พิษเพลิงริษยา
-
เขียนโดย ยัยเพิ้ง
วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.05 น.
15 ตอน
3 วิจารณ์
14.75K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 21.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่สี่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ แต่พี่ก็มีของขวัญมาให้พลอยด้วยน่ะ”
เขาว่าแล้วก็ส่งกล่องของขวัญใบย่อมซึ่งเป็นหนึ่งในสองกล่องที่เขาหอบมาให้แก่เด็กหญิง และมันก็ทำให้เพชรงามไม่พอใจขึ้นมาอีก
“ พี่ธี ทำไมต้องไปให้อะไรมันด้วยค่ะ”
“ ก็ปีใหม่ทั้งที ให้ของขวัญน้องบ้างจะเป็นไร”
เขาเสียงอ่อยเพราะกลัวคนรักจะโกรธ
“ แล้วให้อะไรมันไปค่ะ”
เพชรงามกระชากเสียงถามอย่างไม่กลัวเสียมารยาท
“ ก็แค่ตุ๊กตาตัวเล็กๆเท่านั้น นี่ไงตัวใหญ่กว่าสวยกว่าพี่เอาไว้ให้เพชร”
นั้นเองเพชรงามจึงคลายความขึ้งโกรธลง เธอไล่น้องสาวต่างมารดาไปให้พ้นหน้า เด็กหญิงสบตากับเขาอย่างขอบคุณก่อนอุ้มกล่องของขวัญที่เขาให้เลี่ยงออกไป โดยที่เขาก็ยังทันได้เห็นประกายความดีใจจากแววตาที่เคยแต่อมโศกอยู่เป็นนิจนั้น ซึ่งเขายังจำติดตาได้มาจนถึงบัดนี้
“ นี่ไงชิ้นที่ดีที่สุดพี่เก็บไว้ให้เพชร”
เขาพูดเอาใจพร้อมทั้งส่งกล่องของขวัญไปให้ เพชรงามจึงหัวเราะออกมาได้
“ขอบคุณค่ะที่รู้ใจ ไม่ว่าของไม่ว่าคนสำหรับเพชรต้องดีที่สุดเท่านั้น เพราะถ้าไม่ดีพอเพชรก็ไม่รับนะ”
เธอกล่าวพร้อมกับยักไหล่ด้วยกิริยาเย่อหยิ่งและถือดี
ธีรไนยยิ้มเยาะหยันให้กับเจ้าลาโง่ตัวนั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีพอสำหรับนางสาวเพชรงามทันที เมื่อพ่อกับแม่ของเขาได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตลงทั้งสองคน เมื่อสิ้นพ่อกับแม่นายพสิษฐ์ก็บอกกับเขาว่าพ่อได้ขายหุ้นทั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในบริษัทที่ร่วมกันก่อตั้งขึ้นมาให้กับตนจนหมดแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน
เขามีเอกสารมาอ้าง แต่ธีรไนยมั่นใจว่าเป็นของปลอมเพราะพ่อเคยบอกไว้ว่าจะไม่มีวันขายหุ้นในบริษัทเด็ดขาดเพราะมันเป็นสิ่งที่ท่านได้ก่อตั้งมันขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงแต่เขาซึ่งตอนนั้นยังเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบดีจะมีปัญญาอะไรไปต่อกรกับนักธุรกิจใหญ่ที่เหลี่ยมจัดอย่างนายพสิษฐ์
และพร้อมกันนั้นเพชรงามก็ได้มาบอกเลิกเขาด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่ใช่คนดีที่สุดในสายตาของเธออีกต่อไปแล้ว เขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เหลือแต่ตัว บัดซบ...คนพวกนั้นบูชาทรัพย์สมบัตินอกกายเป็นพระเจ้ากระมัง...
เมื่อเกิดมรสุมอันเลวร้ายครั้งใหญ่ในชีวิตคราวนั้นเขาก็ได้บอกขายบ้านซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ เพื่อจัดการงานศพของพ่อกับแม่ให้สมเกียรติ ก่อนนำส่วนที่เหลือพาตัวเองหนีมรสุมชีวิตที่ซัดเข้าใส่แบบไม่ยั้งไปจากเมืองไทยเมื่อสิบปีที่ผ่านมา
ถือว่าโชคของเขายังดีเมื่อไปพบกับชายชราวัยเจ็ดสิบหกปีชาวอเมริกันผู้มีน้ำใจรับเขาเข้าทำงาน ก่อนรับเป็นลูกบุญธรรมในเวลาต่อมาเพราะเขาไม่มีลูก เคยมีภรรยาก็เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้นแล้ว
สตีฟนับได้ว่าเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งในแอลเอ เขามีกิจการมูลค่าสูงลิบอยู่ในมือหลายอย่าง ต่อมาเมื่อเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคชราในวัยแปดสิบเศษ ก่อนตายเขาได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้เป็นของเขาในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรม
เมื่อต้องกลับกลายมาเป็นคนที่ไม่มีใครในชีวิตอีกครั้งชายหนุ่มก็เริ่มคิดถึงแผ่นดินเกิดที่จากมานาน พร้อมๆกันนั้นก็ได้ข่าวเข้าหูว่าครอบครัวของนายพสิษฐ์กำลังจะล้มละลายจนถึงกับบอกขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่มีอยู่รวมทั้งบริษัทที่พ่อของเขามีส่วนก่อตั้งขึ้นมานั้นด้วย
ชายหนุ่มที่ตอนนี้มีศักยภาพทางการเงินอย่างล้นเหลือจึงรีบแต่งตั้งตัวแทนมาซื้อไว้ทันทีด้วยความคิดที่ว่าจะไม่ยอมให้สมบัติของพ่อต้องตกไปเป็นของคนอื่นอีกแล้ว โดยที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนไว้ไม่ให้ใครรู้
เขาว่าแล้วก็ส่งกล่องของขวัญใบย่อมซึ่งเป็นหนึ่งในสองกล่องที่เขาหอบมาให้แก่เด็กหญิง และมันก็ทำให้เพชรงามไม่พอใจขึ้นมาอีก
“ พี่ธี ทำไมต้องไปให้อะไรมันด้วยค่ะ”
“ ก็ปีใหม่ทั้งที ให้ของขวัญน้องบ้างจะเป็นไร”
เขาเสียงอ่อยเพราะกลัวคนรักจะโกรธ
“ แล้วให้อะไรมันไปค่ะ”
เพชรงามกระชากเสียงถามอย่างไม่กลัวเสียมารยาท
“ ก็แค่ตุ๊กตาตัวเล็กๆเท่านั้น นี่ไงตัวใหญ่กว่าสวยกว่าพี่เอาไว้ให้เพชร”
นั้นเองเพชรงามจึงคลายความขึ้งโกรธลง เธอไล่น้องสาวต่างมารดาไปให้พ้นหน้า เด็กหญิงสบตากับเขาอย่างขอบคุณก่อนอุ้มกล่องของขวัญที่เขาให้เลี่ยงออกไป โดยที่เขาก็ยังทันได้เห็นประกายความดีใจจากแววตาที่เคยแต่อมโศกอยู่เป็นนิจนั้น ซึ่งเขายังจำติดตาได้มาจนถึงบัดนี้
“ นี่ไงชิ้นที่ดีที่สุดพี่เก็บไว้ให้เพชร”
เขาพูดเอาใจพร้อมทั้งส่งกล่องของขวัญไปให้ เพชรงามจึงหัวเราะออกมาได้
“ขอบคุณค่ะที่รู้ใจ ไม่ว่าของไม่ว่าคนสำหรับเพชรต้องดีที่สุดเท่านั้น เพราะถ้าไม่ดีพอเพชรก็ไม่รับนะ”
เธอกล่าวพร้อมกับยักไหล่ด้วยกิริยาเย่อหยิ่งและถือดี
ธีรไนยยิ้มเยาะหยันให้กับเจ้าลาโง่ตัวนั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีพอสำหรับนางสาวเพชรงามทันที เมื่อพ่อกับแม่ของเขาได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตลงทั้งสองคน เมื่อสิ้นพ่อกับแม่นายพสิษฐ์ก็บอกกับเขาว่าพ่อได้ขายหุ้นทั้งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในบริษัทที่ร่วมกันก่อตั้งขึ้นมาให้กับตนจนหมดแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน
เขามีเอกสารมาอ้าง แต่ธีรไนยมั่นใจว่าเป็นของปลอมเพราะพ่อเคยบอกไว้ว่าจะไม่มีวันขายหุ้นในบริษัทเด็ดขาดเพราะมันเป็นสิ่งที่ท่านได้ก่อตั้งมันขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงแต่เขาซึ่งตอนนั้นยังเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบดีจะมีปัญญาอะไรไปต่อกรกับนักธุรกิจใหญ่ที่เหลี่ยมจัดอย่างนายพสิษฐ์
และพร้อมกันนั้นเพชรงามก็ได้มาบอกเลิกเขาด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่ใช่คนดีที่สุดในสายตาของเธออีกต่อไปแล้ว เขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เหลือแต่ตัว บัดซบ...คนพวกนั้นบูชาทรัพย์สมบัตินอกกายเป็นพระเจ้ากระมัง...
เมื่อเกิดมรสุมอันเลวร้ายครั้งใหญ่ในชีวิตคราวนั้นเขาก็ได้บอกขายบ้านซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ เพื่อจัดการงานศพของพ่อกับแม่ให้สมเกียรติ ก่อนนำส่วนที่เหลือพาตัวเองหนีมรสุมชีวิตที่ซัดเข้าใส่แบบไม่ยั้งไปจากเมืองไทยเมื่อสิบปีที่ผ่านมา
ถือว่าโชคของเขายังดีเมื่อไปพบกับชายชราวัยเจ็ดสิบหกปีชาวอเมริกันผู้มีน้ำใจรับเขาเข้าทำงาน ก่อนรับเป็นลูกบุญธรรมในเวลาต่อมาเพราะเขาไม่มีลูก เคยมีภรรยาก็เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้นแล้ว
สตีฟนับได้ว่าเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งในแอลเอ เขามีกิจการมูลค่าสูงลิบอยู่ในมือหลายอย่าง ต่อมาเมื่อเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคชราในวัยแปดสิบเศษ ก่อนตายเขาได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้เป็นของเขาในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรม
เมื่อต้องกลับกลายมาเป็นคนที่ไม่มีใครในชีวิตอีกครั้งชายหนุ่มก็เริ่มคิดถึงแผ่นดินเกิดที่จากมานาน พร้อมๆกันนั้นก็ได้ข่าวเข้าหูว่าครอบครัวของนายพสิษฐ์กำลังจะล้มละลายจนถึงกับบอกขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่มีอยู่รวมทั้งบริษัทที่พ่อของเขามีส่วนก่อตั้งขึ้นมานั้นด้วย
ชายหนุ่มที่ตอนนี้มีศักยภาพทางการเงินอย่างล้นเหลือจึงรีบแต่งตั้งตัวแทนมาซื้อไว้ทันทีด้วยความคิดที่ว่าจะไม่ยอมให้สมบัติของพ่อต้องตกไปเป็นของคนอื่นอีกแล้ว โดยที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนไว้ไม่ให้ใครรู้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ