หนามรักปักทรวง
เขียนโดย neenee
วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.15 น.
แก้ไขเมื่อ 4 กันยายน พ.ศ. 2560 10.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) หนึ่งมิตรชิดใกล้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเย็นวันนี้ ศศิมาขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมออกมากินข้าวนางกิ่งไปเรียกก็ได้คำตอบว่าไม่หิว นางได้แต่นึกว่าเธอเพลียและเจ็บแผล นางไม่รู้หรอกว่ามันมีอะไรที่น่าเจ็บปวดกว่าที่นางคิดไว้ ศศิมานั่งเหม่อลอยปล่อยให้น้ำตารินไหลอาบแก้ม เธอยอมรับว่าเสียใจและผิดหวังกับผู้ชายที่ทำลายความรักและความไว้เนื้อเชื่อใจของเธอมาก สุวัชชัยเป็นผู้ชายคนเดียวที่ใกล้ชิดสนิทสนมและอยู่ข้างเธอทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข เธอรักและเคารพเขามากกว่าคนที่เป็นคู่รักกันทั่วไปเพราะเธอขาดพ่อ ศศิมาอยู่กับมารดามาตั้งแต่จำความได้บิดาของเธอได้ทิ้งเธอกับมารดาไปตั้งแต่เธอยังเล็ก ด้วยเหตุผลที่ว่ามารดาของเธอเป็นเพียงลูกแม่ค้าจนๆจึงถูกกีดกันจากผู้เป็นย่าโดยการดึงตัวบิดาของเธอส่งไปอยู่เมืองนอกโดยไม่แยแสเลยสักนิดว่ามีหลานวัยกำลังน่ารัก จากนั้นบิดาก็ไม่ติดต่อมาหาเธอกับมารดาอีกเลย ศศิมามีโอกาสได้เก็บรูปภาพเก่าๆของผู้เป็นบิดาไว้เพียงไม่กี่ใบเท่านั้น เธอคิดเสมอว่าบิดาเป็นคนใจดำแต่ลึกๆแล้วเธอก็โหยหาความรักจากบิดาและอยากกลับมามีครอบครัวที่อบอุ่นอีกสักครั้ง สุวัชชัยจึงเป็นเหมือนที่ยึดเหนี่ยวทางใจของเธอได้อย่างมาก เขาเป็นได้ทั้งพี่ชายและพ่อของเธอ ทั้งสองเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันเป็นมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งเธอสอบได้เพราะเธอเป็นคนเรียนเก่ง สุวัชชัยเป็นรุ่นพี่ปี 3 เมื่อเธอเข้าเรียนปี 1 ทั้งสองก็ได้รู้จักกันตอนมีกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ตั้งแต่นั้นมาสุวัชชัยก็ตามจีบและทั้งสองก็ตกลงคบกันในฐานะคู่รัก แต่บัดนี้ความหวังทุกสิ่งอย่างของเธอหมดสิ้นแล้วคนที่คิดจะฝากผีฝากไข้ได้ทิ้งเธอไปหาคนที่ดีกว่ารวยกว่าและเหมาะสมกว่าเธอ ศศิมารู้จากคำบอกเล่าของสุวัชชัยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวหุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัทที่เขาทำงานอยู่มีหรือที่สุวัชชัยจะปล่อยผู้หญิงคนนั้นแล้วมาหาเธอที่เป็นเพียงลูกแม่ค้นจนๆหาเช้ากินค่ำ ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเจ็บแปลบลึกเข้าไปในหัวใจ ทำไมผู้ชายจะต้องเลือกผู้หญิงที่ร่ำรวยเหมือนกันทุกคน บิดาของเธอก็คนหนึ่งแล้ว แล้วนี่เธอยังมาเจอกับคนที่เธอรักอีก
เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนกว่าที่หญิงสาวจะข่มตาให้หลับลงได้เพราะเรื่องราวต่างๆทั้งในอดีตและปัจจุบันประดังประเดเข้ามาทำให้คิดจนสมองแทบจะระเบิด
เช้าวันนี้ศศิมาตื่นสายผิดปกติ นางกิ่งไม่ได้ปลุกเธอเพราะคิดว่าเธอยังเจ็บเนื้อตัวเพราะอุบัติเหตุเมื่อวานนี้ นางจึงโทรไปหามีนาเพื่อนสาวของศศิมาและเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าศศิมาประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย นางกิ่งฝากให้มีนาเพื่อนสาวของศศิมาซึ่งเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนเดียวกันลางานให้ศศิมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะแม่ เดี๋ยวนาจะลางานให้แก้วเองค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ” มีนาส่งเสียงใสมาตามสาย และไม่วายที่จะห่วงเพื่อน
“บอกแก้วด้วยนะคะแม่ว่าเย็นนี้นาจะเข้าไปเยี่ยมค่ะ”
พอวางสายจากมีนานางกิ่งก็ขึ้นไปดูศศิมา จังหวะเดียวกับที่ศศิมาเปิดประตูห้องออกมาพอดี
“แก้ว แก้วเป็นอะไรลูก ทำไมตาบวมช้ำแบบนี้” นางกิ่งเข้าไปประคองใบหน้าลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ศศิมาโผเข้ากอดมารดา
“มีเรื่องอะไรหรือแก้ว หนูเจ็บแผลมากหรือลูก” นางกิ่งตกใจที่เห็นอาการของศศิมาดูอ่อนระโหยโรยแรงและทำท่าเหมือนจะทรุดลงไปกองกับพื้น
“ไปแก้ว เข้าไปนั่งในห้องก่อน มีอะไรก็ค่อยๆเล่าให้แม่ฟัง” นางเริ่มจะสงสัยแล้วว่าศศิมาไม่ได้เสียใจเพราะอุบัติเหตุเมื่อวานนี้
“แม่ เขาทิ้งแก้วไปแล้ว เขาไม่รักแก้วแล้วแม่” ศศิมาฟูมฟายกอดมารดาแน่น
“มีอะไรค่อยๆเล่าให้แม่ฟังนะแก้ว ใจเย็นๆนะลูก”
นางพยายามปลอบใจบุตรสาวที่ดูเหมือนจะเจ็บปวดรวดร้าวหนัก ใบหน้าหมองคล้ำตาบวมดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“พี่จอห์นเขาทิ้งแก้วไปแล้วแม่ เขากำลังจะแต่งงาน ฮือๆๆๆๆๆ”
เธอควบคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้ว ปล่อยโฮออกมาจนมารดาตกใจ แต่ก็พอจับใจความได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางกิ่งได้แต่ปลอบใจลูกสาวคนเดียวลูกสาวที่นางเฝ้าฟูมฟักมาตามลำพัง นางพยายามทำให้ศศิมาอบอุ่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ความภูมิใจของนางคือส่งศศิมาเรียนจนจบปริญญาตรี ถึงแม้ว่านางจะลำบากเพียงใดแต่นั่นก็คือความภูมิใจที่สุดแล้วนางรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักที่เห็นศศิมาต้องปวดร้าวอย่างนี้ทั้งน้อยใจตัวเองที่ทำให้ลูกได้เพียงเท่านี้ เพราะความจนและไม่มีหน้ามีตาในสังคมทำให้ผู้ชายอย่างสุวัชชัยต้องทิ้งลูกสาวของนางไป
หลังจากที่มารดาออกไปขายของนานแล้วแต่ศศิมายังคงนั่งอยู่กับที่จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เธอนั่งอยู่แคร่ไม้ใต้ต้นมะปรางที่สุวัชชัยกับเธอช่วยกันทำเพื่อเป็นที่นั่งเล่นรับลมเย็นสบาย แล้วยังมีชิงช้าที่เธอเคยมานั่งเล่นเป็นประจำ สายลมเย็นพัดเอื่อยแต่เธอก็ไม่รู้สึกสดชื่นกับบรรยากาศอันแสนรื่นรมย์นี้เลย เธอนั่งเหม่อจนไม่ได้ยินเสียงคนที่เดินมาข้างหลัง ภาคภูมินั่นเอง เขาเจอแม่ของเธอขายของอยู่ที่ตลาดสอบถามได้เรื่องว่าเธอไม่ไปทำงานเขาจึงขออนุญาตมาเยี่ยมเธอที่บ้าน ถุงขนมและของกินมากมายในมือของเขาถูกวางไว้ที่แคร่ไม้ข้างๆ ที่ศศิมานั่งอยู่ เธอสะดุ้งตกใจพร้อมกับเหลือบมองเจ้าของถุงขนมเหล่านั้น
“คุณ!!” เธอตกใจพูดออกมาได้เพียงคำเดียว
“ใช่ ผมเอง คุณเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” เขาถามด้วยความห่วงใย พร้อมกับถือวิสาสะหย่อนก้นลงนั่งบนแคร่ไม้กับเธอ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากนี่คุณ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” เธอถามอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ยินดียินร้ายว่าเขาจะตอบว่ายังไง
“ผมเจอแม่คุณที่ตลาด ก็เลยถามถึงคุณน่ะ พอรู้ว่าคุณไม่ไปทำงานก็เลยแวะมา” เขาพูดต่อ
“คุณทานอะไรหรือยัง ผมซื้อข้าวกับขนมมาเยอะแยะเลย ทานสิ” เขาบอกพร้อมหยิบถุงขนมขึ้นมาให้เธอ
“ขอบคุณนะ คุณไม่ต้องซื้ออะไรมาเยอะแยะหรอก ลำบากเปล่าๆ”
เธอพูดพร้อมเหลือบไปมองหน้าเขา เธอเพิ่งเห็นหน้าเขาชัดๆ คราวนี้ เขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาคมสันมาก ผิวไม่ขาวมาก ผิวดูสะอาดเกลี้ยงเกลาถึงจะคล้ำไปเพราะโดนแดดบ้างแต่ก็ยังน่ามอง ตาโตจมูกโด่งมีไรหนวดเคราขึ้นเล็กน้อย คิ้วดกหนาปากได้รูปดูผิวพรรณแล้วเป็นผู้ดี สบตาแวบแรกก็รับรู้ถึงความเอื้ออาทรที่เขามีต่อเธอ ก็เป็นจริงอย่างนั้นเพราะภาคภูมิรู้สึกสงสารเธอ เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอผู้หญิงตัวเล็กๆ หากเขาพอจะช่วยอะไรได้บ้างเขาก็อยากจะช่วย อีกทั้งเขาเพิ่งย้ายมาทำงานที่นี่จึงอยากมีเพื่อน อยากมีคนรู้จักบ้าง
“ทานหน่อยนะจะได้มีแรงไปทำงาน ลางานหลายวันไม่ดีนะ” เขาพูดเย้าเธอ
“งั้นคุณทานด้วยกันนะคะ”
ศศิมาจัดกับข้าวใส่จานเรียบร้อยสองหนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารด้วยกันอย่างเงียบๆ บรรยากาศไม่ถึงกับตึงเครียดแต่ก็เป็นไปอย่างฝืดๆบ้างเพราะสองคนยังไม่คุ้นเคยกัน หลังอาหารมื้อเที่ยงชายหนุ่มก็นั่งคุยต่อจนศศิมาต้องเอ่ยถาม
“แล้วคุณไม่ต้องทำงานหรือคะ ถึงมาอยู่ที่นี่ได้นานๆ” เธอถามอย่างสงสัย
“วันนี้ผมแวะไปดูงานมาแล้วครับไม่มีอะไรมากแล้ว ให้ลูกน้องกับคนงานเขาทำกันไปไม่รู้จะทำอะไรเลยไปเดินตลาด จนเจอแม่ของคุณนั่นแหละ” ศศิมาพยักหน้ารับรู้
“ คุยกันมาตั้งนานฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยค่ะ คุณ...” ศศิมาเว้นวรรคให้เขาตอบ
“ผมภาคภูมิครับ จะเรียกภาคก็ได้ผมเป็นวิศวกรของกรมทางหลวงที่กรุงเทพฯ ถูกส่งตัวให้มาคุมงานสร้างถนนที่นี่ครับ” เขาเป็นคนพูดเสียมากกว่าเพราะเธอดูถามคำตอบคำ
“แล้วคุณแก้วทำงานอะไรครับพอจะบอกได้หรือเปล่า” เขาถามต่อ
“ฉันเป็นครูสอนเด็กอนุบาลโรงเรียนเอกชนค่ะ” เธอตอบเอื่อยๆ อยากให้เขารีบๆกลับไปเธออยากอยู่คนเดียว แต่เหมือนเขารู้ทัน
“คือผมเพิ่งย้ายมายังไม่คุ้นเคยสถานที่และไม่รู้จักใครเลย ผมอยากมีเพื่อนน่ะครับ”
เขาบอกเจตนาไปเพราะเกรงว่าเธอจะคิดว่าเขาจะมาคิดร้ายกับเธอ ศศิมาเองก็คิดไม่ต่างจากเขา ไม่สิที่บ้านเธอไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรที่จะต้องกังวลว่าใครจะมาปล้นจี้เธอคิดในใจ อีกทั้งดูท่าทางเขาก็เป็นผู้ลากมากดีไม่น่าจะมาคิดปอกลอก
“ถ้าไม่รังเกียจ ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณแก้วจะได้หรือเปล่าครับ”
เขาพูดออกมาอย่างจริงใจ พร้อมกับยิ้มเห็นฟันสวย
“คุณจะอยากเป็นเพื่อนกับฉันทำไมล่ะคะ ไม่เห็นมีใครเขาอยากคบฉันเลย”
เธอพูดเสียงเครือ เขาจ้องหน้าเธอนิ่งพยายามค้นหาว่าเธอเป็นอะไรมีเรื่องกลัดกลุ้มเรื่องใด เขาไม่กล้าถามเธอตรงๆ
“มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ คุณบอกผมนะ ผมยินดี” เขาพูดอย่างจริงใจ
“ฉันคงไม่มีอะไรให้คุณช่วยหรอกค่ะเรายังไม่รู้จักกันดีเลยนะคะแล้วทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนกับฉันล่ะ คนอย่างฉันไม่มีใครเขาต้องการหรอก” เธอพูดออกมาน้ำตาคลอแต่พยายามที่จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“คุณกลับไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว” เธอพูดอย่างเสียมารยาท พร้อมกับลุกขึ้นจะเดินหนีเขาจึงพูดตัดบทขึ้น
“ผมจริงใจนะคุณ อยากเป็นเพื่อนกับคุณจริงๆไม่ได้คิดจะมาหลอก บางครั้งคนเราก็ต้องการใครซักคนที่สามารถจะเล่า หรือระบายเรื่องที่กลุ้มใจเพื่อช่วยแบ่งเบาความทุกข์นะคุณ” เขาพูดยาว
“ผมรู้ว่าคุณมีเรื่องไม่สบายใจ แต่คุณจะเก็บปัญหาไว้หนักอกหนักสมองแล้วก็ทิ้งให้คนรอบข้างของคุณเป็นห่วงยังงั้นหรือ” เขาพูดเสียงเข้มแฝงความอาทรไว้
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นอะไร แล้วทำไมต้องอยากรับรู้ความทุกข์ร้อนของฉันด้วยล่ะ” เธอถามเขา
“ผมเป็นห่วงไง ผมอยากเป็นเพื่อน อยากรู้จัก” เขาพูดต่อ
“ฉันไม่มีอะไรที่คุณจะต้องรู้จักหรอกค่ะ ก็แค่ครูจนๆไม่มีเกียรติ แถมยังเป็นลูกแม่ค้าหาเช้ากินค่ำอีก ใครเขาจะอยากคบด้วยล่ะไม่ได้เป็นลูกคุณหนูรวยเริดอะไรเลย”
เธอพูดพร้อมทั้งร้องไห้เพราะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มพอจะจับเรื่องราวได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“คุณดูถูกตัวเองไม่พอยังดูถูกแม่ตัวเองด้วยนะว่าเป็นเพียงแม่ค้าน่ะ แล้วแม่ค้าน่ารังเกียจตรงไหน” เขาพูดตำหนิเธอเสียงเข้ม ทำให้ศศิมาคิดได้ว่าเป็นจริงอย่างที่เขาบอกเธอได้แต่ก้มหน้าร้องไห้
“ร้องเถอะคุณถ้าคุณทำแล้วมันสบายใจร้องไห้ให้พอร้องให้เต็มที่แล้วก็อย่าร้องอีก อย่าลืมว่าคุณยังมีแม่ที่รักคุณและทำเพื่อคุณได้ทุกอย่างแล้วไหนจะเด็กนักเรียนตัวน้อยๆที่รอคุณอยู่”
เขาพูดเสียยืดยาว ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องเข้ามายุ่งกับเธอและรู้สึกเป็นห่วงเธอเหลือเกิน ศศิมาร้องไห้ตัวโยน และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอให้ชายหนุ่มฟัง ภาคภูมิเป็นคนจิตใจดีเอื้ออาทรต่อทุกคน เขาจบวิศวกรมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพ และไปอบรมหลักสูตรผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างที่เมืองนอก เขามีตำแหน่งใหญ่โตทั้งที่อายุยังน้อย เขาคอยช่วยเหลือลูกน้องหรือคนงานที่ทำงานร่วมกับเขาโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จึงทำให้ลูกน้องและคนงานรักและเคารพเขา
หลังจากที่ภาคภูมิกลับไปนานแล้ว และผู้เป็นมารดาก็กลับมาจากขายของที่ตลาดได้สักพักใหญ่ๆ พอตกค่ำมานางกิ่งก็ต้องมาเตรียมของและทำขนมสำหรับขายในวันรุ่งขึ้น ศศิมานั่งมองผู้เป็นมารดาที่กำลังง่วนกับการทำขนม พอนึ่งขนมไว้แล้วนางกิ่งก็รีบมาเย็บผ้าโหลที่รับมาเป็นงานเสริมอีกอย่างหนึ่ง ทำสองอย่างไปพร้อมๆกันเพราะความจำเป็นต้องหาเงินในแต่ละเดือนให้ได้มากพอสมควรเพื่อชำระหนี้ก้อนใหญ่ที่ผู้เป็นสามีเคยก่อไว้
ศศิมารู้สึกสงสารมารดาจับใจ มารดาผู้ที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอหากเธอจะมัวจมปรักกับความเจ็บปวดมารดาคือคนที่จะเป็นทุกข์มากที่สุด ศศิมานึกถึงคำพูดที่ภาคภูมิพูดไว้กับเธอเขาเตือนสติเธอได้หลายอย่าง หลังจากที่เขาไปมาหาสู่กับเธอได้ 1 อาทิตย์ทั้งสองก็เริ่มสนิทกัน ศศิมาก็คลายความทุกข์ลงได้บ้างแต่หากเมื่ออยู่ในห้องคนเดียวเธอก็ยังร้องไห้อยู่มีนาเพื่อนครูของเธอเองก็แวะมาเยี่ยมบ่อยๆ
“แก้ว เธอไม่ต้องไปสนใจหรอกผู้ชายอย่างนี้น่ะ เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด อยู่ด้วยก็คงไม่มีความสุขหรอก”
เป็นคำพูดที่มีนาพูดกรอกหูเธอเกือบทุกครั้งที่เห็นเธอเศร้าซึม เพราะมีนาไม่อยากให้เธอมีเยื่อใยกับผู้ชายอย่างสุวัชชัย ศศิมาทนดูมารดาทำงานหนักอยู่คนเดียวไม่ได้เธอจะต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว เธอลางานมาเป็นอาทิตย์แล้วถึงเวลาที่เธอจะต้องสู้ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาสุวัชชัยก็ไม่เคยติดต่อมาหาเธอเลย ศศิมาเข้าไปกอดมารดาทางด้านหลังพร้อมทั้งหลั่งน้ำตา
“แม่จ๋า แก้วขอโทษ แก้วเป็นลูกที่แย่มากๆ ให้แม่ต้องทำงานเหนื่อยอยู่คนเดียว”
เธอกอดมารดาพลางร้องไห้นางกิ่งก็กอดลูกสาวไว้แน่น “ไม่หรอกแก้ว ลูกไม่ผิด แม่เข้าใจนะ ไม่เป็นไรแล้วนะลูกแม่” ทั้งสองแม่ลูกกอดกันร้องไห้อย่างน่าเวทนา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ