angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า

9.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ไฮเพอรีเนอร์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ไฮเพอรีเนอร์

ฮัดเช่ย!

โครมมมมม!!!

เสียงจามดังมาพร้อมกับกองกระดาษถล่มลงมากองท่วมศีรษะ ภายในห้องทรงอักษรซึ่งตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากโรงเก็บขยะขนาดย่อม ชายหนุ่มผมสีม่วงอ่อนดุจเฮเลียโทรฟที่บานสะพรั่ง พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากกองกระดาษอย่างทุลักทุเล ดวงตาสีทองปรือปรอยจนแทบปิดอยู่รอมร่อเพราะความเหนื่อยล้าเต็มพิกัด

“ทำไมข้าต้องมานั่งจมปุกกับกองกระดาษพวกนี้ด้วย! จะเอาอะไรกับข้านักหนา ข้าก็เหนื่อยเป็นนะ!”

เสียงบ่นพร่ำเพรื่อครั้งที่ร้อยสามสิบห้าของวันดังมาจากในห้องทรงอักษรภายในราชวัง เจ้าของเสียงบ่นปนหงุดหงิดราวกับโลกจะแตกสลายรอมร่อนั้นคือชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีม่วงอ่อนดั่งเฮเลียโทรฟยามบานสะพรั่ง และเป็นถึงว่าที่ราชาเทพเจ้าผู้ปกครองแห่งแดนกลาง ไฮเพอรีเนอร์ โทรเฟ่น เดอรีช การ์ดิโอเปียว่าที่ราชาแห่งเทพผู้เสวยสุขอยู่บนบัลลังก์ หากสิ่งที่ชื่นชอบนั้นหาใช่งานราชกิจที่เอาแต่นั่งอยู่เฉยๆแบบนี้ไม่ เพราะตั้งแต่เกิดมาเจ้าชายเจ้าของเรือนผมสีม่วงอ่อนผู้นี้ก็ต่อสู้และนำพาเหล่าทัพชนะในสงครามตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ตลอดชีวิตมักใช้ไปกับการทำสงครามกับต่างเผ่าพันธุ์ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นหน้าที่และส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว ทว่า…ในยามที่ไร้ศึกสงครามนี่สิ มันช่างน่าเบื่อเกินจะบรรยายออกมาได้ถูก ทำไมนักรบเช่นเขาถึงได้ถูกบังคับให้ขึ้นมานั่งบนบัลลังก์บริหารบ้านเมืองแทนราชาองค์ก่อนด้วย!

“ทนไม่ไหวแล้ว เผามันให้หมดเลยละกัน!”

ปัง!

“หยุดเถอะพะย่ะค่ะ เสด็จพี่”

เสียงทุ้มนุ่มลึกดังเข้ามาแทรกพร้อมๆกับบานประตูที่ถูกผลักเข้ามาในห้องด้วยความเร็วดุจฟ้าผ่า ก่อนลูกไฟสีแดงในมือโทรเฟ่นจะไปสะกิดกองกระดาษให้วายวอดสมใจ ชายหนุ่มเดาะลิ้นดับไฟที่ปลายนิ้วอย่างหงุดหงิดพลางไล่สายตามองผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ห้ามข้าทำไม แกรนเชลล์!”

“นั่นคือคำทักทายจากพี่ชายถึงน้องชายที่ไม่ได้พบกันร่วมร้อยปีหรือพะย่ะค่ะ”

เสียงทุ้มนุ่มนวลหากมันออกจะยียวนกวนประสาทไปสักหน่อย โทรเฟ่นไล่สายตาสำรวจร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมและดวงตาสีเงินสุกสกาวตั้งแต่หัวจรดเท้าและปลายเท้าจรดศีรษะซ้ำๆ ชายหนุ่มหน้าละอ่อนผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไฮเพอรีออน แกรนเชลล์ เดอรีช การ์ดิโอเปีย น้องชายต่างสายเลือดที่เพิ่งกลับมาจากการศึกษาต่างแดนร่วมร้อยปี แกรนเชลล์แตกต่างไปจากโทรเฟ่นสุดขั้วไม่ว่าจะเป็นสีผม สีตา ยันสีผิวและสีปีก แกรนเชลล์มีน้ำใจและใจเย็น เหมาะที่จะบริหารบ้านเมืองมากกว่าโทรเฟ่นที่ชื่นชอบและใช้ชีวิตอยู่กับสงครามเป็นไหนๆ แต่ทำไม้ทำไมราชาองค์ก่อนถึงได้อยากให้เขาปกครองบ้านเมืองนัก ทั้งที่ลูกในไส้ตัวเองยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ๆ

“เจ้ามาก็ดีแล้วแกรนเชลล์ ข้าจะได้ออกไปสูดอากาศเสียบ้าง ตั้งแต่กลับมาจากสนามรบข้าต้องนั่งรากงอกอยู่กับกระดาษพวกนี้ เบื่อ!”

ได้ทีก็สาธยายเสียให้หายแค้น เอาเถอะ อย่างไรเสียน้องชายสุดที่รักของเขาคนนี้คงไม่ใจร้ายใจดำปฏิเสธอยู่แล้ว

แต่มันจะจริงเร้อ…

“เสด็จพี่ ข้าไม่ได้เข้ามาทำงานแทนท่านนะพะย่ะค่ะ”

นั่นปะไร

“ที่มาเพราะจะมาส่งข่าวหรอก”

“ว่า…”

“พระคู่หมั้นของเสด็จพี่มาถึงแล้วนะพะย่ะค่ะ”

“คู่หมั้นของข้า?”

“เจ้าหญิงสแวนด้า เมเดอร์โนอาร์ เอสทีอัสที่สิบสาม ว่าที่ชายาของพระองค์อย่างไรเล่าพะย่ะค่ะ”

โทรเฟ่นอยากล้มลงกองกับพื้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด ชีวิตนักรบเจ้าสำราญรักอิสระยิ่งชีพอย่างเขาจะต้องจบลงเพราะการมีชายาหรือนี่ ช่างรันทดนัก แบบนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากการจงใจตัดแขนขากันน่ะสิ!

“เสด็จพี่พะย่ะค่ะ…เสด็จพี่?”

แกรนเชลล์ชักคิ้วขมวดมองหน้าพี่ชายด้วยความฉงนสงสัย นี่พี่ชายของเขาดีใจจนพูดไม่ออกเลยหรือ แต่ก็สมควรที่จะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ เพราะเจ้าหญิงองค์นั้นงดงามไร้ที่ติ กระทั่งแกรนเชลล์เองก็ยังหลงแม้ได้เห็นนางผ่านภาพวาดสีน้ำมันก็ตาม

“แกรนเชลล์ ช่วยอะไรข้าสักอย่างสิ”

“พะย่ะค่ะ?”

แกรนเชลล์รับปากอย่างว่าง่าย ยังไงก็คงหนีไม่พ้นการสะสางกองกระดาษพวกนี้ให้หมดไปจากห้องเป็นแน่ โทรเฟ่นจ้องมองน้องชายตาเป็นประกาย พลางยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างปลาบปลื้มกับความคิดพิสดารที่เพิ่งผุดขึ้นมาในหัวสดๆร้อนๆ

“แกรนเชลล์น้องรัก” ว่าพลางวางมือบนไหล่สองข้างของน้องชายเหมือนฝากความหวัง แต่มันคงเนียนจนน่ากลัวไปหน่อย ถึงทำให้น้องรักของเขาหน้าซีดไปเสียอย่างนั้น

“เสด็จพี่มีอะไรหรือพะย่ะค่ะ”

“เจ้าช่วยไปต้อนรับเจ้าหญิงสิบสามอะไรนั่นแทนข้าทีนะ”

“หา!”

“นี่คือคำขอร้องจากพี่ชายเชียวนะ”

“สะๆๆๆ…เสด็จพี่! ข้าไม่รับคำขอร้องนี้พะย่ะค่ะ!”

“เซดริก!”

โทรเฟ่นไม่สนคำร้องขัดแย้งจากน้องชายและเอ่ยเรียกชื่อมังกรตัวโปรด สิ้นคำมังกรสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเทียบบานหน้าต่าง ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังมัน ขณะที่แกรนเชลล์ละล่ำละลักรั้งเขาเอาไว้อย่างร้อนรน

“เสด็จพี่! ท่านจะทิ้งภาระนี้ให้ข้าไม่ได้นะพะยะค่ะ!”

“ใครว่าไม่ได้กัน เจ้าหญิงองค์นั้นงดงามมิใช่หรือ แล้วไยน้องข้าจะปฏิเสธลง”

“ตะ แต่นางเป็นคู่หมั้นของพระองค์…”

“ข้าไม่มีคู่หมั้นและไม่คิดจะมีชายา หึ…ไปก่อนนะ”

พูดจบมังกรตัวเขื่องนามเซดริกก็พาเจ้านายเหนือหัวของมันบินหายไปด้วยความเร็วที่ใครก็ไม่อาจเทียบ ปล่อยให้แกรนเชลล์มองตามได้เพียงเงา

ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเงินได้แต่ยืนมองการจากไปของพี่ชายและมังกรตัวโปรดอย่างอ่อนใจ ตกลงเขาต้องไปรับหน้าเจ้าหญิงจากต่างแดนผู้นั้นจริงๆหรือนี่

ถึงจะมีอายุยืนยาวนับร้อยนับพันปี แต่เทพก็ยังเติบโตและนับอายุตามหน้าตาและการศึกษา แกรนเชลล์เพิ่งจะย่างเข้าสู่วัยหนุ่มยี่สิบ(ห้าร้อยปี)และอีกสามวัน ซึ่งเป็นอายุที่ค่อนข้างใกล้เคียงเจ้าหญิง สแวนด้า เมเดอร์โนอาร์ เฮสทีอัสที่สิบสาม หญิงงามผู้เลอโฉมซึ่งมีวัยเพียงสิบเก้า(สองร้อยแปดสิบ)ต้นๆ

ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ถูกประดับประดาไว้สำหรับแขกเหรื่อนับร้อย แต่ทว่าการมาของเจ้าหญิงจากต่างแดนนั้นช่างเงียบเหงา มีเพียงนางสนมและองครักษ์เพียงสองคนที่ติดตามและ…ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินที่นั่งอยู่ตรงหน้าในฐานะเจ้าบ้าน

“ท่านคือ…?” หญิงสาวเอียงศีรษะเป็นเชิงถาม

“นามของข้าคือ แกรนเชลล์…ต้องขออภัยที่มาต้อนรับท่านเพียงคนเดียว พี่ชายของข้ามีภารกิจเร่งด่วนจึงไม่สะดวกที่จะมาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง”

แกรนเชลล์พยายามวางตัวให้สมกับเป็นเจ้าบ้านอันทรงภูมิ ถึงบางคำพูดจะเป็นการโกหกเธอผู้นี้เสียใหญ่หลวงก็เถอะ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อพี่ชายตัวแสบได้หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว

หญิงสาววัยแรกแย้มเจ้าของเรือนผมและดวงตาสีเงินกำลังจ้องมองแกรนเชลล์ราวกับมองเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกก็ไม่ปาน ยิ่งมองใกล้เธอก็ยิ่งงดงามยิ่งกว่าอาภรณ์เนื้อดีและเครื่องประดับสูงค่าใดๆ แต่ยิ่งมองก็ยิ่งหลงเสน่ห์จนละสายตาไม่ได้เสียอย่างนั้น

“องค์หญิงสิบสาม…”

“เรียกข้าว่าเมเด้นเถอะ เจ้าชายแกรนเชลล์”

แกรนเชลล์ลุกเดินอ้อมมาหยุดอยู่ข้างหญิงสาวก่อนจะคุกเข่าข้างหนึ่งและยื่นมือออกไปหาเธอ “เมเด้น…หากเจ้าไม่รังเกียจข้าจะพาเจ้าเดิมชมพระราชวังแห่งแดนกลางของเรา”

“ด้วยความยินดีเพคะ”

เจ้าหญิงเมเด้นตอบรับพร้อมยื่นมือมาจับมือของอีกฝ่ายด้วยท่าทางเหนียมอาย แกรนเชลล์ไม่ให้ทหารติดตามเช่นเดียวกับเธอที่ส่ายหน้าบอกให้องครักษ์ยืนรออยู่ที่เดิม และดูท่าการเดินเล่นโดยไร้ซึ่งผู้ติดตามนี้จะทำให้ราชอาคันตุกะอย่างเจ้าหญิงสิบสามนามเมเด้นพึงพอใจยิ่งนัก ซึ่งทำให้เจ้าบ้านอย่างแกรนเชลล์รู้สึกเบาหวิวเหมือนยกภูเขาออกจากอก แทบจะลืมคิดถึงพี่ชายที่ป่านนี้ไม่รู้เตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

ในดินแดนเทพแบ่งเขตปกครองออกเป็นแคว้น แต่ละแคว้นย่อมมีกษัตริย์ปกครอง รวมทั้งแคว้นเหนือซึ่งเป็นอาณาจักรของเทพ ไฮเพอทีอัส คาร์ลอส อิคิออน ราชาผู้ร่วมรบในสงครามทุกยุคทุกสมัย ที่สำคัญเขาคือสหายเพียงหนึ่งเดียวที่โทรเฟ่นสนิทชิดเชื้อด้วย หากยามไร้ซึ่งสงคราม โทรเฟ่นก็มักจะหนีงานราชการมาดื่มกับสหายผู้นี้เสมอ และตอนนี้สหายเขาก็กำลังจะได้รับขวัญทายาทคนแรกซึ่งจะถือกำเนิดจากครรภ์ของชายาอันเป็นที่รัก

“ยินดีด้วย คาร์ลอส อีกไม่กี่วันเจ้าก็ได้เป็นพ่อแล้ว”

“หึๆๆ ไม่ต้องมานอกเรื่องเลยดีกว่าเจ้าหนูโทรเฟ่น มาแสดงความยินดีกับข้ากะทันหันเช่นนี้ คงจะหนีอะไรมาอีกสิท่า”

ราชาแห่งแคว้นเหนือนามคาร์ลอสเอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงอันทรงภูมิดูสมวัยที่ย่างเข้าสามสิบ(พันเจ็ดร้อย)ต้นๆ ถึงจะเป็นสหายที่ร่วมรบมาตั้งเท่าไหร่แต่เขาก็ยังมองโทรเฟ่นเป็นเพียงเด็กอยู่ร่ำไป อาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มผมสีม่วงคนนี้อายุน้อยกว่าเขามากจึงทำให้คิดว่าเป็นน้องมากกว่าสหาย

พอได้ฟังคำถามจี้ใจดำเข้าชายหนุ่มก็สวนกลับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายพอๆกับสีหน้าท่าทางที่ดูจะละเหี่ยใจสุดๆ

“ข้าเบื่อ คาร์ลอส ข้าอยากออกรบไม่ใช่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ที่สำคัญข้าไม่อยากเป็นราชา”

“ท่าทางเจ้าจะอยู่ในสนามรบจนชินชาแล้วสินะ”

โทรเฟ่นไม่ตอบและกระดกไวน์ขาวเข้าปากจนหมดแก้ว เหตุผลที่เขาโผล่มากะทันหันเช่นนี้มีหรือคาร์ลอสจะไม่รู้ แต่จะกล่าวถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้ว่าที่ราชาหนุ่มต้องขุ่นเคืองใจก็ใช่เหตุ สู้เล่าเรื่องสนุกๆให้ฟังจะดีกว่า

“ข้าได้ยินมาว่าราชาปีศาจทรงประชวรหนัก”

“หืม…ตาแก่หนังเหนียวนั่นป่วยเป็นกับเขาด้วยรึ”

“หึ ไม่ใช่แค่ป่วยกายหรอก ท่าทางจะตรอมใจที่โอรสเพียงหนึ่งเดียวหายสาบสูญไปด้วยนะ แล้วก็ตอนนี้แดนปีศาจก็กำลังวุ่นวายเพราะพวกที่คิดจะแย่งชิงบัลลังก์พยายามระดมกำลังเพื่อต่อต้านกันเอง”

“อืม…โอรสหายสาบสูญก็คงลำบากล่ะสิ หึ”

โทรเฟ่นกลั้วหัวเราะในลำคอ ราชาปีศาจซิลเวอร์ อัลไทน์ คารากัส ผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความน่าเกรงขาม เป็นเผ่าพันธุ์ที่โทรเฟ่นไม่เคยมีสงครามด้วยเพราะเป็นพันธมิตรกับดินแดนต่างๆรวมทั้งแคว้นเหนือของคาร์ลอส ราชาปีศาจมีโอรสเพียงหนึ่งเดียวซึ่งนับตอนนี้ก็คงจะเท่าๆกับโทรเฟ่น แต่การหายสาบสูญไปจากแดนปีศาจอย่างไร้ร่องรอยแบบนั้นก็ยากที่จะคาดเดา ซึ่งมันก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว

“คงจะตายไปแล้วกระมัง”

“เจ้าคิดอย่างนั้นรึ”

“ก็หายสาบสูญไปเสียขนาดนั้นนี่นะ คิดว่าจะรอดพ้นจากสายตาพวกมือสังหารไปได้หรือยังไง”

“เจ้าคิดง่ายไปแล้วโทรเฟ่น อย่าลืมสิว่านั่นคือเจ้าชายแห่งแดนมิคสัญญีเชียวนะ”

“เจ้าพูดเหมือนรู้?...” โทรเฟ่นหยั่งเชิงปรายตามองสหายต่างวัยด้วยความสงสัยระคน

คาร์ลอสใช้นิ้วจุ่มลงไปในแก้วไวน์และนำหยดไวน์เพียงน้อยนิดออกมาวาดวงกลมลงบนโต๊ะ พลันเกิดเงาสะท้อนสีน้ำเงินดุจห้วงมหาสมุทร

“ดูเสียสิ” ว่าพลางหลุบตาลงต่ำสะกิดให้อีกฝ่ายมองตาม

โทรเฟ่นชะโงกหน้ามองลงไปยังกระจกเวทของคาร์ลอส พื้นราบเรียบสีน้ำเงินวูบไหวฉายภาพปราสาทสีขาวตั้งอยู่กลางป่า แม้จะงดงามและดูยิ่งใหญ่เพียงใดแต่ก็หาได้มีราชาปกครอง…ไม่สิ!.. ปราสาทนั่นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ด้วยซ้ำไป

“เจ้าจะให้ข้าดูปราสาทร้างไปทำไม”

“ดูให้ดีสิ…บนหอคอยนั่นน่ะ”

คาร์ลอสรบเร้าให้มองต่อ โทรเฟ่นจำต้องชะโงกหน้าลงไปอีกครั้ง มันนำพาสายตาของเขาไปยังหอคอยของปราสาทและทะลุเข้าไปด้านใน และสิ่งที่อยู่ในหอคอยนั้นก็ทำให้เขาชะงักงัน

“นะ…นี่มัน!”

สิ่งที่อยู่ในหอคอยนั้นคือร่างเพรียวบางของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีผมหยักศกสีทองยาวเลยสะโพกลงมา ชุดลูกไม้สีขาวยาวลากพื้นแต่ยังมีที่เว้าแหว่งเล็กน้อยเหมือนจงใจเพื่อการเคลื่อนไหวได้สะดวกยังไงอย่างนั้น พร้อมทั้งยังมีเครื่องประดับสีเงินชิ้นเล็กๆห้อยคอช่างดูคุ้นตา เสียทีแต่มองไม่เห็นใบหน้าเพราะเธอผู้นั้นหันหลังให้ เธอกำลังก้มๆเงยๆทำอะไรบางอย่างอยู่ข้างเตียงซึ่งมีใครคนหนึ่งนอนหลับตานิ่งไม่กระดิก ใบหน้าคมคายขาวจนออกซีดมีเส้นผมสีดำปิดบังใบหน้าซีกซ้ายไว้ทั้งหมด ถึงจะเห็นเพียงใบหน้าหลับใหลและเส้นผมสีดำก็สามารถรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นผู้ชาย และความทรงจำของโทรเฟ่นก็ยังประมวลผลได้ดีเยี่ยม คนที่นอนอยู่ตรงนั้นช่างเหมือนราชาปีศาจไม่มีผิด!

“อย่าบอกนะว่าเจ้านั่น…” พูดพลางช้อนตามองไปยังผู้ที่นั่งกอดอกหลับตาอยู่อย่างสุขุม

คาร์ลอสผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะตอบว่า

“ใช่…นั่นคือเคโอเรสเตอร์ คารากัส โอรสเพียงหนึ่งเดียวของซิลเวอร์ อัลไทน์ คารากัส…เจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่โทรเฟ่น แถมอยู่สุขสบายดีด้วย”

โทรเฟ่นจ้องเงาที่สะท้อนในกระจกเวทเขม็ง สงสัยนักว่าหญิงสาวที่เฝ้าดูแลเจ้าชายปีศาจเป็นใคร ทันใดนั้นร่างบางในชุดขาวก็หันมาให้เขาได้ยลกับใบหน้านวลผ่อง

“เป็นไปไม่ได้…” น้ำเสียงโทรเฟ่นขาดช่วงไป เขาจำได้ไม่เคยลืมและจะไม่มีวันลืมได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะดวงตาสีอำพันดุจดังพระจันทร์วันเพ็ญคู่นั้น

“เฮเลียส!”

“รู้จักรึ”

“อย่าบอกนะว่าเจ้านั่นอยู่กับ…!”

“อยู่กับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์นางนั้นก็เป็นถึงเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งแดนตะวันออก แถมยังเป็นผู้มีชีวิตอมตะเสียด้วย”

“ชีวิตอมตะรึ มนุษย์เนี่ยนะ”

“ใช่ มนุษย์กึ่งเอลฟ์ แถมยังมีโลหิตปีศาจไหลเวียนอยู่ในกายด้วย….แต่ก็นะ…”

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่โทรเฟ่นเห็นสหายต่างวัยของตนมีสีหน้าลำบากใจเหมือนกลืนยาขม คาร์ลอสมีท่าทีเหมือนกำลังคิดหาทางหนีทีไล่ยังไงอย่างนั้น

“ท่าทางเจ้าเหมือนกำลังลำบากใจ?”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“ข้าเกลียดคนโกหก หวังว่าเจ้าคงจำได้”

คำพูดไม่กี่คำจากโทรเฟ่นสามารถต้อนคาร์ลอสให้จนมุมได้อย่างง่ายดาย ราชาแห่งแคว้นเหนือหลับตาลงพร้อมถอนหายใจจนหมดปอด ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องลำบากใจไร้ทางออกให้กับสหายหนุ่มฟังอย่างละเอียดยิบ

ปึง!

“เกิดเรื่องบ้าแบบนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”

“ใจเย็นก่อนโทรเฟ่น แค่นี้ข้าก็กลุ้มพออยู่แล้ว”

คาร์ลอสรีบยกมือปรามสหายคนสนิทที่เริ่มจะสติแตก โทรเฟ่นหลับตาข่มอารมณ์และนั่งลงที่เดิมอย่างเก็บกด ก่อนจะพูดรอดไรฟันเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ป่า

“เล่ามาให้หมดคาร์ลอส พวกปีศาจต้องการจะทำอะไร”

“จากที่พวกมันเล่ามาก็ตีความหมายได้เพียงหนึ่ง…คือการกำจัดเจ้าชายปีศาจ”

“แล้วไงต่อ”

“ตอนนี้พวกมันรู้แล้วว่าเจ้าชายอยู่ที่ไหน เสียทีแต่พวกมันไม่สามารถข้ามมิติไปได้เพราะประตูถูกทำลายไปแล้ว ข้าส่งทหารไปสืบสาวเรื่องนี้อยู่ พวกมันกำลังสร้าง‘ประตูมิติ’บานใหม่และใกล้จะสำเร็จแล้วด้วย”

“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมเจ้าไม่บอกให้ข้ารู้!”

“สำคัญรึ?”

“ใช่…สำคัญ”

โทรเฟ่นตอบเสียงแผ่วจนเรียกได้ว่ากระซิบ เขาไม่ได้ตั้งใจจะไร้เหตุผลแล้วเอาอารมณ์มาลงที่คาร์ลอส เพราะพอย้อนกลับมาทบทวน คนที่ต้องกลืนยาขมน่าจะเป็นคาร์ลอสเสียเอง คงไม่ลืมหรอกนะว่าดินแดนเทพทางตอนเหนือที่คาร์ลอสปกครองอยู่เป็นพันธมิตรกับราชาแห่งแดนปีศาจ เรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าเขาต้องรับรู้ และมันก็ทำให้เขาลำบากใจมากพอดู เหตุผลที่ทำให้แม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวกลายเป็นคนขี้ระแวงแบบนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นชายาที่ใกล้จะให้กำเนิดทายาท หากเขาออกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้วหญิงผู้เป็นที่รักและลูกที่กำลังเกิดมาของเขาล่ะ จะมีใครรับรองหรือเปล่าว่าเธอผู้นั้นและลูกจะปลอดภัยและจะไม่ถูกตลบหลัง มันคือความระแวงที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจของคนที่กำลังเป็นพ่ออย่างนั้นหรือ

“ช่วยบอกเหตุผลสำคัญกับข้าหน่อยเป็นไร ไฮเพอรีเนอร์”

ดีที่คาร์ลอสกลายเป็นคนที่ใจเย็นลงบ้าง เขากอดอกพลางย้อนถามโทรเฟ่นที่กำลังสติแตกอย่างใจเย็น ชายหนุ่มผู้ถูกขานนามซะเต็มยศเริ่มกระอึกกระอักใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ

“ว่ายังไงโทรเฟ่น พอจะบอกข้าได้หรือเปล่า” คำถามนั้นเหมือนคาดคั้น และคงไม่เลิกราจนกว่าจะได้คำตอบเป็นแน่แท้

“ผู้หญิง…”

“หือ”

“ผู้หญิงคนนั้น…คนที่อยู่กับเจ้าชายปีศาจ นางคือคนที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้น่ะสิ!”

“หืม”

คาร์ลอสยิ้มกรุ้มกริ่มพลางคิดว่านี่น่ะหรือนักรบผู้เสพสุขสงคราม นี่น่ะหรือแม่ทัพผู้ห้าวหาญ และนี่น่ะหรือราชาที่อยากผันตนเป็นคนจรไร้ซึ่งหัวใจและความรู้สึกต่อคนรอบข้าง แล้วตอนนี้ทำไมทุกอย่างถึงได้เดินสวนทางกับท่าทีของชายหนุ่มนัก

“เจ้ากลายเป็นคนใส่ใจคนรอบข้างไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันโทรเฟ่น”

“กะ…ก็ ข้าเป็นถึงเทพว่าที่ราชา เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้จะให้ข้าอยู่เฉยรอแก้ปัญหาด้วยสงครามได้ยังไง อีกอย่างเรื่องนี้เจ้าก็ลงไปจัดการเองไม่ได้เสียด้วย ถือซะว่าข้าช่วยทำแทนเจ้าเป็นยังไง”

คาร์ลอสชักมุมปากยิ้ม ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่า ชายหนุ่มตรงหน้าคือเทพนักรบผู้ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากเถ้าถ่านของมังกรจริงหรือเปล่า

การถือกำเนิดของ ไฮเพอรีเนอร์ โทรเฟ่น เดอรีช การ์ดิโอเปีย ไม่ได้มาจากความรักและการปฏิสนธิระหว่างเทพ แต่เขาเกิดขึ้นมาจากเถ้าถ่านของมังกรที่สิ้นชีพกลางสนามรบในรอบพันปี เพราะเหตุนี้ทั้งสีปีกสีผมจึงไม่เหมือนเทพองค์อื่นแต่ที่ได้เข้ามาอยู่ในราชวังแดนกลาง เป็นพี่ชายของเจ้าชายแกรนเชลล์และได้เป็นถึงว่าที่ราชา ก็เพราะว่าขี้เถ้าที่ให้กำเนิดโทรเฟ่นขึ้นมานั้นคือขี้เถ้าจากมังกรซึ่งเป็นพาหนะคู่กายของราชาองค์ก่อน เขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่าหัวใจซึ่งก็เป็นธรรมดาสำหรับเทพที่มีชีวิตพิศวง เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสนามรบมาตั้งแต่เด็กซึ่งแตกต่างจากแกรนเชลล์โดยสิ้นเชิง

ทว่า…ดูตอนนี้สิ เทพผู้เสพสุขกับสงครามยิ่งชีพกลับมีสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก (ด้านดี) ขึ้นมาอย่างน่าประหลาดโดยเฉพาะดวงตาระริกไหวที่จับจ้องร่างบางที่สะท้อนอยู่ในกระจกเวทอย่างไม่ละจาก มันช่างเหมือนแววตาที่คาร์ลอสมองชายาผู้เป็นที่รักเหลือเกิน

“เจ้าเปลี่ยนไปนะ”

“ยังไง”

“ก็…ไม่มีอะไร เพียงแต่ตอนนี้ท่าทางของเจ้ามันทำให้ข้าทึ่ง…ก็เท่านั้น”

คาร์ลอสไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ตรงกับความจริงตรงหน้า บางทีเขาอาจโชคดีที่ได้เห็นของแปลก เห็นบางอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรทำนองนั้น

กึกๆๆๆ…เพล้งงง!!!!

พลันขวดไวน์หล่นแตกกระจายขณะที่โต๊ะยังสั่นกึกกัก ซึ่งต้นตอของแรงสั่นสะเทือนนี้ก็มาจากสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกระจกเวทนั่นเอง

“พวกมันลงมือเร็วกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก”

คาร์ลอสพึมพำพลางใช้มือข้างหนึ่งประคองกระจกเวทไม่ให้แตก โทรเฟ่นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆตาก็จ้องมองภาพหญิงสาวที่สะท้อนในกระจกเวทไม่กะพริบ เธอคนนั้นกำลังหนีพวกปีศาจที่เข้ามาจู่โจมนับสิบตน ดูจากไหวพริบของเธอแล้วแทบไม่อยากเชื่อเลยว่านั่นคือมนุษย์ผู้หญิง แต่ถึงอย่างไรก็ช่าง หากไม่มีเจ้าชายปีศาจเคโอเรสเตอร์ผู้นั้นคอยป้องกันให้เธอก็คงแย่ แต่นั่นก็ไม่เห็นว่ามันจะดีขึ้นเมื่อพวกผู้บุกรุกเล่นแห่กันมาเป็นโขยงแบบนั้น

“นั่นเจ้าจะทำอะไร โทรเฟ่น!”

คาร์ลอสละสายตาจากกระจกเวทไล่สายตามองแผ่นหลังไวๆของชายหนุ่มผมสีม่วงที่ลุกพรวดออกไปไม่ฟังเสียง โทรเฟ่นวิ่งไปริมหน้าผาเตรียมที่จะกางปีกสีดำของตนเพื่อลงไปโลกมนุษย์ ทว่า มังกรคู่ใจนามเซดริกก็โผล่มาเทียบท่าอย่างรู้งาน ดวงตาสีทองวาวโรจน์จ้องมองมายังนายเหนือหัว โทรเฟ่นไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเอ่ยปากห้ามเพราะรู้ดีว่ามันคงตามไปด้วยอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะห่วงเขาแต่มันได้กลิ่นการต่อสู้และอยากร่วมวงต่างหาก พอคิดอย่างนั้นจึงกระโดดขึ้นไปยืนบนหัวของมันพร้อมออกคำสั่งเสียงดังเหมือนจะตอบคำถามคาร์ลอสกลายๆ

“ไปโลกมนุษย์กันเถอะ เซดริก!”

มังกรสีดำตัวเขื่องเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าที่วิ่งผ่านกลีบเมฆ คาร์ลอสได้แต่ยืนอึ้งพูดไม่ออก ไม่บอกก็รู้ว่าเขาจะลงไปที่โลกมนุษย์เพื่ออะไร ท่าทางเทพนักรบกับมังกรคู่ใจจะระอากับชีวิตสงบสุขเต็มทีถึงได้หาเรื่องใช้กำลังไม่เลือกสถานการณ์เช่นนี้ แต่อีกนัยหนึ่งมันก็ทำให้เขาสนใจขึ้นมาถึงการเปลี่ยนแปลงของสหาย โทรเฟ่นเปลี่ยนไปจริงๆเสียด้วย นั่นอาจเป็นเพราะหญิงสาวที่สะท้อนอยู่ในกระจกเวทนี้ก็เป็นได้

เหตุการณ์ช่างเกิดขึ้นเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน เฮเลียสรอดพ้นจากคมดาบที่พุ่งเข้ามาเล่นงานจากด้านหลังได้อย่างหวุดหวิด นี่หากไม่ใช่เพราะฝึกปรือฝีมือมาตั้งแต่เด็กเธอก็คงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้แน่ ชายชุดดำนับสิบคนทยอยออกมาจากช่องเล็กๆสีดำกลางอากาศ พวกนั้นทำลายเกราะกำบังโปร่งแสงที่เคโอเรสเตอร์สร้างไว้จนแตกละเอียดและแทรกตัวเข้ามาในปราสาทได้สำเร็จ จุดประสงค์ของการโจมตีครั้งนี้เฮเลียสไม่อาจคาดเดาได้ถูกเพราะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครมาหลายทศวรรษแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่พวกมันคือปีศาจ ทันใดนั้น เจ้าชายปีศาจที่ถูกรบกวนการพักผ่อนอันน่ารื่นรมย์ก็สบถกร่นด่าออกมาเบาๆพร้อมกับชะงักฝีเท้าเมื่อพบว่าปีศาจนับสิบตนได้ล้อมปิดทางหนีเอาไว้เสียสนิท

“ชิ อุตส่าห์ทำลายประตูไปแล้วแท้ๆ ยังตามมารังควานไม่เลิกอีกรึ”

“เคออน พวกนี้คือใคร”

หญิงสาวเอ่ยถามอย่างหวาดหวั่น เคโอเรสเตอร์กันเธอไว้ด้านหลังพร้อมกางกรงเล็บสีดำเลื่อมออกมาเตรียมพร้อมที่จะเชือดคอใครก็ตามที่เข้ามาประชิด ชายหนุ่มพึมพำพอเป็นเสียงให้เธอได้ยินผ่านๆว่า

“พวกโลกปีศาจน่ะ”

“แล้วทำไมต้องมาทำร้ายเราล่ะ เจ้าเองก็เป็นปีศาจเหมือนกันไม่ใช่รึ”

“ก็เพราะว่ามันต้องการฆ่าข้ายังไงล่ะ”

“เพราะอะไร”

“เอาไว้ข้าจะบอกเมื่อเรารอดไปจากที่นี่ อย่าห่างข้านะเฮเลียส สู้ไปก็สิ้นคิด เราต้องหนี!”

เฮเลียสพยักหน้าตอบรับอย่างเงียบงัน เธอรู้ว่าเคโอเรสเตอร์คือปีศาจแต่ก็ไม่คิดจะถามที่มาของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว และหลายร้อยปีที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นปีศาจตนอื่นนอกจากเคโอเรสเตอร์เลยด้วย ทว่าบัดนี้ พวกมันได้อยู่ตรงหน้าเธอ บางตนก็มีปีกมีเขี้ยวมีลวดลายประหลาดๆและสารพัดอาวุธที่แนบเนื้อติดตัวราวกับว่าเป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกัน

“ประหลาดสิ้นดี พวกปีศาจมีแต่พวกไม่สมประกอบหรือไงนะ”

“ปากเหรอนั่นน่ะ!”

“ข้าพูดตามที่เห็น”

เคโอเรสเตอร์ขมวดคิ้วมุ่นที่จู่ๆเฮเลียสก็ดันไปว่าเผ่าพันธุ์ของเขาซะเสียหาย ซึ่งมันก็คงรวมตัวเขาไปด้วย พลันชายหนุ่มหน้าตาดีกว่าใครเพื่อนก้าวเดินออกมาจากกลุ่มและยืนเผชิญหน้าพร้อมทั้งยกมือขวาทาบอกซ้ายโค้งงามๆให้หนึ่งที

“ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะขอรับ เจ้าชาย”

“โอแลมป์!”

เคโอเรสเตอร์เอ่ยนามชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็ยังไม่วางใจที่จะเก็บกรงเล็บและจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ยากคาดเดา เฮเลียสมองผ่านไหล่เจ้าชายปีศาจพิจารณาชายหนุ่มผู้นั้นอย่างละเอียด ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวซีด ตาสีแดงดุจอัญมญีน้ำงาม ผมสีดำยาวระต้นคอกระเซิงเล็กน้อยบวกกับตุ้มหูรูปไม้กางเขนสีเงินข้างเดียวนั่นทำให้เขาดูดีเหมือนเสือผู้หญิง และมันคงจะเป็นอย่างหลังมากที่สุดเมื่อตาสีแดงของชายหนุ่มจับจ้องมาที่เธออย่างสนอกสนใจ

“ท่านหญิงผู้นี้คือ…” โอแลมป์กล่าวค้างพลางเหล่ตามองเจ้าชายปีศาจเหมือนขอคำตอบกลายๆ แต่เสียทีที่เจ้าตัวเขาไม่คิดจะเล่นด้วยและขยับเข้ามาบังร่างหญิงสาวเอาไว้จนมิด โอแลมป์ได้เห็นดังนั้นก็ยิ้มจนตาหยี ผิวปากเหมือนแซวให้เขิน แต่สำหรับเคโอเรสเตอร์มันคือรอยยิ้มเคลือบยาพิษดีๆนี่เอง และก็เป็นไปตามคาด เมื่อปีศาจตนหนึ่งเข้ามากระชากเฮเลียสจากด้านหลัง

หมับ!

“มนุษย์รึ?” เสียงปีศาจครางในลำคอต่ำ แต่ไม่ทันที่มันจะได้ลากเธอไปพิจารณาใกล้ๆ แม่สาวตัวแสบก็แผลงฤทธิ์ทันทีโดยการเตะเชยคาง

“อย่า…มาแตะต้องตัวข้านะเจ้าปีศาจสกปรก!”

ผัวะ!

แอ๊ก!

ร่างสูงใหญ่ล่ำสันของปีศาจหน้าเหี้ยมล้มหงายไปนอนแผ่เป็นปลาแห้งบนพื้นอย่างสิ้นสติ ขณะที่ท่อนขาเรียวงามของหญิงสาวยังค้างเติ่งอยู่ในท่าเตะอันสวยงาม(แถมสูง) เป็นอาหารตาให้กับพวกที่ยังยืนนิ่งตาแทบถลนออกมาจากเบ้า

“เฮเลียส!”

เคโอเรสเตอร์ปรามเสียงหลงเมื่อพบว่าหญิงสาวได้กระโดดถีบปีศาจอีกสองตนที่พุ่งเข้ามาหาจนล้มหงายไปทั้งคู่

“ไม่ต้องห้ามข้าเคออน! เจ้าพวกไม่สมประกอบนี่มันใช้สายตาลามเลียข้าก่อนนะ”

ก็เล่นเตะสูงเสียขนาดนั้นนี่นะ แต่ดูท่าพูดไปก็คงไม่ฟังเสียแล้ว… เคโอเรสเตอร์มองอย่างละเหี่ยใจและยอมตะลุมบอนไปพร้อมกับเธออย่างไม่มีทางเลือก

“น่าสนใจดีนี่”

โอแลมป์ยิ้มหวานเหมือนเจอของเล่นถูกใจแต่ก็ยังยืนกอดอกมองดูการตะลุมบอนซึ่งไม่รู้ว่าฝ่ายไหนได้เปรียบ จนกระทั่ง….

ผัวะ! พลั่ก! ตุ้บ! โครมมมมม!!!!

ปีศาจนับสิบที่เข้าไปหมายจะรุ่มทึ้งร่างหญิงสาวได้ถูกโยนออกมากองทับถมกันเหมือนกองผ้า

“ทีแรกข้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนไม่สมประกอบซะอีก แสดงว่าข้าคิดผิดสินะ”

เฮเลียสที่ยืนจังก้าอยู่บนกองปีศาจนับสิบตนบ่นพึมพำ โดยมีเจ้าชายปีศาจยืนฟังอย่างเงียบเชียบ ท่าทางเธอจะยอมรับแล้วว่าพวกนี้คือปีศาจ

แต่เปล่าเลย…

“ข้าคิดผิดจริงๆสินะ ที่จริงพวกเจ้ามันก็แค่ลูกเจี๊ยบเท่านั้นเองนี่”

เฮ้ยยยยย!!

เคโอเรสเตอร์เกือบล้มหน้าทิ่มเพราะคำพูดเย่อหยิ่งเหยียดหยามของเจ้าหญิงสายเลือดมนุษย์ พอหันไปมองโอแลมป์ก็พบว่าเขามีสีหน้าอึ้งไปพักหนึ่งเหมือนกัน ก็นะ…เล่นพูดซะเสียชาติเกิด แถมคนที่พูดดันเป็นมนุษย์ผู้หญิงอีกต่างหาก

“น่าสนใจดีนี่ ท่านหญิง”

“ไม่ต้องมาชมข้า เจ้ามันก็ไม่สมประกอบเหมือนกันนั่นแหล่ะ เจ้าลูกเจี๊ยบไร้ขน”

เฮเลียสชี้หน้าโอแลมป์พร้อมทั้งสรรหาคำด่าสารพัดประโยคทับถมใส่ไม่ยั้ง โดยที่มีเคโอเรสเตอร์ยืนกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่เหมือนสตรีใดในหล้าจริงๆ แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของโอแลมป์ก็ยังนิ่งเฉยและยิ่งจะสนใจเธอมากขึ้นไปอีก

“ปากเจ้ามันเสียได้ใจข้าจริงๆ แบบนี้ค่อยน่าสนใจขึ้นมาหน่อย”

เจ้าชายปีศาจรู้สึกถึงรังสีประหลาดที่เข้ามาลามเลีย จึงรีบดึงหญิงสาวที่ยืนเท้าสะเอวอย่างเก่งกาจให้ถอยมาหลบอยู่ด้านหลัง

“อะไร”

“เงียบเถอะน่า” เสียงทุ้มเย็นของเจ้าชายปีศาจทำให้คนที่กำลังคึกถึงกับชะงักงัน และในชั่วพริบตานั้นก็รู้สึกถึงลมที่พัดเฉี่ยวแก้มไปแรงๆ เคโอเรสเตอร์สะอึกเมื่อรู้สึกว่าด้านหลังนั้นว่างเปล่า และเป็นไปตามที่คิดเมื่อเฮเลียสได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือโอแลมป์เรียบร้อยแล้ว

“ดูท่าจะช้าไปหน่อยนะ”

ฉึก!

“อึก!!!”

พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่แผ่นหลังพร้อมกับแรงกระตุกที่เหมือนถูกแทงเข้าอย่างจัง กลิ่นคาวเลือดปีศาจฉุนขึ้นจมูกพร้อมๆกับร่างที่โงนเงนจนล้มพับ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่ากำลังนั่งอยู่ในวงล้อมของปีศาจด้วยกัน

“โอแลมป์ เจ้า!”

“โอ๊ะโอ…อย่าขยับจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นข้าไม่รับประกันชีวิตน้อยๆของนางนะ”

“เจ้าต้องการอะไร”

“ก็ไม่ต้องการอะไร ที่มาก็แค่มีธุระนิดหน่อยเท่านั้น”

“ธุระ?”

“ก็…สาธิตการสังหารราชาปีศาจให้ท่านดูอย่างไรเล่า”

“เจ้าทำอะไรท่านพ่อของข้า!”

“อยากรู้จริงรึ ถ้าอยากรู้ข้าจะแสดงให้ดูผ่านร่างกายของหญิงสาวผู้นี้เป็นยังไง”

โอแลมป์บีบคอระหงของเฮเลียสอย่างไม่ไยดี ร่างเล็กบางลอยขึ้นเหนือพื้นดิน เท้าทั้งสองกวัดแกว่งในขณะที่มือทั้งสองข้างพยายามง้างมือที่เหนียวยิ่งกว่าตังเมออกจากคอเพื่อกอบโกยเอาอากาศหายใจ

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะเจ้าปีศาจสกปรก!”

“สั่งข้ารึ แต่เสียใจด้วยนะที่ข้าไม่อาจทำตามได้ ท่านมนุษย์ผู้เปราะบาง…!”

ทันใดนั้นโอแลมป์ก็ต้องเป็นฝ่ายชะงักงันเมื่อได้กลิ่นไอประหลาดที่ลอยออกมาจากตัวหญิงสาว

“นี่มัน…”

เฮเลียสใช้โอกาสที่มีอยู่เพียงน้อยนิดยกเท้ายันอกโอแลมป์จนชายหนุ่มต้องถอยร่นและปล่อยมือจากคอของเธอ

ปึก!

“อึก!”

แต่ก่อนที่เธอจะได้ใช้นิ้วเรียวยาวอันแสนภาคภูมิใจควักลูกตาสีแดงดั่งอัญมณีคู่นั้นออกมาเชยชม เคโอเรสเตอร์ที่ยันกายลุกและใช้เวทควันก็เข้ามาฉุดเธอขึ้นพาดบ่าและวิ่งไปด้วยความเร็วระดับปีศาจ ออกไปจากกลุ่มปีศาจที่ถูกม่านควันบดบังจนขยับไปไหนไม่ถูก

“ตามมันไป!”

เสียงโอแลมป์กร้าวขึ้นพร้อมกับม่านควันที่ถูกขจัดออกไปอย่างง่ายดาย เฮเลียสถูกเจ้าชายปีศาจลากถูลู่ถูกังมาตามทางที่แสนจะรกร้างมาหลายปีดีดัก เส้นทางนี้ไม่ได้ใช้มานานจึงเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ไม่ต่างจากป่า แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็เป็นเพียงด้านหลังของปราสาทซึ่งเคยเป็นสนามประลองฝีมือของเหล่าทหารในอดีตเท่านั้น

และการที่ถูกแบกปานกระสอบวิ่งหนีมาแบบนี้ทำให้เจ้าหญิงจอมคึกคะนองไม่สบอารมณ์ขนาดหนัก

“เคออนปล่อยข้านะ! ข้าจะกลับไปควักลูกตามัน!”

“จะบ้าไปแล้วรึ เจ้าจะกลับไปให้มันฆ่าตายรึไงกัน!”

“ไม่สน! เจ้าพวกนั้นบังอาจมาล่วงเกินข้าก่อน ข้าต้องเอาคืนอย่างสาสม!”

“ราห์ เฮเลียส!”

เคโอเรสเตอร์ขึ้นเสียงเอ่ยชื่อเต็มของเธอพร้อมวางเธอลงและเอามืออุดปากแม่สาวจอมโวยนั้นโดยเร็ว ก่อนที่จะลากเธอเดินไปตามเส้นทางที่รกครึ้มไปด้วยหญ้าที่สูงเกือบท่วมหัว แต่การหลบหนีก็ใช่ว่าจะราบรื่น เมื่อบาดแผลที่ได้รับเริ่มสำแดงฤทธิ์

“อุ๊บ! แค่กๆๆ!!”

“เคออน!”

ร่างโปร่งทรุดลงไปแทบกองกับพื้น ดีที่ใช้มือยันกับต้นไม้ข้างทางเพื่อประคองตัวเองได้ทัน เฮเลียสยกมือลูบแผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวเตะจมูกจนแทบอาเจียน

“เคออน…เคออน! เคออนข้าขอโทษ ข้าลืมไปว่าท่านบาดเจ็บ”

“หนี…เจ้าต้องรีบหนีไปจากที่นี่ ไปสิ”

“ไม่! จะให้ข้าทิ้งท่านไว้คนเดียวได้ยังไงกัน ข้าจะพาท่านไปเอง”

เฮเลียสตัดเสียงเฉียบและจับแขนคนร่างสูงกว่าตนขึ้นพาดไหล่และพยุงเดินไปอย่างทุลักทุเล ตอนนี้เจ้าชายปีศาจไม่เหลือแม้แต่แรงที่จะทรงตัวยืนด้วยซ้ำ

“อดทนไว้ก่อนนะ ข้าจะพาท่านไปที่ป่า ถ้าเข้าไปที่นั่นได้ล่ะก็…”

“เปล่าประโยชน์ พวกมันตามเข้าไปได้แน่ เจ้ารีบหนีไปคนเดียวมุ่งหน้าไปทางเหนือซะ สหายข้าอยู่ที่นั่นเขาต้องคุ้มครองเจ้าได้แน่”

“ข้าไม่ไปคนเดียวหรอก! อย่าพูดให้ข้าต้องทิ้งท่านเลยเคออน ข้าทำไม่ได้หรอก”

พูดพลางออกแรงพยุงคนร่างสูงกว่าเดินเลียบไปตามกำแพงของปราสาท อาศัยร่มเงาจากเงาของปราสาทและพงหญ้ารกครึ้มเพื่อบดบังแสงสว่างของดวงอาทิตย์ เพราะอะไรเฮเลียสเองก็รู้ดี

ปีศาจอย่างเคโอเรสเตอร์ไม่ถูกกับแสงสว่างเพราะเป็นปีศาจด้านมืด เขาจะไม่ออกมาเผชิญแสงแม้จะเป็นแสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์ยามเย็นก็ตาม เพราะนั่นเป็นการเผยจุดอ่อนของตัวเอง ปีศาจหนุ่มอยู่กับเธอมาหลายร้อยปีในฐานะของ ‘เงา’ เท่านั้น ซึ่ง ‘เงา’ อย่างเขาจะมีตัวตนก็ต่อเมื่อสิ้นแสง เขาอ่อนแอลงทุกวันซึ่งเขาเองก็ยอมให้เป็นเช่นนั้น เพียงเพื่อจะได้ตัดขาดกับโลกปีศาจและจบชีวิตลงที่โลกมนุษย์ ทั้งที่ตั้งใจไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ กลับมีพวกปีศาจตามมาราวีเสียได้ ช่างเหมือนเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยเดิมเสียจริง

“อึ้ก!”

พลันสะดุ้งกลั้นใจเมื่อเจ้าชายปีศาจได้กระอักเลือดออกมาพร้อมกับไอจนตัวงอทรุดลงไปกองกับพื้น ขณะที่เหล่าปีศาจไล่ตามมาติดๆ คงไม่มีทางเลือกนอกจากการเผชิญหน้า เฮเลียสชักกริชที่เก็บไว้ในซองหนังที่รัดต้นขาออกมาและเชือดคอปีศาจตนหนึ่งที่กระโจนเข้ามาจนมันล้มไปนอนชักกระตุกจมกองเลือดอยู่แทบเท้า ซึ่งการกระทำที่รวดเร็วนี้ทำให้ปีศาจตนอื่นๆได้แต่ยืนตีเป็นวงล้อมดูท่าทีอยู่ห่างๆ หญิงสาวจึงใช้โอกาสหันกลับไปพยุงเจ้าชายปีศาจเพื่อจะไปต่อ อีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียวเธอก็จะพาเขาเข้าไปในป่าต้องห้ามสำเร็จ แต่ทว่า…

หมับ!

“เฮเลียส!”

“หึๆๆๆ ท่าทางจะเป็นคนสำคัญจริงๆด้วยสินะ”

โอแลมป์โผล่พรวดเข้ามาจากไหนไม่อาจจับทิศทางได้ถูก และคว้าหมับที่คอหญิงสาวกระแทกเข้ากับต้นไม้ข้างทาง เคโอเรสเตอร์อ่อนแอเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง ลำพังตัวเขาตอนนี้ถึงจะมีพลังมากมายขนาดไหนก็ไม่สามารถใช้มันได้เลย

“ปล่อยนางซะ แล้วจะทำอะไรข้าก็เชิญ”

“สภาพแบบนั้นยังกล้ามาต่อรออีกรึ คิดว่าตัวท่านมีค่าขนาดนั้นเลยหรือไงเคโอเรสเตอร์ จะว่าไป สันดานดิบของปีศาจหายไปไหนหมดแล้วล่ะ หือ”

“โอแลมป์!”

“เอาล่ะ มาดูการแสดงสนุกๆกันดีกว่า ข้าจะแสดงให้ท่านดูเป็นบุญตา ถือซะว่าเป็นการดูใจพระบิดาของท่านก่อนจะตามไปเจอกันที่ยมโลกก็แล้วกันนะ”

พูดจบโอแลมป์ก็ใช้เล็บกรีดลงบนไหล่ขวาหญิงสาวและกดน้ำหนักคว้านลึกเข้าไปในเนื้ออย่างไร้ปราณี

“อะ…กรี๊ดดดดด!!!”

“เฮเลียส!”

“เป็นเสียงที่ไพเราะอะไรเช่นนี้ หึๆๆ ช่างน่าอภิรมย์กว่าการสังหารราชาเฒ่านั่นอีก”

“แฮ่กๆๆ…เจ้าปีศาจป่าเถื่อน”

“อดทนสมกับที่มีเลือดของปีศาจไหลเวียนอยู่ในร่างจริงๆ บาดแผลเท่านี้คงไม่ทำให้เจ้าถึงตาย แต่ก็นั่นล่ะ การแสดงของข้ายังไม่จบเสียหน่อย ปล่อยให้ตายง่ายๆก็ไม่สนุกน่ะสิ เอาล่ะ…มานับกันดีกว่าว่าพระบิดาของท่านโดนจิ้มไปกี่แผล เจ้าชาย”

โอแลมป์ยิ้มระรื่นไม่ต่างจากคนโรคจิต พร้อมทั้งใช้เล็บแหลมคมแทงทะลุไหล่ซ้ายของเฮเลียสจนติดกับผิวขรุขระของต้นไม้ด้านหลัง

ฉึก!

“อั๊ก!”

“โอแลมป์ แก!!!”

เฮเลียสยังมีสติ บาดแผลเท่านี้ไม่ทำให้เธอตายได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สาหัส ดวงตาสีอำพันอ่อนแสงเหลือบมองเจ้าชายปีศาจที่โกรธเลือดขึ้นหน้าลืมแม้กระทั่งบาดแผลและความเจ็บปวด

เคโอเรสเตอร์ยันกายลุกพุ่งเข้าหาโอแลมป์เหมือนราชสีห์หิวโซที่พุ่งเข้าหาเหยื่อ กรงเล็บเรียวยาวและแหลมคมที่สุดในหมู่ปีศาจด้วยกันตวัดเชือดเฉือนผ่านร่างของปีศาจที่เข้ามาขัดขวางจนขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างไร้ปราณี

ทว่า ความกล้าบ้าบิ่นนั้นย่อมมีขีดจำกัดของมัน ยิ่งกับปีศาจที่ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆก็ยิ่งทรุดหนัก ไม่ทันที่จะได้เข้าประชิดโอแลมป์ที่อยู่ห่างไม่ถึงเมตร สายตาก็เริ่มพล่าพร้อมกับเรี่ยวแรงที่หดหายไปอย่างรวดเร็ว

“อุ๊บ! แฮ่กๆๆ~”

“เฮ้ๆ อย่าฝืนดีกว่านะ ปีศาจด้านมืดที่ไม่ได้กินอิ่มท้องมาหลายร้อยปีอย่างท่าน แค่ขยับตัวก็ยังยากแล้ว ถ้ายังไม่อยากตายก็จงออมแรงไว้ดีกว่านะ”

“ปล่อยนาง!”

“ขอปฏิเสธ” สิ้นสุดคำพูดโอแลมป์ก็ออกแรงบีบคอระหงของหญิงสาวพร้อมเงื้อกรงเล็บขึ้นเหนือหัวเตรียมฉีกกระชากร่างหญิงสาวให้กระจุย

“การแสดงเดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ลาก่อนสาวงาม…น่ารังเกียจ”

“อย่า!!!!”

ตูมมมมมม!!

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แรงระเบิดทำให้เหล่าปีศาจถูกอัดกระแทกกระเด็นออกไปคนละทาง ไม่เว้นแม้แต่เฮเลียสที่รอดพ้นจากกรงเล็บของโอแลมป์ได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ร่างของเธอลอยละลิ่วขึ้นกลางอากาศ แต่แทนที่จะดิ่งกลับลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก กลับรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน เป็นเคโอเรสเตอร์หรือเปล่าเธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะภาพเหตุการณ์หลังจากนั้นมีเพียงความว่างเปล่าที่เข้ามากัดกินและนำพาสติดำดิ่งลงสู่ความมืด และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินนั้นช่างไม่คุ้นเอาเสียเลยจริงๆ เสียงนั้นที่ตะโกนออกมาเหมือนกับออกคำสั่งชัดถ้อยชัดคำว่า

“จัดการเลย”

กี๊ซซซซซซซซ!!!!

“เกิดอะไรขึ้น!”

โอแลมป์โวยวายขึ้นหลังจากตั้งตัวได้ท่ามกลางกลุ่มควันจากระเบิดปริศนา พลังทำลายขั้นสูงสุดที่ไม่เคยได้สัมผัสมานานทำให้พลพรรคปีศาจล้มระนาว

“เราถูกใจมตี!”

เพียงแค่นี้ก็เชื่อได้แล้วว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้าชายปีศาจที่ร่อแร่จะตายมิตายแหล่อย่างแน่นอน แล้วใครล่ะ ใครที่กล้ายื่นเท้าเข้ามาขวาง โอแลมป์กัดฟันอย่างแค้นเคือง แต่ก็แค้นได้ไม่นานเมื่อต้องเอี้ยวตัวหลบกรงเล็บที่แหวกม่านควันเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว

ฉัวะ!

“ชิ ยังไม่หมดฤทธิ์อีกรึ เคโอเรสเตอร์!”

“ขอบใจที่ยังอุตส่าห์ขานชื่อเต็มของข้า โอแลมป์!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา