My wonder girl มหัศจรรย์เรียกรัก

9.3

เขียนโดย ฤดูฝนพรำ

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.34 น.

  7 ตอน
  7 วิจารณ์
  18.66K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) หุนหันพลันกอด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ดวงตาทุกคู่ที่อยู่ในเขตบริเวณตั้งแต่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ใกล้หน้าประตูทางเข้า ต่างพากันจับจ้องร่างบางเล็กในชุดลำลองเสื้อยืดสีเขียวจิ๊ดกับกางเกงขาสั้นอวดเรียวขาเรียวที่เดินเข้ามาภายในบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทนิตยสารชื่อดังที่โภคินเป็นนักคอลัมนิสอิสระเขียนผลงานส่งให้เป็นประจำ หากแต่เดิมเวลาที่ชายหนุ่มเดินเข้าบริษัทก็จะมีคนมองอยู่แล้ว แต่นี่กลับมีหญิงสาวท่าทางสะลึมสะลือคล้ายพึ่งตื่นนอนเดินตามหลังต้อยๆมาด้วย ก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ให้ทุกสายตาจับจ้องมองทั้งคู่

          “นี่คุณ จะเข้าออฟฟิศทั้งที ทำไมถึงไม่ให้ฉันเปลี่ยนชุดให้มันดูดีหน่อยล่ะคะ” หญิงสาวในชุดลำลองรู้สึกเขินอายต่อสายตาหลายสิบคู่ที่ต่างก็มองมายังเธอ คล้ายกับว่าเธอเป็นตัวประหลาด จึงพยายามสื่อสารให้ผู้เป็นเจ้านายได้รับรู้ แต่ปรากฏว่า ผลของการเรียกร้องกลับทำให้เธอต้องย้อนคิดกลับตัวเองว่าไม่น่าพูดเลย

          “คนอย่างเธอแต่งยังไงก็ไม่ดูดีหรอก” เขาพูดอย่างไม่ใยดี

          “อย่างน้อยก็ให้มันเหมาะสมกับสถานที่ไงคะ” อย่างน้อยเธอก็ได้เถียง ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เธอก็จะไม่ขอเกรงกลัวต่อกฎที่เจ๊จุ๋มเคยบอกกับเธอไว้เมื่อหลายวันก่อน เพราะเขาได้ฉีกความตั้งใจของหญิงสาวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เธอก็จะขอเดินหน้า เรียกร้องความยุติธรรมอย่างเต็มเปี่ยม

          ชายหนุ่มหยุดเดินกะทันหัน ส่งผลให้อคิราภ์ที่กำลังคิดว่าเขาในใจเกิดเบรกไม่อยู่เดินชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างแรงจนแทบล้ม โชคดีไปที่เธอตั้งหลักทั้งสองขาได้ดี

          “นี่เธอ เจ๊จุ๋มไม่ได้บอกข้อบังคับทั้งแปดข้อในสัญญาการว่าจ้างหรอกเรอะ หรือว่าบอกแล้วแต่ไม่เคยใช้สมองบันทึกเลย”

          โภคินพูดขึ้นราวกับว่าเขารู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดเรื่องอะไร ซึ่งเธอก็คิดอยู่จริง เธอจึงตีหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และเก็บอาการที่ถูกเขาแหย่ด้วยคำด่าทอ เพราะเธอรู้ว่าเขากำลังจะทดสอบความอดทนของเธออีกครั้ง และครั้งนี้ เธอจะต้องใช้ไม้แข็งเข้าสู้

          “บอกอะไรคะ...อ้อ ไอ้แปดข้อนั่นน่ะเหรอ ฉันว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะค้านไม่ทำได้นะคะ” เธอจ้องหน้าเขาตอบด้วยความเด็ดเดี่ยว

          “อะไรนะ” ชายหนุ่มได้ยินชัดเต็มสองหู ว่าเธอปฏิเสธข้อบังคับที่เขาต้องการให้เธอทำ แต่ก็ยังมีน้ำใจให้ตัวหญิงสาวได้พูดใหม่อีกครั้ง

          “เราจะทำข้อตกลงกันใหม่ นั่นก็คือ จนกว่าสัญญาว่าจ้างของเดือนนี้จะหมด ฉันจะทำงานที่คุณสั่ง และฉันมีสิทธิ์ที่จะเถียงคุณกลับ เพราะนิยามคำว่าผู้ช่วยของฉันคือ ผู้ที่ช่วยเหลือการทำงานของนายจ้างในยามที่นายจ้างไม่สะดวกหรือต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่ทาสบำเรออารมณ์แปรปรวนของนายจ้าง”

          อคิราภ์ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า มันหมายความว่าอย่างไร เขายอมรับในสิ่งที่เธอพูด? หรือกำลังจะตะเพิดเธอออกจากที่นี่? ดูจากนิสัยที่เธอเคยเผชิญพบพาน เขาน่าจะทำอย่างหลังมากกว่า คงต้องทำใจรอเสียแล้ว

          “อืม ตามมา”

          เธอยืนเอ๋ออยู่ราว 5 วินาที ก่อนจะตั้งสติเดินตามโภคินไปหยุดที่หน้าห้องที่ดูเหมือนห้องทำงาน มีเลขาหญิงรุ่นวัยกลางคนนั่งโต๊ะอยู่หน้าห้อง เธอลุกขึ้นยืนเมื่อโภคินเดินเข้าไปหา

          ด้วยความที่เธอยังมัวแต่งงที่ชายหนุ่มยอมรับสิ่งที่เธอพูด จนไม่ทันได้ฟังว่าหญิงวัยกลางคนได้พูดอะไรกับโภคินไปบ้าง รู้ตัวอีกที เธอก็ถูกดึงเข้าไปในบทสนทนาเสียแล้ว

          “นี่คุณช่อผกา ผู้ช่วยบรรณาธิการของที่นี่ ถ้าเธอไม่เข้าใจอะไรก็ถามคุณช่อผกาได้” โภคินแนะนำหญิงวัยกลางคนชื่อช่อผกากับเธอ ซึ่งเธอก็พนมมือไหว้หล่อนตามคนมารยาทงามอย่างไทยที่ติดเป็นนิสัย

          “สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออคิราภ์ เป็น....”

          “ผู้ช่วยชั่วคราวของผม” แต่ยังไม่ทันที่เธอจะแนะนำตัวจบ ชายหนุ่มก็ชิงตัดบทเธอไปก่อนอย่างออกนอกหน้า

          ช่อผกายิ้มให้กับอคิราภ์อย่างคนที่รู้ๆกันอยู่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนอย่างไร อย่างน้อย ก็ช่วยให้อุ่นใจว่าเธอนั้นไม่ได้คิดอยู่คนเดียว

          “ตามคุณช่อผกาไป” เขาพูดพร้อมกับปลีกตัวไปอีกทิศ ทิ้งเธอไว้กับช่อผกาเพียงลำพัง

          อคิราภ์พยายามที่จะไม่คิดมาก และเดินตามช่อผกาเข้ามาในห้องที่โต๊ะของช่อผกาตั้งประจำอยู่ด้านหน้าห้องเมื่อตะกี้ เธอเห็นป้ายเขียนติดที่หน้าห้องก็รู้ทันทีว่า ห้องนี้ เป็นห้องของบรรณาธิการที่นี่

          “พรุ่งนี้คุณจะเดินทางไปกับคุณโภคินกี่โมงคะ” ช่อผกาพูดขึ้นในระหว่างที่กำลังเปิดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงานของเจ้านาย

          แม้ว่าตัวอคิราภ์จะงงว่าเธอมาที่นี่ทำไม แต่สิ่งที่ช่อผกาถามทำให้เธอยิ่งงงเข้าไปใหญ่

          “ไปไหนอะไรคะ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

          ช่อผกาดูไม่แปลกใจที่ผู้ช่วยชั่วคราวคนใหม่ของโภคินจะยังไม่รู้เรื่องเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อเก็บข้อมูลเขียนคอลัมน์ ซึ่งเป็นงานประจำที่โภคินมักจะทำอยู่เสมอ โภคินคงจะยังไม่ได้บอกเธอ นั่นเพราะว่า เขาตัดสินใจที่จะไปอย่างกะทันหัน จนตัวช่อผกาเองแทบจะทำเรื่องเบิกงบให้แทบไม่ทัน

          “คุณโภคินจะไปเก็บข้อมูลที่หนองบัวลำภูค่ะ เห็นบอกว่าจะเอาผู้ช่วยไปด้วย ตอนแรกฉันคิดว่าคุณจะเป็นผู้ชายเสียอีก เพราะส่วนมาก งานแบบนี้จะต้องใช้แรงผู้ชายเยอะ” อคิราภ์ยิ้มแหยเพื่อกลบเกลื่อนความวุ่นวายใจ เพราะเธอคิดไม่ถึงกับเรื่องที่ได้ยินจริงๆ นี่เขากะจะบอกกับเธอเมื่อไหร่กัน พรุ่งนี้เช้าหรือยังไง

          “อย่าเครียดไปสิคะ ฉันเชื่อว่า คุณโภคินเขาไม่ใช้งานคุณหนักหรอกค่ะ ขอแค่สนุกกับงาน คุณโภคินก็พอใจแล้ว” นี่ฟังดูเหมือนจะเป็นคำปลอมประโลมที่อาจจะทำให้อคิราภ์รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย ถ้าไม่ติดว่า เธอจะต้องเดินทางไปกับผู้ชายอารมณ์ร้ายแถมปากไม่ดีคนนั้นตามลำพังล่ะก็ เธอคงจะดีใจมาก

          ช่อผกายื่นเอกสารซองสีน้ำตาลมาให้อคิราภ์รับ ก่อนจะเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่ตัวอคิราภ์จะต้องทำระหว่างการปฏิบัติตัวเป็นผู้ช่วยของโภคินให้ถูกต้อง ซึ่งเธอฟังแล้ว ก็ไม่เห็นจะเหมือนกับที่เจ๊จุ๋มได้เคยกล่าวไว้ดังกฎบัญญัติทั้ง 8 ประการ ที่เธอเคยฟังมาเลย

          “แค่ช่วยคุณโภคินลิสต์รายการสิ่งของที่จะต้องเตรียมไปก่อนออกทริปเดินทางให้ครบค่ะ ถ้าหากคุณไม่รู้เรื่องลิสต์รายการ คุณก็ถามได้จากคุณโภคินว่าเขาต้องการอะไรบ้าง อย่าให้ขาดตกบ่งพร่องเชียวนะคะ เพราะถ้าขาดหรือลืมอะไร ไปคุณโภคินเขาจะหงุดหงิดเอาได้ แต่ฉันจะบอกเคล็ดลับที่จะทำให้เขาหายหงุดหงิดให้นะคะ” พอพูดถึงเรื่องที่จะบอกเคล็ดลับ ช่อผกาก็ขยับเข้ามาใกล้อคิราภ์พร้อมกับพูดเสียงเบา อย่างมีลับลมคมใน

          “ชวนเขาถ่ายรูปสิคะ คุณโภคินเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมากๆ เวลาได้เห็นอะไรสวยๆเช่น พวกวิวธรรมชาติ อะไรจำพวกนี้ เขาจะเหมือนตกอยู่ในภวังค์เลยค่ะ เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน อ้อ และเขาก็ชอบวิถีแบบชนบทความพอเพียงด้วยนะคะ งานลำบากเขาก็ไม่เกี่ยงแถมยังบอกอีกว่ารู้สึกสนุกกับงาน คุณโภคิน เขาถึงได้เปลี่ยนจากการเป็นดารานักแสดง มาเป็นนักเขียนคอลัมน์เที่ยวกินไปเรื่อย เพราะเขาค้นพบตัวตนที่เขาต้องการยังไงล่ะคะ”

          ไม่ต้องสงสัยอะไรให้มาก ช่อผกาต้องเป็นนักเขียนที่เก่งกาจอย่างแน่นอน แถมยังต้องเคยสัมภาษณ์โภคินอย่างแน่นอน ถึงได้รู้ลึกรู้จริงถึงขนาดนี้ อคิราภ์คิดว่า จะต้องเอาเคล็ดลับนี้ไปใช้ในยามจำเป็นเวลาที่เธอโดนเขาด่าบ้างแล้ว ติดอยู่ตรงที่ เธอนั้น ไม่มีพรสวรรค์ด้านการถ่ายรูปเอาเสียเลยนี่สิ

          “แล้วนี่ซองอะไรเหรอคะ” อคิราภ์หันเหความสนใจกลับมาที่เรื่องงานที่อยู่ในมือ ซึ่งช่อผกายังไม่ได้บอกเธอว่ามันคือซองอะไร ทำเพียงแค่ยื่นมาให้เฉยๆ

          ซองสีน้ำตาลที่อคิราภ์ชูขึ้นมาถามหญิงวัยกลางคนถูกฉุดแย่งออกไปจากมือ โดยบุคคลตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังของอคิราภ์ในตอนนี้

          “ซองของฉัน”

          ดวงตาคมโตสีเข้มมองตรงมายังร่างบางของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าเธอดูตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นเขา ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรำคาญ ซึ่งมันกวนประสาทเขาอย่างแรงจนเกือบหงุดหงิด ทำไมเธอต้องทำเป็นรำคาญเขา ทั้งที่เขาเองก็ยังไม่ได้แกล้งหรือแหย่อะไรเธอเลย

          “ขอบคุณครับ คุณช่อผกา ผมกลับก่อนนะครับ” เขาหันไปบอกลาหญิงวัยกลางคน ก่อนจะเดินออกมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กๆวิ่งตามหลังมาไม่ห่าง คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ยัยผู้ช่วยพลังช้าง

          “ทำไมคุณไม่บอกฉันเรื่องทริปพรุ่งนี้คะ” เขาคิดว่าจะบอกเธออยู่ แต่พออยู่ต่อหน้า เขากลับลืมไปเสียได้

          “ลืมบอก”

          หญิงสาวที่เดินตามหลังโภคินแทบอยากจะเอาหัวโขกผนังแถบนั้นให้ตายไปเสีย เพราะเหตุผลที่สั้นจู๋ แถมยังเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย บางทีเขาอาจจะแถแก้ตัว เพราะความจริงแล้วเขากะจะแกล้งบอกในวันพรุ่งนี้ให้เธอหัวหมุนวุ่นวายก็เป็นได้

          “งั้นเหรอคะ” เธอตอบกลับเขาด้วยน้ำเสียงที่ลอดไรฟัน น้ำเสียงที่บ่งบอกแสดงการอาการถึงความไม่พอใจ ย้ำด้วยว่าอย่างแรง

          โภคินเดินนำเธอเข้าไปลิฟต์ที่เปิดออกพอดี ซึ่งในลิฟต์นั้นโล่งไร้ผู้คน อคิราภ์กับเขา จึงยืนกันคนละฟากของลิฟต์ แต่ในวินาทีที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง มันก็ถูกกดเปิดออกอีกโดยชายหนุ่มที่กรู่กันเข้ามาในตัวลิฟต์รวมทั้งหมดสี่คน โดยหนึ่งในนั้นส่งสายตาเป็นเชิงว่าสนใจมาให้อคิราภ์ ก่อนจะเริ่มทำถอยเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น จนกระทั่งประชิด

          การที่เธอไม่ถอยหนี ไม่ได้แปลว่าเธอเองก็สนใจในตัวของชายหนุ่มคนนั้น แต่เพราะเธอไม่สนใจนั่นแหล่ะ เธอจึงเลือกที่จะทำว่าไม่เห็น จนกว่าจะมีอะไรที่ไม่ถูกใจเธอเกิดขึ้น

          โทรศัพท์ที่มีหน้าแอปพลิเคชั่นแชทชื่อดังเปิดขึ้น ถูกยื่นมาให้เธอโดยไม่บอกกล่าว มันขึ้นให้กรอกข้อมูลไอดีของคนที่ต้องการจะคุยแชทด้วย ชัดเลย ชายหนุ่มคนนี้กำลังขอไอดีแชทของเธออยู่

          “ขอโทษนะคะ เผอิญโทรศัพท์เสียค่ะ” เธอตอบกลับเขาอย่างสุภาพพร้อมกับส่งยิ้มอย่างสร้างไมตรี ที่ปฏิเสธโดยเหตุผลของความเป็นจริง โดยคนที่ทำโทรศัพท์ของเธอพังนั้น ยังคงยืนลอยหน้าลอยตาจ้องเธออยู่ในตอนนี้

          “น่าเสียดายจัง งั้นไปทานข้าวด้วยกันนะครับ” ชายหนุ่มช่างตื้อยังคงไม่ลดความพยายามในการจีบผู้หญิงที่พึ่งจะเจอหน้าไม่ถึงสามนาทีอย่างอคิราภ์ โดยการชวนไปรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งเธอกำลังจะปฏิเสธเขาอีกเช่นเคยเพราะเธอกินมาแล้ว ถ้าไม่ติดตรงว่า มีเสียงเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาเสียก่อน

          “นี่เธอ...เดี๋ยวคืนนี้ค้างบ้านฉันนะ” โภคินพูดขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน น้ำเสียงของเขาคล้ายว่ารำคาญชายคนที่พยายามจีบลูกจ้างสาวของเขา จึงพูดขึ้นพร้อมกับคำพูดที่ชวนให้คิดลึก

          ชายหนุ่มช่างตื้อที่กำลังขายขนมจีบให้อคิราภ์ถึงกับทำหน้าไม่ถูกเมื่อหันไปเจอสีหน้านิ่งของโภคิน อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าโภคินเป็นใคร และมีตำแหน่งใหญ่ในบริษัทนี้พอจะเด้งเขาออกจากงานในวันนี้ จึงทำสีหน้าเกรงใจ พร้อมกับเดินออกจากลิฟต์ไปโดยทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด ตามด้วยชายอีกสามคนที่เดินเข้าลิฟต์มาด้วยกันตั้งแต่ต้น

          “ค้างบ้านของคุณ บอกได้ไหมคะว่าทำไม” เธอรีบวิ่งไปดักหน้าโภคินอย่างที่ต้องการคำตอบ ทำไมเขาถึงได้ตัดสินใจโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจเธอเลยสักนิด เผด็จการสิ้นดี

          “พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้ามืด และเธอต้องช่วยฉันลิสต์รายการสิ่งของที่ต้องเตรียมไป ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของผู้ช่วย นี่คุณช่อผกาบอกไม่ชัด หรือว่าเธอฟังไม่ได้ศัพท์กันแน่ ว่างๆก็หัดไปเช็คสมองกับหูบ้างนะ ว่ามีปัญหารึเปล่าน่ะ”

          โดนอีกแล้ว นี่เขาว่าเธอบ่อยยิ่งกว่าพ่อของเธอบ่นเธออีก อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือ เจ้านายหรือว่าเจ้าชีวิตกันแน่ แต่จะว่าไปแล้ว เธอก็ชักจะชินกับคำพูดเสียดสีแทงใจนี่เสียแล้วสิ

 

 

‘ไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเที่ยว เอาไปแค่สองสามชุดก็พอแล้ว อย่าเยอะ’

          ประโยคนี้ยังคงก้องวงเวียนอยู่ในสมองของอคิราภ์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในยามที่เธอยืนมองชุดที่เอาวางทาบไว้บนเตียง แต่สุดท้าย เธอก็หยิบเสื้อยืดไปสามตัว กับกางเกงยืนสองตัว ขาสั้นอีกหนึ่งตัว รวมทั้งชั้นในอีกนิดหน่อยให้พอกับสองสามวัน เครื่องสำอางก็เอาไปเพียงแค่ ครีมกันแดดกับลิปสติกกันปากแห้ง กระจกเล็กๆ หนังสืออ่านสอบในยามว่าง(ซึ่งห้ามอ่านให้โภคินเห็น) หมวกแก๊ปไว้กันแดด กับแว่นดำกันแดด

          โภคินไม่ยอมบอกว่าจะไปกี่วัน เขาบอกแค่ว่า งานเสร็จเมื่อไหร่ก็กลับเมื่อนั้น โปรแกรมที่จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดของเธอในตอนแรกจึงต้องยกเลิกไป เพื่อเขา เอ้ย! เพื่องานและเพื่อเงินหมื่น

          “แกบอกว่า จะไปเที่ยวกับเจ้านายคนที่พึ่งไล่แกออก อย่างนั้นใช่ไหม” อดิรุจถามลูกพี่ลูกน้องสาวอีกครั้ง เพราะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพึ่งจะพูดไปก่อนหน้านี้เสียเท่าไหร่

          “ไปทำงานต่างหากล่ะ!! หูกับสมองแกเพี้ยนเหรอไอ้แมน ถึงได้ฟังจากคำว่าทำงานเป็นคำว่าเที่ยวไปได้น่ะ” เธอโวยใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย ก็ใครใช้ให้เข้าใจยากกันล่ะ

          อดิรุจก็ยังทำหน้าคล้ายไม่เข้าใจอยู่ดี จึงเปลี่ยนจากที่ยืนพิงประตูอยู่ เป็นเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้โต๊ะอ่านหนังสือของอคิราภ์แทน และเริ่มทำการสัมภาษณ์หญิงสาวอีกครั้ง

          “ไหนแกบอกว่า ออกจากงานนั้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ ขอเหตุผลที่เธอกลับไปทำหน่อยสิ ฉันไม่เข้าใจอย่างแรง”

          มือเรียวรูดซิบกระเป๋าเป้สะพายหลังที่พึ่งแพ็กเสร็จ จากนั้นก็แก้ปมผ้าที่โพกศีรษะอยู่ออกเพื่อสางเส้นผมยาวที่เปียกชื้นให้สยายจากเดิมทีเป็นก้อนม้วนอยู่ ถึงแม้ว่า ท่าทีของหญิงสาวจะดูไม่สนใจคำถามของลูกพี่ลูกน้องหนุ่ม แต่เขาก็รู้ดีว่าเธอกำลังคิดหาคำตอบมาตอบเขาอยู่แน่นอน ซึ่งเขาคิดไม่เคยผิด

          “แกก็รู้ ว่าปัจจัยหลักของฉันคือเรื่องเงิน เขาบอกว่าจะจ่ายให้ฉัน หากฉันทำงานครบถึงสิ้นเดือน เงินหมื่นเชียวนะโว้ย ใครจะทิ้งได้ลงคอ อดทนอีกไม่กี่วันเท่านั้นเอง ฉันก็จะได้เงินเก็บไปเรียน ความฝันของฉันจะกลายเป็นจริงเพราะเงินก้อนนี้นะไอ้แมน” อคิราภ์ร่ายเหตุผลอันยาวเหยียดให้กับชายหนุ่มได้กระจ่าง เหตุผลเดิมๆที่เขาจะต้องถอดใจไม่ถามซ้ำอีก

          อดิรุจนึกถึงประโยคที่แม่ลูกพี่ลูกน้องตัวดีพูดในวันที่เธอทำหน้าเศร้า เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ปากพร่ำบอกว่าจะกลับบ้าน ได้ชัดดั่งกับว่าเธอพึ่งพูดไป ‘งานดี แต่เจ้านายนิสัยแย่ หึ ฉันยอมกู้เงินไปเรียนดีกว่า จะให้ไปทำงานกับคนแบบนั้น’

          เธอคงค้นพบวิธีการอยู่ร่วมกับเจ้านายได้ ถึงได้ถอนคำพูดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเป็นห่วงเธออยู่ดี แต่ด้วยความที่รู้นิสัยของอคิราภ์ว่า หากเขาพูดค้านไปก็คงจะไม่ฟังหรือทำตามอยู่แล้ว เพราะจริงอย่างที่เธอได้พูดไว้ เรื่องเงินสำคัญกับเธอมาก และคงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจเธอได้ นอกจากใจของเธอเอง

          “แล้วแต่แกละกัน แต่ถ้าร้องไห้กลับมาเหมือนคราวก่อน ฉันจะกระทืบซ้ำให้”

 

 

อคิราภ์แวะซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อก่อนจะถ่อมาบ้านเจ้านาย เพราะเธอเป็นพวกนอนดึกและชอบกินมื้อดึกจนกระทั่งเธอมารู้ตัวอีกทีว่ายืนอยู่หน้าบ้านของผู้เป็นเจ้านายแล้ว

          เธอเปิดประตูเข้าไปในบ้านด้วยความเคยชิน จนลืมคิดไปว่า เธอไม่มีกุญแจบ้านหลังนี้แล้วและประตูบ้านก็ไม่ได้ล็อก เหตุที่เธอลืมสนใจเรื่องนั้นไป เพราะเธอกำลังสนใจสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามากกว่า

          ภาพชองชายหนุ่มกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา ใบหน้าที่คอยหลอกหลอนยามเธอข่มตานอนบัดนี้สงบนิ่งหลับใหลไปในภวังค์ของตัวเอง แขนใหญ่ที่มีกล้ามเนื้อกำยำซุกเข้าไปในหมอนสี่เหลี่ยมกำมะหยี่ ส่วนอีกข้างก็ทิ้งลงข้างขอบโซฟา และเผอิญว่า มันขวางเส้นทางไปยังจุดที่เธอจะไป นั่นก็คือโต๊ะอาหาร

          หญิงสาวจำต้องวางของทั้งหมดที่ขนมาไว้ข้างประตู จากนั้นก็ไปยืนลังเลว่าจะยกแขนเขาขึ้นดีหรือไม่ หากว่าข้ามไปก็คงจะไม่ดี เพราะเธอถูกสอนมาว่า ห้ามเดินข้ามคนเด็ดขาด เหตุผลคือมันเสียมารยาทและดูไม่ดีไม่มีสัมมาคารวะ

          เธอจึงตัดสินใจที่จะจับแขนเขาขึ้นอย่างแผ่วเบา ติดอยู่ที่ว่า ท่อนแขนนี้ออกจะหนักอยู่พอสมควร มันจึงออกจะทุลักทุเล แต่โชคดี ที่เขาเหมือนจะรู้สึกรำคาญจึงขยับยกแขนขึ้นเอง เธอเลยถอยห่างมายืนจ้องเขาแทน

          คุณพระคุณเจ้าองค์ไหนเป็นคนปั้นสร้างชายคนนี้มานะ ทำไมถึงได้ทำออกมาได้หล่อเหลาปานดั่งเทพบุตรเช่นนี้ และยิ่งมานอนสงบอยู่แบบนี้ เธอก็พิศวาสอยากจะให้เขานอนนิ่งจนเป็นรูปปั้นไปเสีย จะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมามองเธอด้วยสายตาเหยียด ใจร้าย กับปากปีจอใส่เธออีก คิดแล้วก็นึกหมั่นไส้เสียจริง

          ขณะนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่ม บรรยากาศด้านนอกจึงไร้แสงสว่างใดๆ ชายหนุ่มคงจะนอนหลับไปก่อนที่อาทิตย์จะตกดิน เพราะเขาเปิดเพียงแค่ไฟดวงในบ้านเท่านั้น เธอจึงกดเปิดสวิตซ์ไฟดวงข้างนอกบ้าน ปรากฏเป็นแสงสว่างลอดบานหน้าต่างเข้ามา น่าโล่งใจที่บ้านหลังนี้ติดมุ้งลวดไว้ที่หน้าต่างและประตู เลยหมดห่วงเรื่องยุงหรือแมลงที่อาจเข้ามารบกวนได้ทุกเมื่อ

          แต่นี่เป็นเวลากลางคืนแล้ว หน้าต่างมันควรที่จะถูกปิดลงเสียที หญิงสาวจึงเดินไปงับหน้าต่างบานที่อยู่ใกล้ๆบริเวณที่โภคินนอนอยู่ ครั้นดวงตาคู่งามเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ดูเป็นเส้นยาวมีความกว้างเท่ากับนิ้วก้อย มีสีออกเหลืองติดอยู่บริเวณมุ้งลวดด้านนอก เธอเลยยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆเพื่อที่จะต้องการดูชัดๆ

          “อ๊า!!!!!!”

          และเธอก็ร้องจ๊ากเสียงดังเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นมันขยับและค่อยๆเลื้อยขึ้นไปด้านส่วนบนของมุ้งลวด เธอแน่ใจได้โดยสัญชาตญาณ ว่ามันคือสิ่งที่เธอกลัวมากที่สุด เจ้า“งู”ตัวเล็กกำลังเลื้อยและเธอก็ดันเอาหน้าไปใกล้ และเมื่อตกใจเธอก็ร้องลั่นและกระโดดโหยงไปยังโซฟา จนลืมไปว่าชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธอได้สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงร้องของเธอ

          อคิราภ์พุ่งโผเข้าไปกอดโภคินอย่างลืมตัว ทั้งกอด ทั้งโวยวายชี้ไปทางหน้าต่างอย่างกับเด็กน้อยขี้กลัวคนหนึ่ง

          “งูๆๆๆ!!! ไอ้งูนั่นมันอยู่ตรงนั้น มันเกือบจะกัดฉันแล้ว!! ดูสิๆ”

          การที่โภคินยังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาในตอนที่ลุกขึ้นตื่นนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่อคิราภ์กระโดดขึ้นมาหาเข้าบนโซฟา ทั้งร่างของเธอจึงขึ้นไปอยู่บนตักของเขาแทนที่จะเป็นโซฟา และเป็นนิสัยของเธอที่เวลาตกใจกลัวก็จะวิ่งเข้าไปกอดสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ คล้ายว่าหาที่คุ้มภัย

          โภคินมองไปตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังบานหน้าต่าง ปรากฏเห็นแค่หางงูเท่านั้น เจ้างูตัวนั้นคงตกใจเสียงโวยวายของหญิงสาวเลยรีบเลื้อยหนีไป ไม่ต่างจากเขาที่ตื่นเพราะเสียงร้องของเธอ แถมยังตกใจกับเรือนกายอันนุ่มนิ่มที่สั่นอยู่แนบกายแกร่งของเขา ใบหน้างามซุกอยู่บนไหล่กว้าง เลยทำให้เขาได้กลิ่นอ่อนๆของดอกมะลิลอยคลุ้งออกมาจากเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน เขาจึงเผลอยกแขนทั้งสองของตนโอบกอดร่างนุ่มนิ่มนั้นตอบอย่างลืมตัว

          “มันไปรึยัง ดูสิ ดูว่ามันไปรึยัง ดูให้หน่อย” เธอพูดอู้อี้อยู่ข้างหูของชายหนุ่ม สั่งให้เขาดูเจ้างูต้นเหตุ

          “ไม่รู้สิ” เขาตอบสั้นๆ แต่ก็ยังไม่คายอ้อมกอด

          อคิราภ์จึงค่อยๆหันหน้าไปทางหน้าต่างเพื่อมองดูว่า เจ้างูตัวนั้นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่ ผลปรากฏก็คือ ไม่มีอยู่แล้ว

          ลมหายใจก้อนใหญ่ถูกพ่นออกมาอย่างโล่งใจที่เจ้าศัตรูตัวฉกาจของเธอไปแล้ว จนพึ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ได้นั่งอยู่บนโซฟา แต่กำลังนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม สองแขนก็โอบรอบคอและใบหน้า....ก็ห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร กลิ่นลมหายใจสะอาดยากที่จะแยกให้ออกว่าเป็นลมหายใจของใครกันแน่ ดวงตาทั้งสองประสานกันอย่างลงตัว เว้นแต่ว่า เธอได้สติกลับมาก่อนที่....อะไรมันจะเป็นไปตามบรรยากาศมากกว่านี้

          อคิราภ์รวบรวมแรง(ที่ไม่ค่อยจะมีเพราะหวั่นไหว)ทั้งหมดผลักตัวของโภคินให้ออกไป จนกลายเป็นว่า เธอได้กระเด้งตกลงไปก้นกระแทกกับพื้น โชคดีที่พื้นนั้นมีพรมปูอยู่ ก้นของเธอเลยไม่ได้สาหัสอะไรมากเท่าไหร่ หัวใจของเธอในตอนนี้ต่างหาก เอาแต่เต้นเด้าๆลั่นล้าจนเธอหายใจไม่ทัน รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ‘ไม่ไหวละโว้ย! ฉันเป็นบ้าอะไรขึ้นมากันเนี่ย หยุดนะ หยุดเต้นสเตปแดนซ์เดี๋ยวนี้เลย อีกหัวใจบ้า!!!’ เธอกร่นด่าตัวเองในใจ

          “เธอ...เป็นอะไรรึเปล่า” โภคินที่สังเกตเห็นสีหน้าของหญิงสาวไม่ค่อยสู้ดีนักหลังจากดีดตัวออกไปจากตักของเขา จึงลุกขึ้นเตรียมจะเดินเข้าไปดู แต่ปรากฏว่า สองมือเรียวเล็กของเธอนั้นกลับชูขึ้นยกห้ามปรามไม่ให้เขาเดินเข้าไปหา ราวกับว่า เขาเป็นตัวอันตรายอย่างนั้นแหล่ะ

          “ไม่..ไม่เป็นไร...ฉันแค่ตกใจงูนั่น แฮะ คุณอย่าถือสาฉันเลยนะ” เธอยิ้มพร้อมกับโบกพัดมือของตนไปมาคล้ายเป็นไม้ใบพัดวีระบายความร้อน น่าแปลกที่ตอนนี้หญิงสาวมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าแดงก่ำ ทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนอะไรเลย ออกจะเย็นสบายสำหรับชายหนุ่มด้วยซ้ำ

          หรือว่า เธออาจจะเป็นโรคร้ายทางจิตที่เวลากลัวหรือตกใจจัดๆมากเกินไปก็จะส่งผลกับร่างกายในทางลบ แบบนี้มันจะส่งผลเสียต่อเขาไหมล่ะนี่ มิน่าล่ะ ในการสมัครงานถึงต้องมีการกรอกประวัติส่วนตัวของลูกจ้าง แล้วบังเอิญว่า แม่สาวคนนี้ไม่ได้ให้ประวัติอะไรไว้กับเขาเลย เพราะเธอดันใช้เส้นเข้ามาทำงานนี้ สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเธอก็คือ ชื่อ และมีศักดิ์เป็นเพื่อนของแพรวรินทร์เท่านั้น นอกนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย

          ร่างบางยันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง หลังจากนั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้นอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าเริ่มกลับมาขาวนวลแก้มสีเลือดฟาดดั่งเก่า เธอสะบัดผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่ปล่อยยาวสยายไปทางด้านหลัง ชุดเสื้อยืดกับกางเกงโยคะสีดำทำให้เธอดูธรรมดามากยามมองผ่านๆ แต่เมื่อได้มองตรงๆอย่างพิจารณาจะรู้ทันทีเลยว่า เธอเป็นผู้หญิงที่น่าดึงดูดให้อยากเข้าหา จนเขาเกิดความคิดบ้าๆเผลอกอดร่างนุ่มนิ่มของเธอตอนที่เธอนั้นกระโดดเข้ามากอด โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถือโอกาสอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายดอกมะลิยังคงติดจมูกของโภคิน ดวงหน้างามที่อยู่ใกล้ไม่กี่เซนติเมตรนั่นกับริมฝีปากสีชมพูระเรื่ออวบอิ่มช่างเชิญชวนให้เขาอยากจะสัมผัสด้วยรสจูบ คงจะวาบหวามไม่น้อยเลย

          ‘นี่เราคิดอะไรอยู่วะเนี่ย’ เหมือนชายหนุ่มจะพึ่งรู้สึกตัวว่าเผลอคิดฟุ้งซ่านจนเกิดอาการร้อนมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้า ไม่ต่างจากอาการของอคิราภ์ที่เป็นเมื่อครู่ มือหนาจึงเสยผมขึ้นก็สัมผัสได้ถึงความชื้นบนหนังศีรษะ เขาเป็นอะไรไป

          “คุณทานอะไรรึยังคะ หิวรึเปล่า” อคิราภ์ชวนคุยเมื่อเห็นว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไป และเจ้านายหนุ่มก็ดูจะมีอาการร้อนรนแปลกๆ เดาว่า เขาคงรู้สึกอึดอัดไม่ต่างจากเธอนัก

          โภคินคิดทบทวนว่าหลังจากกลับมาจากออฟฟิศ เขาก็เอาแต่เขียนลิสต์รายการสิ่งของที่ต้องเตรียมไปทำงาน จนเผลอหลับไปบนโซฟาทั้งที่ยังไม่ได้กินอะไร “ยัง” เขาตอบเธอสั้นๆกลับไป

          เธอเดินไปยังมุมหน้าประตูที่มีกระเป๋าของตนวางอยู่ติดกับถุงที่บรรจุเข้ากล่องผัดกะเพราไว้หนึ่งกล่อง จากนั้นก็นำมันมายื่นให้กับชายหนุ่ม “ข้าวผัดกะเพราหมูสับ มีไข่ดาวด้วย เอาไปกินสิคะ”

          เขากะว่าจะไม่รับของจากหญิงสาวโดยทำฟอร์มไม่หิวหรือไม่อยากได้ของจากเธอ แต่เมื่อเห็นแววตาคู่งามนั้นแสดงถึงความจริงใจและเอาใจใส่เขา จึงอดไม่ได้ที่จะรับมา แต่ก็ไม่ได้กล่าวขอบคุณแต่อย่างใด

          “นั่นใบลิสต์สิ่งของใช่ไหมคะ” เธอชี้ไปยังแผ่นกระดาษที่เขาได้เขียนรายการสิ่งของที่ต้องเตรียมไปทำงาน ซึ่งเขาเอาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยข้างโซฟา จึงเอื้อมไปหวังจะหยิบให้กับหญิงสาว เป็นเวลาเดียวกับที่เธอเองก็พุ่งเข้ามาหวังจะหยิบด้วยพอดี เลยกลายเป็นว่าทั้งสองคนเอื้อมมาจับมือกันซะงั้น

          ต่างคนต่างชะงักที่ฝ่ามือใหญ่ของโภคินจับเข้าที่ฝ่ามือเรียวเล็กของอคิราภ์ และก็รีบชักออกกันทั้งสองฝ่าย เพราะรู้สึกดั่งกับไฟฟ้าสถิต ทำเอาหัวใจของทั้งคู่เต้นกระส่ำระบำเริงร่า สุดท้ายอคิราภ์ก็เป็นฝ่าหยิบกระดาษตัวต้นเหตุไป ทำเป็นดูรายการกลบเกลื่อนความหวั่นไหว

          “ก็...นั่นแหล่ะ”เขาพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “เตรียมให้ครบด้วยล่ะ” และพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินหนีเข้าไปในห้องนอน ซึ่งเธอคาดว่าน่าจะไปห้องน้ำ หรือไม่ก็เข้านอนไปเลย

          ‘งั้นฉันต้องทำงานคนเดียวสินะ และจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรเป็นอะไรวะ’ เธอบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มอ่านรายการสิ่งของ พลางเดินหาตามลำดับจนหัวหมุนจนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงสามทุ่ม ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าบ้าน

          อคิราภ์จึงวางทุกอย่างบนลงโต๊ะทำงานของโภคินเพื่อเดินมาเปิดประตู พร้อมกับคิดว่า มืดป่านนี้จะมีใครมาหาเจ้านายหนุ่มของเธออีก หรือว่าจะนัดกันไว้ และทำไมเขาไม่บอกเธอก่อน

          ประตูถูกเคาะอีกครั้ง เธอเลยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนไปถึงประตูและเปิดออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นผู้มาเยือนในยามค่ำคืน ผู้มาเยือนที่ทำให้เธอถึงกับอึ้งและอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ที่สำคัญเป็นสตรีเสียด้วย

          ฝ่ายนั้นดูจะอึ้งไม่แพ้กันกับเธอ ดวงตาคมเฉี่ยว จมูกเรียว ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพู ดวงหน้าสวยสมบูรณ์แบบ ผมสีน้ำตาลทองดัดลอนคลายมัดไว้ครึ่งหัวส่วนที่เหลือก็ปล่อยสยายยาวคลุมไหล่บาง สวมเสื้อเกาะอกกับกางเกงขาบานสีขาว มือเรียวเล็กหอบถือถุงสารพัดไว้พะลุงพลังจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง

          “เอ่อ...ขอโทษนะที่ถาม เธอเป็นใครกัน” หญิงสาวผู้มาเยือนถามอคิราภ์อย่างสงสัยและวิเคราะห์จากสิ่งที่เห็นตรงหน้าเมื่อเห็นว่า ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนของเธอดูยุ่งเหยิง เสื้อยืดกับกางเกงโยคะดูสบายจนน่าจะเป็นชุดนอน หากเป็นอย่างนั้นมันก็น่าถามและน่าสงสัยอยู่ว่าหญิงผู้มาเปิดประตูเป็นใคร

          “อ้าวอัง มาได้ไงเนี่ย” เสียงเข้มจากทางด้านหลังฟังดูแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอนมาที่ประตูหน้าบ้าน มือหนากำผ้าขนหนูเช็ดผมไปด้วย ใบหน้ายิ้มแย้มจนผิดสังเกต อคิราภ์จึงเริ่มไตร่ตรองว่าหญิงสาวผู้มาเยือนนี้เป็นอะไรกับเจ้านายหนุ่มของเธอกันแน่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา