angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า
เขียนโดย zusuran
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) Hyperion
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เพล้ง!
“หมายความว่ายังไง ที่บอกว่าเฮเลียสออกเดินทางไปแล้วน่ะ!”
ข้าวของเครื่องเรือนถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดด้วยน้ำมือของเจ้าชายปีศาจที่กำลังโกรธสุดขีด เอเมรัลด์หมอบหัวโขกพื้นด้วยความกลัวจับจิตว่านายเหนือหัวจะโกรธจนขาดสติออกไปเด็ดหัวชาวบ้านทั้งแถบโดยที่เริ่มจากตนเป็นคนแรก
“ข้าผิดไปแล้ว เจ้าชาย ข้าไม่น่ารับคำขอร้องของเจ้าหญิงเลย ฮืออออ!!!”
โครม!
เครื่องเรือนอีกชิ้นถูกเหวี่ยงอัดกระแทกฝาจนแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี แต่ก่อนที่เตียงไม้เก่าๆที่ไร้เจ้าของจะถูกทุ่มให้แหลกไปอีกชิ้น ฝ่าเท้าเรียวงามของลิกไนต์ก็กดเอาไว้จนเรี่ยวแรงของเจ้าชายปีศาจไม่อาจฝ่าฝืน เคโอเรสเตอร์ปรายตามองพยัคฆ์สาวที่ยืนกอดอกโดยที่เท้าข้างหนึ่งของเธอก้าวขึ้นเหยียบเตียงเอาไว้เหมือนนักเลงวางกล้าม
“คิดจะทำลายข้าวของจนหมดห้องเลยหรือไง”
“ถอยไป!”
“ถ้าทำลายหมดแล้วก็ช่วยเก็บกวาดให้เรียบร้อยเหมือนเดิมซะด้วยล่ะ ส่วนพวกเราจะออกเดินทางกัน”
ว่าพลางชักเท้ากลับและเดินออกไปจากห้องโดยไม่ไยดีต่อใคร เคโอเรสเตอร์มองตามร่างสะโอดสะองที่กำลังย่างเท้าออกไปจากห้องด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่น ที่เขาโกรธไม่ใช่เพราะเฮเลียสหายตัวไป แต่เขาโกรธที่ตัวเองไม่สามารถออกไปเผชิญแสงแดดได้เหมือนคนอื่นด้วยต่างหาก เพราะตอนนี้คือตอนกลางวันที่มีแสงแดดเปรี้ยงเตรียมแผดเผาให้แสบร้อนอยู่ทุกเมื่อ
สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือ เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ค่ำคืนจะมาถึง จะได้ออกไปตามหาน้องสาวตัวแสบให้พบก่อนเจ้าเทพผมม่วงที่ชิงออกไปก่อนตั้งนานโขนั่น
ความเย็นอาบไล้บนใบหน้าจนอยากเบือนหน้าหนี แต่ก็ยากนักที่จะทำเพราะตอนนี้ร่างกายครึ่งซีกหนักอึ้งจนขยับไม่ได้แม้เพียงคืบ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็เพียงลืมตาเท่านั้น…ลืมตา
“ฟื้นแล้วรึ”
เสียงนี้ช่างไม่คุ้นเคย แถมแสงนั้นก็ยังเจิดจ้าจนต้องหรี่ตาลงอีกรอบ และเมื่อปรับสายตาให้คุ้นชินแล้วเฮเลียสก็เริ่มจะมองเห็น อย่างแรกคือเส้นผมสีเงิน ดวงตาสีเงิน ชุดสีขาวปักดิ้นละเอียดเหมือนคนจากตระกูลสูงศักดิ์ และเมื่อมองให้เต็มตาความตะลึงพรึงเพริดก็บังเกิด เมื่อสิ่งที่อยู่บนหลังของชายหนุ่มแปลกหน้าคือปีกสีขาวขนาดใหญ่
นั่นคือปีกของเทพ!
“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
“ท่าน…เป็นเทพรึ”
“รู้ด้วยรึ”
เทพหนุ่มหน้าตาคมปนหวานท่าทางใจดีแสดงสีหน้าแปลกใจอยู่นิดๆ เฮเลียสกะพริบตาเชื่องช้าตอบรับกลายๆ เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรในเมื่อปีกสีขาวประดับบนหลังทนโท่ซะขนาดนั้น
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับสถานที่แปลกตา ทั้งที่ก่อนจะหมดสติเธอยังอยู่กลางทะเลทรายกับเจ้าสัตว์สีแดงตัวเขื่อง แต่พอลืมตาตื่นอีกทีก็พบกับเทพหนุ่มรูปงามและสถานที่แปลกตา หรือว่านี่จะเป็นความฝัน เพราะผลข้างเคียงของยาที่ดื่มเข้าไป หรือไม่เธอก็คงจะตายไปแล้ว
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ และนี่ก็ยังเป็นโลกมนุษย์ เพียงแต่ว่ามันคือป่าเท่านั้นเอง”
เทพหนุ่มผมสีเงินยาวสลวย ตอบข้อข้องใจให้เสร็จสรรพโดยที่ไม่รอให้เอื้อนเอ่ย เฮเลียสเอียงศีรษะพร้อมแสดงสีหน้าฉงน สงสัยเหลือเกินว่าเดี๋ยวนี้พวกเทพเจ้าชอบการท่องเที่ยวบนพื้นดินแล้วหรืออย่างไร
“จะไม่ถามหน่อยหรือว่าข้าชื่ออะไร”
“ไม่จำเป็น ท่านเป็นเทพยังไงก็คือเทพไม่มีอื่นใดทดแทนท่านได้”
เฮเลียสตอบทันที นึกสงสัยตงิดๆว่าเหมือนกับใครบางคนที่เคยพูดแบบนี้กับเธอเมื่อนานมาแล้ว
“ข้าชื่อแกรนเชลล์”
เทพหนุ่มเอ่ยปากบอกชื่อตัวเองง่ายๆอย่างเป็นมิตร ก่อนจะปรายตามองมาที่เฮเลียสเพื่อถามชื่อ”
“แล้วเจ้าล่ะ ชื่ออะไร”
“เฮเลียส…เป็นมนุษย์”
ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดก็เถอะ…
“แล้วมนุษย์มาทำอะไรที่ทะเลทรายนั่นล่ะ”
“ข้ากำลังเดินทาง แล้วก็…เกือบจะโดนสัตว์ร้ายเล่นงาน”
“สัตว์ร้ายที่เจ้าพูดถึง ใช่เจ้าตัวนี้หรือไม่”
แกรนเชลล์ว่าพลางยื่นเจ้าขนปุกปุยตัวสีแดงที่นอนขดอยู่ในอุ้งมือมาต่อหน้าเฮเลียสที่เริ่มชักคิ้วสงสัย
“นี่มัน…”
“มันคืออมนุษย์ที่อยู่บนแดนเทพทางใต้ ข้าตามมันมาสองสามวันแล้วล่ะ”
แกรนเชลล์ยังคงสีหน้ายิ้มแย้มสื่อถึงการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอาทรต่อสรรพสัตว์ที่ด้อยกว่าตน โดยเฉพาะเจ้าสัตว์สีแดงปุกปุยตัวกระจ้อยในมือของเขา ซึ่งเฮเลียสก็ไม่รู้ว่ามันตัวหดลงได้อย่างไร หญิงสาวเริ่มขยับตัวหมายจะลุก แต่ร่ายกายที่หนึกราวกับหินสุดแกร่งทำให้เธอต้องล้มลงไปนอนราบอยู่ท่าเดิม เพิ่งนึกได้ว่ายาหมดฤทธิ์ไปแล้ว ต้องกินยานั่นอีก ยาในถุงผ้า…ซึ่งตอนนี้มันได้หายไปแล้ว!
“ดูท่าว่าเจ้าจะเจอปัญหาหนักเลยนะ”
แกรนเชลล์ว่าพร้อมกับยื่นถุงผ้าใบเล็กๆให้กับเฮเลียสที่รีบรับมันไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ขวดยาถูกเปิดออกอีกขวาด แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้กระดกมันเข้าปาก คำพูดของเทพหนุ่มผมสีเงินก็ทำให้มือนั้นถึงกับหยุดชะงัก
“จะกินมันรึ นั่นยาพิษนะ”
“ยาพิษ?”
“ไม่รู้หรอกรึ ยาที่เจ้ากินมันมีพิษจนร่างกายมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถรับได้เชียวนะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเฮเลียสก็เกิดความลังเลอยู่พักใหญ่ เธอได้ดื่มยาไปแล้วห้าขวดและดูเหมือนเวลาที่มันออกฤทธิ์จะยิ่งกระชั้นมากขึ้นพร้อมๆกับร่างกายที่หนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เอเมรัลด์ที่เป็นคนปรุงมันให้กับเธอก็เคยบอกเอาไว้ แต่ว่า
“ข้าต้องการมัน”
ว่าแล้วก็กระดกยาเข้าปากและกลืนมันลงท้องอย่างไม่ลังเล
แกรนเชลล์มองการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเงียบๆ ทั้งที่เป็นมนุษย์แต่เธอก็ไร้ซึ่งความลังเลและความรู้สึกที่มนุษย์ใคร่จะมี เขารู้และสัมผัสได้ว่าเฮเลียสผู้นี้ได้ข้ามขอบเขตของมนุษย์ไปแล้ว
“ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
เฮเลียสลุกขึ้นยืนและหนกลับมามองแกรนเชลล์ที่ลุกขึ้นตามหลัง
“ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือ ท่านแกรนเชลล์”
“เจ้ากำลังจะไปที่ไหนรึ”
เทพหนุ่มเอ่ยถามทั้งที่สีหน้ายังคงนิ่ง
“ไกอาห์ ข้าจะไปที่หุบเขาไกอาห์”
คำตอบซื่อตรงของหญิงสาวทำให้แกรนเชลล์ถึงกับชะงักงัน เพราะสถานที่ๆเธอจะไปนั้นอยู่ไกลแสนไกลและไม่สามารถใช้เวทมนตร์ใดในการเดินทางได้ เป็นดินแดนที่ไร้ตัวตนและอยู่เหนือทิศทั้งสี่ แต่มนุษย์ผู้บอบบางคนนี้กลับต้องการที่จะเดินทางไปหามัน
“เจ้าจะไปที่ไกอาห์ทำไมรึ”
“ไม่รู้สินะ…แต่ว่า”
เฮเลียสไม่ได้ตอบคำถามให้กระจ่างชัด เธอทำแค่เพียงยกมือลูบสร้อยคอสีเงินที่ห้อยติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา และทันทีที่แกรนเชลล์ได้เห็นเขาก็ถึงกับสะอึกไปทันที
“เจ้าคือใครกันแน่”
“เอ๊ะ?”
“ข้าจะไปส่งเจ้า แม้เพียงครึ่งทางก็อยากไป”
แกรนเชลล์พูดออกไปขณะที่สายตายังคงจับจ้องสร้อยสีเงินที่ห้อยอยู่บนคอหญิงสาว คุ้นตาเหลือเกินกับภาพวาดในอดีต เด็กคนหนึ่งที่มีสร้อยคอแบบเดียวกันนี้ เด็กคนนั้นที่ได้ลาโลกนี้ไปพร้อมกับอาณาจักรที่ล่มสลาย และสร้างความโดดเดี่ยวให้กับเขาตั้งแต่ที่ยังไม่ได้พบเจอ
เฮเลียสชักสงสัย อาจเป็นเพราะการเดินทางคนเดียวทำให้เธอไม่อยากเชื่อใจใคร
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่าน แต่ข้าอยากเดินทางไปด้วยตัวของข้าเอง”
หญิงสาวกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนใจไยดี แต่ด้วยความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอกทำให้แกรนเชลล์ต้องการจะพิสูจน์บางอย่าง ทันทีที่หญิงสาวก้าวเดินผ่านไปเขาก็คว้าข้อมือเธอเอาไว้และหวังจะดึงกลับมาหา แต่ทว่า
ฉัวะ!
“อะ!”
คมกริชสีเงินส่องประกายกร้าวเฉียดเช่นดวงตาสีพระจันทร์วาวโรจน์ เชือดเฉือนกลางฝ่ามือของเทพหนุ่ม เรียกโลหิตสีขาวให้ไหลซิบออกมาปากแผลตื้นๆ แกรนเชลล์ยังคงท่าทีนิ่งได้ดี มองเลือดสีขาวบนฝ่ามือสลับกับหญิงสาวที่ถือกริชเล็งเป้าเหมือนมือสังหาร ดูท่าเขาจะประเมินเธอต่ำไปจริงๆ แววตานั้นช่างแข็งกร้าวผิดกับสตรีทั่วไป เหมือนผู้นำที่อยู่เหนือเหล่ามนุษย์ในหล้า มันคือแววตาของกษัตริย์
“ถึงท่านจะเป็นเทพ ขอจงรับรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าไม่ใช่สตรีที่ออดอ้อนออเซาะกับรูปร่างภายนอกของชายใด และมีเกียรติมากพอที่จะซื่อสัตย์ต่อคำพูดของตัวเอง รู้เอาไว้ซะด้วย”
กะแล้วเชียว…
แกรนเชลล์นึกชื่นชมลางสังหรณ์ของตัวเองขึ้นมานิดๆ ทว่าตอนนี้เขาได้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของราชันย์เข้าให้แล้ว แถมยังเป็นราชันย์ผู้งดงามปานเทพธิดาเสียด้วย
“ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกฐานันดรของเจ้าเข้าแล้วสินะ หากจะกรุณาขอจงเอ่ยนามที่แท้จริงของเจ้าให้ข้าได้น้อมรับได้หรือไม่”
แน่นอนว่าคำพูดนี้เป็นการหยั่งเชิง คงไม่มีราชันย์หรือทายาทกษัตริย์พระองค์ใดในหล้าจะมานอนเกลือกกลิ้งอยู่กลางดินเยี่ยงคนพเนจรเช่นนี้แน่ ถึงจะมีหลายอย่างที่คล้ายกับใครบางคนในความทรงจำแต่คนๆนั้นก็ได้สิ้นชีพไปพร้อมกับอาณาจักรที่ล่มสลายเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว
“ชื่อของข้าคือ ราห์ เฮเลียส อีวานอฟ จากแดนตะวันออก…รู้อย่างนี้แล้วท่านจะทำอะไรข้าหรือไง”
“เป็นไปไม่ได้”
แกรนเชลล์ครางเสียงต่ำ ต่อให้เอาราษฎรทั้งเมืองมาเป็นพยานเขาก็คงเชื่อลำบาก จะมีมนุษย์ที่ไหนอายุยืนยาวนับร้อยๆปีกันเล่า
ราห์ เฮเลียส ในความทรงจำของเขาคือเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งแดนตะวันออก เธอได้ตายไปพร้อมกับอาณาจักรที่ล่มสลายเมื่อหลายร้อยปีก่อน ซึ่งตอนนั้นเธอก็ยังคงเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ซึ่งเพิ่งจะได้รับการหมั้นหมายกับแกรนเชลล์ เธอเป็นเด็กน่ารักและเก่งกาจ ซึ่งตัวแกรนเชลล์ก็หลงรักตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นผ่านกระจกเวทมนตร์ แต่ทว่า อยู่มาวันหนึ่งข่าวร้ายของการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงองค์น้อยก็ส่งมาถึงเขา
“เฮเลียส ตายไปพร้อมกับอาณาจักรที่ล่มสลายตั้งแต่ที่นางยังเด็ก มนุษย์ที่มีสายเลือดสกปรกเช่นเจ้าไม่มีทางจะเป็นนางไปได้…เจ้าไม่มีทางที่จะเป็นคู่หมั้นของข้าไปได้หรอก!”
เป็นครั้งแรกที่แกรนเชลล์อารมณ์พุ่งพล่านในรอบหลายร้อยปี หากจำไม่ผิดอารมณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เขาได้รู้ข่าวการตายของคู่หมั้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน หลังจากนั้นเขาก็แทบจะทิ้งความรู้สึกทั้งหลายแหล่ทิ้งไปโดยไม่คิดหันหลังกลับ และใช้ชีวิตต่อในฐานะเจ้าชายแห่งวังกลางผู้อ่อนละมุนละวางซึ่งทุกสิ่ง จนมาถึงวันนี้…วันที่เขาได้พบกับ มนุษย์ผู้นั้น…อีกครั้ง
เหมือนมีบางอย่างขึ้นมาจุกในอก มือที่กระชับด้ามกริชแน่นได้คลายออกพอหลวมและทิ้งลงข้างลำตัวเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง
“คู่หมั้น…รึ”
ดวงตาสีพระจันทร์ระริกไหวจ้องมองเทพหนุ่มเหมือนกำลังเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล ความทรงจำบางส่วนได้หายไปเหมือนกระดาษเก่าเขลอะที่ขาดวิ่นไปตามกาลเวลา ยิ่งคิดมากเท่าไหร่อาการปวดหนึบที่กลางศีรษะก็ยิ่งทวีคูณ
“ฮึก!”
“เฮเลียส”
“อย่าเข้ามานะ!”
เฮเลียสยกกริชชี้ปลายแหลมไปยังเทพหนุ่มที่กำลังจะเข้ามา อาการปวดหัวยังคงทวีความรุนแรง และพอจะหยุดคิดก็เหมือนภาพทั้งหลายแหล่เริ่มจะไหลทะลักออกมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ถึงจะเจ็บมากแค่ไหนเฮเลียสก็ยังกำด้ามกริชแน่น เพราะไม่อยากสร้างบาดแผลบนร่างกายที่เกิดจากความเชื่อใจอีกเป็นครั้งที่สอง
แกรนเชลล์มองหญิงสาวที่ซวนเซจวนจะล้มอยู่ตรงหน้า แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากอาวุธ และมันก็ทำให้แกรนเชลล์นึกขึ้นมาได้ว่าเฮเลียสผู้นี้ได้ข้ามขอบเขตความเป็นมนุษย์ไปแล้ว และอาจจะเป็นไปได้ว่าความทรงจำเมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ก็จะลบเลือนไปด้วย และท่าทางที่ทรมานของเธอในตอนนี้ก็อาจจะเป็นเพราะกำลังถลำลึกเข้าไปในกล่องความทรงจำที่ปิดตายของตัวเอง
“เฮเลียส…”
ในที่สุดก็พูดออกไปแล้ว คำพูดนี้ไม่ได้มาจากสมองแต่เป็นหัวใจของเขาที่สั่งการเอง
“ไม่!”
เคร้ง!
“ไม่!!!!”
“เฮเลียส…เฮเลียส”
เสียงนุ่มละมุนมาพร้อมกับความอบอุ่นของอ้อมกอดเทพหนุ่มที่เข้ามาประชิดแบบไม่ทันตั้งตัว แกรนเชลล์กอดกระชับร่างบางสั่นเทาไว้แน่นพลางเอ่ยชื่อของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าข้างๆหู ไม่นานร่างกายที่แข็งเกร็งของเธอก็เริ่มอ่อนลง
ได้ยินเสียงเหมือนกระจกแตกในหัวก่อนที่ภาพต่างๆจะเริ่มไหลทะลักออกมา หนึ่งในภาพนั้นคือชายหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้มีดวงตาและเส้นผมสีเงิน เขาคนนั้นมีปีกสีขาวที่ยังเล็กเกินกว่าจะบินได้เอง ใบหน้ายิ้มแย้มและเอ่ยเรียกเธอซ้ำๆว่า
“เฮเลียส…”
“เจ้าเอง….รึ”
เสียงแหบพล่าสั่นเครือดังเหมือนเสียงกระซิบข้างหูเทพหนุ่มที่เลิกคิ้วสูง เธอจำได้ เป็นเธอจริงๆ
“ใช่…ข้าเองเฮเลียส”
เหมือนหัวใจที่ตายด้านจวนจะกลายเป็นขี้เถ้าได้กลับมาเต้นโครมครามและมีสีสันอีกครั้ง ทว่า…
“ปล่อยข้าเถอะ”
“อะ!”
ร่างบางยันกายออกห่างทั้งยังถอยหลังไปหลายก้าวโดยที่แกรนเชลล์ไม่มีโอกาสได้ยกมือคว้าเอาไว้
“เฮเลียส”
“เพราะความเชื่อใจทำให้ข้าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ข้าในตอนนี้ก็ได้ข้ามขอบเขตความเป็นมนุษย์ไปแล้ว เราต่างกันเกินไป”
“ว่า…ยังไงนะ”
สิ่งที่ได้รับคือความเงียบและภาพหญิงสาวที่กำลังกอดตัวเองอย่างหนาวสั่น
“ข้าไม่เข้าใจ”
“อดีตสำหรับข้า ไม่มีอีกแล้ว ลาก่อนนะ”
พูดจบประโยคเฮเลียสก็หันกลับและเดินหนีห่าง ทว่า การจากลาแบบนี้ทำให้แกรนเชลล์ไม่อยากยอมรับ ทันทีที่หญิงสาวเดินไปได้เพียงสามก้าว เขาก็ได้เคลื่อนไหวเพียงพริบตาเข้าไปดึงร่างนั้นเข้ามากอดเอาไว้อีกครั้ง
“เจ้าจะจากข้าไปอีกรึ เท่านี้ก็ทำให้ข้าเจ็บมากพออยู่แล้วนะ”
“……..”
“พูดอะไรบ้างสิ”
ความเงียบยังคงดำเนินต่อไปไม่มีท่าทีว่าจะมีเสียงเล็ดรอดออกมา เฮเลียสไม่มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ใดๆหลงเหลืออยู่แล้ว ทว่า เธอกลับมีความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นมาแทน แกรนเชลล์คลายอ้อมแขนและยืนประจันหน้ากับเธอที่ยังก้มหน้า ตอนนี้แหล่ะ ต้องหนีไปให้ไกล
“ละ…ลาก่อน”
วูบ!
ร่างบางสลายไปเหมือนม่านหมอกพร้อมกับคำกล่าวลาสั้นๆที่ไม่ได้แฝงความหมายอะไรไว้เลย เจ็บปวด…หัวใจที่ออกจะตายด้านไปแล้วกลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง
“เฮเลียส…เฮเลียส!”
พลังที่เริ่มฟื้นตัวกลับมาทำให้เฮเลียสยังไปได้ไม่ไกล ร่างหญิงสาวปรากฏขึ้นจากพื้นดินด้วยท่าทางที่อ่อนระโหย เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ เหมือนความรู้สึกต่างๆที่เคยทิ้งไปได้กลับมาถาโถมเข้าใส่ราวพายุ
“แฮ่กๆๆ…”
ร่างบางทรุดฮวบลงอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่แล้วมารผจญก็เข้ามาหาอย่างผิดจังหวะเสียได้
“เจอแล้ว”
เสียงเย็นเยียบของพวกปีศาจดังมาพร้อมกับอาวุธซัดเข้าใส่ เฮเลียสกลิ้งไปกับพื้นหลบปลายหอกได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เพราะร่างกายที่เริ่มจะหนักทำให้ได้แต่พยายามหลบและวิ่งโซซัดโซเซหาที่ซ่อนตัวเท่านั้น
“หายไปแล้ว”
“เป็นนางผู้หญิงที่อยู่กับเจ้าชายเคโอเรสเตอร์จริงๆนะ”
“ไม่ผิดแน่ กลิ่นเลือดปีศาจ ต้องเป็นนางผู้หญิงนั่นแน่ๆ”
“คงยังไปได้ไม่ไกล ออกตามหาให้ทั่ว”
บทสนทนาได้สิ้นสุดพร้อมกับปีศาจสามตนที่แยกย้ายกันออกตามหาไปอีกทาง เฮเลียสแอบถอนหายใจซะหมดปอด ตอนนี้เธอไม่มีปัญญาแม้จะจัดการพวกมันซักตัว รู้สึกเจ็บใจแต่ก็จำเป็นต้องหนีให้พ้น หญิงสาวเดินซวนเซจวนจะล้มอยู่รอมร่อ ร่างกายที่หนักขึ้นเรื่อยๆทำให้เธอเลี่ยงไม่ได้ที่จะสะดุดล้มไถลไปกับพื้นดินจนเปื้อนเปรอะ
พลั่ก!
“อึก!”
เฮเลียสยังไม่ละความพยายามที่จะลุกขึ้นด้วยแขนสองข้างที่ช่วยค้ำยัน แต่แล้วก็มีอันต้องล้มหน้าฟุบลงไปอีกรอบ และในเวลานั้นเองมือของใครบางคนก็เข้ามาช้อนร่างเธอให้ลุก มือคู่นั้นเป็นของแกรนเชลล์ เทพหนุ่มไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองเธอด้วยสายตาตัดพ้อ ขณะที่มือสองข้างยังคงจับเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“เจอแล้ว! มันอยู่นั่น”
เสียงปีศาจตนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาตะโกนขึ้น ไม่นานอีกสองตนที่เหลือก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทางปิดล้อมเฮเลียสและแกรนเชลล์ที่ยังมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย
“เจ้าถูกตามล่ารึ”
“ใช่ เพราะข้ามีเลือดปีศาจไหลเวียนอยู่ในตัว พวกมันก็เลยได้กลิ่น”
เฮเลียสตอบพอเข้าใจ
“ยังไงก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักหรอก ใช่ไหม”
แกรนเชลล์ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากมาย เขาช้อนร่างปวกเปียกขึ้นแนบอกและกระโดดทีเดียวขึ้นไปเหนือยอดไม้ก่อนที่ปีกสีขาวขนาดใหญ่จะกางออกกระพือพัดป่าให้หายราบไปทั้งหย่อม
“จะทำอะไร”
“ข้ายังมีเรื่องจะคุยกับเจ้าอยู่มากโข หลังจากที่จัดการเจ้าพวกนี้เสร็จแล้ว”
“ปล่อยข้าลง!”
“ขอปฏิเสธ”
แกรนเชลล์ไม่รับฟังคำพูดใดๆและมองดูปีศาจที่มีมากกว่าสามพุ่งขึ้นมาจากม่านควันเบื้องล่าง พวกมันมีปีกและอาวุธที่ร้ายกาจ ดูท่าจะรับมือได้ยาก
“เยอะขนาดนี้เชียวรึ”
เฮเลียสมองเหล่าปีศาจที่เข้ามารายล้อมกลางอากาศ พวกมันคงรู้ตัวแล้วว่าเธออยู่ตรงนี้
“ส่งนางผู้หญิงนั่นมาซะ เจ้าเทพ”
“ขอปฏิเสธ นางเป็นของข้า”
“จัดการมัน!”
การสนทนาแสนสั้นก่อนที่จะเกิดการต่อสู้กันกลางอากาศ แกรนเชลล์มีปีกที่แข็งแรง เพียงแค่กระพือครั้งเดียวก็สร้างพายุหมุนกวาดพวกปีศาจให้หายไปได้ในพริบตา แต่ว่าจำนวนของพวกมันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง และเพราะอ่อนด้อยประสบการณ์เรื่องการต่อสู้จึงทำให้เขากลายเป็นเป้านิ่งให้พวกมันอย่างง่ายดาย
“แย่ล่ะสิ มีเยอะเกินไป”
กรรร!!!
เสียงขู่คำรามดังก้องมาจากพื้นดินก่อนที่พวกปีศาจจะได้สวาปามเทพเป็นอาหารรสเด็ด ที่มาของเสียงนั้นคือเจ้าเสือสีดำตัวใหญ่ที่กระโดดขึ้นมาตามกิ่งไม้และลอยตัวเข้ามาแย่งเฮเลียสไปจากแกรนเชลล์เพียงเวลาไม่ถึงนาที
“อะไรกัน!”
“ขอคืนล่ะนะ”
จากร่างเสือได้เปลี่ยนมาเป็นร่างของชายหนุ่มผมสีดำสั้นเรี่ยลำคอสวมชุดดำรัดรูป ได้คว้าร่างบางไปไว้ในอ้อมแขนก่อนที่จะร่อนตัวลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลกที่ออกจะหนักไปเสียหน่อย
ตูม!
การร่วงหล่นที่เหมือนจะเป็นการจงใจได้สร้างรอยร้าวบนพื้นดินออกไปหลายเมตรพร้อมกับกลุ่มควันโขมงปกปิดสายตาของพวกที่อยู่รอบนอกได้อย่างแนบเนียน
“ละ ไลน์!”
“หาเจอจนได้นะ เจ้าหญิง หนีออกมาคนเดียวแบบนี้ไม่ดีนะ”
ไลน์เอ่ยทักหน้าระรื่นเหมือนจะกวนประสาทกลายๆ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นถมึงทึงหันไปมองแกรนเชลล์ที่ร่อนลงมาเหยียบพื้นอยู่ไม่ไกล
“ว่าแต่ เจ้านั่นเป็นเทพไม่ใช่รึ แล้วมาอยู่กับเจ้าได้ยังไง เจ้าหญิง”
“เรื่องนั้น…”
“เจ้าเป็นใคร”
แกรนเชลล์เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่แสดงออกมาว่าไม่พอใจสุดๆ แต่ว่าปีศาจกลุ่มใหญ่ก็ยังพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลดละ เขาจึงเลือกที่จะจัดการกับพวกมันก่อน ส่วนไลน์ก็ฉายแววความเหี้ยมเกรียมออกมาเด่นชัด ไม่ปฏิเสธเลยว่าเขาเริ่มสนใจตัวเทพหนุ่มผู้นี้เข้าให้แล้ว
เพียงไม่กี่นาทีพวกปีศาจก็ล่าถอยด้วยฝีมือของแกรนเชลล์ หลังจากที่พวกมันหายไปหมด เทพหนุ่มก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับชายแปลกหน้าที่อุ้มหญิงสาวไปจากเขาอย่างหยั่งเชิง ดูก็รู้ว่านั่นไม่ใช่มนุษย์และคงไม่ใช่สัตว์ธรรมดา เพราะหูสีดำตั้งอยู่บนหัวดำๆนั่นทนโท่ แถมยังมีลวดลายบนใบหน้าและเสื้อผ้าที่สวมใส่ บ่งบอกเผ่าพันธุ์ได้เป็นอย่างดี
“เผ่าพยัคฆ์รึ”
“รู้ด้วยรึ ถ้ารู้แล้วก็จงจำไว้อีกข้อละกันนะ ว่าถ้ากล้ามาแตะต้องเจ้าหญิงอีกล่ะก็ ข้าจะเด็ดปีกเจ้าซะ เจ้าเทพ”
“ไลน์ ไม่ใช่นะ…!”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าหญิง ตอนนี้ข้ากำลังยุ่ง”
เจ้าเสือปากมากคงจะนึกสนุกขึ้นมาผิดเวลาอีกแล้วล่ะสิ
“เฮเลียสเป็นของข้า ส่งนางมา”
“เจ้าเทพขี้ตู่ เจ้าหญิงเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ส่งมา”
“ไม่ให้”
นี่กะจะแย่งของเล่นกันใช่ไหมเนี่ย!
“ท่าทางจะคุยกันดีๆไม่รู้เรื่องสินะ”
“ก็ไม่อยากจะคุยให้มันเมื่อยปากนักหรอก”
ความใจร้อนของไลน์ไม่มีใครเกิน พยัคฆ์หนุ่มวางเฮเลียสให้นั่งจมปุกกับพื้นก่อนจะหันไปท้าทายแกรนเชลล์ที่เริ่มจะมีน้ำโหมาเหมือนกัน
“อยากได้ก็เข้ามาเอาเองสิ”
“แล้วอย่ามาร้องขอชีวิตทีหลังก็แล้วกัน!”
“นั่นมันคำพูดของข้าเฟ้ย!”
ไลน์พุ่งเข้าใส่พร้อมกับชักดาบสั้นจากซองหนังข้างเอวฟาดฟันแกรนเชลล์ที่ใช้เพียงมือเปล่าปัดป้องและโจมตีกลับ แกรนเชลล์ไม่มีไหวพริบในการต่อสู้มากมาย แต่สมองอันชาญฉลาดก็ทำให้เขารู้ทิศทางที่จะเอาชนะและหยุดการสู้รบไร้สาระ เขาต้องการเพียงแค่เฮเลียส หากเข้าไปใกล้เธอได้มากกว่านี้แล้วล่ะก็ เจ้าพยัคฆ์เลือดขึ้นหน้าคนนี้คงหยุดฟาดฟันเขาส่งเดช
“เก่งกาจสมกับเป็นเผ่าพยัคฆ์จริงๆเลยนะ”
“เก็บคำชมของเจ้ากลับไปแล้วบอกมาซะว่าใครใช้ให้เจ้ามาชิงตัวเจ้าหญิง บอกมา!”
กึง!!!
ดาบสั้นที่อัดแน่นไปด้วยความเฉียบขาดและว่องไวถูกสกัดด้วยโล่สีทองที่ถูกเสกขึ้นมาอย่างทันท่วงที
“ไม่มีใครทั้งนั้นล่ะ นางเป็นของข้ามาตั้งแต่ต้นแล้ว”
“เจ้าเทพสับปลับ! เจ้าหญิงไม่เคยเป็นของใคร!”
“ดูท่าจะพูดกันดีๆไม่รู้เรื่องสินะ”
แบบนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อแล้ว
แกรนเชลล์ปัดดาบสั้นจนกระเด็นและใช้การเคลื่อนไหวพริบตาเข้าประชิดตัวเฮเลียสที่นั่งนิ่งเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง ถ้าพูดไม่รู้เรื่องก็คงมีแต่ต้องพาเธอไปให้พ้นจากเจ้าพยัคฆ์จอมโวยนี่เสีย
“โทษทีนะ แต่ข้าไม่อยากเปลืองแรง”
พรึ่บ!
“อะ! หนอยแน่ะเจ้า!”
“ไปกับข้าเถอะ เฮเลียส”
“มะ…ไม่”
พรึ่บ!!!
ก่อนที่แกรนเชลล์จะยื่นมือเข้ามาถึงตัว เฮเลียสก็รู้สึกถึงแรงกระชากที่ทำให้เธอต้องตัวลอยไปด้านหลังสู้อ้อมแขนของใครอีกคนที่โผล่พรวดเข้ามา สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามีเพียงเส้นผมสีม่วงอ่อนที่สยายมาบดบังใบหน้าของเธอเท่านั้น
แกรนเชลล์ชะงักขยับต่อไปไม่ได้แม้เพียงมิลเดียวเมื่อเห็นผู้ที่ปรากฏตัวต่อหน้า ชุดสีดำทมิฬและปีกสีดำขนาดใหญ่ดั่งพญามาร ถึงจะถูกฝ่ามือของคนผู้นั้นกางกั้นบดบังใบหน้าเหมือนปางห้ามญาติ แต่เทพหนุ่มก็ยังมองเห็นผ่านช่องระหว่างนิ้วทั้งห้า ผมสีม่วงอ่อนและดวงตาสีทองอันเจิดจรัสนั่นไม่มีใครเสมอเหมือนไฮเพอรีเนอร์ โทรเฟ่น เดอรีช การ์ดิโอเปีย อีกแล้ว
“เสด็จ…พี่!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ