The Slaying Shadow

7.0

เขียนโดย AiPie

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.19 น.

  7 บท
  0 วิจารณ์
  8,763 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560 23.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ ๒ ลอยลำกำปั่น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๒

ลอยลำกำปั่น

 

          ภูผา ภูผา ภูผา

          ไม่ว่าจะคิดทบทวนอีกกี่ครั้ง ร้อยเปียก็มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้ แต่การที่จะมีคนรู้จักเธอ โดยที่เธอไม่รู้จักพวกเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เนื้อความแสนเลี่ยนในจดหมายยังคงวิ่งวนอยู่ในหัวครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะจำ แต่เพราะเธอไม่เคยได้รับจดหมายที่มีข้อความเช่นนี้มาก่อน มันเลยติดอยู่ในหัวจนถึงตอนนี้

          นักสืบสาวจงใจมาก่อนเวลา เธออยู่ในชุดหรูหราขัดกับรสนิยมส่วนตัวโดยสิ้นเชิง เสื้อผ่าอกคอแหลมริ้วทองขับผิวแทนของเธอให้ดูเด่นขึ้นทันตา ด้านล่างเป็นผ้าซิ่นยกจีบหน้าสีชมพูกลีบบัวที่เจ้าตัวไม่รู้สึกสบายตัวเท่าไหร่เพราะไม่ชินกับการใส่เสื้อผ้ามีสีสัน แต่ถึงกระนั้น ผมสีดำยาวก็ยังคงถักเป็นเปียไว้ที่ด้านหลังดังเดิม ยังไงซะเธอก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำให้ใครประทับใจอยู่แล้ว ได้รับเชิญก็ต้องมาตามมารยาทเป็นธรรมดา

          ที่สำคัญ โฉมหน้าของผู้ชายที่เขียนข้อความชวนอ้วกนั่นน่ะ อยากจะเห็นอยู่เหมือนกันว่าหน้าตาจะดีเหมือนสำนวนหรือเปล่า

          ร้อยเปียนั่งอยู่บนเรือลำจ้อย หากแต่เรือนี้ไม่ได้มีไว้โดยสาร มันเป็นเพียงสถานที่ซึ่งมีไว้สำหรับทานอาหารมื้อค่ำเท่านั้น ตัวเรือทำจากไม้สักที่มีลายฉลุอันวิจิตรบรรจงชนิดที่ปรายตามองครู่เดียวก็รับรู้ได้ถึงความชำนาญของช่าง บนเรือมีสามที่นั่ง โดยที่นั่งตรงกลางจะสูงขึ้นมาและกว้างกว่าอีกสองที่ เพราะมันถูกออกแบบมาให้เป็นโต๊ะขนาดเล็กเพื่อใช้สำหรับวางอาหาร นอกจากนี้ยังมีเรืออีกจำนวนไม่น้อยที่ลอยลำอยู่ในบริเวณไม่ห่างไกลกันมาก คู่รักหลายต่อหลายคู่ส่งเสียงคุยล้อต่อกระซิกเมื่อแล่นผ่านหน้าเธอไป

          ร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ส่วนหนึ่งของแม่น้ำปูนแห้งที่กินพื้นที่ยาวไปทั่วทั้งบางชลาลัย แต่มีเพียงไม่กี่ครัวเรือนที่ได้อยู่บ้านติดริมแม่น้ำ ล้วนแต่เป็นผู้ที่มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แน่นอน รวมไปถึงโมกข์ประจำบางที่เพิ่งมีการแต่งตั้งใหม่ เนื่องจากคนก่อน อโรคา เสียชีวิตกะทันหัน

          ไม่นาน ดวงตะวันก็เริ่มคล้อยลงต่ำ ส่งผลให้ความมืดเข้ามาแทนที่ความสว่าง แต่เรือเล็กยังไม่ออกจากฝั่ง เพราะจำเป็นต้องรอผู้โดยสารอีกหนึ่งคน นักสืบสาวยื่นมือไปหาตะเกียงหมายจะหมุนเปิดไฟ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมีอีกมือหนึ่งเอื้อมมาพร้อมกัน ร้อยเปียมองตามมือใหญ่ขึ้นไป แต่เนื่องด้วยความมืดมิดที่กลืนกินอาณาบริเวณ เธอจึงไม่เห็นอะไรนอกจากร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังหมุนหัวเปิดของตะเกียง

          จู่ๆ ไฟสลัวก็สว่างขึ้น สิ่งที่ปรากฏด้านหน้าทำเอาร้อยเปียเกือบลืมหายใจไปชั่วขณะ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยจับจ้องมาที่เธอ มันแลดูอ่อนโยนและแน่วแน่ในเวลาเดียวกัน ผมหยักศกปอยหนึ่งลงมาปรกหน้า เขาใช้มือเสยมันขึ้นไปลวกๆ เผยให้เห็นจมูกทรงไม่เตี้ยไม่สูง ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่โค้งขึ้นตลอดเวลาจนเหมือนว่าเขายิ้มให้เธออยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ดูแปลกตาที่สุด คือผิวสีขาวและเนียนราวกับผิวสตรีชนชั้นสูง ไม่มีรอยแผลให้เห็นแม้สักรอย ไม่มีแม้แต่คราบดินอย่างที่บุรุษควรจะมี

          “ขอโทษที พอดีมีงานด่วนเข้ามา” เสียงนุ่มชวนฟังเอ่ยขึ้น ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งตรงกันข้าม “หวังว่าคงไม่ได้ทำให้เจ้าเสียเวลามากเกินไป”

          แขกผู้มาเยือนไม่รอช้า เขาหยิบไม้พายขึ้นมาจ้วงลงไปในน้ำด้วยท่าทางทุลักทุเล แรงดันผลักให้พาหนะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างไม่มั่นคงนัก บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวไม่ได้พายเรือบ่อยๆ ด้วยรูปร่างที่ผอมบางและผิวพรรณที่เกลี้ยงเกลาเกินผู้ชายทั่วไป เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก...

          อัฐิเดช!

          ถึงแม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่บางอย่างในตัวผู้ชายคนนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเสมือนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน อาจเพราะรอยยิ้มที่มุมปากของเขา หรืออาจเพราะท่าทางสบายๆ ที่ดูเป็นกันเองไม่ถือตัว แสงสีส้มอ่อนๆ บวกกับลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่านไปมาจึงปัดเป่าความเกร็งไปจนหมดสิ้น

          “ภูผา คือชื่อของเจ้าหรือ” ร้อยเปียเริ่มต้นถาม

          “ไม่ใช่หรอก ข้าไม่ได้ชื่อภูผา”

          คิ้วของสาวน้อยเลิกขึ้นหลังได้ยินคำตอบจากหนุ่มรูปงาม

          “เห็นทีเจ้าคงจะขึ้นเรือผิดลำ” เธอว่าพร้อมกับชี้นิ้วออกไปด้านนอกเป็นเชิงบอกให้คู่สนทนาเดินออกไป

          “ใจคอจะให้ข้าว่ายน้ำกลับไปเลยหรือ” หนุ่มน้อยถามกลับด้วยสีหน้างอนง้อ สองมือจ้วงซ้ายทีขวาทีเพื่อรักษาสมดุลของเส้นทาง “จะผิดได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าคือผู้หญิงที่ได้รับจดหมายฉบับนั้น”

          แทนที่คำอธิบายนั้นจะช่วยให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้น มันกลับสร้างความงุนงงให้กับเธอเป็นทวีคูณ

          “สรุปว่าเจ้าไม่ได้ขึ้นเรือผิดลำ และเจ้าไม่ได้ชื่อภูผา” ร้อยเปียเรียบเรียงเหตุการณ์ “ก็แสดงว่าภูผาส่งเจ้ามาแทนงั้นสิ”

          “ว่างั้นก็ได้” อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “หรือถ้าจะให้พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น คือภูผา ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ตั้งแต่แรก ข้าจึงมาแทน”

          ร้อยเปียตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน แต่แล้วเธอก็เข้าใจเสียทีว่ามันหมายความว่าอย่างไร

          “เจ้าคงจะเป็นคนมีชื่อเสียงสินะ ถึงต้องใช้ชื่อคนอื่นส่งสารมา” นักสืบสาวประเมิน นัยน์ตาสีดำหรี่เล็กลงอย่างจับผิด “และเหตุผลที่เจ้าไม่อยากให้ข้ารู้ชื่อจริงเจ้าตั้งแต่แรก ก็เพราะเจ้าคงเป็นคนที่ข้าไม่อยากเจอ”

          ผู้ชายที่อ้างว่าตนชื่อ ‘ภูผา’ ดีดนิ้วดังเปราะ มุมปากขยับขึ้นสูงกว่าเดิมอย่างพึงพอใจ

          “ถูกเผง”

          แล้วใครกันล่ะ ใครกันที่เธอไม่อยากจะเจอหน้าทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คำถามนับร้อยเริ่มประเดประดังกันเข้ามา แต่เพราะเรือยังไม่ลอยผ่านบริเวณที่มีคนอยู่มาก เธอจึงยังไม่อาจถามอะไรได้ ด้วยเกรงว่าจะส่งผลต่อใครคนใดคนหนึ่ง

          “เอามานี่!” ได้ทีก็รีบฉกไม้พายจากมือใหญ่มาพายเสียเอง

          จากเรือที่โคลงเคลงเนื่องด้วยความไม่ชำนาญการของผู้บังคับ เปลี่ยนเป็นเรือที่แล่นอยู่บนผิวน้ำได้อย่างราบรื่น แขกหนุ่มมองตามทุกอิริยาบถอย่างให้ความสนใจ เขาไม่เคยเห็นสตรีที่ไหนคล่องแคล่วขนาดนี้มาก่อน หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพศตรงข้าม แต่ผู้หญิงคนนี้เลือกที่จะทำทุกอย่างเอง

          ท่าทางจะไม่ธรรมดา ไม่สิ เขารู้อยู่แล้วล่ะ ว่าเธอไม่ธรรมดา และนั่นคือเหตุผลที่มาหาเธอในวันนี้...

          “นักสืบเขาต้องพายเรือกันด้วยหรือ” ชายหนุ่มอดที่จะแซวไม่ได้

          “ผู้ชายสมัยนี้เขาไม่พายเรือกันแล้วหรือ” ร้อยเปียย้อนยอก ก่อนจะยิ้มเยาะให้กับสีหน้าเจื่อนจ้อยของคู่สนทนา

          ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยกัน เพราะต่างก็กำลังเคลิ้มกับบรรยากาศอันน่าหลงใหล จากตรงนี้เธอมองเห็นปราสาทหลังหนึ่งที่เรืองรองกว่าสถาปัตยกรรมใดในบางชลาลัย แสงจันทร์ที่สาดกระทบลงมายังเบื้องล่างช่วยขับให้ทองคำของยอดปราสาทสูงดูเด่นขึ้นในความมืดมิดยามราตรี ใช่แล้ว มันคือที่อยู่ของโมกข์และเหล่าอัฐิเดชทั้งหลาย

          “ขออนุญาตวางอาหารนะเจ้าคะ”

          เด็กสาวเสียงแจ้วหน้าตาน่ารักที่มาพร้อมกับเรืออีกลำหนึ่งเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เธอค่อยๆ หยิบอาหารจากถาดมาวางเรียงไว้บนที่นั่งตรงกลางที่เป็นดังโต๊ะเล็กๆ อย่างระมัดระวัง ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งเจ้าหล่อนเผลอสบตากับลูกค้าหนุ่มผู้หล่อเหลา มือที่แข็งแรงจู่ๆ ก็ดูจะอ่อนยวบลงในบัดดล

          “ว๊าย!”

          พนักงานร้องเสียงหลงเมื่อน้ำแกงกระฉอกออกจากหม้อดินเผาที่ตนถืออยู่ เสื้อสีขาวสะอาดตาบัดนี้มีคราบสีเหลืองเป็นดวงๆ ตากลมโตเบิ่งออกกว้างด้วยความตกใจ สาวเจ้ารีบวางมันลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระวีกระวาดหันไปหาผ้ามาเช็ด

          “มิเป็นไรหรอก ชุดข้ามิได้แพงอะไร” หนุ่มน้อยยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน เขายิ้มให้เธออย่างไม่ถือโทษโกรธสา

          “ขะ...ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ” สาวน้อยผู้ซุ่มซ่ามประนมมือขึ้น สีหน้าแสดงถึงความรู้สึกผิดเต็มประดา

          “ขอบใจสำหรับอาหารนะ แล้วจะทานให้อร่อย”

          พนักงานก้มหน้าลงและพายเรือจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งหนุ่มสาวคู่เดิมไว้เพียงลำพังอีกครั้ง ร้อยเปียแสร้งทำเป็นมองวิวข้างนอกไปเรื่อยเปื่อย ทว่าก่อนหน้านี้ทุกๆ ฉากถูกบันทึกไว้ในหัวเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับจำนวนคำถามที่มากขึ้น

          เขาไม่โกรธเลยหรือ? เขาเป็นอัฐิเดชจริงหรือ? ทำไมถึงได้ทำตัวติดดินเพียงนี้?

          บนโต๊ะประกอบไปด้วยอาหารสามอย่าง สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือช่อผกากรอง ขนมหวานที่มีสีสันมากมายตั้งแต่ ฟ้า ชมพู ม่วง ขาว ตัดกับสีเขียวของใบตองที่ใช้รอง ทำหน้าที่ดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี ตัวขนมที่ถูกทำเลียนแบบดอกผกากรองอันมีรูปร่างเป็นเอกลักษ์ โดยมีกลีบซ้อนกันหลายๆ ชั้น แสดงถึงความพิถีพิถันของผู้ทำ

          ควันขโมงลอยมาจากหม้อดินเผา ด้านในเป็นแกงสีเหลืองที่สาวน้อยทำหกเมื่อครู่นี้ กลิ่นรัญจวนใจของเครื่องแกง ไม่ว่าจะเป็นพริก หอม กระเทียม และพริกชี้ฟ้า โชยมาทักทายจมูกน้อยๆ แตงโมอ่อนหลายชิ้นที่อยู่ในแกงลอยเข้ามาใกล้ราวกับมันได้ยินคำร้องเรียกจากเธออย่างไรอย่างนั้น ร้อยเปียกลืนน้ำลายดังเอือกด้วยความหิว

          รายการอาหารสุดท้ายคือน้ำพริกมะขามเปียกที่บรรจุไว้ในถ้วยขนาดเล็กและนำมาวางลงตรงกลางของพานสีเงินขนาดใหญ่ พื้นที่โดยรอบถูกจัดด้วยผักนานาชนิด ทั้ง ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ แตงกวา ถั่วพู รวมถึงปลีกกล้วย ทั้งหมดได้รับการสลักเป็นลวดลายวิจิตรอย่างละเมียดละไม

          “คงจะตกใจที่เห็นเจ้ากระมังเลยซุ่มซ่ามไปหน่อย” ชายหนุ่มออกความเห็น

          “นี่เจ้าแกล้งโง่หรือโง่จริงๆ กันแน่” ร้อยเปียเหน็บ “นางตกใจที่เห็นเจ้าต่างหาก”

          หนุ่มเจ้าทำหน้าเหลอหลา “บนหน้าข้ามีอะไรหรือ”

          นักสืบสาวถอนหายใจดังเฮือก ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่รู้ถึงความหมายที่เธอกำลังจะสื่อจริงๆ หรือแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้เพราะไม่อยากดูเป็นคนหลงตัวเองกันแน่ คิ้วเข้มของหนุ่มรูปงามขมวดเข้าหากันอย่างสับสนงุนงง ทันใดนั้นเอง ความคิดที่แสนจะสนุกก็แวบเข้ามาในหัว

          “ไม่ได้ส่องกระจกก่อนออกจากบ้านหรือ” สาวน้อยชี้ไปที่มุมปากข้างซ้ายของตน “ที่ปากเจ้าน่ะ มีคราบนมติดอยู่”

          “วันนี้ข้ายังไม่ได้ดื่มนมสักนิด”

          “งั้นคงเป็นคราบจากเมื่อวานกระมัง” ร้อยเปียไหลไปตามน้ำตามประสาคนเจ้าเล่ห์ “นี่เจ้าไม่ได้ล้างหน้าด้วยหรือนี่ โสโครกสิ้นดี”

          พวงแก้มเกลี้ยงเกลาปรากฏเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย เจ้าตัวรีบใช้หลังมือปัดปากชมพูอย่างขมีขมัน

          “ออกหรือยัง”

          “ยัง”

          แน่นอน เธอพูดปด ชายหนุ่มใช้นิ้วถูแรงๆ อีกครั้ง ครั้งนี้แรงกว่าเดิมจนผิวขาวตรงมุมปากเริ่มกลายเป็นแดง หากเขาได้รู้ว่าโดนหลอกคงจะโมโหไม่น้อย แต่การได้เห็นท่าทางลนลานของอีกฝ่ายทำให้เธอมีความสุขอย่างประหลาด

          “ออกหรือยัง”

          “ยัง”

          ชายหนุ่มทำท่าจะยกมือขึ้นถูคางตัวเองเป็นครั้งที่สาม แต่ร้อยเปียเร็วกว่า เธอดึงคอเสื้อเขาให้เข้ามาใกล้ มือเรียวเสยคางอีกฝ่ายขึ้น ตาคู่สวยเบิ่งออกกว้างอย่างตกใจกับการจู่โจมอันว่องไว แต่ด้วยกับอาการตกใจสุดขีดนั้น เขาจึงไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน ทำได้เพียงปล่อยให้ตนอยู่ในพันธนาการต่อไป

          ราธีสะดุ้งเฮือกเมื่อนิ้วเย็นสะกิดโดนปากนุ่มของตน ใจเจ้ากรรมเริ่มเต้นแรงผิดจังหวะ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนสละสลวยมากนัก หากแต่เป็นเพราะไม่เคยมีใครปรนนิบัติต่อเขาแบบนี้มาก่อน ส่วนร้อยเปียที่แสร้งทำเป็นหวังดี บัดนี้ภายในใจกำลังหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ ก็ที่เห็นว่าช่วยน่ะ แท้จริงแล้วกำลังแกล้งอยู่ต่างหาก เพราะจากปากที่เคยสะอาด ตอนนี้มีร่องรอยของแกงสีเหลืองติดอยู่แทน

          “ออกหมดแล้ว” เธอกล่าว พยายามเต็มที่ที่จะไม่ระเบิดหัวเราะออกมา

          “อ้อ ขะ...ขอบใจเจ้ามาก” ชายที่ใช้นามในสารว่าภูผาพูดเสียงตะกุกตะกัก และเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย เขาจึงเปลี่ยนประเด็นการสนทนา “อาหารของที่นี่เป็นสำรับสำหรับสองคนพอดี ข้าเลือกสิ่งที่คิดว่าเจ้าน่าจะชอบ ลองทานดูแล้วกัน”

          มือใหญ่เอื้อมไปตักข้าวที่จัดอยู่ในกะลามะพร้าวมาใส่ไว้บนใบตองทรงเหลี่ยมด้านหน้าเธอ เขาทำแบบเดียวกันให้ตัวเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มตักกับข้าวต่างๆ มาใส่ไว้ให้ด้วย ร้อยเปียมองหนุ่มน้อยทำหน้าที่สุภาพบุรุษอย่างเพลิดเพลิน พร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว

          ชายรูปร่างดี หน้าตาดี นิสัยดี มีความเป็นสุภาพบุรุษ และที่สำคัญ มียศเป็นถึงอัฐิเดช สมบูรณ์แบบขนาดนี้ มาชายตามองหญิงที่แสนจะธรรมดาอย่างเธอได้อย่างไรกัน

          “เราเคยเจอกันหรือเปล่า” นักสืบถามอย่างไม่ลังเล ก่อนจะยัดข้าวเข้าปากหนึ่งคำ

          รสชาติเปรี้ยวของแกงเหงาหงอดที่ไม่จัดจนเกินไป พอทานคู่กับน้ำพริกมะขามที่ค่อนข้างเค็มและหวาน ทำให้ได้ทั้งสามรสในหนึ่งคำ ร้อยเปียส่งเสียงอืมอย่างถูกใจในการปรุงอาหาร ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะอาหารที่ไหนก็สร้างความประทับใจให้เธอได้ไม่ยาก เพราะด้วยความที่ต้องระหกระเหินไปทั่ว หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนง่ายๆ ดังนั้น จริตในการทานอาหารอย่างที่อิสตรีควรมี เธอก็ไม่มีมันเช่นกัน ไม่มีการป้องปากเวลาเคี้ยว แทนที่จะหลบสายตาด้วยความเคอะเขิน ดวงตาคู่แน่วแน่นั้นกลับจ้องชายรูปงามอย่างไม่หวั่นเกรง หรือแม้แต่การนั่งพับเพียบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทำกัน เธอก็เลือกที่จะยกขาขึ้นมาข้างหนึ่งและเหยียดอีกข้างออกอย่างสบายกาย

          ภูผาหลุดหัวเราะให้กับท่าทางห้าวหาญ ก่อนตอบ “ข้าเคยเจอเจ้า แต่เจ้าคงไม่เคยเจอข้า หรือบางทีเราอาจจะเคยเจอกัน แต่เจ้าจำไม่ได้”

          ไม่มีทาง! ถ้าเคยเจอคนหล่อขนาดนี้ มีหรือจะจำไม่ได้

          “เจ้าชอบอะไรในตัวข้า” ร้อยเปียยิงคำถามอย่างตรงไปตรงมา เล่นเอาคนถูกถามสำลักอาหารที่เคี้ยวอยู่จนต้องยกมือขึ้นปิดปากแทบไม่ทัน ภูผาเริ่มไอแคกๆ หน้าแดงแดงกว่าเก่าเนื่องจากการหายใจขัดข้อง เห็นดังนั้นร้อยเปียจึงส่งขันน้ำให้ เจ้าตัวรับไปดื่ม เขาพักหายใจสักพักแล้วจึงกล่าว

          “เจ้าก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีพอจะให้ใครสักคนสนใจนี่ ใบหน้า รูปลักษณ์ การวางตัว” ถึงจะฟังดูน่าเชื่อถือ แต่ร้อยเปียเห็นชัดถึงความไม่จริงใจจากน้ำเสียงขึ้นๆ ลงๆ

          “หมายความว่าหากวันหนึ่งข้าไม่เหลือสิ่งที่เจ้าพูดมา ข้าก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไปสินะ”

          ชายผู้เลอโฉมชะงักกึกกับประโยคที่ได้ยิน ด้วยเหตุผลบางประการ ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถพิเศษในการพูดจาถากถาง ที่สำคัญ ถากถางอย่างตรงจุดจนน่ากลัว ภูผาฝืนยิ้ม

          “หญิงสาวผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เช่นเจ้า คงไม่สูญเสียสิ่งที่มีอยู่ไปง่ายๆ หรอก ข้ามั่นใจ”

          ร้อยเปียวางกาบหอยลงกับใบตอง จู่ๆ ความอยากอาหารก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง “ใบหน้าข้าอาจเสียโฉม รูปลักษณ์ข้าก็ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา การวางตัวในตอนนี้ที่เจ้าเห็นอาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของข้าด้วยซ้ำไป” สาวผู้เปี่ยมไปด้วยพลังตอกกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำเหมือนต้องการให้มันซึมซับเข้าไปในสมองของผู้ฟัง ตายาวหรี่ลงอย่างจับผิด “ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นแล้วเจ้าจะว่าอย่างไร”

          หนุ่มน้อยเริ่มรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลลงมาตรงหน้าผาก นอกจากนี้แล้วยังรู้สึกแฉะบริเวณหลัง ความกังวลที่พยายามซ่อนมาตั้งแต่ต้น บัดนี้ดูเหมือนจะกลบไม่มิดเสียแล้ว ถึงกระนั้นภูผาก็ยังคงยิ้มเจื่อน

          “สำหรับข้า เจ้าจะยังคงพราวเสน่ห์เสมอ”

          “ชายน้อยเอ๋ย เจ้าช่างแสดงละครไม่เก่งเอาเสียเลย” น้ำเสียงของร้อยเปียช่างเบาบางแต่แฝงลึกไว้ด้วยความกระแทกกระทั้น “ชายที่ตกหลุมรักหญิงสาวไม่ให้เหตุผลโง่ๆ เช่นนั้นหรอก”

          ทั้งคู่เงียบงันกันไปพักใหญ่ ลมที่พัดผ่านมากระทบผิวหนังทำเอาชายหนุ่มหนาวยะเยือก ทั้งๆ ที่อุณหภูมิก็ไม่ได้ลดลงเลยสักนิด เห็นทีคงเป็นเพราะผิวหนังที่บอบบางลงหลังจากต้องเจอกับความกดดันเป็นแน่แท้

          “บอกความจริงมาได้แล้ว!” นักสืบตะคอกเสียงดัง “อยากพบข้าด้วยธุระอันใดกันแน่”

          นัยน์ตาสีดำคู่นั้น จากที่ดูว่างเปล่า บัดนี้มันส่อแววเพชฌฆาตราวกับเพิ่งจับได้ว่าสามีตนมีชู้ ภูผาตัวแข็งทื่อ เขารู้อยู่แล้วว่าเธอคนนี้น่ากลัว แต่พอมาเจอเอง ถึงได้รู้ว่าน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ เขาสูดหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสติ ก่อนทำใจดีสู้เสือต่อรองกับผู้หญิงน่ากลัวตรงหน้า

          “อยากจะลองเดาดูหน่อยไหมว่าข้าชื่ออะไร”

          “ชื่อเจ้าสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ” ร้อยเปียย้อนถามอย่างนึกสงสัย

          “ตัวตนของข้าต่างหากล่ะที่สำคัญ” ชายผู้ไม่ใช่ภูผาอีกต่อไปว่า “ข้าจะบอกให้ก็ได้ ว่าข้าเป็นพัสดี ในคุกแห่งบางชลาลัย”

          สมองอันปราดเปรื่องเริ่มทำงานอีกครั้ง การที่เขาบอกว่าเป็นใครมาจากที่ไหน แปลว่าเขาคาดหวังให้เธอรู้จักเขาโดยไม่ต้องเอ่ยนาม และพัสดีผู้เป็นที่รู้จักในคุกแห่งบางชลาลัยนั้น มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น

          เธอรู้แล้ว ว่าชายที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเป็นใคร แต่ที่ไม่รู้ คือเขาอยากพบเธอด้วยเรื่องอะไร

          ถึงอย่างนั้น บรรยากาศมาคุก็ดูจะหย่อนยานลงบ้าง อย่างน้อยสาวน้อยก็ไม่ส่งสายตาเพชฌฆาตให้คู่สนทนาแล้ว ร้อยเปียเกลี่ยอาหารในจานเหมือนกำลังใช้ความคิด และแล้วมุมปากก็เผยอขึ้น

          “เยี่ยงนั้น...เจ้าก็ต้องรู้จักน่ะสิ” ร้อยเปียทำท่าป้องปากเหมือนกำลังจะถามไถ่ในสิ่งที่เป็นความลับสุดยอด “พัสดีที่ชื่อว่าราธีน่ะ”

          “เจ้านั่นมีชื่อเสียงขนาดนี้เชียวหรือ” ชายหนุ่มตีหน้าซื่อกลับ ถึงแม้จะรู้แล้วก็ตามว่าถูกจับได้แล้ว “ข้าล่ะนึกอิจฉา”

          “ก็ได้ยินเรื่องเขามาเยอะอยู่ อยากฟังไหมล่ะ” หญิงสาวได้ทีรีบแหย่เย้าอารมณ์คนฟัง และดูเหมือนจะได้ผล

          “ไหนลองว่ามาสิ”

          “อ่อนแอ อ่อนปวกเปียก อ่อนหัด อ่อนข้อให้กับทุกผู้คุมขัง เห็นว่าปัญญาออกจะอ่อนนิดๆ ด้วย” ร้อยเปียกัด มองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาลองดี “ข้อดีเดียวที่มี คือหน้าตาอันหล่อเหลา”

          ‘ราธี’ กะพริบตาปริบๆ ไม่แน่ใจว่าเจ้าหล่อนได้ยินมาแบบนั้นจริงๆ หรือแค่ต้องการจะปั่นหัวเขากันแน่ แต่พนันได้เลยว่าเธอแกล้งทำเป็นไม่รู้ถึงตัวตนของเขา เพื่อเก็บโอกาสนี้ไว้หลอกเหน็บแนม

          “แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เจ้านี่เนอะ จะไปสนใจเรื่องของคนอื่นทำไม” ว่าแล้วก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก “ไหนๆ ก็เข้าเรื่องมาขนาดนี้แล้ว จะบอกได้หรือยัง ว่าพัสดีแห่งบางชลาลัยอยากพบนักสืบแห่งบางรจนาด้วยเรื่องใด”

          พัสดีหนุ่มหยิบบางอย่างออกมาจากย่ามผ้าที่วางอยู่ข้างตัว มันเป็นใบลานที่ถูกเย็บติดกันเป็นเล่มใหญ่ ด้านหน้าห่อด้วยหนังมันสีดำซึ่งคาดว่าคงเป็นหนังกระบือ ราธีเลื่อนอาหารไปไว้ด้านหนึ่งของโต๊ะและวางสมุดไว้ด้านหน้าเธอแทน

          “เปิดดูซะ”

          ร้อยเปียเพ่งมองสมุดเล่มโตอย่างพิจารณา รู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มือเล็กค่อยๆ เอื้อมไปเปิด หน้าแรกถูกจารไว้เป็นตัวหนังสือจางๆ เขียนว่า ‘สมุดบันทึกตารางนัด’ และก่อนที่จะทันสงสัยว่ามันเป็นของใคร ตาทั้งสองก็เคลื่อนไปเห็นรอยจารอีกรอยที่อยู่ด้านล่าง อ่านได้ว่า ‘อโรคา’ นี่คือสมุดบันทึกตารางนัดของอโรคาอย่างไม่ต้องสงสัย

          “นี่เจ้า...”

          นักสืบสาวพูดไม่ออก นี่คือสิ่งที่เธอตามหามาหลายวันเพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการเปิดโปงคดีต่อหน้าประชาชน สมุดที่เธอให้การว่ามันถูกเผาไปแล้ว แต่บัดนี้มันวางอยู่ตรงหน้า สภาพไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นแม้สักนิด

          “เป็นเจ้าเองหรือที่เอาหลักฐานสำคัญชิ้นนี้ไป”

          “สำคัญมากเสียด้วยสิ” ราธีกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ แต่แววตาที่มองมาทำให้รู้สึกขนลุกอย่างน่าประหลาด ให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังกุมความลับชิ้นใหญ่ของเธออยู่ “เพราะมันเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเจ้าโกหกเรื่องการตายของอโรคา สมกับฉายาเจ้าดีนะ นักแต่งความจริง”

          หญิงสาวประจักษ์ในทันทีว่าลางสังหรณ์ของตนเป็นจริง ผู้ชายคนนี้ต้องรู้อะไรบางอย่าง บางอย่างที่ไม่ควรรู้...

          “พูดให้มันดีๆ หน่อย” ร้อยเปียยังคงรักษาความสุขุมไว้ได้ “การที่ข้าไม่ได้หลักฐานนี้มา ทำให้การสันนิษฐานคลาดเคลื่อนก็เท่านั้น”

          “สันนิษฐานคลาดเคลื่อนไปเยอะทีเดียว” ชายผู้กุมความลับกลั้วหัวเราะ ไม่ใช่เพราะรู้สึกขบขัน แต่เพราะเขาเยาะเย้ยเธออยู่ต่างหาก “จากการฆาตกรรม กลายเป็นการฆ่าตัวตาย”

          เขารู้แค่นั้น เขารู้แค่นั้น...

          ร้อยเปียได้แต่ภาวนาอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา

          “ต้องการให้ข้าแก้ให้ถูกต้องสินะ” หญิงกล้าจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง พยายามเก็บอาการไม่ให้เขารู้ถึงความประมาท

          “แน่นอน ข้ามาที่นี่เพื่อบอกว่าเจ้าควรจะแก้ไขให้มันถูกต้องเสีย” ราธียืดอกขึ้นอย่างเป็นต่อ

          “ก็ถูกของเจ้า ยังไงเสียข้าก็ทำงานเพื่อพดุงความยุติธรรมให้กับพุฒภารา” นักสืบพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “ข้าจะทำการสืบสวนใหม่ พอใจไหม”

          “ต้องสืบสวนด้วยหรือ”

          แมวเหมียวตัวเดิมหายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยเสือโคร่งที่พร้อมจะตะปบเหยื่อทุกเมื่อ แต่เขี้ยวของเสื้อตัวนี้ดูจะไม่แหลมพอ กรงเล็บของมันก็เหมือนจะไม่ได้รับการใช้งานมาอย่างยาวนาน เพราะมันทั้งทู่ทั้งสั้นในคราเดียว แววตาคู่นั้นฉายแววมุ่งมั่น หากแต่ยังไม่มีประกายของความหิวโหยเฉกเช่นสัตว์ป่า ลึกลงไปข้างใน เธอยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน ดูยังไงก็เป็นได้แค่แมวตัวน้อยที่สะเออะอยากจะเป็นเสือเท่านั้น

          ร้อยเปียไม่ได้กลัวแมวในคราบเสือ เธอแค่กลัวถึงสิ่งที่มันจะพูดออกมา

          “ในเมื่อเจ้าเองนั่นล่ะ ที่เป็นคนลงมือฆ่าท่านอโรคา!”

          ทันใดนั้น ความร้ายกาจของสัตว์ตัวเดิมที่ไม่เคยมีอยู่ ก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แมวน้อยที่สวมบทบาทเป็นเสือเริ่มดูเหมือนเสือขึ้นมาจริงๆ จังๆ ก็คราวนี้ ด้วยกับวาจาที่เพิ่งจะเอื้อนเอ่ย ทำเอาเหยื่อผู้มั่นใจว่าจะไม่โดนเขมือบต้องเปลี่ยนใจแทบไม่ทัน ร้อยเปียปิดปากเงียบ ถึงแม้ว่าภายในจิตใจจะกำลังร้อนรน

          ปัง!

          มือเล็กตบลงบนโต๊ะดังปัง ใบหน้าแดงจัดด้วยฤทธิ์โกรธ แต่ทั้งหมดนั้น เป็นเพียงแค่การแสดง การแสดงที่ต้องเล่นเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันนี้

          “จะไม่มากไปหน่อยหรือ” ร้อยเปียกัดฟันถาม “กล่าวหากันลอยๆ แบบนี้ ในฐานะนักสืบ ข้ารับไม่ได้!”

          “ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน แต่ข้าหาได้แน่ถ้าต้องการ” พัสดีจากบางชลาลัยขู่เสียงเข้ม “ทำงานในคุก เส้นสายย่อมมากมี”

          “หึ นักสืบที่มีแต่วาจา ไร้ซึ่งหลักฐาน ก็ไม่ต่างจากฆาตกรที่บอกว่าตนบริสุทธิ์ ทั้งที่มีหลักฐานมัดตัว”

          นักสืบยิ้มหยัน หมายทำให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจ ในขณะที่ตนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีทางหาหลักฐานชิ้นใดมาจับผิดเธอได้ เพราะเธอได้ทำลายมันไปหมดแล้ว!

          “เปิดไปหน้าสุดท้าย แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง” ราธีสั่งเสียงเย็นพร้อมกับชี้ไปที่สมุดเล่มเก่าที่วางอยู่ตรงหน้า

          ร้อยเปียส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย อย่างไรก็ดี เธอยอมทำตามอย่างว่าง่าย ในนั้นมีตารางหลายช่องที่บอกว่าใครมาพบเจ้าของสมุดในเวลาใด และออกไปในเวลาใด เธอไล่สายตาลงมาจนถึงชื่อสุดท้ายที่ระบุเอาไว้ว่าเข้าพบช่วงค่ำของวันเกิดเหตุ และชื่อนั้น ไม่ใช่อะไรอื่น เว้นแต่ ‘ราธี’

          “ตายจริง!” ร้อยเปียปิดปาก แสร้งทำเป็นว่าตกใจ “เพื่อนเจ้าคนนั้น ที่มีดีแค่หน้าตานี่”

          ราธีถอนหายใจอย่างหมดความอดทน “เลิกแกล้งทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า”

          “หมายความว่าเจ้ายอมรับ เรื่องที่เป็นคนอ่อนหัดสินะ” หญิงสาวไม่วายวกเข้ากัดอีกสักรอบ

          “การเป็นคนไร้กำลังมันยังน่าอายน้อยกว่าการเป็นคนชั่วมากนัก” พัสดีหนุ่มโต้กลับอย่างเจ็บแสบ

          แต่ร้อยเปียหารู้สำนึกไม่ “คนดีอย่างเจ้านั่นล่ะ ที่จะไร้จุดยืนบนโลกอันโหดร้ายใบนี้” เธอเบ้ปากมองชายรูปงามอย่างนึกสมเพช “นอกจากจะอ่อนหัดแล้วยังอ่อนต่อโลกอีกนะ”

          “สนใจแต่เรื่องของตัวเองเถอะ” พัสดีหนุ่มติติง “ทุกสิ่งที่เจ้าลงมือทำในค่ำคืนนั้น ข้าเห็นมันทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่พยายามสร้างหลักฐาน”

          สิ่งที่ได้ยินไม่ได้ส่งผลให้นักสืบมีอาการตระหนก รอยยิ้มเหยียดๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ทุกอย่างไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ในเมื่อหลักฐานเดียวที่มีคือสมุดบันทึกตารางนัด และเจ้าตัวเน้นนักเน้นหนาว่าให้ดูรายชื่อตนซึ่งเป็นรายชื่อสุดท้าย ก็มีคำตอบเดียว...

          เขาเห็นทุกอย่างตอนที่ตั้งใจจะมาพบอโรคา!

          “เห็น แต่ไม่คิดจะห้าม” ร้อยเปียเลิกคิ้วขึ้น “ยอมรับมาซะ ว่าเจ้าเองก็อยากให้เขาตายเหมือนกัน”

          “ข้ามาเห็นตอนที่เจ้าแทงเขาด้วยเคียวแล้วต่างหาก!” ราธีแย้งเสียงดังเมื่อพยายามยืนยันความบริสุทธิ์ของตน “ที่ข้ารอมาถึงวันนี้ก็เพราะอยากรู้ว่าเจ้าจะสารภาพความจริงหรือเปล่า แต่จากที่ได้เห็น เหมือนว่าเจ้าจะไร้ซึ่งจิตสำนึก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ข้าฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าบางทีนี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าทำเช่นนี้”

          เขาพูดถูก ถูกเสียจนเจ้าของความลับอย่างเธออยากจะฝังเขาลงดินเสียเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

          ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ในเวลาโพล้เพล้ของวันเกิดเหตุ ร้อยเปียบุกเข้าไปในห้องปฏิบัติงาน เธอพูดคุยกับเขานิดหน่อย เป็นการพูดคุยที่ราบเรียบไม่มีซึ่งการทะเลาะเบาะแว้ง ทั้งนี้ก็เพราะสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก เธอไม่ต้องการให้ทหารด้านนอกได้ยินเธอพูดคุยกับเจ้าของห้อง และสาเหตุที่สอง เพื่อไม่ให้เหยื่อไหวตัวทัน ฆาตกรที่เตรียมแผนมาอย่างดีแสร้งทำเป็นว่ามีบางอย่างอยู่บนเพดาน และอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ แทงด้วยเคียวเล่มหนึ่ง เป็นการแทงที่ทั้งแรง ว่องไว และช่ำชอง เพราะมันสามารถกระชากดวงวิญญาณให้ออกจากร่างในครั้งเดียว

          หลังการฆาตกรรม ฆาตกรในคราบนักสืบก็สร้างหลักฐานขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เธอนำเส้นเอ็นไปผูกกับกลอนหน้าต่าง โยงมันมายึดไว้กับขื่อ และผูกไว้กับด้ามเคียวอีกทีหนึ่ง ตัดเอ็นบริเวณที่ด้ามเคียวออกให้ดูเหมือนกับว่ามันถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนขาดออกจากกัน วางเคียวไว้ด้านข้างผู้ตายให้เห็นกันไปจะๆ ว่าเป็นอาวุธสังหาร ที่สำคัญ เธอไม่ลืมที่จะวางเทียนไขไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม และจุดไฟเผาเส้นเอ็นเพื่อสร้างสถานการณ์ว่าเป็นฝีมือของอโรคาเองที่ฆ่าตัวตาย

          สุดท้าย ก็แค่รอเวลา และออกมาเปิดโปงการตายในแบบที่แต่งขึ้นมาเอง

          สมฉายา ‘นักแต่งความจริง’ อย่างที่เจ้านี่มันบอกจริงๆ นั่นล่ะ

          ข้อผิดพลาดเดียวที่แก้ไขไม่ได้ คือการลืมสมุดนั่นไว้ในห้อง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ต่อให้จะมีใครเห็น ก็คงเป็นเพียงลมปากจากคนไร้หลักฐาน ประชาชนร้อยทั้งร้อย ต้องเชื่อคำพูดของนักสืบมากกว่าอยู่แล้ว

          “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่” ร้อยเปียจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “แต่ที่ว่าอโรคาเป็นทรราช เป็นเรื่องจริง”

          ใช่ เธออาจจะปลอมทุกอย่างขึ้น แต่จดหมายที่ถูกส่งมาจากชาวเศวตเป็นของจริง ราธีหรี่ตาลงอย่างชั่งใจ

          “เหตุผลที่เจ้าฆ่าคนอื่น ข้าไม่รู้” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววหม่นเศร้าปนผิดหวัง “แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ฆาตกรรมก็คือการกระทำผิดอยู่ดี”

          “แล้วที่มาบอกข้าแบบนี้ ไม่คิดว่าจะเป็นภัยต่อตัวเองหรือ” ร้อยเปียตวัดตามองคู่สนทนาอย่างข่มขู่ “จะปิดปากเจ้าเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ คนไร้จิตสำนึกอย่างข้าน่ะ”

          “เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องมีคนคอยคุ้มกันอยู่รอบๆ”

          ราธีกางมือออกเหมือนบุ้ยใบ้ให้เห็นบางอย่าง ร้อยเปียเพ่งมองผ่านร่างผอมออกไปไกล เรือหลายลำที่ลอยอยู่เหนือน้ำเอาแต่จับจ้องมาที่พวกเธอหลายต่อหลายครั้ง ส่วนใหญ่เป็นชายหุ่นบึกที่มีหน้าตาโหดเหี้ยม สีหน้าของพวกเขาไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ แต่มันเป็นสีหน้าของเหล่านักรบที่พร้อมจะฟาดดาบทุกวินาที และหากสันนิษฐานไม่ผิด พวกเขาต้องมีอาวุธติดตัวมาอย่างน้อยคนละสองสามอย่าง

          “และหากเกิดอะไรขึ้นกับข้า คนทั่วทั้งพุฒภาราจะตาสว่างทันที ว่าแท้จริง...” พัสดีหนุ่มชี้มาที่เธออย่างหมายโทษ “นักแต่งความจริงไม่ใช่นักสืบผู้แสนดี แต่คือฆาตกรดีๆ นี่เอง”

          ร่างบางเอนหลังพิงกับเรือ ดูเหมือนเธอจะสบประมาทเจ้าแมวตัวนี้มากไป จริงอยู่ที่มันไม่มีทางเป็นเสือ แต่ก็ใช่ว่าแมวทุกตัวจะเชื่อง อันที่จริง แมวน่ะ มันขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์ และแมวตัวนี้ ก็คงไม่ใช่แค่พวกหางแถวอย่างที่คิดเสียแล้ว ร้อยเปียปิดปากเงียบ พยายามคิดว่าควรตอบโต้อย่างไรไม่ให้เขาเหลิงคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า แต่ถึงกระนั้น เธอต้องยอมรับว่าครั้งนี้เธอแพ้ทางเขาจริงๆ

          “ไม่ต้องห่วง พวกเขายังไม่รู้ว่าเจ้าคือฆาตกร แต่ได้รู้แน่ หากเจ้ายังดื้อดึง” ราธียกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “สามวัน เจ้ามีเวลาสามวันเพื่อยอมจำนน หากภายในสามวันนี้เจ้ายังไม่กระเตื้อง ข้าจะจัดการทุกอย่างแทนเอง”

          “ชุดนี่” สาวน้อยก้มหน้าลงมองชุดสวยที่สวมอยู่ “เจ้าจงใจส่งมาเพื่อให้ข้าตายใจใช่หรือเปล่า”

          “ใช่ และดูเหมือนจะได้ผลดี” ชายหนุ่มตอบพลางหลบสายตา เหมือนว่าเขาจะรู้สึกผิดอยู่ไม่มากก็น้อย

          “ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามา ข้ารู้สึกตื่นเต้น อาจเพราะเจ้าเป็นชายรูปงามที่ทำเอาข้าเกือบลืมหายใจไปชั่วขณะ” ตลอดการสนทนา นี่เป็นประโยคแรกที่เธอเลือกที่จะโยนความทะนงตนทิ้งไป ร้อยเปียชมจากใจจริง “ใบหน้าของเจ้าช่างงดงาม ท่าทางเจ้าราวกับอัฐิเดชชั้นสูง ดวงตาคู่นั้นของเจ้าดูอ่อนโยนและน่าค้นหาในคราเดียว” เธอยิ้มเฝื่อนๆ “ถึงจะแค่ไม่กี่นาที แต่ก็ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ” แต่แล้วปากบางก็ฉีกออกกว้างกว่าเดิม กลายเป็นยิ้มอันชั่วร้ายดังปิศาจ “ที่เจ้าแกล้งเสแสร้ง!”

          “การเสแสร้งของข้ายังนับว่าอ่อนประสบการณ์ยิ่งนัก เมื่อเทียบกับเจ้า” ราธีสวนขณะกำลังเช็ดปากด้วยท่าทางเรียบร้อย

          “ยังไงเสีย เจ้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ชุดนี้กับข้าอยู่แล้ว” นักสืบสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัว “ขออนุญาต”

          มือเล็กเอื้อมไปด้านหลัง หนุ่มน้อยขมวดคิ้วอย่างงุนงง จนกระทั่งเขาเห็นเชือกเส้นหนึ่งที่ถูกกระตุกออกจากกัน

          “นะ...นี่...เจ้าจะทำอะไร...” เขาถามเสียงกระตุก ตาคู่สวยจ้องมองสาวไร้ยางอายด้วยความหวั่นเกรง

          “ถอดชุดคืนเจ้าไง” เธอว่าหน้าตาเฉย ขณะที่มือทั้งสองยังคงสาละวนอยู่กับการปลดกระดุมเม็ดบนที่อยู่ด้านหลังอย่างยากลำบาก

          “ไม่ต้อง! ขะ...ข้าไม่ต้องการมันคืน” ราธีรีบห้ามปรามพร้อมกับยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้หยุด

          “แต่พอคิดว่าข้าถูกล่อลวงด้วยชุดนี่ ข้าก็อยากจะถอดมันออกเต็มแก่!”

          เมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก ชุดหรูก็ค่อยๆ ลู่ลงมาตามตัวจนเห็นไหล่กว้างและเนินอก ส่งผลให้พัสดีหนุ่มหันหน้าหนีแทบไม่ทัน รวมถึงบรรดาบริวารที่ติดสอยห้อยตามมา พวกเขาพากันยกมือปิดตาอย่างมิได้นัดหมาย ร้อยเปียเริ่มไม่แน่ใจว่าเพราะพวกเขาไม่อยากเห็นสิ่งอุจาดตา หรือเพราะของเธอมันไม่น่าดูกันแน่

          “หยุดนะ! บุรุษยืนอยู่ตรงหน้าทั้งคน กล้าดีอย่างไรถึงได้ทำกิริยาไร้ยางอาย!” หนุ่มรูปงามปรามเสียงสั่น “หรือว่า...เจ้าตั้งใจจะยั่วข้ากันแน่ บอกไว้ก่อนนะ ข้าไม่ใช่ชายประเภทที่เห็นอารมณ์ใฝ่ต่ำอยู่เหนือความถูกต้อง”

          “แหม ช่างเป็นคนดี” ร้อยเปียประชด เธอถลกผ้าซิ่นที่สวมอยู่ลงและถอดมันออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นโจงกระเบนตัวสั้นที่นุ่งอยู่ด้านใน ส่วนด้านบนเป็นตะเบงมานสีซีดที่ใส่อยู่ประจำ เธอหัวเราะในลำคอให้กับความอ่อนต่อโลกของศัตรู

          “คงต้องบอกลาตรงนี้” นักฆ่าในคราบนักสืบบอกลา “ลาก่อน พ่อสุภาพบุรุษฉุดไม่อยู่”

          ณ วินาทีนั้น ที่เรือแกว่งเล็กน้อยก่อนจะกลับมาแน่นิ่งดังเดิม ราธีค่อยๆ หันมามองทีละนิดอย่างลุ้นระทึก สิ่งที่เห็นทำเอาใจหายวาบ เพราะบุคคลที่ควรจะนั่งอยู่ที่ปลายเรืออีกด้านหนึ่ง บัดนี้ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวา ไม่ว่าจะด้านไหนก็มีแต่น้ำด้วยกันทั้งสิ้น

          แล้วเธอหายไปไหน หายไปได้ยังไง?!

          เพราะแบบนี้สินะ ถึงได้ฆ่าคนได้โดยไม่มีใครสงสัย...

          ร้อยเปีย เจ้าเป็นใครกันแน่?!

 

-----------------------------------------------------------------------------------

 

อย่าเล่นกับไฟสิจ๊ะ ไม่งั้นมันจะลามไปถึงตัวได้นะ หุหุ

เว็บขีดเขียน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา