T AND ANGEL นักศึกษาฝึกรักกับไอ้หนุ่มมืดมน
-
เขียนโดย shotaro
วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 01.31 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
4,193 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 01.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) EP.1: จดหมายจากนางฟ้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกรุณาอ่านบทนำก่อนนะครับ และก็ติดตามก่อนใครได้ที่ เว็บ Dek-D นะเออ
EP.1: จดหมายจากนางฟ้า
สวัสดีค่ะพี่รหัสปีสามหนูชื่อแองเจิ้ลนะคะ อย่าว่าหนูเลยนะคะหนูก็ไม่รู้จะเริ่มเขียนยังไงเหมือนกัน แหะๆ พี่ๆ เขาบอกให้หนูเขียนหาพี่รหัสทุกคนหนูก็เลยเขียน ตื่นเต้นมากเลยค่ะเพราะนี่เป็นฉบับแรก หนูไม่รู้ว่าพี่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็เลยยังทำตัวไม่ถูกด้วย ก่อนอื่นก็ต้องบอกของที่ชอบสินะคะ อืม... หนูชอบเค้กมากๆ เลยคะ ยิ่งรสสตรอเบอร์รี่ด้วยนะของโปรดของหนูเลย นี่แค่พูดถึงท้องยังร้องเลยค่ะ
ส่วนหนังที่ชอบต้องเรื่องนี้เลยค่ะ ร้อนนี้ที่รัก เป็นเรื่องโปรดของหนูเลย หนูชอบหนังรักมากๆ ค่ะ ยิ่งเลิฟคอมเมดี้นี่ไม่พ้นมือหนูแน่นอน พี่ล่ะคะชอบเรื่องแบบไหน
เรื่องเพื่อนๆ ตอนนี้ก็เริ่มสนิทกันแล้วค่ะ หนูอยู่กลุ่มเดียวกับนก ฟรุตตี้ และก็บุ๋ม ทุกคนใจดีมากแถมยังคอยช่วยเหลือหนูตลอดเวลาทำกิจกรรมด้วยค่ะ พี่รหัสเองก็มีเพื่อนสนิทเหมือนกันสินะคะถ้ายังไงเล่าให้หนูฟังบ้างหนูจะดีใจมากเลยค่ะ
สิ่งที่หนูอยากรู้มีเต็มไปหมดเลยอย่างเรื่องร้านอาหารอร่อยๆ การเรียน หรือแม้แต่เรื่องของรุ่นพี่ด้วยค่ะ ชีวิตมหาวิทยาลัยสัปดาห์นี้สนุกมากเลยค่ะ
แองเจิ้ล
สวัสดีครับน้องแองเจิ้ล
พี่เป็นผู้ชายครับ โอเคชอบเค้กสินะ
พี่รหัสปี 3
สามเดือนก่อนหน้า
“น้องที ความต่างของข้อความในจดหมายนี่มันอะไร” เสียงที่ชวนหงุดหงิดนี้เป็นของรุ่นพี่ปีสี่ซึ่งเป็นพี่รหัสของผมเอง แต่ชื่ออะไรนะเหรอ อืม นั่นสิผมก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน เอาเป็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้คือเพราะจดหมายฉบับแรกที่ผมเขียนส่งน้องรหัสไปดันทำให้เธอร้องไห้นี่สิ เด็กอะไรขี้แงชะมัด และเหตุนั้นเองรุ่นพี่แกเลยมาหาผมถึงหน้าห้องเรียนก่อนจะเรียกมาเทศอะไรไร้สาระเต็มไปหมด “นี่แกจะไม่เอาน้องเลยใช่ไหม”
ผมชี้ไปที่จดหมายของน้องปีหนึ่งที่หล่อนค้นกระเป๋าผมเจอเมื่อก่อนหน้านี้บริเวณเนื้อความที่ถามว่าผมชอบดูหนังแบบไหนแล้วเงยขึ้นอภิปรายให้ยัยรุ่นพี่เสมอทึบฟังทีละส่วน “ก่อนอื่น น้องเขาถามว่าผมชอบดูหนังแบบไหน ผมไม่ชอบดูหนังและมันก็ไม่จำเป็นอะไรที่น้องเขาต้องรู้” ผมเลื่อนถัดมายังเรื่องเพื่อนก่อนจะหัวเราะให้กับความบัดซบในชีวิตตัวเอง “แล้วเรื่องเพื่อนนี่พี่คงไม่อยากให้ผมเขียนหรอกจริงไหม”
“เฮ้อ แกเนี่ยนะ คิดไปเรื่อย” เหอะ คนสมองทึบอย่างหล่อนนะสิที่ไม่คิดอะไรเลย เอาเถอะผมจะเก็บมันไว้ในความคิดของผมละกัน “แล้วเรื่องทั่วไปล่ะ น้องเขาอยากรู้อย่างน้อยก็น่าจะตอบให้มันดูตั้งใจกว่านี้”
“เรื่องที่ผมรู้มันคงไม่ช่วยให้เขามีความสุขขึ้นหรอกครับ” ผมโบกมือปัดๆ อย่างรำคาญ “ความจริงไอ้เรื่องส่งจดหมายเนี่ยแต่ไหนแต่ไรสุดท้ายก็ต้องเลิกเขียนไปวันยังค่ำ จะไปจริงจังมันทำไมกับความสัมพันธ์ระยะสั้นๆ”
“โอย ฉันไม่คุยกับแกแล้วปวดหัว” เธอกุมขมับท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่หล่อนคงรู้ว่าจะพูดยังไงก็ไม่มีอะไรมาเกลี้ยกล่อมผมได้อีกแล้ว และนั่นแหละคือชัยชนะอีกครั้งหนึ่งของผม มันช่างน่าสะใจเสียเหลือเกินเวลาได้ปั่นหัวคนที่ตัวเองเกลียดขี้หน้าเนี่ย “ถ้าน้องไม่เอาแกแล้วจะรู้สึก”
ความจริงเมื่อปีที่แล้วผมก็มีน้องรหัสอีกคนหนึ่งปัจจุบันเธออยู่ปีสอง ผมเคยเจอหน้าอยู่สองสามครั้งแต่ก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นแบบไหน รู้แค่ว่าเธอเองก็ไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่นักนั่นก็เลยเป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่ขอเข้าไปยุ่งกับเธอ แต่ถามว่าผมเจ็บปวดไหม หึๆ บอกเลยว่าไม่แม้แต่น้อย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับล่ะครับ” ผมโบกมืออำลาแบบเก้ๆ กังๆ ก่อนจะลุกสะพายเป้เดินสวนเธอออกไป
ความจริงที่ผมพูดกับรุ่นพี่ไปแบบนั้นมันก็มีเรื่องจริงอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่ผมแค่ตั้งใจปั่นหัวหล่อนเล่นเท่านั้น รุ่นพี่ปีสี่คนนี้สมัยผมอยู่ปีหนึ่งเธอก็อยู่ปีสองความที่ผมรู้ว่าเธอโอนเอนได้ง่ายกว่าปีสามปีสี่ในรุ่นนั้นจึงทำให้ผมในตอนนี้มีกำลังจะปั่นป่วนเธออย่างเต็มที่ หรือก็คือพวกเศษขยะมันเรียนจบกันไปแล้วก็เหลือแต่คราบให้ผมขูดเช็ดมันเล่นๆ นั่นแหละ
ผมจะบอกความจริงเกี่ยวกับจดหมายให้ฟังครับ เหตุผลที่ผมเขียนไปแค่นั้นก็เพราะผมรู้อนาคตของเธอว่าจะต้องเจอกับอะไรใน ‘วัฒนธรรมรับน้อง’ ไม่สิ สำหรับผมน่าจะใช้คำว่า ‘พิธีกรรม’ มากกว่า มันเป็นศาสตร์ล่อหลอกให้กลุ่มคนหลงเชื่อในค่านิยมที่พวกตนสร้างขึ้นและสืบทอดต่อๆ มา ปรับเปลี่ยนความคิดของพวกเขาให้เป็นไปตามระบบที่ต้องการ ทำให้ทุกคนเชื่อว่ามันถูกต้องไม่ว่าจะใช่หรือไม่
ผมรู้ว่าพวกรุ่นน้องจะต้องผ่านอะไรแบบที่ผมเคยพบเจอ มันอาจจะดีกับเธอถ้าเธอยอมทำตามค่านิยมเหล่านั้น แต่หากไม่อาจรับได้เธอก็จะกลายเป็น ‘ส่วนเกิน’ อย่างที่ผมเป็น และใช่ว่าผมไม่คิดจะช่วยอะไร ความจริงผมเคยลองแล้วแต่ขอบอกเลยว่ามันไม่เข้าท่าแม้แต่น้อยนั่นเพราะ ‘พวกเขาถูกกลืนกินด้วยค่านิยม’
ดังนั้นเรื่องที่ถ้าผมบังเอิญเขียนไปแล้วเกิดทำให้เธอมีความคิดแบบเดียวกันขึ้นมา มันคงไม่ดีกับชีวิตตลอดสี่ปีแน่นอน ส่วนเรื่องทั่วไปอย่างหนังที่ชอบ ความจริงผมก็ชอบดูหนังรักนะครับแต่มันน่าอายก็เลยไม่ได้เขียน
ผมสวนทางกับกลุ่มรุ่นน้องที่เดินกันให้ว่อนชั้นล่างของอาคาร ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเทศกาลรับน้องจึงมีแต่เสียงกลองดังสนั่นเป็นจังหวะรื่นเริงหากแต่ดังมากจากทั่วสารทิศเอกนั้นที เอกนี้ที คนละเพลงกันอีกต่างหากเอาเป็นว่าน่ารำคาญเสียมากกว่าจะสนุกล่ะนะ
พวกรุ่นน้องแต่ละสาขาวิชาจะมีการแต่งตัวแตกต่างกันออกไปราวกับเทศกาลแฟนซีอย่างไรอย่างนั้น และนั่นก็คือสิ่งที่ผมทำตอนศึกษาอยู่ปีหนึ่งเช่นกัน มันไม่ได้เป็นความทรงจำที่ดีนักหรอกเพราะคุณจะต้องแต่งชุดแฟนซีนี่ไปทุกๆ ที่เว้นเสียแต่จะออกนอกจังหวัดหรืออำเภอไปซะ
“เฮ้อ น่าอายชะมัด” ผมพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงสมัยที่ต้องสวมหัวปลาซาบะเดินไปกินข้าวไม่ว่าจะในตลาดหรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก็ตาม
“อ้าวเฮ่ยไอ้ทีเป็นไงบ้างวะ หายหัวไปนานเลย”
เบื้องหน้าของผมคือผู้ชายใส่แว่นหนาเตอะกับการแต่งชุดนิสิตสไตล์ปล่อยชายเสื้อและไม่ผูกเนคไท หมอนี่ชื่อกิระ ชื่อเต็มคือกิระกาน เพื่อนสมัยมัธยมของผมปัจจุบันศึกษาอยู่นิเทศศาสตร์สาขาภาพยนตร์
“โย่ว” ผมชูมือทักทายอย่างทุกครั้ง ถึงการแสดงออกจะธรรมดาแต่ความจริงแล้วผมดีใจมากเลยนะเวลาที่ได้เจอเพื่อนสมัยมัธยม เพราะพวกเขาจะทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้ “เราสบายดีแต่เหมือนจะมีเรื่องนิดหน่อยหวะ”
“เหรอๆ เออ นายว่างไหมไปกินข้าวกัน” กิระจับสายสะพายกระเป๋าดึงเข้าหาให้กระชับบ่าขณะเชิญชวนผมด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ดีเหมือนกัน เราก็ไม่ได้กินข้าวกับเพื่อนนานแล้ว” อนึ่งผมไม่เคยปิดบังเรื่องใดๆ กับเพื่อนสมัยมัธยมเพราะเราต่างรู้จักกันดีและเข้าใจในสิ่งที่ต่างคนต่างเป็น ดังนั้นแม้กระทั่งเรื่องในสาขาวิชาเอกหรือชีวิตประจำวันผมก็เปิดใจเล่าทั้งหมด
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ในร้านอาหารข้างมหาวิทยาลัยผมกับกิระกำลังนั่งคุยกันถึงเรื่องงานรับน้องและมีปะปนไปในเรื่องผู้หญิงบ้างเล็กน้อย เครื่องดื่มที่เราดื่มกันนั้นหาใช่เหล้าไม่ แต่ถึงจะดื่มน้ำอัดลมเราต่างก็เมามายในคำพูดได้เช่นกัน
กิระวางมือถือลงกับโต๊ะด้วยสีหน้าซังกะตาย “นี่นะเว้ย ล่าสุดเราก็อกหักอีกแล้ว แม่งไม่รู้เป็นอะไรนักหนาชอบทำเหมือนมีใจแต่สุดท้ายก็ขอเป็นพี่น้อง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าห่วงเลยเพื่อนเรารู้ว่าอีกสองวันนายก็จะกลับมายิ้มร่ากับเป้าหมายใหม่”
“บ้าเอ้ย อย่าให้หมดความอดทนนะกะเทยเราก็เอา”
“เฮ้ย ใจเย็นๆ สิวะ” ผมรู้ว่ามันไม่ได้พูดจริงหรอกเพราะอย่างที่ว่านั่นแหละอีกสองวันมันก็หาเป้าหมายใหม่ได้แล้ว มันยังไม่เคยแสดงให้อีกฝ่ายรู้เลยด้วยซ้ำวาจริงจังแค่ไหน แถมจีบใครทีไรก็ชมไปซะเรื่อยเปื่อยจนเขาไม่รู้ว่าอันไหนพูดจริงหรือเล่นนั่นแหละ และถึงผมจะเตือนมันไปหลายครั้งก็ยังทำอยู่ดี
“เออ แล้วเรื่องน้องนายอะจะเอายังไง” ฮึ่ม จู่ๆ ก็วนเข้าเรื่องตรูเฉยเลยนะ
“ก็ไม่เอายังไงหรอก ที่เราจะทำก็คงให้ไปแค่ขนมกับจดหมายนั่นแหละ”
“แค่นั้นเนี่ยนะ”
ผมพยักหน้า “แค่นั้นแหละ”
แต่ถึงจะสุดท้ายผมจะทำแค่นั้นก็เถอะทำไมยัยนี่กลับ...
“พี่ทีคะ” กลับมายืนตรงหน้าผมมันซะเกือบทุกเช้าก่อนขึ้นลิฟท์ แถมยังทักทายราวกับสนิทอะไรกันขนาดนั้น ผมละไม่เข้าใจเลยโว้ย “สวัสดีค่ะพี่ที” ผมรู้ว่าเธอกำลังพยายามเรียกความสนใจอยู่ ถึงใจจริงอยากจะแกล้งเมินใส่ก็เถอะแต่ดูความตั้งอกตั้งใจนั่นแล้วมันยากจะเฉยชาซะจริงๆ
“ต้องการอะไร”
“หมูกระทะค่ะ”
“ฮะ!?”
ผมถามไปอย่างเบื่อหน่ายแต่เธอกลับตอบมาอย่างสดใสแถมเป็นประโยคที่เหนือความคาดหมายของผมไปหลายขุมเลยทีเดียว
“หมูกระทะค่ะ โอ้ย” ผมดีดหน้าผากเธอเบาๆ เอ่อ ถึงจะคิดว่าเบาแล้วก็เถอะแต่ปฏิกิริยาตอบโต้นั่นมันท่าจะเจ็บพอสมควร
“ได้ยินแล้ว แต่มันเกี่ยวอะไร” แถวเริ่มเคลื่อนเข้าหาลิฟท์ผมจึงเริ่มก้าวไปข้างหน้า และเธอคงเห็นผมทำเช่นนั้นจึงเดินถอยหลังไปก่อนจะหยุดลงที่บันไดเข้าอาคาร
“ก็งานเลี้ยงรวมพี่น้องรหัสพี่ทีก็ไม่ไปนี่นา แถมก็นานแล้วด้วยที่พี่ไม่ได้ให้อะไรน้องรหัสผู้น่ารักคนนี้เลย” ชมตัวเองไปเถอะผมไม่ตบมุขให้หรอก
ดังที่ทุกท่านรู้กันแล้วว่าผมเกลียดรุ่นพี่อย่างกับอะไรดีและนั่นเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะไม่มีทางไปร่วมสังสรรค์กับโต๊ะที่เต็มไปด้วยรุ่นพี่แน่นอน แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีรุ่นน้องอยากเจอผมขนาดนี้ “ทำไมถึงต้องเป็นหมูกระทะ”
“ก็เพราะว่ามันมีหมูกับกระทะไงคะ”
“มันเป็นเตาไม่ใช่เรอะ” ผมกุมขมับ
“นั่นไง ตบมุขแล้วๆ” นี่เธออ่านใจผมได้รึไง
เฮ้อ ผมนึกถึงวันคืนอันแสนสงบสุขเหลือเกิน แต่เอาเถอะก็ไม่ค่อยได้ไปเสียเงินกับอะไรอยู่แล้ว แถมก็จริงอย่างที่ยัยนี่ว่า คือผมไม่ได้ให้อะไรเธออีกเลยตั้งแต่หมดช่วงรับน้อง และแม้แต่วันเฉลยพี่รหัสผมก็ไม่ได้ไปด้วยเช่นกัน มันคงไม่ยากนักหรอกถ้าจะเลี้ยงหมูกระทะสักมื้อ
“เอางั้นก็ได้” ผมนึกถึงจำนวนเงินในกระเป๋าครั้งล่าสุดคิดว่าน่าจะเหลือประมาณสี่พันเศษๆ “วันนี้หกโมงเย็นเท่านั้นถ้าสายไม่เลี้ยง”
“หงะ ไหงเป็นแบบนั้นล่ะคะ” ดูสีหน้าเธอหดหู่ขึ้นมาทันตา ยัยนี่อ่านใจง่ายชะมัด
“ทำไมหกโมงไม่ว่างรึไง”
“ว...ว่าง” คราวนี้เธอแสดงท่าทางคิดหนักใช้นิ้วชี้จิ้มไปยังหางคิ้วขวาที่ขมวดอยู่จวนจะรวมกับข้างซ้ายรอมร่อ “ว่างค่ะ อืม ว่างแหละค่ะ นี่หนูว่างใช่ไหมคะ”
“แล้วเธอจะถามกลับทำไมเนี่ย” ลิฟท์มาถึงแล้วผมจึงเดินเข้าไปตามหลังเธอที่ท่าทางจะยังคิดไม่ตก “เฮ้อ เลิกคิดได้แล้ว ฉันจะรอแล้วกัน”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าขานรับอย่างตรงไปตรงมา เอาจริงๆ นะ ผมไม่รู้เลยสักนิดว่ายัยนี่คิดอะไรอยู่ นี่เธอมีสมองหรือข้างในนั้นกรวงโบ๋กันแน่ และผมก็ปล่อยความสงสัยนั้นไว้จนถึงช่วงเวลานัด
ผมนั่งอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังในย่านมหาวิทยาลัย ขณะรอน้องรหัสว่าหล่อนจะมาเมื่อไหร่ ซึ่งก็เหลืออีกแค่สิบนาทีก่อนจะถึงเวลา ความจริงผมไม่ใช่คนเข้มงวดเรื่องเวลามากนักหรอกก็แค่อยากแกล้งหล่อนเล่นเท่านั้น มันจะสะใจผมมากถ้าเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อก่อนจะหาข้อแก้ตัวสารพัดมาอ้างให้กับความผิดพลาดนั้น
“มาแล้วค่า”
ผมได้ยินเสียงมาแต่ไกล เธอร้องทักเสียงดังลั่นโดยไม่อายผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย ในทางกลับกันผมต้องก้มหน้ารับความอับอายนั้นแทน และที่น่าทึ่งที่สุดคือยัยนั่นดันมาตรงเวลานัดเป๊ะๆ ไม่ขาดไม่เกินสักเสี้ยววินาที
“เธอเป็นใคร” ผมหันหลังพูดให้กับเธอและสายตาคนรอบข้างที่มองราวกับเราเป็นสิ่งแปลกปลอม ผู้คนมักมองการกระทำของคนที่ต่างจากชาวบ้านว่าแปลกประหลาดหรือโรคจิตเสมอ นั่นทำให้ผมเชื่อว่าทำตัวให้เงียบเข้าไว้เป็นปลอดภัยที่สุด คิดได้แล้วผมก็เดินหนีเข้าไปในห้างทันที
“อ่าว พี่ทีรอด้วยสิ” ทั้งที่อุตส่าห์เดินหนีมาแท้ๆ แต่เธอก็วิ่งมาเดินต่อข้างๆ ซะอย่างนั้น ผมจึงเร่งความเร็วมากขึ้นแต่ก็ต้องยอมแพ้ความคล่องแคล่วของเธอจริงๆ“นี่พี่งอนหนูเหรอ หนูก็ไม่ได้มาสายสักหน่อยนี่นา”
ผมหยุดเดิน “เธอนี่นะเลิกทำตัวเด่นได้ไหม ไม่รู้เหรอว่าคนเขามองหมดแล้ว” ผมตำหนิเธอ ใช่ นี่แหละที่ผมจะทำในฐานะรุ่นพี่ และ ในฐานะตัวผมเองด้วย
“อย่างนี้เอง พี่ทีนี่เป็นประเภทนั้นสินะคะ” แต่ดูเธอจะไม่รู้เลยว่าผมตำหนิอยู่ อิจฉาไอ้ความสดใสได้ทุกเวลานี่จริงๆ
“ประเภทไหนล่ะ”
“ก็พวกแคร์สายตาคนรอบข้าง ไม่ชอบทำตัวเด่นอะไรแบบนั้น”
เฮือก จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าภายใต้รอยยิ้มและถ้อยคำไร้เดียงสานั่นมันทิ่มแทงใจจนจะกระอักเลือดตายก็ไม่เชิง
“ช...ใข่ฉันเป็นแบบนั้นแหละ”
“หืม” เธอเดินไขว้มือไว้ข้างหลังมองดูรอบตัวผม “เข้าใจแล้วค่ะ งั้นหนูจะระวังนะคะพี่รหัส” ใครก็ได้เอายัยนี่ไปเก็บที ขังไว้ในกล่องสักสิบชั้นแล้วล็อคไม่ให้ออกมาอีกเลยเพราะสิ่งที่เธอทำอยู่นี่แหละกำลังทำให้คนมอง มีใครกันบ้างเขาเดินเวียนเทียนรอบรุ่นพี่วนไปวนมาแบบนี้
“รีบๆ ไปกินข้าวกันเถอะ” ผมเดินฝ่าวงเวียนที่เธอเดินรอบตัวผมอยู่นำหน้าไปยังร้านหมูกระทะ ความจริงผมก็อยากจะพาไปกินร้านราคาถูกข้างนอกห้างอยู่หรอกแต่มันก็เสี่ยงจะพบเพื่อนหรือรุ่นพี่ในสาขาวิชาเอกล่ะนะ
“ค่า” เธอขานรับแล้ววิ่งตามมาหาผมต้อยๆ
ร้านหมูกระทะภายในห้างสรรพสินค้านั้นถ้าเป็นในรูปแบบบุพเฟ่ก็ตีราคาได้สักคนละห้าร้อยพวกผมสองคนก็หนึ่งพันราคายังอยู่ในระดับที่จ่ายไหวจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้า
“พี่ทีชอบกินอาหารในห้างเหรอคะ” หลังจากสั่งวัตถุดิบและพนักงานตั้งเตาเสร็จเธอก็เปิดฉากถามไม่รีรอ
“ฉันไม่พูดคุยเวลากินข้าว”
“อาหารก็ยังไม่มาสักหน่อย ถือว่ายังไม่กินค่ะ” เธอยังคงหาเหตุผลมาเอาชนะได้ผมล่ะยอมจริงๆ
“ฉันไม่พูดเวลาเตรียมจะทานข้าว” ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังขมวดคิ้วอยู่ ไม่ใช่เพราะโกรธหรือรำคาญแต่เป็นเพราะมีบางอย่างที่ผมไม่ชอบใจเอาเสียเลย
“บู่ๆ ผิดค่ะวันนี้เรามาทานหมูกระทะไม่ได้ทานข้าว และพี่ก็ไม่ได้สั่งข้าวด้วย”
“พนักงานครับ ผมขอเพิ่มข้าวที่หนึ่งครับ” ผมโบกมือเรียกพนักงานชายหน้าเคาน์เตอร์
“สองที่เลยค่ะ”
สาบานให้ฟ้าผ่านี่หล่อนกำลังกวนประสาทผมอยู่ใช่ไหมเนี่ย “ฟังให้ดีนะน้องรหัส พี่ไม่ทราบเลยจริงๆ ว่าทำไมเราถึงอยากคุยกับพี่นักหนา”
“แองเจิ้ลค่ะ”
“ฮะ!?”
เธอจ้องตาผมแต่คราวนี้กลับดูจริงจังมากกว่าปกติ “หนูชื่อแองเจิ้ล และพี่ก็ยังไม่เคยเรียกขื่อหนูเลยด้วย”
ฮึ่ม “ก็ได้ แองเจิ้ล ทำไมเราถึงทักพี่อยู่ได้ทุกวัน” ผมกุมขมับถามอย่างเหนื่อยหน่าย
ปัง! “เพราะจดหมายค่ะ” เธอตบโต๊ะดังลั่น และเป็นอีกครั้งที่ทุกคนจับตามอง
อึก ผมกลืนน้ำลายเพราะทั้งไม่รู้จะเถียงอะไรแถมยังกลัวแบบหน้าประหลาด “พี่ทีจำจดหมายที่หนูส่งให้พี่ได้ไหมคะ ทุกฉบับหนูเขียนเล่าเรื่องของหนูให้พี่ฟังตั้งเกือบยี่สิบบรรทัด แต่จดหมายที่พี่ตอบกลับมามันมีแค่ฉบับละสองประโยคเองนะคะ ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ” ยัยนี่เอาจริงดิโมโหเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ แต่เดี๋ยวนะมันก็น่าโกรธจริงๆ นี่หว่า
“คือพี่”
ปัง! “ยังไม่ต้องเถียงค่ะ” ทุบโต๊ะอีกแล้วพอเถอะแม่คุณเดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากร้านหรอก
“พี่ทีคะ หนูเคยบอกพี่อยู่ทุกฉบับว่าหนูอยากรู้เรื่องของพี่รหัส พี่คนอื่นๆ ก็บอกหนูกันหมดมีแต่พี่นี่แหละที่หนูไม่รู้เรื่องเลย นี่ถ้าไม่มีรูปพี่ในกลุ่มโซเชียลหนูคงยังไม่รู้หน้าตาพี่ด้วยซ้ำ ทำไมคะ ฮือฮือ” อ...อ่าวร้องไห้ซะงั้น “พี่เกลียดหนูเหรอ”
“นี่อย่าบอกนะว่าที่ทักอยู่เกือบทุกเช้าตั้งแต่เจอกันนี่คือแค่อยากรู้จักพี่เนี่ยนะ”
“ฮือๆ อื้ม ฮื้มๆ” เธอพยักหน้าพร้อมกับเช็ดน้ำมูกเข้ากับแขนเสื้อ
“จะพยักหน้าหรือเช็ดขี้มูกก็ทีละอย่างสิคุณเธอ” เฮ้อ ไม่ไหวเลย
“เซ็ตหนึ่งมาส่งแล้วค่ะ” ขณะที่เธอร้องไห้ระงมอยู่นั้นพนักงานก็เดินมาส่งอาหารพอดี ผมจึงทยอยคีบเนื้อหมูลงเตาทีละชิ้น
“หยุดร้องได้แล้วน่า” ผมมองดูเธอที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับโต๊ะแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ “ชอบหนังรักไม่ใช่เหรอ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวพาไปดูจะได้หายกัน โอเคมั้ย”
“โอเคค่ะ”
“หายไวไปแล้วโว้ย”
จู่ๆ เธอก็เด้งขึ้นมาอย่างกับขนมปังปิ้งกระโดดดึ๋งจากเครื่องปิ้งขนมปัง แววตาส่องประกายระยิบระยับเจิดจ้ากว่าดวงอาทิตย์เสียอีก
“พี่ทีดูหนังรักเป็นด้วยเหรอคะ”
“อาก็ชอบนี่นาเคยบอกไว้ในจดหมายแล้วนี่”
“ไม่ค่ะ ไม่เคยเลยค่ะ” ดูเธอจะเริ่มโกรธผมอีกแล้วแฮะ แต่ก็นะยัยนี่เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
“เฮ้อ ซึ้งจังเลยนะคะพี่ที”
หลังจากดูหนังเสร็จก็เกือบจะเรียกว่าดึกเลยทีเดียว พวกเราเดินออกมาหน้าห้างแองเจิ้ลดูท่าทางอารมณ์ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นก็ดีแล้วล่ะ จากนี้ก็ถือว่าหายกันและเธอคงจะไม่ต้องมายุ่งอะไรกับผมอีก ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมสมบูรณ์แบบ
“งั้นแยกกันเลยนะ” ผมโบกมือลาก่อนจะเดินกลับออกไปทางวินมอเตอร์ไซค์
“เดี๋ยวค่ะ” จู่ๆ เธอก็ฉุดแขนผมเอาไว้เสียเกือบหงายหลัง
“อะไร”
“ขอเบอร์โทรกับอีเมล์ด้วยค่ะ” เธอหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมพิมพ์รายละเอียด
“เอาไปทำไม ยังไงก็ต้องเจอกันหน้าลิฟท์อยู่แล้ว”
“นี่พี่เป็นคุณปู่หรือไงคะ ก็ต้องเอาไว้ติดต่อบ้างสิ เอามือถือพี่มาค่ะ” เอ่อนี่เธอกำลังสั่งผมอยู่เหรอ เฮ้ๆ นี่ผมเป็นพี่นะโว้ย
แต่สุดท้ายผมก็ยื่นมือถือให้โดยดี ทำไมนะเหรอ ก็กลัวเธอจะทำอะไรแปลกๆ ให้คนหันมามองอีกไงล่ะ
หลังจากพิมพ์เสร็จแล้วโทรเข้าหากันก็คืนมือถือมาให้ผม “นี่เบอร์หนูนะคะ เมมชื่อไว้ว่าแองเจิ้ล และก็นี่ไอดีแชทของหนูคุยๆ กันด้วยนะคะ”
ผมรับมือถือคืนมา “นี่เธอยังรู้จักฉันไม่พออีกเรอะ”
“ก็จนกว่าพี่จะรู้จักหนูนั่นแหละค่ะ” เธอท้าวสะเอวพูด ท่าทีเหมือนจะเปลี่ยนไปจากทุกเช้าเล็กน้อย หรือเพราะผมคิดไปเองก็ไม่รู้ยัยนี่ดูกล้าขึ้นแฮะ “หอพักหนูอยู่ใกล้ๆ นี่เอง งั้นหนูไปก่อนนะคะ”
“อา แล้วก็เรื่องวันนี้ไม่ต้องไปบอกใครนะ” ผมตะโกนย้ำเธอก่อนจะแยกไปหาวินมอเตอร์ไซค์
ผมกลับมาถึงห้องพักก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอย่างเหน็ดเหนื่อย ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ในรอบหลายปีที่ผมเหนื่อยจริงๆ นับจากที่เรียนวิชาทหารมาเมื่อมัธยมปลาย สายตาของผมจับจ้องไปยังหมอนข้างใบเก่า ความรู้สึกจากส่วนลึกหวังจะให้มันช่วยระบายความในใจ
“สวัสดีหมอนข้าง วันนี้นะ” ผมขะงักไปครู่หนึ่งเพราะหัวมันโล่งไปหมดที่มีเห็นจะเพียงความอึดอัดใจบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก “ช่างมันเถอะ” ผมเปลี่ยนมามองเพดานก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
ตึ้ง! จู่โทรศัพท์ก็ส่งเสียงไม่คุ้นหูออกมาผมจึงคว้าขึ้นดู มันเป็นข้อความที่ส่งมาจากแชทอันว่างเปล่าของผม ใจความว่า ‘วันนี้สนุกมากเลยค่ะ’ จากชื่อผู้ส่ง ANG นี่คงจะเป็นจดหมายฉบับใหม่ระหว่างผมกับน้องรหัสสินะ แต่เอาไว้ก่อนแล้วกันเพราะวันนี้ผมง่วงเหลือเกิน....
คร่อก!
EP 1 END
โปรดติดตาม EP 2
EP.1: จดหมายจากนางฟ้า
สวัสดีค่ะพี่รหัสปีสามหนูชื่อแองเจิ้ลนะคะ อย่าว่าหนูเลยนะคะหนูก็ไม่รู้จะเริ่มเขียนยังไงเหมือนกัน แหะๆ พี่ๆ เขาบอกให้หนูเขียนหาพี่รหัสทุกคนหนูก็เลยเขียน ตื่นเต้นมากเลยค่ะเพราะนี่เป็นฉบับแรก หนูไม่รู้ว่าพี่เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็เลยยังทำตัวไม่ถูกด้วย ก่อนอื่นก็ต้องบอกของที่ชอบสินะคะ อืม... หนูชอบเค้กมากๆ เลยคะ ยิ่งรสสตรอเบอร์รี่ด้วยนะของโปรดของหนูเลย นี่แค่พูดถึงท้องยังร้องเลยค่ะ
ส่วนหนังที่ชอบต้องเรื่องนี้เลยค่ะ ร้อนนี้ที่รัก เป็นเรื่องโปรดของหนูเลย หนูชอบหนังรักมากๆ ค่ะ ยิ่งเลิฟคอมเมดี้นี่ไม่พ้นมือหนูแน่นอน พี่ล่ะคะชอบเรื่องแบบไหน
เรื่องเพื่อนๆ ตอนนี้ก็เริ่มสนิทกันแล้วค่ะ หนูอยู่กลุ่มเดียวกับนก ฟรุตตี้ และก็บุ๋ม ทุกคนใจดีมากแถมยังคอยช่วยเหลือหนูตลอดเวลาทำกิจกรรมด้วยค่ะ พี่รหัสเองก็มีเพื่อนสนิทเหมือนกันสินะคะถ้ายังไงเล่าให้หนูฟังบ้างหนูจะดีใจมากเลยค่ะ
สิ่งที่หนูอยากรู้มีเต็มไปหมดเลยอย่างเรื่องร้านอาหารอร่อยๆ การเรียน หรือแม้แต่เรื่องของรุ่นพี่ด้วยค่ะ ชีวิตมหาวิทยาลัยสัปดาห์นี้สนุกมากเลยค่ะ
แองเจิ้ล
สวัสดีครับน้องแองเจิ้ล
พี่เป็นผู้ชายครับ โอเคชอบเค้กสินะ
พี่รหัสปี 3
สามเดือนก่อนหน้า
“น้องที ความต่างของข้อความในจดหมายนี่มันอะไร” เสียงที่ชวนหงุดหงิดนี้เป็นของรุ่นพี่ปีสี่ซึ่งเป็นพี่รหัสของผมเอง แต่ชื่ออะไรนะเหรอ อืม นั่นสิผมก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน เอาเป็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้คือเพราะจดหมายฉบับแรกที่ผมเขียนส่งน้องรหัสไปดันทำให้เธอร้องไห้นี่สิ เด็กอะไรขี้แงชะมัด และเหตุนั้นเองรุ่นพี่แกเลยมาหาผมถึงหน้าห้องเรียนก่อนจะเรียกมาเทศอะไรไร้สาระเต็มไปหมด “นี่แกจะไม่เอาน้องเลยใช่ไหม”
ผมชี้ไปที่จดหมายของน้องปีหนึ่งที่หล่อนค้นกระเป๋าผมเจอเมื่อก่อนหน้านี้บริเวณเนื้อความที่ถามว่าผมชอบดูหนังแบบไหนแล้วเงยขึ้นอภิปรายให้ยัยรุ่นพี่เสมอทึบฟังทีละส่วน “ก่อนอื่น น้องเขาถามว่าผมชอบดูหนังแบบไหน ผมไม่ชอบดูหนังและมันก็ไม่จำเป็นอะไรที่น้องเขาต้องรู้” ผมเลื่อนถัดมายังเรื่องเพื่อนก่อนจะหัวเราะให้กับความบัดซบในชีวิตตัวเอง “แล้วเรื่องเพื่อนนี่พี่คงไม่อยากให้ผมเขียนหรอกจริงไหม”
“เฮ้อ แกเนี่ยนะ คิดไปเรื่อย” เหอะ คนสมองทึบอย่างหล่อนนะสิที่ไม่คิดอะไรเลย เอาเถอะผมจะเก็บมันไว้ในความคิดของผมละกัน “แล้วเรื่องทั่วไปล่ะ น้องเขาอยากรู้อย่างน้อยก็น่าจะตอบให้มันดูตั้งใจกว่านี้”
“เรื่องที่ผมรู้มันคงไม่ช่วยให้เขามีความสุขขึ้นหรอกครับ” ผมโบกมือปัดๆ อย่างรำคาญ “ความจริงไอ้เรื่องส่งจดหมายเนี่ยแต่ไหนแต่ไรสุดท้ายก็ต้องเลิกเขียนไปวันยังค่ำ จะไปจริงจังมันทำไมกับความสัมพันธ์ระยะสั้นๆ”
“โอย ฉันไม่คุยกับแกแล้วปวดหัว” เธอกุมขมับท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่หล่อนคงรู้ว่าจะพูดยังไงก็ไม่มีอะไรมาเกลี้ยกล่อมผมได้อีกแล้ว และนั่นแหละคือชัยชนะอีกครั้งหนึ่งของผม มันช่างน่าสะใจเสียเหลือเกินเวลาได้ปั่นหัวคนที่ตัวเองเกลียดขี้หน้าเนี่ย “ถ้าน้องไม่เอาแกแล้วจะรู้สึก”
ความจริงเมื่อปีที่แล้วผมก็มีน้องรหัสอีกคนหนึ่งปัจจุบันเธออยู่ปีสอง ผมเคยเจอหน้าอยู่สองสามครั้งแต่ก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นแบบไหน รู้แค่ว่าเธอเองก็ไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่นักนั่นก็เลยเป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่ขอเข้าไปยุ่งกับเธอ แต่ถามว่าผมเจ็บปวดไหม หึๆ บอกเลยว่าไม่แม้แต่น้อย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับล่ะครับ” ผมโบกมืออำลาแบบเก้ๆ กังๆ ก่อนจะลุกสะพายเป้เดินสวนเธอออกไป
ความจริงที่ผมพูดกับรุ่นพี่ไปแบบนั้นมันก็มีเรื่องจริงอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่ผมแค่ตั้งใจปั่นหัวหล่อนเล่นเท่านั้น รุ่นพี่ปีสี่คนนี้สมัยผมอยู่ปีหนึ่งเธอก็อยู่ปีสองความที่ผมรู้ว่าเธอโอนเอนได้ง่ายกว่าปีสามปีสี่ในรุ่นนั้นจึงทำให้ผมในตอนนี้มีกำลังจะปั่นป่วนเธออย่างเต็มที่ หรือก็คือพวกเศษขยะมันเรียนจบกันไปแล้วก็เหลือแต่คราบให้ผมขูดเช็ดมันเล่นๆ นั่นแหละ
ผมจะบอกความจริงเกี่ยวกับจดหมายให้ฟังครับ เหตุผลที่ผมเขียนไปแค่นั้นก็เพราะผมรู้อนาคตของเธอว่าจะต้องเจอกับอะไรใน ‘วัฒนธรรมรับน้อง’ ไม่สิ สำหรับผมน่าจะใช้คำว่า ‘พิธีกรรม’ มากกว่า มันเป็นศาสตร์ล่อหลอกให้กลุ่มคนหลงเชื่อในค่านิยมที่พวกตนสร้างขึ้นและสืบทอดต่อๆ มา ปรับเปลี่ยนความคิดของพวกเขาให้เป็นไปตามระบบที่ต้องการ ทำให้ทุกคนเชื่อว่ามันถูกต้องไม่ว่าจะใช่หรือไม่
ผมรู้ว่าพวกรุ่นน้องจะต้องผ่านอะไรแบบที่ผมเคยพบเจอ มันอาจจะดีกับเธอถ้าเธอยอมทำตามค่านิยมเหล่านั้น แต่หากไม่อาจรับได้เธอก็จะกลายเป็น ‘ส่วนเกิน’ อย่างที่ผมเป็น และใช่ว่าผมไม่คิดจะช่วยอะไร ความจริงผมเคยลองแล้วแต่ขอบอกเลยว่ามันไม่เข้าท่าแม้แต่น้อยนั่นเพราะ ‘พวกเขาถูกกลืนกินด้วยค่านิยม’
ดังนั้นเรื่องที่ถ้าผมบังเอิญเขียนไปแล้วเกิดทำให้เธอมีความคิดแบบเดียวกันขึ้นมา มันคงไม่ดีกับชีวิตตลอดสี่ปีแน่นอน ส่วนเรื่องทั่วไปอย่างหนังที่ชอบ ความจริงผมก็ชอบดูหนังรักนะครับแต่มันน่าอายก็เลยไม่ได้เขียน
ผมสวนทางกับกลุ่มรุ่นน้องที่เดินกันให้ว่อนชั้นล่างของอาคาร ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเทศกาลรับน้องจึงมีแต่เสียงกลองดังสนั่นเป็นจังหวะรื่นเริงหากแต่ดังมากจากทั่วสารทิศเอกนั้นที เอกนี้ที คนละเพลงกันอีกต่างหากเอาเป็นว่าน่ารำคาญเสียมากกว่าจะสนุกล่ะนะ
พวกรุ่นน้องแต่ละสาขาวิชาจะมีการแต่งตัวแตกต่างกันออกไปราวกับเทศกาลแฟนซีอย่างไรอย่างนั้น และนั่นก็คือสิ่งที่ผมทำตอนศึกษาอยู่ปีหนึ่งเช่นกัน มันไม่ได้เป็นความทรงจำที่ดีนักหรอกเพราะคุณจะต้องแต่งชุดแฟนซีนี่ไปทุกๆ ที่เว้นเสียแต่จะออกนอกจังหวัดหรืออำเภอไปซะ
“เฮ้อ น่าอายชะมัด” ผมพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงสมัยที่ต้องสวมหัวปลาซาบะเดินไปกินข้าวไม่ว่าจะในตลาดหรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก็ตาม
“อ้าวเฮ่ยไอ้ทีเป็นไงบ้างวะ หายหัวไปนานเลย”
เบื้องหน้าของผมคือผู้ชายใส่แว่นหนาเตอะกับการแต่งชุดนิสิตสไตล์ปล่อยชายเสื้อและไม่ผูกเนคไท หมอนี่ชื่อกิระ ชื่อเต็มคือกิระกาน เพื่อนสมัยมัธยมของผมปัจจุบันศึกษาอยู่นิเทศศาสตร์สาขาภาพยนตร์
“โย่ว” ผมชูมือทักทายอย่างทุกครั้ง ถึงการแสดงออกจะธรรมดาแต่ความจริงแล้วผมดีใจมากเลยนะเวลาที่ได้เจอเพื่อนสมัยมัธยม เพราะพวกเขาจะทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้ “เราสบายดีแต่เหมือนจะมีเรื่องนิดหน่อยหวะ”
“เหรอๆ เออ นายว่างไหมไปกินข้าวกัน” กิระจับสายสะพายกระเป๋าดึงเข้าหาให้กระชับบ่าขณะเชิญชวนผมด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ดีเหมือนกัน เราก็ไม่ได้กินข้าวกับเพื่อนนานแล้ว” อนึ่งผมไม่เคยปิดบังเรื่องใดๆ กับเพื่อนสมัยมัธยมเพราะเราต่างรู้จักกันดีและเข้าใจในสิ่งที่ต่างคนต่างเป็น ดังนั้นแม้กระทั่งเรื่องในสาขาวิชาเอกหรือชีวิตประจำวันผมก็เปิดใจเล่าทั้งหมด
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ในร้านอาหารข้างมหาวิทยาลัยผมกับกิระกำลังนั่งคุยกันถึงเรื่องงานรับน้องและมีปะปนไปในเรื่องผู้หญิงบ้างเล็กน้อย เครื่องดื่มที่เราดื่มกันนั้นหาใช่เหล้าไม่ แต่ถึงจะดื่มน้ำอัดลมเราต่างก็เมามายในคำพูดได้เช่นกัน
กิระวางมือถือลงกับโต๊ะด้วยสีหน้าซังกะตาย “นี่นะเว้ย ล่าสุดเราก็อกหักอีกแล้ว แม่งไม่รู้เป็นอะไรนักหนาชอบทำเหมือนมีใจแต่สุดท้ายก็ขอเป็นพี่น้อง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าห่วงเลยเพื่อนเรารู้ว่าอีกสองวันนายก็จะกลับมายิ้มร่ากับเป้าหมายใหม่”
“บ้าเอ้ย อย่าให้หมดความอดทนนะกะเทยเราก็เอา”
“เฮ้ย ใจเย็นๆ สิวะ” ผมรู้ว่ามันไม่ได้พูดจริงหรอกเพราะอย่างที่ว่านั่นแหละอีกสองวันมันก็หาเป้าหมายใหม่ได้แล้ว มันยังไม่เคยแสดงให้อีกฝ่ายรู้เลยด้วยซ้ำวาจริงจังแค่ไหน แถมจีบใครทีไรก็ชมไปซะเรื่อยเปื่อยจนเขาไม่รู้ว่าอันไหนพูดจริงหรือเล่นนั่นแหละ และถึงผมจะเตือนมันไปหลายครั้งก็ยังทำอยู่ดี
“เออ แล้วเรื่องน้องนายอะจะเอายังไง” ฮึ่ม จู่ๆ ก็วนเข้าเรื่องตรูเฉยเลยนะ
“ก็ไม่เอายังไงหรอก ที่เราจะทำก็คงให้ไปแค่ขนมกับจดหมายนั่นแหละ”
“แค่นั้นเนี่ยนะ”
ผมพยักหน้า “แค่นั้นแหละ”
แต่ถึงจะสุดท้ายผมจะทำแค่นั้นก็เถอะทำไมยัยนี่กลับ...
“พี่ทีคะ” กลับมายืนตรงหน้าผมมันซะเกือบทุกเช้าก่อนขึ้นลิฟท์ แถมยังทักทายราวกับสนิทอะไรกันขนาดนั้น ผมละไม่เข้าใจเลยโว้ย “สวัสดีค่ะพี่ที” ผมรู้ว่าเธอกำลังพยายามเรียกความสนใจอยู่ ถึงใจจริงอยากจะแกล้งเมินใส่ก็เถอะแต่ดูความตั้งอกตั้งใจนั่นแล้วมันยากจะเฉยชาซะจริงๆ
“ต้องการอะไร”
“หมูกระทะค่ะ”
“ฮะ!?”
ผมถามไปอย่างเบื่อหน่ายแต่เธอกลับตอบมาอย่างสดใสแถมเป็นประโยคที่เหนือความคาดหมายของผมไปหลายขุมเลยทีเดียว
“หมูกระทะค่ะ โอ้ย” ผมดีดหน้าผากเธอเบาๆ เอ่อ ถึงจะคิดว่าเบาแล้วก็เถอะแต่ปฏิกิริยาตอบโต้นั่นมันท่าจะเจ็บพอสมควร
“ได้ยินแล้ว แต่มันเกี่ยวอะไร” แถวเริ่มเคลื่อนเข้าหาลิฟท์ผมจึงเริ่มก้าวไปข้างหน้า และเธอคงเห็นผมทำเช่นนั้นจึงเดินถอยหลังไปก่อนจะหยุดลงที่บันไดเข้าอาคาร
“ก็งานเลี้ยงรวมพี่น้องรหัสพี่ทีก็ไม่ไปนี่นา แถมก็นานแล้วด้วยที่พี่ไม่ได้ให้อะไรน้องรหัสผู้น่ารักคนนี้เลย” ชมตัวเองไปเถอะผมไม่ตบมุขให้หรอก
ดังที่ทุกท่านรู้กันแล้วว่าผมเกลียดรุ่นพี่อย่างกับอะไรดีและนั่นเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะไม่มีทางไปร่วมสังสรรค์กับโต๊ะที่เต็มไปด้วยรุ่นพี่แน่นอน แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีรุ่นน้องอยากเจอผมขนาดนี้ “ทำไมถึงต้องเป็นหมูกระทะ”
“ก็เพราะว่ามันมีหมูกับกระทะไงคะ”
“มันเป็นเตาไม่ใช่เรอะ” ผมกุมขมับ
“นั่นไง ตบมุขแล้วๆ” นี่เธออ่านใจผมได้รึไง
เฮ้อ ผมนึกถึงวันคืนอันแสนสงบสุขเหลือเกิน แต่เอาเถอะก็ไม่ค่อยได้ไปเสียเงินกับอะไรอยู่แล้ว แถมก็จริงอย่างที่ยัยนี่ว่า คือผมไม่ได้ให้อะไรเธออีกเลยตั้งแต่หมดช่วงรับน้อง และแม้แต่วันเฉลยพี่รหัสผมก็ไม่ได้ไปด้วยเช่นกัน มันคงไม่ยากนักหรอกถ้าจะเลี้ยงหมูกระทะสักมื้อ
“เอางั้นก็ได้” ผมนึกถึงจำนวนเงินในกระเป๋าครั้งล่าสุดคิดว่าน่าจะเหลือประมาณสี่พันเศษๆ “วันนี้หกโมงเย็นเท่านั้นถ้าสายไม่เลี้ยง”
“หงะ ไหงเป็นแบบนั้นล่ะคะ” ดูสีหน้าเธอหดหู่ขึ้นมาทันตา ยัยนี่อ่านใจง่ายชะมัด
“ทำไมหกโมงไม่ว่างรึไง”
“ว...ว่าง” คราวนี้เธอแสดงท่าทางคิดหนักใช้นิ้วชี้จิ้มไปยังหางคิ้วขวาที่ขมวดอยู่จวนจะรวมกับข้างซ้ายรอมร่อ “ว่างค่ะ อืม ว่างแหละค่ะ นี่หนูว่างใช่ไหมคะ”
“แล้วเธอจะถามกลับทำไมเนี่ย” ลิฟท์มาถึงแล้วผมจึงเดินเข้าไปตามหลังเธอที่ท่าทางจะยังคิดไม่ตก “เฮ้อ เลิกคิดได้แล้ว ฉันจะรอแล้วกัน”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าขานรับอย่างตรงไปตรงมา เอาจริงๆ นะ ผมไม่รู้เลยสักนิดว่ายัยนี่คิดอะไรอยู่ นี่เธอมีสมองหรือข้างในนั้นกรวงโบ๋กันแน่ และผมก็ปล่อยความสงสัยนั้นไว้จนถึงช่วงเวลานัด
ผมนั่งอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังในย่านมหาวิทยาลัย ขณะรอน้องรหัสว่าหล่อนจะมาเมื่อไหร่ ซึ่งก็เหลืออีกแค่สิบนาทีก่อนจะถึงเวลา ความจริงผมไม่ใช่คนเข้มงวดเรื่องเวลามากนักหรอกก็แค่อยากแกล้งหล่อนเล่นเท่านั้น มันจะสะใจผมมากถ้าเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อก่อนจะหาข้อแก้ตัวสารพัดมาอ้างให้กับความผิดพลาดนั้น
“มาแล้วค่า”
ผมได้ยินเสียงมาแต่ไกล เธอร้องทักเสียงดังลั่นโดยไม่อายผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย ในทางกลับกันผมต้องก้มหน้ารับความอับอายนั้นแทน และที่น่าทึ่งที่สุดคือยัยนั่นดันมาตรงเวลานัดเป๊ะๆ ไม่ขาดไม่เกินสักเสี้ยววินาที
“เธอเป็นใคร” ผมหันหลังพูดให้กับเธอและสายตาคนรอบข้างที่มองราวกับเราเป็นสิ่งแปลกปลอม ผู้คนมักมองการกระทำของคนที่ต่างจากชาวบ้านว่าแปลกประหลาดหรือโรคจิตเสมอ นั่นทำให้ผมเชื่อว่าทำตัวให้เงียบเข้าไว้เป็นปลอดภัยที่สุด คิดได้แล้วผมก็เดินหนีเข้าไปในห้างทันที
“อ่าว พี่ทีรอด้วยสิ” ทั้งที่อุตส่าห์เดินหนีมาแท้ๆ แต่เธอก็วิ่งมาเดินต่อข้างๆ ซะอย่างนั้น ผมจึงเร่งความเร็วมากขึ้นแต่ก็ต้องยอมแพ้ความคล่องแคล่วของเธอจริงๆ“นี่พี่งอนหนูเหรอ หนูก็ไม่ได้มาสายสักหน่อยนี่นา”
ผมหยุดเดิน “เธอนี่นะเลิกทำตัวเด่นได้ไหม ไม่รู้เหรอว่าคนเขามองหมดแล้ว” ผมตำหนิเธอ ใช่ นี่แหละที่ผมจะทำในฐานะรุ่นพี่ และ ในฐานะตัวผมเองด้วย
“อย่างนี้เอง พี่ทีนี่เป็นประเภทนั้นสินะคะ” แต่ดูเธอจะไม่รู้เลยว่าผมตำหนิอยู่ อิจฉาไอ้ความสดใสได้ทุกเวลานี่จริงๆ
“ประเภทไหนล่ะ”
“ก็พวกแคร์สายตาคนรอบข้าง ไม่ชอบทำตัวเด่นอะไรแบบนั้น”
เฮือก จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าภายใต้รอยยิ้มและถ้อยคำไร้เดียงสานั่นมันทิ่มแทงใจจนจะกระอักเลือดตายก็ไม่เชิง
“ช...ใข่ฉันเป็นแบบนั้นแหละ”
“หืม” เธอเดินไขว้มือไว้ข้างหลังมองดูรอบตัวผม “เข้าใจแล้วค่ะ งั้นหนูจะระวังนะคะพี่รหัส” ใครก็ได้เอายัยนี่ไปเก็บที ขังไว้ในกล่องสักสิบชั้นแล้วล็อคไม่ให้ออกมาอีกเลยเพราะสิ่งที่เธอทำอยู่นี่แหละกำลังทำให้คนมอง มีใครกันบ้างเขาเดินเวียนเทียนรอบรุ่นพี่วนไปวนมาแบบนี้
“รีบๆ ไปกินข้าวกันเถอะ” ผมเดินฝ่าวงเวียนที่เธอเดินรอบตัวผมอยู่นำหน้าไปยังร้านหมูกระทะ ความจริงผมก็อยากจะพาไปกินร้านราคาถูกข้างนอกห้างอยู่หรอกแต่มันก็เสี่ยงจะพบเพื่อนหรือรุ่นพี่ในสาขาวิชาเอกล่ะนะ
“ค่า” เธอขานรับแล้ววิ่งตามมาหาผมต้อยๆ
ร้านหมูกระทะภายในห้างสรรพสินค้านั้นถ้าเป็นในรูปแบบบุพเฟ่ก็ตีราคาได้สักคนละห้าร้อยพวกผมสองคนก็หนึ่งพันราคายังอยู่ในระดับที่จ่ายไหวจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้า
“พี่ทีชอบกินอาหารในห้างเหรอคะ” หลังจากสั่งวัตถุดิบและพนักงานตั้งเตาเสร็จเธอก็เปิดฉากถามไม่รีรอ
“ฉันไม่พูดคุยเวลากินข้าว”
“อาหารก็ยังไม่มาสักหน่อย ถือว่ายังไม่กินค่ะ” เธอยังคงหาเหตุผลมาเอาชนะได้ผมล่ะยอมจริงๆ
“ฉันไม่พูดเวลาเตรียมจะทานข้าว” ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังขมวดคิ้วอยู่ ไม่ใช่เพราะโกรธหรือรำคาญแต่เป็นเพราะมีบางอย่างที่ผมไม่ชอบใจเอาเสียเลย
“บู่ๆ ผิดค่ะวันนี้เรามาทานหมูกระทะไม่ได้ทานข้าว และพี่ก็ไม่ได้สั่งข้าวด้วย”
“พนักงานครับ ผมขอเพิ่มข้าวที่หนึ่งครับ” ผมโบกมือเรียกพนักงานชายหน้าเคาน์เตอร์
“สองที่เลยค่ะ”
สาบานให้ฟ้าผ่านี่หล่อนกำลังกวนประสาทผมอยู่ใช่ไหมเนี่ย “ฟังให้ดีนะน้องรหัส พี่ไม่ทราบเลยจริงๆ ว่าทำไมเราถึงอยากคุยกับพี่นักหนา”
“แองเจิ้ลค่ะ”
“ฮะ!?”
เธอจ้องตาผมแต่คราวนี้กลับดูจริงจังมากกว่าปกติ “หนูชื่อแองเจิ้ล และพี่ก็ยังไม่เคยเรียกขื่อหนูเลยด้วย”
ฮึ่ม “ก็ได้ แองเจิ้ล ทำไมเราถึงทักพี่อยู่ได้ทุกวัน” ผมกุมขมับถามอย่างเหนื่อยหน่าย
ปัง! “เพราะจดหมายค่ะ” เธอตบโต๊ะดังลั่น และเป็นอีกครั้งที่ทุกคนจับตามอง
อึก ผมกลืนน้ำลายเพราะทั้งไม่รู้จะเถียงอะไรแถมยังกลัวแบบหน้าประหลาด “พี่ทีจำจดหมายที่หนูส่งให้พี่ได้ไหมคะ ทุกฉบับหนูเขียนเล่าเรื่องของหนูให้พี่ฟังตั้งเกือบยี่สิบบรรทัด แต่จดหมายที่พี่ตอบกลับมามันมีแค่ฉบับละสองประโยคเองนะคะ ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ” ยัยนี่เอาจริงดิโมโหเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ แต่เดี๋ยวนะมันก็น่าโกรธจริงๆ นี่หว่า
“คือพี่”
ปัง! “ยังไม่ต้องเถียงค่ะ” ทุบโต๊ะอีกแล้วพอเถอะแม่คุณเดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากร้านหรอก
“พี่ทีคะ หนูเคยบอกพี่อยู่ทุกฉบับว่าหนูอยากรู้เรื่องของพี่รหัส พี่คนอื่นๆ ก็บอกหนูกันหมดมีแต่พี่นี่แหละที่หนูไม่รู้เรื่องเลย นี่ถ้าไม่มีรูปพี่ในกลุ่มโซเชียลหนูคงยังไม่รู้หน้าตาพี่ด้วยซ้ำ ทำไมคะ ฮือฮือ” อ...อ่าวร้องไห้ซะงั้น “พี่เกลียดหนูเหรอ”
“นี่อย่าบอกนะว่าที่ทักอยู่เกือบทุกเช้าตั้งแต่เจอกันนี่คือแค่อยากรู้จักพี่เนี่ยนะ”
“ฮือๆ อื้ม ฮื้มๆ” เธอพยักหน้าพร้อมกับเช็ดน้ำมูกเข้ากับแขนเสื้อ
“จะพยักหน้าหรือเช็ดขี้มูกก็ทีละอย่างสิคุณเธอ” เฮ้อ ไม่ไหวเลย
“เซ็ตหนึ่งมาส่งแล้วค่ะ” ขณะที่เธอร้องไห้ระงมอยู่นั้นพนักงานก็เดินมาส่งอาหารพอดี ผมจึงทยอยคีบเนื้อหมูลงเตาทีละชิ้น
“หยุดร้องได้แล้วน่า” ผมมองดูเธอที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับโต๊ะแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ “ชอบหนังรักไม่ใช่เหรอ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวพาไปดูจะได้หายกัน โอเคมั้ย”
“โอเคค่ะ”
“หายไวไปแล้วโว้ย”
จู่ๆ เธอก็เด้งขึ้นมาอย่างกับขนมปังปิ้งกระโดดดึ๋งจากเครื่องปิ้งขนมปัง แววตาส่องประกายระยิบระยับเจิดจ้ากว่าดวงอาทิตย์เสียอีก
“พี่ทีดูหนังรักเป็นด้วยเหรอคะ”
“อาก็ชอบนี่นาเคยบอกไว้ในจดหมายแล้วนี่”
“ไม่ค่ะ ไม่เคยเลยค่ะ” ดูเธอจะเริ่มโกรธผมอีกแล้วแฮะ แต่ก็นะยัยนี่เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
“เฮ้อ ซึ้งจังเลยนะคะพี่ที”
หลังจากดูหนังเสร็จก็เกือบจะเรียกว่าดึกเลยทีเดียว พวกเราเดินออกมาหน้าห้างแองเจิ้ลดูท่าทางอารมณ์ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ซึ่งนั่นก็ดีแล้วล่ะ จากนี้ก็ถือว่าหายกันและเธอคงจะไม่ต้องมายุ่งอะไรกับผมอีก ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมสมบูรณ์แบบ
“งั้นแยกกันเลยนะ” ผมโบกมือลาก่อนจะเดินกลับออกไปทางวินมอเตอร์ไซค์
“เดี๋ยวค่ะ” จู่ๆ เธอก็ฉุดแขนผมเอาไว้เสียเกือบหงายหลัง
“อะไร”
“ขอเบอร์โทรกับอีเมล์ด้วยค่ะ” เธอหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมพิมพ์รายละเอียด
“เอาไปทำไม ยังไงก็ต้องเจอกันหน้าลิฟท์อยู่แล้ว”
“นี่พี่เป็นคุณปู่หรือไงคะ ก็ต้องเอาไว้ติดต่อบ้างสิ เอามือถือพี่มาค่ะ” เอ่อนี่เธอกำลังสั่งผมอยู่เหรอ เฮ้ๆ นี่ผมเป็นพี่นะโว้ย
แต่สุดท้ายผมก็ยื่นมือถือให้โดยดี ทำไมนะเหรอ ก็กลัวเธอจะทำอะไรแปลกๆ ให้คนหันมามองอีกไงล่ะ
หลังจากพิมพ์เสร็จแล้วโทรเข้าหากันก็คืนมือถือมาให้ผม “นี่เบอร์หนูนะคะ เมมชื่อไว้ว่าแองเจิ้ล และก็นี่ไอดีแชทของหนูคุยๆ กันด้วยนะคะ”
ผมรับมือถือคืนมา “นี่เธอยังรู้จักฉันไม่พออีกเรอะ”
“ก็จนกว่าพี่จะรู้จักหนูนั่นแหละค่ะ” เธอท้าวสะเอวพูด ท่าทีเหมือนจะเปลี่ยนไปจากทุกเช้าเล็กน้อย หรือเพราะผมคิดไปเองก็ไม่รู้ยัยนี่ดูกล้าขึ้นแฮะ “หอพักหนูอยู่ใกล้ๆ นี่เอง งั้นหนูไปก่อนนะคะ”
“อา แล้วก็เรื่องวันนี้ไม่ต้องไปบอกใครนะ” ผมตะโกนย้ำเธอก่อนจะแยกไปหาวินมอเตอร์ไซค์
ผมกลับมาถึงห้องพักก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอย่างเหน็ดเหนื่อย ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ในรอบหลายปีที่ผมเหนื่อยจริงๆ นับจากที่เรียนวิชาทหารมาเมื่อมัธยมปลาย สายตาของผมจับจ้องไปยังหมอนข้างใบเก่า ความรู้สึกจากส่วนลึกหวังจะให้มันช่วยระบายความในใจ
“สวัสดีหมอนข้าง วันนี้นะ” ผมขะงักไปครู่หนึ่งเพราะหัวมันโล่งไปหมดที่มีเห็นจะเพียงความอึดอัดใจบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก “ช่างมันเถอะ” ผมเปลี่ยนมามองเพดานก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
ตึ้ง! จู่โทรศัพท์ก็ส่งเสียงไม่คุ้นหูออกมาผมจึงคว้าขึ้นดู มันเป็นข้อความที่ส่งมาจากแชทอันว่างเปล่าของผม ใจความว่า ‘วันนี้สนุกมากเลยค่ะ’ จากชื่อผู้ส่ง ANG นี่คงจะเป็นจดหมายฉบับใหม่ระหว่างผมกับน้องรหัสสินะ แต่เอาไว้ก่อนแล้วกันเพราะวันนี้ผมง่วงเหลือเกิน....
คร่อก!
EP 1 END
โปรดติดตาม EP 2
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ