ปณิธานแห่งบริม

7.7

เขียนโดย Nerd_Papers

วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.03 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  4,059 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ความบังเอิญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

คุณคิดเห็นยังไงกับคนรวยและคนจน? พวกคุณมองพวกเขาแบบไหน? ช่างเหอะ...ไม่ว่าพวกคุณจะมองเขาแบบไหน พวกเขาก็เป็นคน มีชีวิต มีจิตใจที่เหมือนกับคุณ มีภาระหน้าที่ที่แตกต่างกันไป บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองบางคนมีชีวิตอยู่เพื่อให้ครอบครัวสุขสบาย และบางคนก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรเฉกเช่นชายแก่บนเตียงคนไข้ผู้นี้

“ได้เวลาทานยาแล้วค่ะลุงโพยม” เสียงหวานๆของหมอฝึกหัดสาวคนหนึ่งดังขึ้น เธอเปิดปิดประตูอย่างเบามือ วางถาดยาที่ถือมาด้วยไว้ที่ข้างเตียงลุงโพยม เธอค่อยๆพยุงชายแก่ขึ้นนั่งช้าๆ และจัดท่านั่งให้เขาพร้อมเก็บสายน้ำเกลือที่ระโยงระยางบนตัวชายแก่ให้เป็นระเบียบ ก่อนที่เธอจะส่งยาให้และยื่นแก้วน้ำตามไป ลุงโพยมก็ทานยาไปตามปกติเหมือนเป็นกิจวัตรที่ทำมานานมากแล้ว

“เก่งมากค่ะลุงโพยม หนูเชื่อว่าลุงต้องหายดีแน่ๆค่ะ” เธอจับมือลุงโพยมอย่างอ่อนโยน

“ทำไมคุณหมอถึงคิดอย่างนั้นล่ะ คุณก็รู้ว่ามันไม่มีทาง” ชายแก่ถามกลับด้วยน้ำเสียงแหบแห้งหมดกำลัง คำถามนั้นทำให้สาวน้อยสีหน้าเปลี่ยนและมองหน้าลุงโพยมอย่างสิ้นหวัง “ตอนที่ผมอายุเท่าๆคุณ ผมเอาแต่ทำร้ายผู้อื่น ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ จนภรรยาทนไม่ไหว เขาก็ทิ้งผมไปทั้งที่ยังนอนอยู่บนเจียงนี่แหละ ฮ่ะๆๆ ผมคิดถึงแต่ตัวเองจนไม่ใส่ใจกับอะไรทั้งนั้น” ชายแก่เหม่อลอย เขากำลังหวนคิดถึงอดีตที่เลวร้ายของตัวเอง

“ลุงเคยเล่าให้หนูฟังสองครั้งแล้วค่ะลุงโพยม” หมอสาวยิ้มอย่างเข้าใจ

“ผมจำได้ ว่าผมเคยเล่าให้คุณฟัง แต่ครั้งนี้ ผมจะเล่าให้คุณฟังเป็นครั้งสุดท้าย” ลุงโพยมหันมามองคุณหมอ “สิ่งที่ผมเป็นตอนนี้น่ะ มันก็สมควรแล้ว”

  “ทำไมลุงพูดแบบนี้ล่ะคะ?” เธอจับมือชายแก่ทั้งสองข้าง เธอมีสีหน้าที่สงสัยปนความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด

  “ค่อกแค่กๆๆ…” ลุงโพยมไออย่างเจ็บปวดหลายครั้ง เธอจึงรีบรินน้ำใส่แก้วมาให้เขา

  “ลุงพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ หนูเชื่อว่าลุงจะต้องหายดี อย่าเพิ่งหมดหวังนะคะ” หมอสาวยืนขึ้น ปรับสายน้ำเกลือให้ ลุงโพยมยิ้มให้เธออย่างจริงใจ จากนั้นเธอก็เดินไปที่ประตู

“ชีวิตของคุณน่ะมีค่า อย่าให้มันสูญเปล่าเหมือนกับผมล่ะ” ลุงโพยมพูดช้าๆ “มันไม่ใช่หน้าที่คุณเลย แต่ก็...ขอบคุณมากที่คอยดูแลผมมาตลอดนะคุณหมอ” ลุงโพยมพูดไปไอไปอย่างฝืนๆ

“ยินดีค่ะลุงโพยม” เธอนิ่งไปซักพัก และยิ้มกลับเหมือนกับทุกครั้งเวลาที่ลุงโพยมพูดขอบคุณ เธอมองชายแก่ที่กำลังหลับอยู่ด้วยความห่วงใยก่อนจะออกจากห้องไปและปิดประตูอย่างเบามือ หน้าประตูห้องมีข้อความเขียนว่า “นายโพยม  ศิริวงศ์ อายุ 62 ปี มะเร็งระยะสุดท้าย”

ลุงโพยมก็หลับไปตั้งแต่ตอนนั้น จนเวลาประมาณตีสามครึ่งเขาตื่นขึ้นมาและไออย่างหนักจนเลือดออกมาจากปาก เขาดิ้นรนเอื้อมมือไปที่โต๊ะข้างเตียงเพื่อจะดื่มน้ำ แต่มือของเขาสั่นเกินไปจนไปกระทบแก้วตกลงมาแตก ลุงโพยมไอหนักขึ้นและมีอาการแน่นหน้าอก เขาหายใจอย่างทรมาน สิ่งที่เขาคิดได้ในตอนนี้คือ ต้องกดปุ่มฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขาไม่มีแรงพอที่จะทำเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขามีสิทธิ์ทำคือ รอความตายเท่านั้น

  ก่อนชายแก่จะสิ้นใจก็มีเสียงเย็นยะเยือกพูดขึ้นเบาๆ

“คุณจะยังไม่ตายหรอก คุณโพยม” ลุงโพยมได้ยินเสียงนั้นอย่างแผ่วเบา

“ผม จะช่วยคุณเอง คุณจะต้องมีชีวิตต่อไป! จงใช้ชีวิตที่เหลือน้อยนิดของคุณเพื่อแก้ไขสิ่งบัดซบที่คุณเคยทำเอาไว้กับผู้คน!” ลุงโพยมเริ่มลืมตาขึ้นมาได้อย่างช้าๆ ภาพที่เขาเห็นคือ ชายใส่สูทสีดำและหมวกปีกกว้างบังใบหน้า

“โอ้ว!! อย่างนั้นแหละตาแก่!!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” ชายชุดดำหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่เห็นลุงโพยมค่อยๆลืมตาขึ้นและพยายามต่อสู้กับความทรมาน

ลุงโพยมเอามือทั้งสองข้างประสานกันที่หน้าอกด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นเองก็เกิดแสงสีฟ้าขึ้นที่มือของลุงโพยม ชายชุดดำหัวเราะดังลั่น

“แก...ทำอะไรกับฉัน!!!” ลุงโพยมพูดเสียงดัง

“ฮ่าๆๆๆๆๆ ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! เหมือนจะหายเป็นปกติเลยนี่นะ” ชายชุดดำทำหน้าประหลาดใจกับสภาพของลุงโพยมที่เหมือนเพิ่งเกิดใหม่ “รู้สึกปอดสะอาดขึ้นใช่ไหมล่ะ?”  เขายื่นหน้าไปใกล้ๆลุงโพยม

ลุงโพยมมองหน้าชายชุดดำด้วยความตื่นตระหนก

“คุณน่ะทำเรื่องเลวๆมามากนักคุณโพยม” เขาชี้หน้าลุงโพยม “โอกาสแก้ตัวมาถึงแล้ว จงใช้มันให้คุ้มซะ!” ลุงโพยมตาเบิกโพลงกับเสียงของชายชุดดำ “ใช้พลังแห่งการรักษานี้ปกป้องตัวเองและคนที่คุณรัก!” เขายื่นหน้ามาใกล้ชายแก่ที่กำลังตกใจและสับสนอีกครั้ง “อย่าให้มันเสียเปล่าล่ะคุณโพยม” จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาข้างหน้า ลุงโพยมก็หลับไปอย่างง่ายดาย เหลือเพียงความเงียบงันในช่วงเวลาตีสามสิบนาที ชายชุดดำแสยะยิ้มก่อนจะกระโดดออกนอกหน้าต่างไป

วันรุ่งขึ้นหมอฝึกหัดสาวคนเดิมกำลังเดินเข้ามาในห้องของลุงโพยมด้วยสีหน้าสลดเป็นอย่างมาก เธอเปิดประตูช้าๆ แล้วพูดประโยคเดิมอย่างทุกวัน “ได้เวลาทานยาแล้วค่ะลุงโพยม...!?”  เธอหยุดนิ่งทันทีกับสิ่งที่เห็น

ลุงโพยมกำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมฮัมเพลงลูกกรุงเบาๆ เธอเดินเข้าไปหา

“วันนี้ท้องฟ้าสวยดีนะคุณหมอ” ลุงโพยมหันมาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่สดใสกว่าทุกวัน แต่สิ่งที่ทำให้หมอฝึกหัดคนนี้ตกใจอยู่ก็คือ ลุงโพยมลุกขึ้นมาได้อย่างไร เขาน่าจะนอนหายใจรวยรินอยู่ที่เตียงสิ แต่เธอก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ

“ลุงไม่เป็นไรหรอคะ?” เธอไม่รู้จะถามว่าอะไร

“ก็ตามนี้แหละนะ ฮ่าๆๆๆ” ลุงโพยมหัวเราะเสียงดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งที่เห็นทำให้หมอฝึกหัดสาวปลื้มปริ่มมาก เธอไม่รอช้า “เอ่อ คือว่า ไปที่ห้องเอกซเรย์กับหนูได้ไหมคะลุงโพยม?” เธอต้องการตรวจให้แน่ใจ เพราะคนเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย(ที่น่าจะตายไปตั้งแต่เมื่อคืน) ไม่น่าจะยิ้มและหัวเราะได้เสียงดังลั่นห้องขนาดนี้ และที่สำคัญคือ ห้องสะอาดผิดหูผิดตาจนหมอฝึกหัดสาวต้องฉงน

“โอ้ว! ไปกันเลย!” ลุงโพยมร่าเริงเหมือนคนเพิ่งได้ชีวิตที่สอง หมอฝึกหัดเหลือบมองลุงโพยมตลอดทางเดินไปห้องเอกซเรย์

เมื่อถึงห้องเอกซเรย์เธอก็บอกหมอประจำห้องให้ทำการเอกซเรย์ปอดของลุงโพยมให้ ผ่านไปสักพักเธอก็บอกให้ลุงโพยมออกไปนั่งรอข้างนอก หมอประจำห้องตรวจก็นำผลเอกซเรย์มาให้เธอดู หมอสาวตาเบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น

“เป็นไปไม่ได้...” ภาพที่เธอมองอยู่คือปอดที่สมบูรณ์ แข็งแรง เผลอๆอาจจะแข็งแรงกว่าปอดของเธอเองด้วยซ้ำ และที่สำคัญคือในปอดทั้งสองข้าง ไม่มีก้อนมะเร็ง!

เธอเดินออกมาหน้าห้อง ก็เห็นลุงโพยมกำลังนั่งฮัมเพลงลูกกรุงเพลงเดิมรอเธออยู่ ชายแก่ก็ถามเธอว่า

“ผลเป็นไงเหรอคุณหมอ?”

“ลุง...หายแล้วค่ะ...” เธอพูดไม่เต็มปากเท่าไร “ลุงไม่มีก้อนมะเร็งในปอด ตอนนี้ปอดของลุงแข็งแรงดีค่ะ” เธอยิ้มแบบขืนๆให้ แต่ก็เป็นยิ้มที่จริงใจ “ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องทานยา ไม่ต้องนอนที่โรงพยาบาลแล้วนะคะ” คราวนี้เธอยิ้มกว้างอย่างจริงใจและปลื้มปริ่ม

“โอ้ว! ดีเลย ลุงก็เบื่อโรงพยาบาลแล้ว เบื่อจะกินยาแล้วด้วย!” ลุงโพยมร่าเริงมาก “ยังไงก็ต้องขอบคุณมากนะ คุณหมอคนเก่ง” เขาพูดด้วยความจริงใจและมีความสุขที่ได้พบกับคนที่มีจิตใจงดงามเช่นเธอ

“ไม่หรอกค่ะ ยังเป็นแค่หมอฝึกหัดเท่านั้นเอง” เธอยิ้มอย่างถ่อมตน

หลังจากทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเรียบร้อย หมอฝึกหัดก็พาลุงโพยมไปส่งที่หน้าโรงพยาบาล เธอเรียกแท็กซี่มาให้ ลุงโพยมก็เดินไปที่รถ แล้วเขาก็หันมา

“คุณหมอ!” ลุงโพยมตะโกนให้เธอหันมา เธอก็หันมาอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณระยะเวลาทั้ง 2 เดือนนะครับ! คุณเก่งมาก!” คำพูดนี้ทำให้หมอสาวยิ้มอย่างปลื้มปริ่มและมีความสุข “คุณชื่ออะไรคุณหมอ!?” ลุงโพยมถามคำถามที่น่าจะถามเธอมาตั้งนานแล้ว

“กวิตาค่ะ!” หมอสาวตะโกนกลับไป

“จำยาก! ขอชื่อเล่น!” ลุงโพยมเข้าไปนั่งในรถและยิ้มร่า

“หนูชื่อ เบฟ ค่ะ!” หมอฝึกหัดหัวเราะอย่างมีความสุข

“โอ้ว! โชคดีนะหมอเบฟ! ฮ่ะๆๆ” ลุงโพยมโบกมือลาคุณหมอแล้วก็ปิดประตูรถ ไปเริ่มชีวิตใหม่อย่างคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

เบฟก็หันกลับเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยสีหน้าร่าเริงกว่าทุกวันและทำงานต่อไปตามปกติ

 

คุณคิดว่า...มันบังเอิญหรือเปล่าล่ะ?

 

 

ผมขอถามอะไรพวกคุณอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดให้โอกาสพวกคุณย้อนกลับไปเป็นเด็กมัธยมวัยใสได้ คุณจะรับโอกาสนั้นไหม?

นั่นก็แล้วแต่คุณจะคิด แต่ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน คุณก็ต้องอยู่กับมันต่อไปไม่ว่าชีวิตของคุณมันจะเส็งเคร็งหรือเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม เหมือนกับสาวมัธยมหน้าใสผูกโบว์สีน้ำเงินคนนี้ เธอมีใบหน้าที่ใสสะอาดปราศจากเครื่องสำอางใดๆ และใส่เหล็กดัดฟันสีชมพูตามประสาเด็กนักเรียน เธอสวมเสื้อนักเรียนแขนยาวมิดชิด ใส่เนคไทสั้นสีกรม กระโปรงสีดำยาวเลยเข่าทำให้เวลาเธอเดินกระโปรงจะปลิวไสวอย่างสวยงาม เธอหิ้วกระเป๋าหนังสีดำอย่างที่นักเรียนทุกคนในโรงเรียนนี้ถือ เธอคนนี้ชื่อ “ฉัตร”

ฉัตรกำลังเดินเข้าประตูโรงเรียนเหมือนทุกวัน เธอเดินหน้าบูดบึ้งเบื่อโลก และยกมือไหว้ครูที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูอย่างไม่เต็มใจสุดๆ เธอก็เดินต่อไป ระหว่างทางเธอก็ได้ยินเสียงของนักเรียนหญิงคนอื่นๆซุบซิบนินทากันไปตลอดทาง ทุกคนสายตาจับจ้องมาที่เธอด้วยสายตาอิจฉาริษยา ฉัตรก็ไม่สนใจเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงหน้าเสาธง ฉัตรก็เดินไปต่อแถวเพื่อนสนิทของเธอที่อยู่ท้ายแถว แล้วประกอบพิธีต่างๆไปตามระเบียบ

“ฉัตร แกทำการบ้านเสร็จหรือยัง” เพื่อนสาวหันหลังกลับมายิ้มให้เธอ ขณะพนมมือสวดมนต์อยู่

“การบ้านวิชาอะไรล่ะ” ฉัตรพูดไปสลับกับพูดบทสวดไป

“เคมีกับสังคมอ่ะ แกทำเสร็จแล้วใช่มั้ย” เพือนสาวถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“อื้ม เสร็จแล้วจะลอกก็เอาเลย” ฉัตรพูดอยู่ในท่าพนมมือ

“แกนี่ขยันจริงๆนะฉัตร เรียนก็เก่งอีก” เพื่อนสาวพูด

“แกก็หัดขยันซะบ้างสิเฟิร์น เอาแต่เที่ยวนี่นา” ฉัตรสวนกลับด้วยหน้าตานิ่งๆ แต่เฟิร์นก็คงเจ็บเล็กๆ

“โหย เหมือนฉันโดนแกด่าเลยอ่ะ ฉันก็พยายามอยู่นะเว้ย แต่ฉันไม่ได้ว่างเหมือนแกนี่ ฮ่ะๆๆ” เฟิร์นเพื่อนสาวหัวเราะเบาๆ ขณะเพลงมาร์ชโรงเรียนกำลังขึ้นอินโทร

เฟิร์นเป็นเพื่อนสนิทหนึ่งในไม่กี่คนของฉัตร เธอมีผมยาวประบ่า เครื่องแบบนักเรียนก็เหมือนกับฉัตรทุกประการ เพียงแต่ไม่ได้ผูกโบว์เหมือนกับฉัตรเท่านั้น หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผิวพรรณดี และมีน้ำเสียงที่สดใสสุดๆ

“อย่าเพิ่งคุยกันดีกว่านะ” ฉัตรบอกขณะกำลังจะถึงท่อนแรกของเพลง เฟิร์นก็หันหน้ากลับไป พบว่าครูประจำชั้นกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอ ทำให้ฉัตรแอบหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลัง

หลังจากที่ทำกิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จแล้ว นักเรียนทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปเข้าชั้นเรียนกันตามปกติ ฉัตรก็กำลังเดินไปที่ห้องเรียนของตัวเองเพื่อเริ่มเรียนคาบแรก

คาบแรกของฉัตรคือ วิชาคณิตศาสตร์ ครูก็สอนไปตามปกติ เธอก็ตั้งใจเรียนและสามารถทำโจทย์ที่ครูให้บนกระดานได้จนหมด พอครูเฉลยคำตอบเธอก็เช็คถูกไปตามนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามกิจวัตรที่มันควรจะเป็น แต่ทันใดนั้นเอง ฉัตรหยุดนิ่งไป ไม่กระดิกปากกา... จากนั้นเธอก็หันซ้ายหันขวาอย่างลนลาน

“ได้ยินฉันใช่ไหม ฉัตร?” เสียงแหบกร้านของชายลึกลับดังขึ้น ฉัตรก็พยายามหลับตา ราวกับเพ่งสมาธิไปกับการฟังเสียงนั้น

“ฉัตร ฉัตร!” เฟิร์นเขย่าไหล่ฉัตรหลายครั้ง เธอก็หันมาหาเหมือนถูกดึงออกจากพะวัง “แกเป็นอะไรหรือเปล่า?” เฟิร์นถามด้วยความเป็นห่วง

“อะ...เอ่อ...เปล่าๆ ไม่เป็นไรจ้ะ ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ” ฉัตรมองไปรอบห้องช้าๆ แล้วเธอก็ลุกออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว

เธอวิ่งไปที่ระเบียง พร้อมมองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียงที่น่ากลัวเมื่อครู่ เธอสะดุ้งอีกครั้ง

“ไม่ต้องมองหาฉันหรอก แค่เธอได้ยินฉันก็พอ” เสียงชายคนนั้น

“ทำไม! นายอยู่ที่ไหน...ออกมานะ!?” ฉัตรตะโกนเสียงดังที่ระเบียง

“ฉัตร...แกพูดกับใครเหรอ?” เฟิร์น เพื่อนๆและครูในห้องทำหน้าตกใจเมื่อได้ยินฉัตรตะโกนเสียงดังออกไปทางระเบียงคนเดียว

“มะ...ไม่มีอะไรค่ะ...” เธอลุกลี้ลุกลน แล้วก็เดินกลับมานั่งที่

“หืม? เมื่อกี้แกบอกจะไปห้องน้ำไม่ใช่เหรอฉัตร?” คำถามนี้ทำให้ฉัตรจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เอ่อ...ไม่ปวดแล้วล่ะ เรียนต่อเถอะนะ” ฉัตรไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทิ้งให้เฟิร์นนั่งเกาหัวอย่างงุนงงอยู่ข้างๆ

จนเวลาประมาณสี่โมงเย็น นักเรียนทุกคนก็เริ่มเก็บของและเริ่มเดินออกจากห้องเพื่อกลับบ้าน บ้างก็ไปทำกิจกรรมอื่นๆต่อตามอัธยาศัย เฟิร์นก็รีบออกจากห้องไปเช่นกัน เธอบอกกับฉัตรว่า เธอต้องรีบไปแต่งหน้า ทำผมเพื่อเตรียมไปปาร์ตี้วันศุกร์แห่งชาติตามปกติของสาวสายรื่นเริง

ฉัตรกำลังลุกออกจากที่นั่ง เดินลงบันไดอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงต่างๆมากมายไหลเข้ามาในหูเธอ ทั้งเสียงคนกำลังคุยกันที่ชั้นล่าง เสียงลูกบาสเก็ตบอลที่กระทบพื้น เสียงรถยนต์ของผู้ปกครองที่มารับนักเรียนกลับบ้าน เสียงเหล่านั้นทำให้ฉัตรเดินเซไปชนราวบันได เธอเอามือทั้งสองข้างขึ้นปิดหู เธอหอบเสียงดังเหมือนกำลังต่อสู้กับเสียงที่ได้ยิน เธอเดินโซซัดโซเซลงมาจนถึงชั้นล่างสุด เธอก็ได้กลิ่นท่อไอเสียของยานพาหนะต่างๆที่จอดอยู่หน้าโรงเรียน คราวนี้ฉัตรเอามือปิดจมูกข้างหนึ่งและปิดหูข้างหนึ่ง เธอทำหน้าทรมานอย่างเห็นได้ชัด เธอคุกเข่าแล้วสำรอกน้ำลายออกมาหลายครั้ง นักเรียนที่กำลังเล่นบาสอยู่แถวนั้นหยุดเล่นบาสแล้วมองเธออย่างตกตะลึง

ฉัตรลุกเดินต่อไปสองสามก้าว เธอเงยหน้ามองไปอีกฝั่งของถนน ระยะห่างจากจุดที่เธอยืนประมาณ 50 เมตร เธอเห็นชายสวมสูทสีดำ ใส่หมวกปีกกว้าง สวมแหวนนิลสีดำที่นิ้วกลางข้างขวาอย่างชัดเจน และ...เขากำลังยิ้มให้เธออย่างน่ากลัว

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!” เธอร้องออกมาสุดเสียง ทำให้นักเรียนแถวนั้นตกใจและหันมามองเธออย่างสงสัย คนเหล่านั้นซุบซิบและมองเธอ ราวกับว่าเธอเป็นตัวประหลาด ฉัตรหันไปหันมาเหมือนคนเสียสติ แล้วเธอก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อรอผู้ปกครองมารับที่หน้าโรงเรียนเหมือนทุกวัน สิ่งที่เกิดกับเธอในวันนี้มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า แต่ที่รู้แน่คือ มันทำให้เธอกลายเป็นตัวประหลาดที่มี ”ประสาทสัมผัสดีเยี่ยม” ไปแล้ว

 

ขอถามอีกครั้ง...คุณคิดว่ามันบังเอิญหรือเปล่า?

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา