดไลค์ เป็นกำลังใจและแสดงให้เห็นความน่าร้ากกกในตัวคุณ เจอกันตอนหน้าค่าาาา***
ตอนนี้ฉันกำลังยืนรอข้ามถนนท่ามกลางแดดร้อนระอุที่ทำให้คนเป็นบ้าได้ง่ายๆอย่างอดทน ความรู้สึกว่าผิวหนังโดดแดดเผาจนแสบร้อนเข้ากันได้ดีกับเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดขึ้นมาและค่อยๆหยดแหมะลงพื้น
แบบนี้ไม่ดีเลย อันที่จริงแล้วไม่ควรจะมีใครเห็นเชลซี มิลเลอร์ หญิงสาวที่หายไปในสภาพนี้ ฉันเม้มปากแน่น ความกระหายน้ำและความหงุดหงิดใจแทรกขึ้นมาเป็นระยะ แม้จะพยายามเสมองภาพแม่น้ำสายยาวที่ทอดเลียบไปตามถนนฝั่งตะวันออกก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้น มีคนสามสี่คน เป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นท่าทางเหมือนพวกสาวแสบจอมปาร์ตี้เดินมารอข้ามถนนด้วยเหมือนกัน พวกเธอหันมองฉันอย่างสนอกสนใจก่อนจะกระซิบกระซาบกันเองอย่างไร้มารยาท ฉันยืดอกขึ้นเหมือนจะบอกว่า ใช่ ฉันนี่แหละเชลซี หญิงสาวคนนั้น มันก็ฟังดูเจ๋งดี แต่ฉันยังไม่อยากมีเรื่องกับคนใครเลยทำได้แค่ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองรถคันหรูที่เคลื่อนตัวมาจอดรอสัญญาณไฟแทน
นั่นคือรถของพวกเดวิยงยังไงล่ะ
ทายาทคนสำคัญของตระกูลนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เขาสวมเสื้อสีเทาทึมและกำลังพยักหน้าให้กับบทสนทนาอันน่าเบื่อของผู้หญิงอีกคนซึ่งนั่งข้างกันและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้เขาสนใจ แต่อาร์ซี่ก็เป็นแบบนี้แหละ เขาชอบแสดงตัวว่าเป็นคนมีมารยาท รับฟังทุกสิ่งที่ทุกคนพูดแต่ไม่เคยให้ใครสนิทสนมหรือเข้าใกล้มากไปกว่านี้ ฉันรู้จักเขาดีเพราะเราเคยสนิทกันมาก่อน
“นั่นอาร์ซี่ เดวิยง”
ฉันมองเด็กสาวคนนั้น เธอคือหนึ่งในกลุ่มสาวแสบ “ฉันรู้จักเขา” ฉันยิ้มขรึมก่อนจะขยับตัวเมื่อรถอีกสองคันทยอยมาจอดตามหลัง
“เหรอ” เด็กสาวเลิกคิ้วอย่างสนใจก่อนจะหันไปกระทุ้งศอกใส่เพื่อน “แต่เธอดูไม่ใช่คนแถวนี้”
“โอ ก็ต้องไม่อยู่แล้วล่ะ” ฉันบิดปากเป็นรอยยิ้มก่อนจะเดินข้ามถนนฉับๆและสงสัยชั่ววูบหนึ่งว่าตัวเองเสียเวลาคุยกับเด็กสาวคนนั้นทำไม ฉันไม่ควรให้เดวิยงหรือใครๆเห็น เพราะการมาที่นี่ในวันนี้จะต้องเป็นการมาแบบเซอร์ไพรส์ เอาให้พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดและถึงกับเหวอไปเลย อ้อ ไม่สิ ยังไงคนตระกูลเดวิยงก็ไม่เคยตกตะลึงกันอยู่แล้ว พวกเขารักษามารยาทและสงวนท่าทีกันจะตาย ทำราวกับว่ามีคีมเหล็กบีบเกร็งอยู่บนหน้าและเดินคอตั้งเหมือนปกคอเสื้อมันแข็งจนหันไปทางอื่นแทบไม่ได้
ส่วนคนในรถอีกสองคันที่ขับมาจอดตามหลังก็เป็นเพื่อนเก่าของฉันเอง เวอร์จิล ออร์ซินี และเมดิสัน เกรแฮม ลูกผู้ดีของเมืองทั้งนั้น มีแต่ฉันคนเดียวที่เป็นลูกคนใช้ หึ ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าฉันไปมีเพื่อนที่ต่างกันขนาดนั้นได้ยังไง แล้วก็เลิกคิดไปเลยว่าชีวิตของเชลซีคนนี้จะโชคดีและหวือหวาเหมือนในนิยาย แบบนั้นมันออกจะฝันเฟื่องไปหน่อยนะ เรื่องของฉันมันเข้าใจง่ายและยืนบนพื้นฐานความจริงมากกว่านั้นเยอะ
เมื่อก่อนแม่ของฉันเป็นคนดูแลคฤหาสน์เกรแฮม(พูดง่ายๆก็คนรับใช้นั่นแหละ) ส่วนพ่อเป็นหัวหน้าตระกูลออร์ซินีผู้ร่ำรวยเงินทองและเกียรติยศ มีธุรกิจล้านแปดที่ฉันจะไม่สาธยายให้น่าเบื่อ ตรงนี้ฟังดูนิยายอยู่สักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า เรื่องต่อจากนั้นมันไม่สวยงามเลยสักนิด
“นี่มัน...โฮปเหรอ”
“หืม” ฉันชะงักเท้าก่อนจะเดินถึงสนามกีฬาในมหาวิทยาลัย เมื่อแน่ใจแล้วว่าเหงื่อสกปรกได้ถูกเช็ดออกจากใบหน้าฉันก็จำใจหันกลับไปและขยับยิ้มมีมารยาทให้คนตรงหน้าทันที
“โฮปจริงๆด้วย พระเจ้าช่วยซี่!!”
ฉันไม่ได้ชื่อโฮป แต่แน่นอนว่าฉันเป็น คือโฮปเป็นตำแหน่งที่สำคัญในเมืองนี้น่ะ และฉันก็ได้มันมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนอายุสิบขวบโดยผ่านการเห็นชอบจากผู้คนในเมืองและพ่อผู้สูงส่งของฉัน โอ๊ย ให้ตายเถอะ มันฟังดูประหลาดนะ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับความสวย เก่งหรืออะไรแบบนั้นแน่ มันเกี่ยวกับการต่อสู้อย่างยากลำบากของฉันกับแม่ต่างหาก
“คุณรู้จักฉัน?” ฉันเอียงคอมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสนใจ ไม่คิดว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันจะรู้จักฉันหรอก เพราะฉันไม่ได้สวยดีเด่อะไรขนาดนั้น
“แน่นอน มีใครในเมืองนี้ไม่รู้จักคุณบ้าง โฮป ว่าแต่...ทำไมคุณ เอ่อ โทษทีนะ คุณไม่ควรจะอยู่ที่นี่หลังเกิดเรื่องยุ่งๆพวกนั้น”
ฉันมองเขาก่อนจะยักไหล่ “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าชะตาจะเล่นตลกอะไร จริงมั้ย ปีก่อนคุณอยู่ที่นี่ ได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นเจ้าหญิงที่มีแต่คนรัก แต่แล้วอยู่ๆ...” ฉันยิ้มปริศนา “ก็มีคนดึงคุณตกจากบัลลังก์ แน่นอน เจ้าหญิงอาจตกใจกลัวจนต้องหนี แต่ตอนนี้เธอมาทวงบัลลังก์กับมงกุฎอันชอบธรรมคืนแล้ว”
“ผมนึกอยู่แล้วว่าคุณต้องกลับมา ผู้บริสุทธิ์ทำแบบนี้เสมอ” เขาเผยรอยยิ้มจริงใจ
“ขอบคุณที่ยังเชื่อฉันนะคะ แล้วก็ขอบคุณที่เรียกฉันว่าโฮปด้วย”
“เพราะคุณคือความหวัง ผู้คนรักความหวังมาก”
“ฉันรู้ ฉันถึงมาอยู่นี่ไง” ฉันเอื้อมมือไปตบบ่าเขาเหมือนเพื่อนที่สนิทกันมานาน ชายหนุ่มยิ้มเขินก่อนจะตะโกนชื่อตัวเองตอนฉันหมุนตัวพอดี ฉันพยักหน้าทั้งที่ไม่หันกลับไปมองเพราะกำลังสนใจเกมกีฬาสุดโปรดกลางสนามมากกว่า
เกมกำลังเริ่มโดยมีอาร์ซี่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นบนที่ติดกระจกเป็นส่วนตัวล้อมกรอบเหมือนในหนัง เขาดูเหมาะสมกับเก้าอี้สีดำเคร่งขรึม ด้านซ้ายมีเมดิสันนั่งคุยอยู่ด้วย ส่วนด้านขวาก็มีเวอร์จิลยืนล้วงกระเป๋าท่าทางถือดีคอยพากย์เกมอยู่ ทั้งสามกำลังใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับไอ้ลูกรีๆของทีมในมหาวิทยาลัย ถ้าจำไม่ผิดเมดิสันไม่ได้เชียร์ทีมเดียวกับทั้งสองหนุ่ม เธอก็เลยค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อคนทั้งคู่หันมาเยาะเย้ยอะไรบางอย่าง
“คุณขึ้นไปบนนั้นไม่ได้นะครับ”
ฉันหยุดระหว่างขั้นบันไดก่อนจะหันไปหาคนพูด “ทำไมคะ ฉันเป็นนักศึกษาของที่นี่”
“แต่คุณอยากจะขึ้นไปที่ส่วนตัวของสามตระกูล ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”
ฉันถอนหายใจ พวกงี่เง่าน่ะ นักศึกษาที่คอยดูแลเวลาคนเข้าคนออก คอยควบคุมและเดินกร่างอย่างกับหมาบ้าแต่ไม่เคยเรียนรู้ว่าใครเป็นใครบ้างเลย “รู้จักฉันหรือเปล่า”
“อย่าบอกว่าคุณเป็นลูกใครเลยนะ แม้แต่เอมิลี่ ทัลลีย์ก็ยังไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปบนนั้น”
ฉันกลอกตา รู้หรอกว่าเป็นมารยาทยอดแย่ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ “คนอย่างยัยนั่นก็สมควรจะติดแหง่กอยู่ข้างล่างแล้วล่ะ”
เขาหลุดขำก่อนจะกระแอมเมื่อเห็นฉันส่งยิ้มรู้ทันไปให้ “ให้ฉันขึ้นไปเถอะ สาบานว่านายจะไม่เดือดร้อน เอ้า นี่” ฉันยัดบัตรประจำตัวใส่มือเขาก่อนจะรอดูปฏิกิริยาที่ตามมาด้วยความสนใจ อากาศตอนนี้ร้อนมาก อัฒจันทร์คนแน่นขนัดอย่างกับการแข่งขันนี่มันเป็นเรื่องระดับโลก มีเสียงโห่อย่างขัดใจเมื่อทีมโปรดของตนทำคะแนนไม่ได้ตามมาด้วยกริยาห่ามๆ ฉันยืนนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อรอให้คนตรงหน้าพูดอะไรบางอย่าง
ห้า หก เจ็ด
“คุณคือโฮป!”
ครั้งนี้ต้องนับถึงเจ็ดแน่ะ
“ถูกเผงเลย โฮปเป็นที่หนึ่งนะ จำได้ใช่ไหม ฉันเป็นตัวเอชส่วนพวกเขาเป็นแค่โอ พี อี เป็นส่วนประกอบของฉันเท่านั้นเอง” ฉันเน้นคำว่าส่วนประกอบอย่างจงใจและดึงบัตรกลับมา ก่อนจะพยักพเยิดเป็นเชิงถามว่าไปได้แล้วใช่ไหม เขารีบกุลีกุจอหลีกทางและถึงกับวิ่งไปเปิดปะตูให้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะทุกคนมัวแต่สนใจเกมจนไม่ทันสังเกตว่าฉันเข้ามาแล้ว
“ไง ทุกคน”
“บ้าชิบ นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย พระเจ้าช่วย” เป็นเมดิสันที่ได้สติก่อน เธอวิ่งมากระชากฉันเข้าไปกอดและจับเขย่าๆอยู่หลายที บอกไปหรือยังว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน เพื่อนรักเพื่อนซี้ที่เคยอมลูกอมเม็ดเดียวกันเพื่อพิสูจน์มิตรภาพที่แท้จริงตั้งแต่ยังเด็ก “โอ้โห ดูสิ ดูๆๆ นางฟ้าตัวน้อยของฉันกลายเป็นเจ้าหญิงไปแล้ว”
“ยัยนี่เวอร์แบบนี้ตลอดเลย น่ารำคาญชะมัด”
“อะไรยะ หุบปากไปเถอะเวอร์จิล นายทำเสียบรรยากาศหมด” เธอหันไปตวาดเวอร์จิลแต่ก็ยอมปล่อยให้เขาดึงฉันไปกอดบ้าง
“ฉันหาเธอไม่เจอ ฉันเลยคิดว่าเธอ...” เสียงเขาสะดุด ก่อนจะลูบผมฉันเหมือนพี่ชายผู้แสนดี เวอร์จิลเป็นลูกชายของคุณอา แต่เพราะสายเลือดครึ่งนึงของฉันมันต่ำต้อยอย่างที่พวกออร์ซินีชอบกล่าวหาเลยทำให้เราถูกจับแยกกันตั้งแต่เกิด “ขอบคุณที่เธอกลับมา ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”
“อย่าเล่นบทซึ้งน่า นายไม่เหมาะกับมันหรอก”
“ยัยบ้านี่” เขาดันฉันออกอย่างหัวเสีย เวอร์จิลก็เป็นแบบนี้ ชอบทำเป็นคนอ่อนไหวเจ้าอารมณ์อยู่เรื่อย
“นั่งก่อนสิ ตอนนี้ทีมของเรากำลังนำอยู่เลย” เมดิสันดึงฉันไปนั่งเก้าอี้ของเธอซึ่งมันก็อยู่ข้างๆอาร์ซี่พอดี ฉันกลั้นหายใจ สาบานเลยว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ฉันเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดอาการประหม่า แต่ท้องไส้ของฉันก็ยังหดเกร็งราวกับอาร์ซี่เป็นคุณครูประจำชั้นจอมเข้มงวด
“ว่าไง”
เขาอุตส่าห์ทักอะไรที่ดีกว่า ไง ตั้งพยางค์นึงแน่ะ นี่ฉันควรจะดีใจหรือเปล่า ให้ตาย ฉันเกลียดหมอนี่ เกลียดตั้งแต่ปีที่แล้วยันตอนนี้เลย
“สบายดี ขอบคุณ”
“หึ” เขาทำเสียงแบบนี้หรือคล้ายๆอย่างนี้แหละ ฉันฟังไม่ค่อยถนัด อาร์ซี่เก่งนักล่ะเรื่องทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนเป็นอากาศธาตุล่องลอยไปมาอย่างไร้ค่า แต่ฉันรู้จักเขาดี เพราะฉะนั้นฉันเลยยิ้มสบายๆแล้วเท้าคางมองลงไปที่สนาม
“เขาหล่อดีนะ”
“ใคร”
“นั่นไง” ฉันชี้มือ ปีกขวาสวมเสื้อเบอร์แปดกำลังวิ่งอย่างแน่วแน่ เห็นชัดว่าเขามีทักษะที่ดีและหลบหลีกเก่งมาก ฉันเกือบจะจินตนาการออกเลยว่าดวงตาของเขาต้องเป็นสีเข้มเมื่อมันกำลังเพ่งมองเป้าหมายอย่างจริงจัง
“อ้อ” นั่นคือคำตอบรับของเขา
“นายไม่เปลี่ยนเลย”
เขาหันศีรษะที่จัดแต่งทรงผมอย่างดีกลับมา อาร์ซี่พยายามรักษามาตรฐานของตัวเองอย่างมาก “อะไร”
“ยังเย็นชืดเหมือนซุปเห็ดเน่าๆไม่เคยเปลี่ยน”
เมดิสันหลุดหัวเราะ ส่วนเวอร์จิลก็ทำเสียงขลุกขลักอยู่ข้างหลัง
“ยัยบ้า”
“เขาชื่ออะไรนะ”
“ยัยประสาท”
“ฉันชอบเขาจริงๆ ให้ตายสิ สีผมที่ลอดหมวกออกมาน่ะ มันใช่สีบลอนด์หรือเปล่า โว้ๆๆ เขากำลังจะเตะลูกเข้าประตูอยู่แล้ว” ฉันแกล้งทำเสียงดังก่อนจะดึงเสื้อขนสัตว์ของเมดิสันแรงเกินความจำเป็นให้เธอหันมอง คนถูกดึงหัวเราะเสียงลั่นก่อนจะตะโกนฮูเร่และกอดคอฉัน เพราะพ่อหนุ่มสุดหล่อข้างล่างนั่นเป็นนักเล่นทีมโปรดของเราและเขาทำประตูได้อย่างสวยงาม
“ฉันเกลียดไอ้บ้านั่นชะมัด” เวอร์จิลสบถ
“เห็นตั้งแต่แรกก็รู้แล้วว่าเขาเจ๋ง” ฉันเกทับ
“คำว่าเจ๋งไม่เหมาะจะใช้กับพวกเราหรอกนะเชล” อาร์ซี่ปรามด้วยเสียงเย็นชา
“เชลเหรอ” ฉันทวนชื่อเล่นของตัวเองที่อาร์ซี่ไม่ยอมเรียกมานานแล้ว
“ฉะ...” เขาเกือบเอามือตะครุบปากถ้าไม่ติดการฝึกฝนให้ตัวเองกดอารมณ์ความรู้สึกตั้งแต่เด็ก นั่นเพราะเขาเป็นลูกชายคนโปรดของคุณและคุณนายเดวิยงเขาเลยต้องไม่ทำอะไรผิดพลาด ไม่ควรเลยโดยเฉพาะการแสดงความสนิทสนมกับฉันโดยเรียกแค่ชื่อเล่นที่มีไม่กี่คนอยากจะทำกับลูกคนใช้
“นายเรียกฉันว่าไงนะ”
“เปล่า”
“หึ” ฉันรู้สึกเหมือนจะอาเจียนเมื่อลำไส้มันบิดแน่นอย่างกับงูร้ายที่พยายามจะรีดลมหายใจออกไป เชลเหรอ แค่คำนี้มันก็ทำให้ฉันเกือบสติหลุดได้เลยล่ะ
“มีใครหิวบ้าง จำได้ว่าเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลยนะ”
“ฉันๆๆ เราให้คนออกไปเอาอะไรมาให้กินดีไหม” เวอร์จิลไม่รอคำตอบ เขาแค่อยากทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนด้วยความกระตือรือร้นและกดปุ่มบนอินเตอร์คอม กรอกเสียงลงไปสั่งสลัดซีซาร์ต่อด้วยแซนด์วิชชีส เบอร์เกอร์เนื้ออีกสองสามอันและเฟรนฟรายด์ทอดกับโค้กแก้วใหญ่ รวมๆแล้วเขาสั่งแต่อาหารขยะที่ฉันพอจะทนกินได้แต่อาร์ซี่นั้นเรียกได้ว่าขยะแขยงมันเต็มที่
“นายกินของแบบนั้นมากเกินกว่าสัปดาห์ละครั้งไม่ได้หรอกนะเวอร์จิล และที่สำคัญนายไม่ถามความคิดเห็นคนอื่นเลยว่าอยากจะกินอะไรกัน”
“ฉันควรต้องถามเหรอ คิดว่าอยากจะให้บริการซะอีก” เขายักไหล่แบบไม่ใส่ใจ เวอร์จิลเป็นพวกคิดว่าตัวเองถูกเสมอ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราตำหนิเขา เขาก็จะแค่ยักไหล่และแถให้ตัวเองดูดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรือเรื่องใหญ่แค่ไหน หมอนี่ก็ยังยืนยันว่าตัวเองทำถูกด้วยท่าทางเหมือนเด็กผู้ชายเอาแต่ใจ ทำปากยื่น เอามือล้วงกระเป๋าและเปล่งเสียงที่ดังน้อยกว่าการตะโกนนิดเดียวว่า ฉันว่าฉันทำถูกแล้วนะ
“นายมันน่าเบื่อจริงๆ”
“เห็นด้วย” ฉันตบบ่าเมดิสันก่อนจะหันไปมองเกมที่กำลังดุเดือดอีกครั้ง ตอนนี้แต้มของอีกทีมกำลังไล่เข้ามาแล้ว แต่เวลาก็ไล่จี้พวกเขามาด้วยเหมือนกัน อาร์ซี่เม้มปากแน่น ดูเหมือนเขาจะจริงจังกับเกมนี้พอสมควร
เสียงโทรศัพท์แผดดังขึ้น อาร์ซี่ควักมันออกจากกระเป๋ากางเกงและกดรับโดยที่สายตายังไม่ละไปจากสนาม
“สวัสดีครับ หืม ใช่” เขาเหลือบสายตามามองฉัน “อยู่..เข้าใจแล้วครับ...จะจัดการให้...ครับ”
“พ่อนายล่ะสิ” เวอร์จิลเบะปาก
“อืม”
“โทรมาถามว่าโฮปอยู่ที่นี่ด้วยจริงไหม เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไง กับใครและมีคนเห็นหรือเปล่า” เขาเลียนเสียงเย็นชาของหัวหน้าตระกูลเดวิยงได้อย่างน่าเกลียดสุดๆ “รีบกลับมาที่บ้าน เรามีเรื่องต้องประชุมกัน”
“บ้านนายก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน” อาร์ซี่ตอกกลับอย่างเย็นชา
“แต่ฉันเป็นคนช่วยเธอ”
“หึ”
“ไอ้ทุเรศเอ๊ย” เวอร์จิลเกลียดท่าทางยโสโอหังแบบนี้ของอาร์ซี่ที่สุด
“นายมันหยาบคายเหมือนเมดิสันเปี๋ยบเลย ฉันคงต้องเตือนพวกนายบ่อยๆแล้ว”
“บอกพวกเขาด้วยนะว่าฉันสบายดี ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ” ฉันแทรกขึ้นมา อาร์ซี่หันมองฉันช้าๆ ใบหน้าของเขาแข็งกระด้าง มันเหมือนหุ่นกระบอกทื่อๆแสนน่าเกลียดที่คนปกติทั่วไปจะไม่จับเอามาเล่นเด็ดขาด แต่ก็แน่ล่ะ เขาเติบโตมาในบ้านที่เป็นเหมือนโรงละครหุ่นกระบอกอยู่แล้ว จะให้ทำสีหน้าที่ดีกว่านี้ไปได้ยังไง และที่สำคัญคืออาร์ซี่เกลียดฉัน เขาชิงชังและไม่อยากจะมองหน้าฉันผ่านดวงตาสีเข้มนั่นด้วยซ้ำ
“อีกหน่อยเธออาจไม่สบายดีก็ได้” เขาลุกขึ้นยืนช้าๆด้วยหลังตรงแน่ว ลำตัวโน้มไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อยและไม่เอาศอกยันที่เท้าแขนเลยแม้แต่น้อย
มารยาทดีจนน่ารำคาญ!
“ฉันไม่เคยกลัวเกมสกปรก เพราะผ่านมันมาเยอะ”
“ก็ไม่รู้สินะ”
เราเบือนหน้าหนีกัน เกมจบลงแล้วและทีมของฉันกับเมดิสันเป็นฝ่ายชนะ โดยที่กัปตันทีมอย่างผู้ชายคนที่ฉันประทับใจในการเล่นอันปราดเปรื่องกำลังถูกกอดและลูบหลังลูบไหล่ไปทั่ว เขาเป็นดาวเด่น เป็นไฮไลท์หรืออาจจะเป็นคนดังสุดๆในมหา’ลัยก็ได้ ฉันเห็นมันในดวงตาเป็นประกายของเขา คิดว่าคงต้องไปทำความรู้จักผู้ชายคนนี้แล้วล่ะ
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
“ได้เวลาไปมอบถ้วยรางวัลให้กับทีมแล้วค่ะ” หญิงสาวแต่งกายเรียบๆยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตู อาร์ซี่พยักหน้า ประตูปิดลงพร้อมกับที่เขากำลังจัดเนกไทให้เข้าที่และซ้อมยิ้ม เขาต้องแน่ใจว่าตัวเองยิ้มอย่างเป็นมิตรพอแต่ก็ไม่ได้ดูสนิทสนมเกินไปให้ผู้คนที่รอดูอยู่เบื้องล่าง
“นายคือคนที่รักษาการแทนเหรอ”
“อะไร”
“รักษาการแทนฉัน”
“หมายความว่าไง” เขาหยุด เงยหน้ามองเหมือนฉันเป็นคนโง่ไร้สติ “ฉันเป็นไพรด์ เป็นคนมีเกียรติและต้องออกไปทำหน้าที่ในวันนี้”
“แต่ฉันเป็นโฮป ฉันคือคนที่ต้องทำหน้าที่นี้ต่างหาก”
“ไม่มีใครบอกว่าเธอเป็นโฮป” ริมฝีปากของเขาเริ่มบิดอีกแล้ว มันทำให้เขาดูเหมือนปีศาจร้ายยังไงไม่รู้
“คนทั้งเมืองบอกว่าฉันเป็นโฮป และฉันมาเพราะสิ่งนี้” ฉันขยับตัว ดูเหมือนอาร์ซี่จะมองเห็นเข็มกลัดรูปตัวเอชตัวเขียน ซึ่งทำจากทองคำที่กลัดไว้บนเสื้อสเวตเตอร์สีเขียวสดของฉัน และมันก็ทำให้ปากของเขาแข็งเกร็งส่วนมือข้างลำตัวก็ดูเกะกะเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง “นายไม่ได้เป็นโฮป นายเป็นแค่ไพรด์ เหมือนที่เวอร์จิลเป็นอีโก้และแมดดี้เป็นออร์เนท”
“อย่าเรียกฉันว่าแมดดี้ ขอแค่แม้ดก็พอ” เมดิสันไม่สนใจบรรยากาศตึงเครียดระหว่างเรา อันที่จริงเธอไม่เคยสนอะไรนอกจากแฟชั่นสวยๆและการถลุงเงินไปกับเสื้อผ้าหรือเพชรพลอย แบบนั้นทุกคนจึงเรียกคนในตระกูลเกรแฮมว่าออร์เนท มันแปลว่าฟุ่มเฟือย อะไรที่เกินพอดีและหรูหราเกินไป เหมือนที่ขนานนามเดวิยงว่าไพรด์ ไอ้คำนี้แปลว่าความภาคภูมิใจ ความทะนงตนหรือการยโสนั่นแหละ
ส่วนออร์ซินี(ที่พ่อผู้อ่อนแอของฉันเคยเป็นหัวหน้าตระกูลก่อนหน้าเวอร์จิล) ก็ได้ชื่อว่าอีโก้ ตอนแรกอีโก้ไม่ใช่คำในด้านลบหรอก ถ้าคุณเคยเรียนทฤษฎีนี้ของซิกมันด์ ฟรอยด์ แต่เพราะความเชื่อมั่นในตัวเองที่มากเกินไป มันเลยกลายเป็นอาการอีโก้สูงและออร์ซินีก็ทำแบบอื่นไม่เป็นนอกจากเห็นว่าตัวเองเจ๋งและทำถูกต้องทุกเรื่อง พวกเขาโคตรจะเหลือทนในบ้างครั้ง แต่ก็เป็นเพื่อนกันมานาน อักษรตัวแรกที่แทนเอกลักษณ์ของตระกูลมี โอ พี อี และพวกเขาดันหัวใสอยากให้กลุ่มธุรกิจที่สร้างขึ้นมามันมีจุดเด่น เลอเลิศ ล้ำค่าเลยเติมตัวเอชข้างหน้า เรียกตัวเองว่าโฮป แปลว่าความหวังของทุกคน(ฉันว่าแค่เฉพาะคนรวยต่างหาก) จากนั้นก็สถาปนาหัวหน้ากลุ่มธุรกิจโดยใช้ตัวเอชเป็นตัวแทน คนที่ได้ตำแหน่งโฮปจะเป็นใครก็ได้ในสามตระกูล มันสำคัญมากเพราะถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าโฮปให้กำเนิดอักษรตัวอื่นทั้งนั้น
ตระกูลเราจะได้เป็นจ่าฝูงถ้าได้เป็นโฮป พวกเขาสอนลูกกันแบบนี้มาตลอด
“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนรอเราอยู่นะ” เวอร์จิลทำเป็นไม่สนใจความตึงเครียดในห้อง “รีบไปกันเถอะ”
“ฉันจะต้องเป็นคนมอบถ้วย” ฉันยืนกราน
“แต่เธอไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมใดๆเลย”
“จะต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งว่าฉันเป็น...”
“เธอเป็นฆาตกร” เขาสวนกลับ น้ำเสียงเหมือนหนามแหลมคมที่ทำให้ฉันแทบผงะ นี่แหละสาเหตุที่อาร์ซี่เกลียดฉัน เขาคิดว่าฉันเป็นฆาตกรวางแผนฆ่าฌากส์ พี่ชายของเขา
“อย่าเริ่มเรื่องน่ะอาร์ซี่ นายคงไม่อยากคุ้ยเรื่องนี้มาพูดให้ตัวเองเจ็บใจเล่นหรอกนะ”
“ฉันจะดีใจมากถ้าคนผิดถูกลงโทษ” เขาปัดมือเวอร์จิลออกก่อนจะเดินลงจากอัฒจันทร์ไปที่สนามด้วยไหล่เหยียดตรงและศีรษะที่เชิดขึ้นจนน่าซัดสักผัวะ
“ฉันบอกมันเป็นล้านรอบแล้วว่าเธอไม่ได้จะฆ่าฌากส์” เวอร์จิลทำหน้าบึ้ง “ไอ้ปัญญาอ่อนเอ๊ย“
“ช่างหัวหมอนั่นเถอะ เชล ถ้าเธออยากเปิดตัวความเป็นโฮปก็ต้องรีบลงไปให้ทันนะ” เมดิสันดุนฉันลงไปด้านล่างท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงนับร้อยคู่ พวกนักข่าวทั้งของมหาวิทยาลัยและนักข่าวท้องถิ่นต่างหันกล้องมาทางเราทั้งหมด
เมดิสันรู้จังหวะดี เธอเอียงหน้ามายิ้มให้ฉัน เล่าเรื่องตลกราวกับว่าเราเป็นหญิงสาวที่ไม่เคยมีความทุกข์มาก่อนในชีวิตและหยิกแขนให้ฉันขำเมื่อฉันเอาแต่ทำหน้างง เธออยากให้ฉันเด่นขึ้นกล้องและตัวเองก็ต้องเป๊ะสุดเลยหันไปทำหน้าใส่เวอร์จิลจนเขาต้องกระซิบตอบกลับมาด้วยความรำคาญว่าเธอดูดีที่สุดในโลก
“ไปได้แล้วที่รัก” เมดิสันหยิกแก้มฉันก่อนจะดันให้เดินไปที่เวที ฉันผ่านอาร์ซี่ไปเหมือนเขาไร้ตัวตน อธิการบดีที่คุ้นเคยกับฉันทำหน้ากระอักกระอ่วนก่อนจะยื่นถ้วยมาให้ฉันอย่างเสียไม่ได้
“เชลซี” เอาร์ซี่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาแทบไม่ขยับปากเลยตอนเอ่ยชื่อฉันด้วยความเคียดแค้น
เฮอะ คิดว่าตัวเองแค้นเป็นคนเดียวเหรอ ฉันเองก็เกลียดเขาเหมือนกัน เกลียดมันทั้งตระกูลนั่นแหละ!
ไม่รู้เมื่อไรไอ้งานบ้านี่มันจะจบลงสักที ยัยพิธีกรก็พล่ามอะไรไม่รู้ยืดยาว ฉันเลยยืนจ้องไปข้างหน้าเบื่อๆจนเธอประกาศว่า เชลซี เอเลน่า มิลเลอร์ ฉันถึงจะยื่นถ้วยรางวัลออกไป กัปตันทีมสุดหล่อเป็นตัวแทนมารับ เขาแจกยิ้มกระจายให้ทุกคนก่อนจะจ้องมองฉัน มองอย่างตกใจแต่แล้วก็ยิ่งฉีกยิ้มหนักกว่าเดิม ฉันขยับเข้าใกล้และยิ้มตอบด้วยใบหน้าเป็นมิตร...เพราะฉันต้องการมิตรในเมืองนี้
“แย่แล้ว มือผมสั่นตอนยื่นออกไปแน่เลย” เขากระซิบตอนที่จับถ้วยและยืนค้างไว้ให้นักข่าวได้เก็บภาพคู่
“มือคุณไม่สั่นหรอก หรือถึงมันจะสั่นคนก็คงมองไม่เห็น พวกเธอจ้องหน้าคุณอย่างกับจะเขมือบเข้าไปอยู่แล้ว!”
เขาพยายามกลั้นหัวเราะไม่ให้ใบหน้าเบี้ยวจนเสียรูป “อย่านะ ผมไม่อยากมีภาพแปลกๆบนหน้าหนังสือพิมพ์”
“โอเค ฉันจะพยายามไม่ปล่อยมุกแล้วกัน” ฉันขยิบตา อันที่จริงมันอาจจะดูทอดสะพานไปหน่อย แต่ช่างเถอะ ก็เขาน่ารักจะตาย
“ผมอาเธอร์ หวังว่าจะได้เจอคุณอีกเร็วๆนี้นะ...เชล” มือนั้นบีบกับมือฉันแน่น เขาถอยออกไปอย่างให้เกียรติและรอจนฉันเดินออกจากสนามด้วยความสง่างามที่สุด
“เขาหล่อลากกกกกกเลยนะว่าไหม” เมดิสันวิ่งมาเคียงข้างหลังจบงาน เธอไม่เคยรักษากิริยาอะไรหรอก ไม่เหมือนเวอร์จิลกับอาร์ซี่ที่เดินกอดอกกับล้วงกระเป๋าตามมาห่างๆ
“อืมมมม”
“เธอทำเสียงอย่างกับเขาเป็นแค่ไอ้เห่ยอีกคนที่เคยเดทด้วย”
“อะไร ฉันเปล่า”
“ทำสิ เธอทำชัดๆเลย อืมมมม เขาก็น่าสนใจดี แต่หัวช้าสุดๆ เธอพูดแบบนี้ตลอดแหละเชล แม่เด็กหัวดีสอบได้ที่หนึ่งตลอดปีตลอดชาติ” แล้วเธอก็กวักมือเรียกเพื่อนอีกสองคน เวอร์จิลเดินมาถึงก่อน แต่ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องกระโปรงลายเสือที่เมดิสันเลือกใส่และมันเกือบจะดูแย่ในสายตาเวอร์จิล ทั้งคู่เลยจิกกัดกันจนลามไปถึงการลงไม้ลงมือ ยัยเมดิสันไล่ทุบเวอร์จิลไปทางลานจอดรถ เหลือแค่ฉันกับอาร์ซี่เดินกันอยู่สองคน
“สนุกมากเหรอที่ทำแบบนี้”
“นายพูดเรื่องอะไร”
“เชลซี เธอไม่ควรกลับมาที่นี่ เธอจะไปไหนก็ได้ หายไปแบบไร้ความรับผิดชอบอย่างที่ทำมานั่นไง เธอมันเก่งอยู่แล้วเรื่องวิ่งหนีไปอย่างไร้สำนึก แล้วทำไมวันนี้ถึงได้กลับมาอีก มาทวงตำแหน่งบ้าบอที่มันไม่เคยใช่ของเธอมาตั้งแต่ต้น”
“นี่เป็นครั้งแรกที่นายพูดประโยคยาวๆกับฉัน” ฉันหัวเราะเสียงสูงแต่มันฟังดูน่าสมเพช ฉันพยายามควบคุมตัวเองอยู่ พยายามอย่างมากที่จะไม่สติแตกและตะโกนใส่หน้าเขาว่าฉันไม่ใช่ฆาตกร ไม่ได้วางแผนจะฆ่าพี่ชายของเขาและไม่เคยทรยศเขาเลย
“อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่ฉัน มันทุเรศ” เขาหันหน้าหนี เรายืนอยู่ระหว่างผู้คน รถหลายคันและความเย็นที่พัดมาตามลำน้ำ บรรยากาศมันสวยดีเวลาเย็นย่ำแบบนี้ แต่อารมณ์ของฉันดำดิ่งราวกับพึ่งสูญเสียคนสำคัญไป
ไม่สิ ฉันสูญเสียจริงๆ ฉันเสียความไว้ใจจากอาร์ซี่ไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว
“ฉันไม่ได้ฆ่าฌากส์หรอกนะและที่กลับมานี่ก็เพื่อจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น”
“ไม่ใช่ว่าจะกลับมาแก้แค้นหรอกเหรอ แก้แค้นพวกเราเหมือนเมื่อหลายปีก่อน”
“...” ฉันกัดกระพุ้งแก้มก่อนจะพลั้งปาก แม่กับฉันเคยหนีไปตอนฉันสิบขวบ และฉันก็กลับมาที่เมืองโสมมนี่อีกครั้งเพื่อเรียนต่อมัธยมปลายในโรงเรียนเดียวกับเด็กทั้งสามตระกูล จากนั้นทั้งเดวิยงและออร์ซินีก็หันมาเล่นงานฉัน พวกเขาเกลียดฉัน ฉันเลยต้องสู้รบปรบมือกับคนพวกนี้ที่มีอยู่เกือบครึ่งเมือง ฉันอยู่ที่นี่หลายปีจนเข้าเรียนปีหนึ่งก็เกิดเรื่องฆาตกรรมขึ้น ยัยบ้าเอมิลี่ ทัลลีย์(คนที่นั่งรถมากับอาร์ซี่ตอนบ่ายนั่นไง)โทษฉันว่าตั้งใจสกัดขาฌากส์ให้เขาหัวฟาดพื้นแถมยังผลักเขาตกลงไปในสระน้ำ ตอนนั้นฉันคบกับฌากส์อยู่เลยตกเป็นเป้าหมายเพราะฉันอยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุด
บัดซบจริงๆ ยัยเอมิลี่รวย พูดอะไรใครก็เชื่อ เรื่องมันก็ง่ายๆแบบนั้นแหละ ฉันเลยต้องหนีออกจากเมืองด้วยความช่วยเหลือของเวอร์จิล ก่อนจะกลับมาตอนนี้เพื่อเรียนต่อปีสามและขอยอมรับเลยว่าจะแก้แค้นอีกครั้ง แต่ฉันไม่ให้อาร์ซี่รู้หรอก
“ในหัวเธอกำลังคิดอะไรอยู่นะเชลซี คิดว่าจะพูดยังไงให้ฉันเห็นใจอีกใช่ไหม จะทำยังไงให้อาร์ซี่ตกหลุมพรางฉันอีกครั้งนะ เธอเคยหลอกฉันได้แล้วนี่ เธอคงคิดว่าจะทำมันอีกครั้งอย่างง่ายดาย” เขากระชากฉัน แรงไม่พอจะทำให้ฉันเซแต่ก็แรงพอจะทำฉันเจ็บ “แต่ไม่หรอก ฉันไม่ใช่คนที่ไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด”
“ปล่อย”
“หึ” เขาทำท่ารังเกียจ “สกปรก” แล้วอาร์ซี่ก็หันหลังเดินตรงไปหาเวอร์จิลกับเมดิสันที่รออยู่ พวกเขามองตรงมาและเมดิสันก็กระสับกระส่ายอยากจะไปส่งฉัน เธอคงอยากรู้ว่าฉันพักอยู่ที่ไหน แต่ฉันส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหันหลังเดินข้ามถนนผ่านความวุ่นวาย ปรับสีหน้าให้เป็นปกติเผื่อเจอใครก็ได้ที่อยากถ่ายรูปของโฮป ฉันเหนื่อยล้า ปวดหัวเวลาต้องลับสมอง ลับฝีปากอย่างระมัดระวังกับคนพวกนั้นแต่ก็ไม่อาจหันหลังเดินหนีไปอย่างที่แม่เคยบอกไว้ได้ ฉันจะต้องสู้ และครั้งนี้มันต้องชนะ
**เขียนด้วยความตั้งใจ คอมเม้นท์ กดไลค์ เป็นกำลังใจและแสดงให้เห็นความน่าร้ากกกในตัวคุณ เจอกันตอนหน้าค่าาาา***
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ