อสุรา ล่ารัก
เขียนโดย สามภพ
วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 01.59 น.
แก้ไขเมื่อ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 02.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) อสุรา ล่ารัก ตอนที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
อสุรา ล่ารัก 1
เกิดเป็นยักษ์ต้องอดทน โดนรถชนก็ห้ามตาย...
“เห้ออออออ จะทำงานอะไรดีวะ” เสียงถอนหายใจของผมที่ดังมาหลายรอบแล้วด้วยความเบื่อหน่าย งานทุกอย่างผ่านมือผมมาหมดแล้ว ทั้งผู้บริหาร กรรมกร พนักงานในห้าง หรือแม้กระทั่งเด็กเสิร์ฟในร้านหมูกระทะ ผมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตที่เป็นอมตะของผม เพราะผมต้องคอยปกปิดตัวตนแล้วแกล้งตายเวียนวนซ้ำๆ มาหลายร้อยปี ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าบ้านในมือถือเอกสารสำคัญในการสมัคงาน เอาไว้มองมันซ้ำไปวนมา เหมือนคนที่คิดไม่ตก ความจริงถ้าผมไม่ทำงานก็ได้นะเพราะเงินที่ผมหามาได้ตลอดชีวิตอมตะของผมมันก็มากเสียชนิดที่ผมไม่ต้องทำงานไปอีกสองสามร้อยปีก็ว่าได้ ไหนจะเงินปันผลจากหุ้นส่วนในโรงแรมที่ผมเคยเป็นหุ้นส่วนใหญ่ (แล้วแกล้งตายโดยที่มีเงินมรดกจากเงินปันผลมอบให้แก่ญาติห่างๆ ซึ่งมันก็เป็นตัวผมอีกนั่นแหละ)
“หรือเราจะทำธุรกิจเป็นของตัวเองดีวะ” มันเป็นความคิดที่ดีถ้าผมจะลงทุนประกอบธุรกิจเป็นของตัวเอง เอาแบบ เล็กๆ อยู่รอดในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ขายอะไรดี
“ขายก๋วยเตี๋ยว” ความคิดหนึ่งมันผุดขึ้นมา ขายของกินนี่แหละดีสุดเพราะมนุษย์ทุกคนต้องกิน ยักษ์อย่างผมยังต้องกินเลยผมรีบกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนรักสองหน่อของผมทันที ผมกะว่าจะให้พวกมันมาร่วมหุ้นด้วย รอสายไม่นานไอ้เขื่อนก็กดรับ
“โหลๆ มึงๆ ว่างป่าว” ผมรีบถาม รู้สึกตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้
“เออ ว่างมีไรว่ามา//นิมนต์ครับหลวงตา//” ไอ้เขื่อนตอบกลับมา ผมได้ยินเสียงไอ้ภูผามันคุยกับหลวงตาอยู่ใกล้ๆ
“กุมีธุรกิจจะมาเสนอพวกมึงสองคน”
“ธุรกิจอะไรของมึงวะ” ไอ้เขื่อนตอบกลับมาด้วยเสียงนิ่งๆ
“ร้านก๋วยเตี๋ยว” ผมบอกพวกมันไป รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ
“.....”
“อ่าวเงียบทำไมอะมึง โหล” มันคงกำลังคิดอยู่แน่ๆ เลย
“ไอ้เพียว นี่มึงล้มหัวฟาดพื้นรึไงห๊ะมึงคิดอะไรอยู่ พวกกูเรียนวิศวะ มึงจะให้พวกกูไปขายก๋วยเตี๋ยวเพื่อ!!! ” เสียงไอ้เขื่อนมันตหวาด ออกมาจนผมต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู
“โห่มึง ธุรกิจอะธุรกิจมึงจะคิดมากทำไมวะ กูก็เรียนเหมือนมึงกูยังไม่คิดมากเลย” เรียนวิศวะทำไมจะขายก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ใครห้ามวิศวะขายก๋วยเตี๋ยวไหนบอก เพียวมาสิ แม่จะไปตบกะบาลให้คว่ำ
“มึงไปคิดให้ดีๆ เอาที่มันเป็นสาระ เอาให้เหมาะกับตัวมึง”
“นี่แหละเหมาะกับกูแล้ว ไม่ต้องไปเป็นขี้ข้าใคร” อยากจะหยุดเมื่อไหร่ ก็หยุดได้ อู้ก็ได้ ทำอะไรก็ได้ไม่ต้องมีใครมาว่ามาบังคับ ดีออก
“แล้วแต่มึงเหอะ แค่นี้นะกูจะถวายเพลให้หลวงตาแล้ว ปัญญาอ่อนจริงมึง เดี๋ยวกูจะบอกไอ้ภูมันให้ แล้วมึงก็เตรียมตัวโดนเทศได้เลย”
ตรู๊ดดดดดดดดดดด
“อะ อ่าววางไปเฉยเลย ไอ้พวกนี้นี่” ผมได้แต่แยกเขี้ยวใส่มันผ่านโทรศัพท์ไม่รู้ละผมตัดสินใจแล้ว ว่าผมจะขายก๋วยเตี๋ยว หลังจากวางสายพวกมันผมก็มานั่งคิดว่า ขายก๋วยเตี๋ยวมันต้องทำอะไรบ้าง เริ่มจากการหาทำเล ผมยกโน้ตบุค ออกมาที่ศาลาพักผ่อนในสวน และเริ่มเปิดอินเทอร์เน็ตหาข้อมูล สมัยนี้อะไรๆ มันก็สะดวกสบายไปหมด นั่งงมหาข้อมูลเป็นชั่วโมงๆ จนรู้สึกว่ามีใครบางคนแอบจ้องมองผมอยู่จากพุ่มไม้ข้างบ้าน คือศาลาพักมันติดกับรั้วเพื่อนบ้านที่เป็นผู้ชายที่ผมเคยเล่าให้ฟังไง ปรกติเขาจะไม่ค่อยออกมาตอนกลางวันนักหรอก นอกจากจะออกมารดน้ำต้นไม้บ้างเป็นบางวัน ผมไม่เคยเห็นหน้าเขาชัดสักครั้ง เพราะเวลาออกมาเจอเขาทีไร พี่เขาก็รีบชิ่งเข้าไปในบ้านตลอด ชอบทำตัวลึกลับ เหมือนพวกโรคจิต พอเขารู้ว่าผมเห็นเขาก็รีบเดินเข้าบ้านไปเลย คือ อะไรของเขา ผมละสายตาจากแผ่นหลังกว้างๆ นั่นแล้วหันกลับมาสนใจพื้นที่ทำมาหากินของผมต่อ
ดูไปดูมา ธุรกิจขนาดเล็กที่ผมวาดฝันเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ผมเข้าไปดูรีวิวร้านก๋วยเตี๋ยวสารพัดรูปแบบ ทั้งก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ต้มยำ เย็นตาโฟก๋วยเตี๋ยวโบราณ ก๋วยเตี๋ยวไข่ สารพัดที่เขาจะครีเอทออกมา เดี๋ยวนี้อะไรก็มีแต่การแข่งขันกันทั้งนั้น ผมนั่งคิดวิเคาะห์อยู่หลายตลบว่าจะขายแบบไหน เอาเป็นว่าผมจะขายเย็นตาโฟนี่แหละ เพราะผมชอบกินเย็นตาโฟไง แล้วเรื่องทำเล ไม่เห็นจะยาก ก็หน้าบ้านผมนี่แหละ ฮ่าๆ ขายกับคนในหมู่บ้าน ไม่ต้องออกไปไหนไกล พอได้บทสรุป ผมก็ลิสเอาข้อมูลใส่กระดาษ หาเบอร์ช่างมาต่อเติมบ้านให้เป็นร้านอาหาร แล้วก็ออกไปตลาดหาซื้อวัตถุดิบมาลองทำน้ำซอสเย็นตาโฟดูเพราะผมอยากได้รสชาติในแบบของตัวเอง ไม่ซ้ำใครและอร่อยด้วย
หลายอย่างในชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป ผมมองรายการที่ต้องซื้อในมือด้วยความรู้สึกที่ปวดหัวนิดๆ ในมือมีของหลายอย่างดูพะรุงพะรังไปหมด มีของบางอย่างที่ผมไม่รู้จักและมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในส่วนผสม
“เต้าหู้ยี้ มันคืออะไรวะ” ผมยืนอ่านมันมาสักพักแล้ว เดินวนไปวนมาอยู่ในตลาดจนเมื่อยขา
“อ้าวน้องเพียว วันนี้มาจ่ายตลาดเองเลยเหรอคะ” เสียงนี้ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร ยัยป้ามหาภัยที่อาศัยอยู่บ้านข้างๆ ผมไงครับ ผมลอบถอนหายใจ ก่อนจะหันไปปั้นหน้ายิ้มใส่แก
“ครับ” ตอบไปสั้นๆ เพราะไม่อยากจะคุยด้วย ผมกำลังจะก้าวหนี แต่ป้าแกก็ร้องทักขึ้นมาอีก
“แล้วหาอะไรอยู่รึเปล่าจ๊ะให้พี่ช่วยไหม” แทนตัวเองว่าพี่นี่ไม่ได้ดูหนังหน้าตัวเองเลยใช่ไหม เห้อ อยากจะตัดบทนะครับ แต่ว่ามันจะดูเสียมารยาทไป ผมเลยหันไปตอบแกยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ครับ”
“แล้วเพียวหาอะไรอยู่เหรอไหนเอาให้พี่อรดูซิ” คุณป้าอรเธอคว้าเอากระดาษที่ผมจดเอาไว้ไปดู แต่มือคุณเธอนี่สิครับ ลากตั้งแต่ข้อศอกผมจนสุดมือ แบบนี้มันเข้าข่ายลวนลามผมชัดๆ ขนลุกมากๆ ด้วย แต่จะแสดงออกไปว่ากลัวป้าเขาก็ไม่ได้ผมเลยได้แต่ปั้นหน้ายิ้มรับสายตาอ่อยๆ ของป้าแกไปพร้อมกับขยับตัวออกห่าง
“เต้าหู้ยี้ครับ” ผมบอกป้าอรส่งยิ้มหวานมาให้
“ตามมาสิจ๊ะเดี๋ยวพี่พาไปซื้อ” เอาเถอะครับ สายตาป้าแกเหมือนกำลังหลอกเด็กสี่ขวบไปทำอนาจารยังไงยังนั้น แถมแกยังคว้ามือที่ผมให้เดินตามแกไปอีก
“ลากกูเป็นลูกเลย” ผมได้แต่ว่าป้าแกอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดออกไปหรอกครับ แกลากผมไปหยุดอยู่ที่ร้านขายของแห้งร้านหนึ่ง มีอาแปะแก่ๆ นั่งพัดแมลงวันออกจากกองปลาหมึกตากแห้งอยู่
“แปะๆ เอาเต้าหู้ยี้ให้ชั้นขวดหนึ่งสิ” ป้าอรแกหันไปสั่ง แล้วอาแป๊ะก็ลุกไปหยิบมาให้ ผมรีบรับมาแล้วรีบจ่ายเงินไม่อยากอยู่นานเดี๋ยวพี่อร เอ้ย ป้าอรแกจะหลอกให้ผมไปไหนกับแกอีก ผมรีบยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก็เผ่นออกมา ไม่รอให้แกได้ถามหรือคุยอะไรอีก ผมวิ่งมาที่รถมอเตอร์ไซต์ที่จอดไว้อีกฝั่งของถนนแล้วก็ขี่กลับมาที่บ้านทันที ผมเอาของทั้งหมดจัดใส่ตู้เย็นไว้ เอาไว้ค่อยทำพรุ่งนี้วันนี้เหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ผมเดินไปหยิบหมอนกับผ้าห่มในห้องแล้วเดินไปที่ศาลา ผมชอบนอนกลางวันที่นี่ครับมันเย็นสบายดีไม่เปลืองค่าไฟด้วย โยนหมอนไปที่กระดานไม้ที่มีไว้นั่ง ซึ่งมันกว้างพอที่ผมจะนอนพลิกไปมาได้สบายๆ พอล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มมาคลุมถึงคอผมก็หลับลึก
ซ่า......
ในขณะที่ผมกำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีหยดน้ำมากมายกระเด็นมาใส่หน้า หรือว่าฝนตก ผมรีบลืมตาแล้วตะโกนโหวกเหวกเสียงดังลั่น เนื้อตัวเปียกชุ่มไปหมด
“ฝนตก ฝนตก ฝนตกโว้ย” ผมหันไปมองรอบๆ ก็ต้องตกใจเพราะไอ้ฝนที่ทำผมตื่น มันคือน้ำจากสายยางรดน้ำต้นไม้ มันกำลังพุ่งมาจากอีกฝั่ง ของรั้วบ้าน ผมมองตามสายน้ำที่พุ่งใส่ผมไม่หยุดจนไปหยุดที่สายตาดุๆ เขาจิกตามองผมนิดหนึ่งแล้วสะบัดหน้าหนี เดินเข้าบ้านไปเฉย ไม่ขอโทษผมสักคำ แถมหน้าเขาผมก็ยังเห็นไม่ชัดอยู่ดีเพราะพุ่มไม้มันสูง
“เฮ้ยยย คุณ นี่ กลับมาขอโทษผมเดี๋ยวนี้เลยะ ไอ้บ้าเอ้ย” ผมตะโกนเรียกเขาพอเขาไม่หันกลับมา ผมก็ด่าไปอีก คนบ้าอะไร เจอหน้าคนหล่อแล้วเดินหนี เป็นผีปอบรึไงถึงไม่กล้าสบตาคน ผมโมโหเขามากๆ เลยตอนนี้ ละสายตาอาฆาตจากเขาก็เดินเข้าบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินไปหยิบหมอนกับผ้าห่มที่เปียกโชกไปตากที่ราว สายตาก็คอยมองไปบ้านนู้น ว่าจะโผล่หัวออกมาเมื่อไหร่ หึ โผล่หน้ามาเมื่อไหร่แม่จะด่าให้ไฟแลบเลยคอยดู ในขณะที่ผมกำลังนึกด่าไอ้มนุษย์ใจหยาบคนนั้น จู่ๆ ป้าอรแกก็โผล่มาจากอีกรั้วของบ้าน หน้าแกยิ้มมาแต่ไกล เล่นเอาผมสยอง ป้าแกกวักมือเรียกผมให้ไปหา
“อะไรของป้าแกอีกวะ” ผมบ่นเบาๆ กับตัวเองก่อนจะเดินไปหาแก
“ครับป้าอร”
“มานี่ๆ พี่ทำบัวลอยมาฝากหนูกับคุณปี”
“คุณปี? ” ผมทำหน้าสงสัยป้าอรแกยิ้มเหมือนเอือมๆ ที่ผมมาอยู่ได้สักพักแล้วแต่ไม่รู้จักคนที่ชื่อปีอะไรนั่น
“ก็ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ บ้านหนูไงจ้ะหลังนั้นนะ” ป้าแกชี้ไปที่บ้านหลังนั้น
“อ๋อ เหรอครับ ขอบคุณนะครับป้าอร” ป้าแกยิ้มหวานใส่แล้วทำตาเยิ้มๆ มองผ่านผมไปที่บ้านหลังนั้น เอ่อ คือป้าจะรวบหมดทั้งสองหลังเลยเหรอครับ ผมมองตามสายตาแกไป
“แล้วเขาเป็นใครเหรอครับ” นี่ผมคงติดเชื้อขี้เสือกของป้าแกมานิดๆ ละ
“อันนี้ป้าก็ไม่รู้นะ รู้แต่ว่า เขานะหล่อ รวย” พูดแล้วทำหน้าเคลิ้มๆ เล่นเอาผมเดินถอยหลังไปสองสามก้าว
“แต่ถ้าน้องเพียวอยากรู้ พี่อรไปสืบมาให้ก็ได้ค่ะ”
“ไม่ต้องครับผมไม่ได้อยากรู้เรื่องของชาวบ้านเขาหรอกนะครับ เอ่อขอบคุณสำหรับบัวลอยนะครับผมขอตัว” ลิ้นผมแทบจะพันกันเพราะรีบพูดจะได้ออกมาจากตรงนั้นไวๆ เบื่อกับสายตาแทะโลมของป้าแก
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ร้านที่ผมวาดฝันเอาไว้ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ท่ามกลางความขัดแย้งของเพื่อนๆ ที่แวะเวียนมาช่วยผม คือมันช่วยครับแต่ก็บ่นไปด้วย บ่นอะไรนักหนาไม่รู้ มึงจะทำไหวเหรอบ้างละ จะไปรอดไหมบ้างละ ทำเลไม่ดีบ้างอะไรแบบนี้แต่ผมไม่ฟังหรอกครับ ไม่ได้รั้นนะ แต่ผมเชื่อว่าผมทำได้และจะทำมันได้ดีด้วย ตอนนี้ผมยืนดูช่างที่เข้ามาต่อเติมร้านบริเวณสวนหน้าบ้านโดยเอารั้วด้านหน้าออกแล้วทำเป็นห้องกระจกกึ่งปูนมีลานไม้ด้านหน้าไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการนั่งกินแบบธรรมชาติๆ เพราะผมจะทำหลังคาให้เป็นแบบไม้เลื้อย เหมือนสวนในเทพนิยาย ตอนนี้งานเริ่มเสร็จเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่ตกแต่งกับซื้อของเข้าร้าน
“ไอ้เพียวมึงคิดว่ามันจะเวิร์คเหรอวะ นี่มันในหมู่บ้านนะเว้ย ไม่ใช่ทำเลทองแถวทองหล่อ” ไอ้ภูมันยกน้ำออกมาให้พวกช่างๆ เข้ากิน ผมพยักหน้า
“เวิร์คดิ หมู่บ้านออกจะใหญ่มีแต่คนรวยๆ อยู่”
“นี่มึงกะจะขายแค่คนในหมู่บ้านรึไง”
“ก็ ไม่เชิงหรอก มึงกูแค่อยากขายก๋วยเตี๋ยว ไม่ได้ขายเพชรจะคิดอะไรมาก ขายแค่พออยู่ได้มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟพอแล้ว” ผมบอกมันไป ไอ้ภูเบ้ปากใส่
“แล้วเมื่อไหร่จะรวย”
“ทำไมต้องรวยด้วยวะ แค่มีพอแดก พอใช้ก็พอป่าววะ จะฟุ่มเฟือยไปทำไม นี่กูไม่หนีไปอยู่ดอยทำไร่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” อยู่แบบพอเพียงอย่างที่ในหลวงท่านเคยสอนไว้ ชีวิตแบบนั้นดีจะตายผมชอบ
“นี่มึงไม่คิดถึงอนาคตเลยรึไง ถ้ามึงมีครอบครัวมีเมียมีลูก มึงคิดว่าการขายก๋วยเตี๋ยวในนี้มันจะเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียมึงได้รึไงวะ” ไอ้ภูมันดูจริงจังมากอาจจะเพราะมันเป็นเด็กกำพร้าเป็นเด็กวัดมันเลยจริงกับเรื่องพวกนี้มากๆ
“เอาน่ามึงก็อย่าไปว่ามันเลยไอ้ภู อีกอย่างหน้าอย่างมันจะหาเมียได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้ ไปๆ กูสั่งส้มตำร้านป้าเฉื่อยไว้นานแล้ว ป่านนี้คงเสร็จพอดีมึงไปเอาเป็นเพื่อนกูหน่อย” ไอ้เขื่อนครับมันเดินมาจากไหนไม่รู้พูดฉอดๆ แล้วก็ลากไอ้ภูมันออกไป นี่ผมยังไม่ได้เถียงมันเรื่องหาเมียไม่ได้เลยนะ ผ่านไปสักพักมันก็กลับมาพร้อมส้มตำไก่ย่างชุดใหญ่สองชุดให้ช่างชุดหนึ่งกับของพวกผมอีกชุด พวกเรามานั่งกินกันที่ศาลาพัก ผมกับไอ้ภูช่วยกันแกะใส่จานไอ้เขื่อนเดินไปหยิบน้ำเย็นๆ มาให้ เมื่อทุกอย่างพร้อมผมก็ลงมือกินกันอย่างเมามัน ของผมเป็นตำปูปลาร้า ส่วนไอ้ภูมันกินเผ็ดไม่ได้ไอ้เขื่อนเลยสั่งตำไทยไข่เค็มไว้ให้ มีไก่ย่าง ไส้อ่อนย่าง คอหมูย่าง ต้มแซบ โอ๊ยยยเป็นตาแซบ ซัดกันนัวเนียมือแทบจะพันกัน
“เออ เมื่อกี้กูยังพูดไม่จบ ไอ้เขื่อนมึงหาว่ากูจะหาเมียไม่ได้อย่างนั้นเหรอวะ มึงดูถูกกูมากไปแล้วนะ” ผมเอาปีกไก่ที่แทะอยู่ชี้หน้ามันอย่างเคืองๆ มันหัวเราะใส่ผม
“ก็กูดูถูกไง ไม่ได้ดูผิดไปแม้แต่สักนิดเดียว มึงเคยดูหนังหน้าตัวเองไหมเพื่อน ตลอดสี่ปีที่ผ่านมามีหญิงคนไหนมาแลมึงบ้างไหม กูเห็นแต่หมาตัวผู้ที่คอยตามดมตูดมึง” - -ไอ้นี่พูดจาเลอะเทอะ
“สัส พูดจา กูแค่ไม่ได้ปล่อยเสน่ห์หรอกเว้ย ไม่งั้นนะหญิงไม่ตกถึงท้องพวกมึงหรอก” ผมว่าแล้วแทะไก่ในมือต่อ ใครมันจะกล้ามีความรักกันละ ถ้าเกิดรักจริงขึ้นมาแล้วแฟนผมตายก่อน ผมจะทำใจได้ไหมไม่รู้ แค่ไอ้สองคนนี้ผมก็แทบจะทำใจไม่ได้แล้วถ้าเห็นพวกมันแก่ตายแล้วผมยังมีชีวิตอยู่
“เหรอออออออ/เหรออออ” พวกมันประสานเสียงมาพร้อมกันแล้วผลักหัวผมกันคนละที ไอ้พวกนี้นี่ ผมแก่กว่าพวกคุณนะครับ เกรงใจผมด้วย
“เดี๋ยวก่อนๆ กูจะหาเมียให้ได้ก่อนพวกมึง” ผมท้า
“ไม่ต้องยังไงพวกกูก็ไม่คิดว่ามึงจะได้เมีย ไอ้เพียวมึงนะอย่าไปมีเลยเมียสงสารผู้หญิงเขามีผัวนั่นแหละดีแล้ว หน้าแบบนี้ หุ่นแบบนี้ แรงก็มีจิ๊ดหนึ่งจะไปปกป้องใครเขาได้ มีผัวให้เขาปกป้องมึงดีกว่ากูแนะนำ” ไอ้เขื่อนมันพูดออกมาได้ยังไงแถมไอ้ภูมันก็พยักหน้าเห็นด้วยอีก
“บ้า จะมีผัวได้ไงกูเป็นผู้ชาย แล้วอีกอย่างไอ้ภูมึงก็ไม่ได้ต่างอะไรจากกูมากมายมึงก็ต้องมีผัวดิ” ผมค้านแถมยังลากไอ้ภูลงมาด้วย
“เรื่อง!! กูเป็นเด็กวัดนะมึง ถึกอย่าบอกใคร เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้กูเป็นนักมวยเก่านะเว้ย” มันบอกพร้อมกับยืดอกแคบๆ ของมันอย่างภาคภูมิใจ
“แต่ต่อยไม่เคยชนะกูสักครั้ง ไอ้อ่อน” ไอ้เขื่อนมันขัดจนผมขำก๊ากออกมา ไอ้ภูมันหันไปมองค้อนเพื่อนเด็กวัดของมันทันทีพร้อมกับทำหน้างอนๆ แล้วไม่พูดกับไอ้เขื่อนเลย จนไอ้เขื่อนต้องง้อด้วยการไปซื้อไอติมรถเข็นมาให้กินมันถึงจะยอมคุยด้วย กินของคาวของหวานจนอิ่มก็นั่งตีพุงอยู่ตรงศาลสนั่นแหละครับรอย่อย แล้วค่อยเอาจานไปเก็บ ล้าง สักพักไอ้สองคนนั้นก็ขอตัวกลับเพราะต้องเตรียมตัวไปสมัคงานผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ขับรถออกไปส่งมันที่วัดแล้วเลยไปไหว้หลวงตา แล้วกลับมาทดลองทำน้ำซอสอีกหลายๆ สูตรแล้วเอาไปให้เพื่อนบ้านชิม เหอะๆ เขาก็บอกว่าอร่อยกันทุกบ้านยกเว้นอยู่บ้านเดียว บ้านไอ้ผู้ชายโรคจิตที่รั้วมันติดกับบ้านผมยังไงละ ผมรู้ว่ามันอยู่บ้าน รถคันหรูของมันก็จอดอยู่ในบ้าน รองเท้าก็อยู่ แต่มันไม่ยอมออกมาครับ นี่ผมกดออดจนมือหงิกแล้วมันก็ไม่ยอมโผล่มาสักที
“ไอ้มนุษย์ไม่มีมารยาท” ผมยืนด่าแล้วถือชามเย็นตาโฟกลับมาบ้านด้วยความหงุดหงิด นี่ก็เย็นมากแล้วมื้อเย็นก็เลยเป็นเย็นตาโฟของไอ้มนุษย์เงาคนนั้นไป กินไปดูหนังไปจนดึก เลยลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน แต่ก็ต้องสะดุดกับอะไรบางอย่าง ไฟในสวนของบ้านไอ้คุณปีมันเปิดอยู่แล้วผมก็เห็นแผ่นหลังกว้างๆ ของมันกล้ามเป็นมัดๆ ผิวแม่งขาวอย่างกับหิมะ มันนึกคึกอะไรมาออกกำลังกายตอนดึกๆ แบบนี้วะ ด้วยความอยากรู้ว่าหนังหน้ามันจะเหมือนนิสัยแย่ๆ ของมันผมเลยแอบย่องไปที่ข้างๆ รั้ว แอบมองมัน ด้วยความริษยานิดๆ จะกล้ามใหญ่ไปไหน จะหุ้นดีไปไหน ชิ แอบจิกตาใส่ด้วย ในขณะที่แอบด่ามันในใจ จู่ๆ มันก็หันหน้ามาทางผมที่แอบดูมันอยู่และตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นใบหน้าของมันชัดๆแบบ โฟร์ดี
*0* ไอ้เชี้ยะแมร่งงง หล่อบรรลัย ใบหน้าหล่อๆ ของมันที่ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ไหนจะกล้ามท้องที่ขึ้นเป็นลอนสวยจนผมอิจฉา
ตึก ตึก ตึก ตึก นี่ใจผมมันเต้นแรงอะไรเบอร์นี้ นี่ผมใจเต้นแรงกับไอ้คนไม่มีมารยาทพรรคนี้นะเหรอ
ผมเดินถอยหลังออกมาเพื่อตั้งหลัก เกิดมาสี่ร้อยกว่าพึ่งจะมาใจเต้นแรงเหมือนสาวแรกแย้มแบบนี้ แถมกับผู้ชายด้วยเนียะอะนะ ด้วยความที่ผมตกใจเดินถอยหลังจนไปชนกับถังน้ำแล้วล้มทับมันแตก
โพล๊ะ!!!!
“ใครวะ!!! ”
“ฉิบหายแล้วกู” วันนี้ไม่ใช่เขาที่รีบหนีเข้าบ้านแต่เป็นผมเองที่ใส่ตีนหมาวิ่งหน้าตั้งหนีเข้าบ้านแทน
แมร่งเอ้ย ไอ้หัวใจมึงหยุดเต้นสักทีสิวะ
เกิดเป็นยักษ์นะเว้ยจะมาไก่อ่อนแบบนี้ไม่ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ