พิเศษ…ใส่รัก
-
เขียนโดย Annakan
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 11.44 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
4,552 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 กันยายน พ.ศ. 2560 11.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอน 1-2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1 ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์
“เมื่อวานเราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรอหยา” เตชิตคุณครูวัยสามสิบห้าปีกำลังขึ้นเสียงกับภรรยาด้วยความโมโหปนเบื่อหน่ายเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอผิดคำพูด
“แล้วมันตายม่ะ มันก็ยังปกติดีทุกอย่างอยู่คนเดียวสองสามชั่วโมงจะอะไรหนักหนา” มาหยา ภรรยาที่อ่อนวัยกว่าเกือบสิบปีเถียงคอเป็นเอ็น
“ลูกเพิ่งจะสิบขวบยังไงเขาก็ยังเด็กนะหยาเราไม่ควรทิ้งไว้คนเดียวแบบนี้”
“ลูกคนงานมันหุงข้าวกินเองตั้งแต่เดินได้ด้วยซ้ำ จะโอ๋กันมากไปไหมเดี๋ยวก็พิการง่อยเปลี้ยกันพอดี”
“แต่ลูกเรามีพ่อมีแม่ไม่ใช่ลูกคนงานเอาไปเปรียบกันได้ยังไง”
“โอ๊ย น่ารำคาญเชิญอยู่กันเองแล้วกัน” มาหยาคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินกระทืบเท้าออกไป ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ ความหดหู่เหนื่อยล้าเริ่มเกาะกินหัวใจของเตชิตอีกครั้ง
ชีวิตคู่ของเตชิตกับมาหยาเริ่มต้นด้วยความไม่ตั้งใจเพราะแม่สาวน้อยดันท้องป่องแบบกะทันหัน ตอนนั้นมาหยาทำงานเป็นเด็กเชียร์เครื่องดื่มมึนเมาที่ห้องอาหารแห่งนึงและเตชิตก็เหมือนผู้ชายทั่วไปที่แพ้ให้กับความอ่อนเยาว์และผิวพรรณผุดผ่อง มาหยาเพิ่งจะอายุเต็มสิบแปดส่วนสัดทุกอณูเต่งตึงน่าฟัดจนยากจะห้ามใจความสัมพันธ์เพียงไม่กี่ครั้งก่อกำเนิดเป็นลูกชายในอีกเก้าเดือนต่อมา
เตชิตอยากมีครอบครัวมาตลอดถึงจะไม่ได้รักใคร่มาหยาเท่าไหร่นักเพราะทั้งคู่แทบจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของกันและกันแต่เขาก็ทำหน้าที่สามีและพ่อได้ดีเยี่ยม เธอกับเขาไม่ได้แต่งงานตามประเพณีเพราะพ่อแม่ฝ่ายเตชิตไม่รับสะใภ้ไร้สกุลแบบมาหยาหัวเด็ดตีนขาดยังไงท่านทั้งสองก็ไม่เอาทุกครั้งเวลาเตชิตไปเยี่ยมพ่อแม่ก็จะพาไปแค่ลูกชายเท่านั้น เขาเองก็พยายามเกลี้ยกล่อมบิดามารดาแต่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงซ้ำร้ายทุกครั้งที่พูดถึงมาหยาตัวเขาก็พลอยซวยโดนด่าไปด้วยว่าไปคว้าผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาเป็นเมีย
สิบปีเต็มที่เตชิตทนเก็บกลั้นความขมขื่นเอาไว้เพื่อคงสภาพครอบครัวที่สมบูรณ์เขาพยายามมองข้ามข้อเสียทุกอย่างของมาหยาไปเพราะคิดเพียงว่ายังไงเธอก็คือแม่ของลูกชายชุดที่รัก ตำแหน่งแม่พิมพ์ของชาติที่ค้ำคอไว้ยิ่งทำให้การแยกทางกับภรรยาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากขึ้นไปอีกเขาจึงเลือกจะทนไปเรื่อยๆ และหวังว่าสักวันมาหยาคงเดินจากไปเอง
“พ่อครับ” เด็กชายต้นกล้าเรียกบิดาที่มองตามมารดาไปจนลับสายตา
“ต้นกินอะไรรึยัง” เตชิตเพิ่งได้สติเขาไม่รู้ว่ายืนนิ่งอยู่แบบนี้นานเท่าไหร่แล้ว
“กินขนมปังทาแยมกับข้าวผัดเมื่อเช้าครับ พ่อหิวไหม”
“พ่อกินข้าวต้มที่งานมาแล้วครับ ต้นมีการบ้านรึเปล่า” หลังเลิกเรียนเตชิตต้องไปงานศพของอาจารย์ที่ล่วงลับซึ่งเมื่อวานมาหยารับปากแล้วว่าจะรีบกลับบ้านเพื่อมาอยู่กับลูกชาย ปกติต้นกล้าจะอยู่กับเตชิตตลอดแต่เตชิตเห็นว่างานศพไม่ใช่งานที่เด็กๆ ควรไปเขาจึงฝากลูกชายติดรถมากับเพื่อนคุณครูคนนึง เขากลับมาถึงบ้านสามทุ่มกว่าๆ ถึงพร้อมๆ กับมาหยาแล้วก็มีปากเสียงกัน
“ผมทำเสร็จแล้วครับ” ต้นกล้าบอกด้วยน้ำเสียงหงอยๆ มันเป็นภาพชินตาสำหรับเด็กน้อยไปแล้วที่เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน หลายๆ ครั้งเด็กชายแอบคิดว่ามารดาไม่อยากให้เขาเกิดมา
“ขอพ่อดูหน่อยได้ไหมครับ” เตชิตโอบไหล่ลูกชายแล้วบีบเบาๆ เขารู้ว่าลูกเสียขวัญกับฉากเมื่อสักครู่ เขาเองก็พยายามไม่ระเบิดโทสะใส่กันต่อหน้าลูกแต่ครั้งนี้มันเหลืออดจริงๆ เพราะเพิ่งสัญญาเมื่อวานรับปากกันแล้วเธอก็ยังลืมเขาเชื่อว่ามาหยาไม่ได้ลืมแต่เธอไม่ใส่ใจมันมากกว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิตของเธอมีแค่สองอย่างคือเที่ยวและดื่มเหล้าดีว่ายังพอมีจิตสำนึกออกไปทำมาหากินกับเขาบ้าง
“นี่ครับ” ต้นกล้ายื่นสมุดให้คุณพ่อ เตชิตกวาดตามองผ่านๆ ก็ไม่พบข้อผิดพลาดอะไร ลูกต้นเรียนเก่งและเป็นเด็กดีไม่เคยมีเรื่องร้อนใจมาให้สักครั้งถือว่าเป็นอภิชาตบุตรก็ไม่ผิดนัก
“ไปอาบน้ำดีกว่าเนอะดึกแล้ว” เตชิตดูเวลาที่ข้อมือมันบอกว่าอีกสิบห้านาทีจะสี่ทุ่มตรง
“ครับ” ต้นกล้ารับคำแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน ส่วนเตชิตก็ตกสู่ห้วงแห่งความคิดปนทุกข์ระทมอีกครั้ง
ชายหนุ่มไม่รู้จะจัดการยังไงกับปัญหาชีวิตเพราะเขาเคยพูดถึงเรื่องการแยกกันอยู่และสิ่งที่ตามมาก็คือรอยฝ่ามือบนแก้ม มาหยาตบเปรี้ยงเต็มแรงแบบไม่ยั้งมือเธอทั้งด่าทั้งสาปแช่งกล่าวหาว่าเขาเอาชีวิตวัยรุ่นของเธอไปซึ่งเขายอมรับว่าผิดแต่ก็แค่ครึ่งเดียวต้นกล้าจะเกิดมาบนโลกนี้ไม่ได้เลยถ้าเธอไม่ยินยอม ช่วงแรกๆ ที่หลับนอนกันเขาแทบไม่มีสติด้วยซ้ำเพราะต้องสั่งเครื่องดื่มเยอะๆ เพื่อให้เธอได้เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย พอได้เวลาเลิกงานเขาก็จะพาเธอไปส่งห้องพักแล้วก็จบลงที่เตียงเกือบทุกครั้งไป
แรกรักน้ำต้มผักก็ยังหวานมาหยาตอนนั้นช่างน่ารักน่าใคร่เหลือเกินคำพูดคำจาไพเราะเสนาะหูแต่พอเธอคลอดลูกแล้วไม่ได้รับการต้อนรับจากบ้านสามีเธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ช่วงตั้งท้องเขาพยายามปลอบใจว่าให้อดทนก่อนที่พ่อแม่ของเขาไม่ยอมรับเขาให้คำมั่นว่าถ้าปู่กับย่าเห็นหลานจะต้องใจอ่อนแน่ๆ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ท่านทั้งสองคนใจอ่อนรักหลานทันทีแต่กับคนให้กำเนิดนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่นั้นมาหยาก็ฟาดงวงฟาดงาใส่ไม่เว้นแต่ละวันลูกเต้าคลอดออกมาก็ไม่สนใจลูกต้นได้กินนมแม่แค่สามเดือนเท่านั้นแล้วเธอก็โยนเด็กแดงๆ คนนึงมาให้เขารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
เตชิตทดท้อกับชีวิตครอบครัวเหลือเกินแต่ก็มีปัญญาทำได้เพียงเท่านี้เพราะออกปากไล่เธอก็ไม่ไปและที่สำคัญลูกต้นเองก็รักแม่ของเขาถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่สนใจอะไรนักก็อย่างที่ใครเขาบอกสายเลือดย่อมข้นกว่าน้ำสายสัมพันธ์ของครอบครัวตัดยังไงก็ไม่ขาด
“พ่อครับไม่อาบน้ำหรอครับ” ต้นกล้าอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้ว
“อาบครับพ่อปิดบ้านก่อนนะ ต้นไปรอในห้องเลย” เตชิตสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวแล้วเดินไปลงกุญแจประตูทุกบาน เขาอาบน้ำและให้ความหวังตัวเองอีกครั้งว่าสักวันภรรยาคงกลับตัวกลับใจแล้วกลับมาสร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน
ตอนที่ 2 สองแม่ลูก
ซอยเล็กๆ ที่ชานเมืองมีบ้านพักหลายแบบตั้งอยู่ ช่วงต้นๆ เป็นห้องแถวซอยเป็นห้องถี่ๆ แบ่งให้เช่าในราคาไม่กี่พันเลยมากลางๆ เป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นมาอีกนิดส่วนท้ายซอยเป็นบ้านเดี่ยวพร้อมสนามหญ้าขนาดกะทัดรัดเหมาะกับครอบครัวสมัยใหม่ที่มีกันแค่พ่อแม่ลูก
ขวัญชีวันคือประชาชนต้นซอยเพราะเงินเอื้ออำนวยให้เพียงเท่านั้น ชีวิตที่ต้องดูแลลูกสาววัยกำลังกินกำลังนอนเพียงลำพังมันหนักหนาพอสมควรแต่เธอก็ไม่ย่อท้อเพราะมีแรงใจสำคัญช่วยผลักดัน
“คุณแม่ขาพี่สร้อยใส่ไข่ไม่ใส่ผักเหมือนเดิมค่ะ” เด็กหญิงขวัญมาตาหรือข้าวสวยเดินมาบอกมารดาเสียงใสแจ๋ว
“ได้จ้ะ ข้าวสวยเอาน้ำไปให้พี่สร้อยก่อนนะจ๊ะเดี๋ยวแม่เอาโจ๊กไปให้เอง” แม่ค้าโจ๊กคนสวยหันไปบอกลูกสาว
ขวัญชีวันหรือขวัญไม่ได้เกิดมาลำบากแรกเริ่มเดิมทีเธอก็มีพ่อแม่และครอบครัวที่แสนอบอุ่นและออกจะมั่งคั่งด้วยซ้ำไปเพราะบ้านที่สงขลามีสวนยางเป็นร้อยๆ ไร่ และเธอก็เรียนเก่งสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังที่บ้านเกิดตัวเอง ขวัญชีวันวัยสาวสะพรั่งเป็นที่ต้องตาต้องใจของหนุ่มๆ อยู่หลายคนแต่เธอก็ตกลงคบกับพ่อหนุ่มเมืองกรุงและพอขึ้นปีสองเธอก็ตั้งท้อง
พ่อเฆี่ยนเธอแทบตายส่วนแม่ได้แต่นั่งร้องไห้เพราะพ่อสั่งให้ญาติๆ จับแม่ไว้ ในสังคมต่างจังหวัดการท้องในวัยเรียนหรือยังไม่แต่งงานเป็นเรื่องเลวร้ายมากยิ่งครอบครัวของเธอมีหน้ามีตาพ่อเป็นถึงผู้ใหญ่บ้านยิ่งสร้างความอับอายอย่างไม่อาจให้อภัยได้
ความกลัวและหลงเชื่อคำหวานจากคนรักทำให้เธอตัดสินใจหอบผ้าหนีตามพ่อของเด็กมาอยู่กรุงเทพ เขาพาเธอมาอยู่ห้องเช่าแห่งนึงและบอกว่ารอให้ลูกคลอดก่อนจะพาเข้าไปไหว้พ่อกับแม่เธอก็เชื่อและคิดว่าทุกอย่างคือเรื่องจริงในเมื่อเธอรักเขามากขนาดนี้ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาเพียงคนเดียวเขาก็คงเป็นแบบนั้นเช่นกัน
เมื่อตั้งท้องได้หกเดือนผู้ชายคนนั้นก็สารภาพความจริงว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว เขาไม่อาจขัดคำสั่งของพ่อกับแม่ได้เมื่อเธอถามว่าระหว่างคู่หมั้นกับเมียและลูกในท้องใครสำคัญกว่าเขาตอบว่าคู่หมั้นเขาให้เหตุผลที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอทุกคืนแม้มันจะผ่านมาแปดปีแล้วก็ตาม
“ถ้าขวัญรักผม ขวัญต้องยอมให้ผมไปมีชีวิตที่ดีสิ” ขวัญชีวันจึงปล่อยผู้ชายคนนั้นไป ไม่ใช่ว่าเธออยากให้เขาไปมีชีวิตที่ดีแต่เพื่อตัวเธอเองต่างหากที่จะได้ไปมีชีวิตดีๆ พ้นจากคนเลวๆ ถ้าเขาคิดว่าเธอคือความเลวร้ายในชีวิตของเขาเธอเชื่อว่ามันผิดถนัด ไม่มีผู้หญิงสารเลวที่ไหนหรอกจะยอมอยู่แบบอดมื้อกินมื้อได้ตั้งครึ่งค่อนปีไม่มีผู้หญิงชาติชั่วคนไหนจะคอยมานั่งเช็ดอ้วกเช็ดตัวให้คนเมาทั้งที่ท้องโตจะก้มจะเงยก็แสนลำบาก โชคดีของเธอที่หมดเวรหมดกรรมกับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะเธอไม่อยากให้ลูกมีพ่อเห็นแก่ตัว
“คุณแม่ขา” ขวัญมาตาเรียกมารดาที่ยืนเหม่อลอย
“ขาลูก ได้แล้วค่ะ” หญิงสาววัยยี่สิบแปดรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวแล้วนำโจ๊กหอมกรุ่นไปวางให้ลูกค้า
“ขอโทษด้วยนะคะคุณสร้อยที่ช้า” ขวัญชีวันขออภัยผู้หญิงวัยไล่ๆ กัน เธอทำงานเป็นพนักงานขายที่บริษัทรถยนต์แห่งนึงและแวะทานโจ๊กเกือบทุกวัน
“ไม่เป็นไรหรอกขวัญ” สร้อยศิลาบอก เธอสนิทสนมกับขวัญชีวันพอสมควรเพราะเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกันถึงเธอจะไม่มีลูกแต่ก็เข้าใจดีถึงความลำบากที่คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเผชิญ
“เกือบลืมเลย ซื้อไว้เมื่อวาน” สร้อยศิลาหยิบถุงพลาสติกเล็กๆ ออกจากกระเป๋าถือแล้วยื่นให้ขวัญชีวัน
“ขวัญไม่เคยให้อะไรคุณสร้อยเลย วันนี้คุณสร้อยไม่ต้องจ่ายค่าโจ๊กหรอกนะคะ” ขวัญชีวันรับถุงมาเปิดดูก็พบว่ามันคือชุดกระโปรงสำหรับลูกสาวของเธอ
“ได้ยังไงของซื้อของขาย” สร้อยศิลาคัดค้านเสียงแข็ง
“แต่คุณสร้อยซื้อของมาฝากข้าวสวยบ่อยมาก ขวัญเกรงใจค่ะไม่อยากเป็นผู้รับอยู่ฝ่ายเดียว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกขวัญ เอาของมาฝากลูกฝากหลานมีใครเขาคิดเงินกันด้วยหรอ” สร้อยศิลายืนยัน ผู้หญิงทั้งสองคนบีบมือกันเบาๆ ด้วยความซึ้งใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา
“ข้าวสวยคะ มาหาแม่หน่อยลูก” ขวัญชีวันเรียกลูกสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่
“ขาคุณแม่” เด็กน้อยเดินมาหยุดตรงหน้ามารดาและพูดด้วยถ้อยคำที่แสนไพเราะรื่นหู ขวัญชีวันสอนลูกมาตั้งแต่เล็กว่าให้พูดจาคะขามีหางเสียงไม่ว่ากับใครก็ตาม
“อาสร้อยซื้อมาฝากหนูค่ะ” เธอยื่นชุดกระโปรงให้ลูกสาว
“สวยจังเลยค่ะอาสร้อย ขอบคุณนะคะ” ขวัญมาตายกมือไหว้และกอดเอวสร้อยศิลาเอาไว้
“ข้าวสวยของอาใส่แล้วต้องน่ารักมากแน่ๆ” สร้อยศิลาเห็นแววตาประกายสดใสของเด็กตัวน้อยก็ยินดียิ่งกว่าเดิม การได้แบ่งปันอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้คนอื่นช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
“เดี๋ยวแม่เอาไปซักให้นะคะ อ้าว ! รถมาแล้วลูกข้าวสวย” เจ็ดโมงยี่สิบนาทีไม่เกินเจ็ดโมงครึ่งรถโรงเรียนก็จะมารับ เธอเองต้องขายของจึงไปส่งลูกไม่ได้ครั้นจะปล่อยให้ไปเองก็เป็นห่วงจึงยอมเสียค่ารถแบบรายเดือนเพื่อความสะดวกและปลอดภัย
“หนูไปนะคะอาสร้อย” ขวัญมาตาไหว้คุณอาใจดีอีกครั้งแล้วเดินไปหยิบกระเป๋า
“หนูจะตั้งใจเรียนค่ะ” เด็กน้อยบอกมารดา เธอรู้ว่าเธอคือหัวใจและชีวิตของแม่ถึงเธอจะอายุแค่แปดขวบแต่เธอก็เข้าใจดีว่าแม่ลำบากมากแม่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อมาเตรียมโจ๊กขายทุกวันกว่าจะได้นอนก็ดึกดื่นเพราะต้องซ่อมผ้าที่รับมาจากลูกค้าช่วงกลางวัน คุณครูบอกว่าสิ่งที่เด็กวัยเราจะตอบแทนพระคุณบิดามารดาได้ก็คือตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี
“เจอกันตอนเย็นนะคะข้าวสวย” ขวัญชีวันหอมแก้มลูกสาวแล้วพาไปส่งที่รถ
ชีวิตของเธอเริ่มตั้งแต่ตีสี่ตื่นมาเพื่อเตรียมโจ๊กไว้ขาย หกโมงตรงเธอก็จะปลุกลูกสาวให้มาอาบน้ำแต่งตัวและทานมื้อเช้าด้วยกันประมาณสิบโมงเธอก็จะเก็บร้านและทำความสะอาดหม้อไหจานชามกว่าจะเรียบร้อยก็เที่ยงกว่าแล้วก็ได้เวลาอาหารกลางวัน ตลอดบ่ายก็จะซ่อมแซมเสื้อผ้าเพื่อหารายได้เพิ่มอีกทางและที่สำคัญต้องทำอาหารมื้อเย็นไว้ให้ลูกสาวด้วยพอลูกกลับมาก็สอนการบ้านต่อจากนั้นก็ทานข้าวและนั่งคุยกันว่าวันนี้เรียนอะไรมาบ้าง สองทุ่มครึ่งก็ได้เวลาที่ลูกต้องเข้านอนส่วนเธอนั่งทำงานต่อจนเกือบเที่ยงคืนและเมื่อนาฬิกาปลุกตอนตีสี่ตรงชีวิตแบบเดิมก็เริ่มขึ้นอีกวัน
“เมื่อวานเราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรอหยา” เตชิตคุณครูวัยสามสิบห้าปีกำลังขึ้นเสียงกับภรรยาด้วยความโมโหปนเบื่อหน่ายเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอผิดคำพูด
“แล้วมันตายม่ะ มันก็ยังปกติดีทุกอย่างอยู่คนเดียวสองสามชั่วโมงจะอะไรหนักหนา” มาหยา ภรรยาที่อ่อนวัยกว่าเกือบสิบปีเถียงคอเป็นเอ็น
“ลูกเพิ่งจะสิบขวบยังไงเขาก็ยังเด็กนะหยาเราไม่ควรทิ้งไว้คนเดียวแบบนี้”
“ลูกคนงานมันหุงข้าวกินเองตั้งแต่เดินได้ด้วยซ้ำ จะโอ๋กันมากไปไหมเดี๋ยวก็พิการง่อยเปลี้ยกันพอดี”
“แต่ลูกเรามีพ่อมีแม่ไม่ใช่ลูกคนงานเอาไปเปรียบกันได้ยังไง”
“โอ๊ย น่ารำคาญเชิญอยู่กันเองแล้วกัน” มาหยาคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินกระทืบเท้าออกไป ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ ความหดหู่เหนื่อยล้าเริ่มเกาะกินหัวใจของเตชิตอีกครั้ง
ชีวิตคู่ของเตชิตกับมาหยาเริ่มต้นด้วยความไม่ตั้งใจเพราะแม่สาวน้อยดันท้องป่องแบบกะทันหัน ตอนนั้นมาหยาทำงานเป็นเด็กเชียร์เครื่องดื่มมึนเมาที่ห้องอาหารแห่งนึงและเตชิตก็เหมือนผู้ชายทั่วไปที่แพ้ให้กับความอ่อนเยาว์และผิวพรรณผุดผ่อง มาหยาเพิ่งจะอายุเต็มสิบแปดส่วนสัดทุกอณูเต่งตึงน่าฟัดจนยากจะห้ามใจความสัมพันธ์เพียงไม่กี่ครั้งก่อกำเนิดเป็นลูกชายในอีกเก้าเดือนต่อมา
เตชิตอยากมีครอบครัวมาตลอดถึงจะไม่ได้รักใคร่มาหยาเท่าไหร่นักเพราะทั้งคู่แทบจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของกันและกันแต่เขาก็ทำหน้าที่สามีและพ่อได้ดีเยี่ยม เธอกับเขาไม่ได้แต่งงานตามประเพณีเพราะพ่อแม่ฝ่ายเตชิตไม่รับสะใภ้ไร้สกุลแบบมาหยาหัวเด็ดตีนขาดยังไงท่านทั้งสองก็ไม่เอาทุกครั้งเวลาเตชิตไปเยี่ยมพ่อแม่ก็จะพาไปแค่ลูกชายเท่านั้น เขาเองก็พยายามเกลี้ยกล่อมบิดามารดาแต่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงซ้ำร้ายทุกครั้งที่พูดถึงมาหยาตัวเขาก็พลอยซวยโดนด่าไปด้วยว่าไปคว้าผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาเป็นเมีย
สิบปีเต็มที่เตชิตทนเก็บกลั้นความขมขื่นเอาไว้เพื่อคงสภาพครอบครัวที่สมบูรณ์เขาพยายามมองข้ามข้อเสียทุกอย่างของมาหยาไปเพราะคิดเพียงว่ายังไงเธอก็คือแม่ของลูกชายชุดที่รัก ตำแหน่งแม่พิมพ์ของชาติที่ค้ำคอไว้ยิ่งทำให้การแยกทางกับภรรยาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากขึ้นไปอีกเขาจึงเลือกจะทนไปเรื่อยๆ และหวังว่าสักวันมาหยาคงเดินจากไปเอง
“พ่อครับ” เด็กชายต้นกล้าเรียกบิดาที่มองตามมารดาไปจนลับสายตา
“ต้นกินอะไรรึยัง” เตชิตเพิ่งได้สติเขาไม่รู้ว่ายืนนิ่งอยู่แบบนี้นานเท่าไหร่แล้ว
“กินขนมปังทาแยมกับข้าวผัดเมื่อเช้าครับ พ่อหิวไหม”
“พ่อกินข้าวต้มที่งานมาแล้วครับ ต้นมีการบ้านรึเปล่า” หลังเลิกเรียนเตชิตต้องไปงานศพของอาจารย์ที่ล่วงลับซึ่งเมื่อวานมาหยารับปากแล้วว่าจะรีบกลับบ้านเพื่อมาอยู่กับลูกชาย ปกติต้นกล้าจะอยู่กับเตชิตตลอดแต่เตชิตเห็นว่างานศพไม่ใช่งานที่เด็กๆ ควรไปเขาจึงฝากลูกชายติดรถมากับเพื่อนคุณครูคนนึง เขากลับมาถึงบ้านสามทุ่มกว่าๆ ถึงพร้อมๆ กับมาหยาแล้วก็มีปากเสียงกัน
“ผมทำเสร็จแล้วครับ” ต้นกล้าบอกด้วยน้ำเสียงหงอยๆ มันเป็นภาพชินตาสำหรับเด็กน้อยไปแล้วที่เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน หลายๆ ครั้งเด็กชายแอบคิดว่ามารดาไม่อยากให้เขาเกิดมา
“ขอพ่อดูหน่อยได้ไหมครับ” เตชิตโอบไหล่ลูกชายแล้วบีบเบาๆ เขารู้ว่าลูกเสียขวัญกับฉากเมื่อสักครู่ เขาเองก็พยายามไม่ระเบิดโทสะใส่กันต่อหน้าลูกแต่ครั้งนี้มันเหลืออดจริงๆ เพราะเพิ่งสัญญาเมื่อวานรับปากกันแล้วเธอก็ยังลืมเขาเชื่อว่ามาหยาไม่ได้ลืมแต่เธอไม่ใส่ใจมันมากกว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิตของเธอมีแค่สองอย่างคือเที่ยวและดื่มเหล้าดีว่ายังพอมีจิตสำนึกออกไปทำมาหากินกับเขาบ้าง
“นี่ครับ” ต้นกล้ายื่นสมุดให้คุณพ่อ เตชิตกวาดตามองผ่านๆ ก็ไม่พบข้อผิดพลาดอะไร ลูกต้นเรียนเก่งและเป็นเด็กดีไม่เคยมีเรื่องร้อนใจมาให้สักครั้งถือว่าเป็นอภิชาตบุตรก็ไม่ผิดนัก
“ไปอาบน้ำดีกว่าเนอะดึกแล้ว” เตชิตดูเวลาที่ข้อมือมันบอกว่าอีกสิบห้านาทีจะสี่ทุ่มตรง
“ครับ” ต้นกล้ารับคำแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน ส่วนเตชิตก็ตกสู่ห้วงแห่งความคิดปนทุกข์ระทมอีกครั้ง
ชายหนุ่มไม่รู้จะจัดการยังไงกับปัญหาชีวิตเพราะเขาเคยพูดถึงเรื่องการแยกกันอยู่และสิ่งที่ตามมาก็คือรอยฝ่ามือบนแก้ม มาหยาตบเปรี้ยงเต็มแรงแบบไม่ยั้งมือเธอทั้งด่าทั้งสาปแช่งกล่าวหาว่าเขาเอาชีวิตวัยรุ่นของเธอไปซึ่งเขายอมรับว่าผิดแต่ก็แค่ครึ่งเดียวต้นกล้าจะเกิดมาบนโลกนี้ไม่ได้เลยถ้าเธอไม่ยินยอม ช่วงแรกๆ ที่หลับนอนกันเขาแทบไม่มีสติด้วยซ้ำเพราะต้องสั่งเครื่องดื่มเยอะๆ เพื่อให้เธอได้เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย พอได้เวลาเลิกงานเขาก็จะพาเธอไปส่งห้องพักแล้วก็จบลงที่เตียงเกือบทุกครั้งไป
แรกรักน้ำต้มผักก็ยังหวานมาหยาตอนนั้นช่างน่ารักน่าใคร่เหลือเกินคำพูดคำจาไพเราะเสนาะหูแต่พอเธอคลอดลูกแล้วไม่ได้รับการต้อนรับจากบ้านสามีเธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ช่วงตั้งท้องเขาพยายามปลอบใจว่าให้อดทนก่อนที่พ่อแม่ของเขาไม่ยอมรับเขาให้คำมั่นว่าถ้าปู่กับย่าเห็นหลานจะต้องใจอ่อนแน่ๆ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ท่านทั้งสองคนใจอ่อนรักหลานทันทีแต่กับคนให้กำเนิดนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่นั้นมาหยาก็ฟาดงวงฟาดงาใส่ไม่เว้นแต่ละวันลูกเต้าคลอดออกมาก็ไม่สนใจลูกต้นได้กินนมแม่แค่สามเดือนเท่านั้นแล้วเธอก็โยนเด็กแดงๆ คนนึงมาให้เขารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
เตชิตทดท้อกับชีวิตครอบครัวเหลือเกินแต่ก็มีปัญญาทำได้เพียงเท่านี้เพราะออกปากไล่เธอก็ไม่ไปและที่สำคัญลูกต้นเองก็รักแม่ของเขาถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่สนใจอะไรนักก็อย่างที่ใครเขาบอกสายเลือดย่อมข้นกว่าน้ำสายสัมพันธ์ของครอบครัวตัดยังไงก็ไม่ขาด
“พ่อครับไม่อาบน้ำหรอครับ” ต้นกล้าอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้ว
“อาบครับพ่อปิดบ้านก่อนนะ ต้นไปรอในห้องเลย” เตชิตสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวแล้วเดินไปลงกุญแจประตูทุกบาน เขาอาบน้ำและให้ความหวังตัวเองอีกครั้งว่าสักวันภรรยาคงกลับตัวกลับใจแล้วกลับมาสร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน
ตอนที่ 2 สองแม่ลูก
ซอยเล็กๆ ที่ชานเมืองมีบ้านพักหลายแบบตั้งอยู่ ช่วงต้นๆ เป็นห้องแถวซอยเป็นห้องถี่ๆ แบ่งให้เช่าในราคาไม่กี่พันเลยมากลางๆ เป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นมาอีกนิดส่วนท้ายซอยเป็นบ้านเดี่ยวพร้อมสนามหญ้าขนาดกะทัดรัดเหมาะกับครอบครัวสมัยใหม่ที่มีกันแค่พ่อแม่ลูก
ขวัญชีวันคือประชาชนต้นซอยเพราะเงินเอื้ออำนวยให้เพียงเท่านั้น ชีวิตที่ต้องดูแลลูกสาววัยกำลังกินกำลังนอนเพียงลำพังมันหนักหนาพอสมควรแต่เธอก็ไม่ย่อท้อเพราะมีแรงใจสำคัญช่วยผลักดัน
“คุณแม่ขาพี่สร้อยใส่ไข่ไม่ใส่ผักเหมือนเดิมค่ะ” เด็กหญิงขวัญมาตาหรือข้าวสวยเดินมาบอกมารดาเสียงใสแจ๋ว
“ได้จ้ะ ข้าวสวยเอาน้ำไปให้พี่สร้อยก่อนนะจ๊ะเดี๋ยวแม่เอาโจ๊กไปให้เอง” แม่ค้าโจ๊กคนสวยหันไปบอกลูกสาว
ขวัญชีวันหรือขวัญไม่ได้เกิดมาลำบากแรกเริ่มเดิมทีเธอก็มีพ่อแม่และครอบครัวที่แสนอบอุ่นและออกจะมั่งคั่งด้วยซ้ำไปเพราะบ้านที่สงขลามีสวนยางเป็นร้อยๆ ไร่ และเธอก็เรียนเก่งสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังที่บ้านเกิดตัวเอง ขวัญชีวันวัยสาวสะพรั่งเป็นที่ต้องตาต้องใจของหนุ่มๆ อยู่หลายคนแต่เธอก็ตกลงคบกับพ่อหนุ่มเมืองกรุงและพอขึ้นปีสองเธอก็ตั้งท้อง
พ่อเฆี่ยนเธอแทบตายส่วนแม่ได้แต่นั่งร้องไห้เพราะพ่อสั่งให้ญาติๆ จับแม่ไว้ ในสังคมต่างจังหวัดการท้องในวัยเรียนหรือยังไม่แต่งงานเป็นเรื่องเลวร้ายมากยิ่งครอบครัวของเธอมีหน้ามีตาพ่อเป็นถึงผู้ใหญ่บ้านยิ่งสร้างความอับอายอย่างไม่อาจให้อภัยได้
ความกลัวและหลงเชื่อคำหวานจากคนรักทำให้เธอตัดสินใจหอบผ้าหนีตามพ่อของเด็กมาอยู่กรุงเทพ เขาพาเธอมาอยู่ห้องเช่าแห่งนึงและบอกว่ารอให้ลูกคลอดก่อนจะพาเข้าไปไหว้พ่อกับแม่เธอก็เชื่อและคิดว่าทุกอย่างคือเรื่องจริงในเมื่อเธอรักเขามากขนาดนี้ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาเพียงคนเดียวเขาก็คงเป็นแบบนั้นเช่นกัน
เมื่อตั้งท้องได้หกเดือนผู้ชายคนนั้นก็สารภาพความจริงว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว เขาไม่อาจขัดคำสั่งของพ่อกับแม่ได้เมื่อเธอถามว่าระหว่างคู่หมั้นกับเมียและลูกในท้องใครสำคัญกว่าเขาตอบว่าคู่หมั้นเขาให้เหตุผลที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอทุกคืนแม้มันจะผ่านมาแปดปีแล้วก็ตาม
“ถ้าขวัญรักผม ขวัญต้องยอมให้ผมไปมีชีวิตที่ดีสิ” ขวัญชีวันจึงปล่อยผู้ชายคนนั้นไป ไม่ใช่ว่าเธออยากให้เขาไปมีชีวิตที่ดีแต่เพื่อตัวเธอเองต่างหากที่จะได้ไปมีชีวิตดีๆ พ้นจากคนเลวๆ ถ้าเขาคิดว่าเธอคือความเลวร้ายในชีวิตของเขาเธอเชื่อว่ามันผิดถนัด ไม่มีผู้หญิงสารเลวที่ไหนหรอกจะยอมอยู่แบบอดมื้อกินมื้อได้ตั้งครึ่งค่อนปีไม่มีผู้หญิงชาติชั่วคนไหนจะคอยมานั่งเช็ดอ้วกเช็ดตัวให้คนเมาทั้งที่ท้องโตจะก้มจะเงยก็แสนลำบาก โชคดีของเธอที่หมดเวรหมดกรรมกับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะเธอไม่อยากให้ลูกมีพ่อเห็นแก่ตัว
“คุณแม่ขา” ขวัญมาตาเรียกมารดาที่ยืนเหม่อลอย
“ขาลูก ได้แล้วค่ะ” หญิงสาววัยยี่สิบแปดรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวแล้วนำโจ๊กหอมกรุ่นไปวางให้ลูกค้า
“ขอโทษด้วยนะคะคุณสร้อยที่ช้า” ขวัญชีวันขออภัยผู้หญิงวัยไล่ๆ กัน เธอทำงานเป็นพนักงานขายที่บริษัทรถยนต์แห่งนึงและแวะทานโจ๊กเกือบทุกวัน
“ไม่เป็นไรหรอกขวัญ” สร้อยศิลาบอก เธอสนิทสนมกับขวัญชีวันพอสมควรเพราะเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกันถึงเธอจะไม่มีลูกแต่ก็เข้าใจดีถึงความลำบากที่คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเผชิญ
“เกือบลืมเลย ซื้อไว้เมื่อวาน” สร้อยศิลาหยิบถุงพลาสติกเล็กๆ ออกจากกระเป๋าถือแล้วยื่นให้ขวัญชีวัน
“ขวัญไม่เคยให้อะไรคุณสร้อยเลย วันนี้คุณสร้อยไม่ต้องจ่ายค่าโจ๊กหรอกนะคะ” ขวัญชีวันรับถุงมาเปิดดูก็พบว่ามันคือชุดกระโปรงสำหรับลูกสาวของเธอ
“ได้ยังไงของซื้อของขาย” สร้อยศิลาคัดค้านเสียงแข็ง
“แต่คุณสร้อยซื้อของมาฝากข้าวสวยบ่อยมาก ขวัญเกรงใจค่ะไม่อยากเป็นผู้รับอยู่ฝ่ายเดียว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกขวัญ เอาของมาฝากลูกฝากหลานมีใครเขาคิดเงินกันด้วยหรอ” สร้อยศิลายืนยัน ผู้หญิงทั้งสองคนบีบมือกันเบาๆ ด้วยความซึ้งใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา
“ข้าวสวยคะ มาหาแม่หน่อยลูก” ขวัญชีวันเรียกลูกสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่
“ขาคุณแม่” เด็กน้อยเดินมาหยุดตรงหน้ามารดาและพูดด้วยถ้อยคำที่แสนไพเราะรื่นหู ขวัญชีวันสอนลูกมาตั้งแต่เล็กว่าให้พูดจาคะขามีหางเสียงไม่ว่ากับใครก็ตาม
“อาสร้อยซื้อมาฝากหนูค่ะ” เธอยื่นชุดกระโปรงให้ลูกสาว
“สวยจังเลยค่ะอาสร้อย ขอบคุณนะคะ” ขวัญมาตายกมือไหว้และกอดเอวสร้อยศิลาเอาไว้
“ข้าวสวยของอาใส่แล้วต้องน่ารักมากแน่ๆ” สร้อยศิลาเห็นแววตาประกายสดใสของเด็กตัวน้อยก็ยินดียิ่งกว่าเดิม การได้แบ่งปันอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้คนอื่นช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
“เดี๋ยวแม่เอาไปซักให้นะคะ อ้าว ! รถมาแล้วลูกข้าวสวย” เจ็ดโมงยี่สิบนาทีไม่เกินเจ็ดโมงครึ่งรถโรงเรียนก็จะมารับ เธอเองต้องขายของจึงไปส่งลูกไม่ได้ครั้นจะปล่อยให้ไปเองก็เป็นห่วงจึงยอมเสียค่ารถแบบรายเดือนเพื่อความสะดวกและปลอดภัย
“หนูไปนะคะอาสร้อย” ขวัญมาตาไหว้คุณอาใจดีอีกครั้งแล้วเดินไปหยิบกระเป๋า
“หนูจะตั้งใจเรียนค่ะ” เด็กน้อยบอกมารดา เธอรู้ว่าเธอคือหัวใจและชีวิตของแม่ถึงเธอจะอายุแค่แปดขวบแต่เธอก็เข้าใจดีว่าแม่ลำบากมากแม่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อมาเตรียมโจ๊กขายทุกวันกว่าจะได้นอนก็ดึกดื่นเพราะต้องซ่อมผ้าที่รับมาจากลูกค้าช่วงกลางวัน คุณครูบอกว่าสิ่งที่เด็กวัยเราจะตอบแทนพระคุณบิดามารดาได้ก็คือตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี
“เจอกันตอนเย็นนะคะข้าวสวย” ขวัญชีวันหอมแก้มลูกสาวแล้วพาไปส่งที่รถ
ชีวิตของเธอเริ่มตั้งแต่ตีสี่ตื่นมาเพื่อเตรียมโจ๊กไว้ขาย หกโมงตรงเธอก็จะปลุกลูกสาวให้มาอาบน้ำแต่งตัวและทานมื้อเช้าด้วยกันประมาณสิบโมงเธอก็จะเก็บร้านและทำความสะอาดหม้อไหจานชามกว่าจะเรียบร้อยก็เที่ยงกว่าแล้วก็ได้เวลาอาหารกลางวัน ตลอดบ่ายก็จะซ่อมแซมเสื้อผ้าเพื่อหารายได้เพิ่มอีกทางและที่สำคัญต้องทำอาหารมื้อเย็นไว้ให้ลูกสาวด้วยพอลูกกลับมาก็สอนการบ้านต่อจากนั้นก็ทานข้าวและนั่งคุยกันว่าวันนี้เรียนอะไรมาบ้าง สองทุ่มครึ่งก็ได้เวลาที่ลูกต้องเข้านอนส่วนเธอนั่งทำงานต่อจนเกือบเที่ยงคืนและเมื่อนาฬิกาปลุกตอนตีสี่ตรงชีวิตแบบเดิมก็เริ่มขึ้นอีกวัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ