angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า
เขียนโดย zusuran
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ย่ำค่ำสนธยา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความทุกอย่างเหมือนความฝันที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกและดินแดนที่เคยอยู่ พื้นทรายสีทองและท้องน้ำสีครามที่ต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นจนเกิดประกายเจิดจรัส นอกจากเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอกๆและเสียงสายลมอันแผ่วจางที่พัดผ่านแล้ว ที่แห่งนี้ก็หาได้มีสิ่งที่เรียกว่าชีวิตไม่ มันว่างเปล่า แม้ต้องแสงอัสดงอันอบอุ่นก็ยังให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไม่ซา
ร่างๆหนึ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาบนโขดหินที่โผล่พ้นผืนทะเลเพียงน้อยนิดอย่างสิ้นแรง ปีกสีดำขนาดใหญ่เปียกโชกและจุ่มลงไปในน้ำเช่นเดียวกับเรือนผมสีม่วงอ่อนดุจเฮเลียโทรฟยามบานสะพรั่ง ที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำแนบติดใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วแผล ดวงตาสีทองเบิกขึ้นมาเพียงครึ่งระริกไหว ทอดมองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีส้มแสด ถึงสีจะเหมือนกองเพลิงในสนามรบแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นตาไม่น้อย นี่คงจะเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นหรือเปล่า
เปลือกตาหนักอึ้งกระตุกก่อนจะคลี่ออกอย่างเชื่องช้า สิ่งแรกที่ได้สัมผัสคือความเจ็บปวดร้าวไปทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะกลางหลังซึ่งตอนนี้ไร้ซึ่งปีกสีดำอันงดงาม กระดุมเสื้อได้ถูกปลดออกทุกเม็ดเปิดเปลือยให้เห็นบาดแผลที่ยังสาหัสสากรรจ์กลางอก ท้องฟ้าสีส้มแสดบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีรัตติกาลและประดับประดาด้วยหมู่ดาวหลากสีน่ายล ไม่น่าเชื่อว่าโลกหลังความตายจะเยือกเย็นชวนเคลิ้มแบบนี้ แต่แล้วความคิดนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงใสที่ไพเราะยิ่งกว่าเสียงระฆัง
“ได้สติเสียที”
ดวงตาสีทองฉายแววระคนและเอี้ยวศีรษะมองหาที่มาของเสียงนั้นอย่างสงสัย พบกับใบหน้าเรียวงามขาวผ่องและเรือนผมยาวหยักศกสีทองโบกล้อลมอ่อนๆอยู่ข้างๆ หญิงสาวร่างเพรียวบางสวมอาภรณ์เนื้อดีและเครื่องประดับที่มีเพียงสร้อยรูปใบไม้สีเงิน ริมฝีปากบางแย้มพรายที่ไม่ว่าชายใดได้มองคงต้องหลง ยกเว้น ไฮเพอรีเนอร์ โทรเฟ่น เดอรีช การ์ดิโอเปียผู้นี้
“เจ้าเป็นใคร”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถึงตกใจอยากเค้นหาคำตอบให้ไวเพียงใดก็ไม่ลืมที่จะรักษาภาพพจน์ของความเย็นชาเอาไว้ดังเดิม พอได้ฟังคำถามหญิงสาวตรงหน้าก็ยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยออกมาด้วยโทนเสียงอันอ่อนนุ่มเหมือนตอนแรก
“ข้าเห็นท่านหมดสติอยู่ที่โขดหินกลางทะเลจึงพาขึ้นมาบนฝั่ง”
เป็นคำตอบที่ไม่ต้องรอคำถามมากความ โทรเฟ่นเพิ่งรู้ตัวว่าตันเองนอนอยู่บนหาดทาย โดยมีผ้าพันรอบศีรษะเอาไว้หลายรอบ ยกเว้นหน้าอกที่ยังเปิดเปลือยและหลงเหลือบาดแผลฉกรรจ์
“เจ้า…เป็นคนช่วยข้ารึ” ถามทั้งที่รู้คำตอบว่าคือ ‘ใช่’ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหญิงสาวร่างบางดูไร้เรี่ยวแรงผู้นี้ถึงได้พาร่างสูงใหญ่ของเขาขึ้นมาบนฝั่งได้ จะว่าเป็นนางเงือกหรือพวกอมนุษย์ต่างเผ่าก็ไม่เห็นจะจับพลังอะไรได้เลยซักนิด
หญิงสาวพยักหน้ายิ้มๆ เธอคงรู้ว่าเขาสงสัย ซึ่งนั่นมันก็สมควรอยู่หรอก มีที่ไหนผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะลากผู้ชายตัวใหญ่อย่างเขาขึ้นมาบนฝั่งได้โดยที่เสื้อผ้าไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ ข้าไม่…เจ็บ!!!”
คำสุดท้ายถูกกระแทกออกมาเหมือนจงใจพร้อมกับร่างที่ขดงอและไอออกมาหลายทีจนปวดแสบปวดร้อนกลางอก ถึงแม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้วแต่ความเจ็บปวดก็ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างอยู่ดี
“อย่าเพิ่งขยับตัวตอนนี้เลยนะ อยู่นิ่งๆสักพักจะดีกว่า”
หญิงสาวเอ่ยออกมาพร้อมสีหน้าที่ดูเป็นกังวลเล็กน้อย โทรเฟ่นแอบชำเลืองมองเมื่อเธอผู้นั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เผยให้เห็นดวงตาสีอำพันส่องประกายดุจพระจันทร์วันเพ็ญ และหลังจากที่ไอจนแสบคอเขาก็รีบกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด บาดแผลที่ได้รับจากสงครามนั้นสร้างความเจ็บปวดและยากที่จะเยียวยาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และดูจากสภาพแวดล้อมรอบกายนี้แล้ว บ่งบอกได้อย่างดีว่าที่นี่ไม่ใช่ยมโลก ไม่ใช่ดินแดนเทพ ทว่า…นี่คือแดนมนุษย์ ชนเผ่าที่แสนเปราะบางและไร้ซึ่งเวทมนตร์ใดๆ และหากการคาดเดาของเขาไม่ผิด เธอผู้นี้ก็คือมนุษย์เดินดินธรรมดา
“เจ้าเป็นมนุษย์สินะ”
“อาจใช่”
“หมายความว่าอย่างไร…เจ้าเป็นพวกเลือดผสมรึ”
หญิงสาวส่ายหน้า โทรเฟ่นเป็นต้องกระตุกคิ้วเพราะความสงสัย และเพียงเสี้ยวนาทีความสงสัยก็กระจ่างชัดเมื่อหญิงสาวเอื้อมมือมาแตะที่บาดแผลกลางหน้าอกเขา ก่อนที่จะปรากฏแสงสีฟ้าจางส่งผ่านจากมือเรียวงามมายังบาดแผล ไม่นานนักความเจ็บปวดก็พลันหายวับไปพร้อมๆกับบาดแผลฉกรรจ์ที่เหลือไว้เพียงผิวสีแทนเนียนเรียบ
พวกใช้เวท?...
ในดินแดนมนุษย์จะมีอยู่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องและใช้เวทมนตร์ขั้นพื้นฐานได้ แม้ว่าจะเป็นเวทที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและไม่รู้สรรพคุณ แต่คนเหล่านั้นก็จะถูกขนานนามว่าเป็นบุตรของเทพเจ้า ซึ่งแน่นอนว่าพวกเทพไม่ได้เห็นค่าของมันดีไปกว่าเศษขี้ผง แต่ทว่า…หญิงสาวผู้นี้กลับทำให้โทรเฟ่นตะลึงงัน เพราะเวทมนตร์ที่เธอใช้รักษาเขาเมื่อครู่คือเวทมนตร์ชั้นสูงที่ระดับเอลฟ์หรือปีศาจหนึ่งในร้อยเท่านั้นที่จะมี เป็นเวทมนตร์ระหว่างเผ่าพันธุ์ สรุปได้ทันทีเลยว่าเธอคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างที่คิดในตอนแรก
แต่นั่นก็ไม่เห็นเกี่ยวข้องอะไรด้วยเสียหน่อย เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการกลับขึ้นไปยังดินแดนเทพ กลับไปสู่สนามรบ
“ข้าต้องไปแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่อุตส่าห์ช่วยเหลือข้า นางมนุษย์ ข้าจะจดจำน้ำใจของเจ้าเอาไว้”
เอ่ยพลางลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเรียกหอกสีดำทมิฬซึ่งเป็นอาวุธคู่กายออกมาจับเอาไว้แน่น ในขณะที่ปากกำลังร่ายเวทที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาบทหนึ่งสั้นๆ ระหว่างนั้นก็ได้แต่รอ แต่ก็ไม่วายที่จะหันกลับไปยังหญิงสาวผู้อยู่ด้านหลัง เธอลุกขึ้นยืนเผยให้เห็นร่างเพรียวบางสะโอดสะองเป็นสง่าเกินกว่าจะเรียกว่ามนุษย์ เธอยืนนิ่งไร้ซึ่งคำพูด ดวงเนตรสีพระจันทร์มองมาที่เขาอย่างเป็นมิตรไร้ซึ่งความหวาดกลัว สงสัย และอะไรอีกมากมายที่โทรเฟ่นคิดว่าควรจะปรากฏขึ้นกับสตรีผู้นี้ สุดท้ายความสงสัยข้องใจก็ตกมาอยู่ที่เขาและต้องหันกลับไปเผชิญหน้าเอ่ยถามเธอเสียเอง
“จะไม่ถามหน่อยหรือว่าข้าเป็นใคร”
พอได้ยินคำถามสาวเจ้าก็เงยหน้าประสานกับดวงตาสีทองเจิดจรัสของชายหนุ่มนิ่ง ซึ่งทำให้เขาถึงกับสะอึกไปพักหนึ่งเมื่อได้สบดวงตาสีพระจันทร์ของเธอเข้าอย่างจัง แต่ก็รีบเก็บอาการเหล่านั้นอย่างแนบเนียนเมื่อเธอกำลังอ้าปากพูด
“หากท่านต้องการบอกข้าก็ยินดีรับฟัง”
ช่างเป็นคำพูดที่ไม่มีผู้ใดในหล้าเสมอเหมือนจริงๆ โทรเฟ่นนับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดและกล่าวนามของตัวเองแบบเต็มยศต่อหน้านางมนุษย์ครั้งแรก
“ชื่อของข้าก็คือ โทรเฟ่น…ไฮเพอริเนอร์ โทรเฟ่น เดอรีช การ์ดิโอเปีย”
แน่นอนว่าว่าชื่อที่แสนจะยาวเป็นหางว่าวและจดจำยากเสียยิ่งกว่าท่องสูตรคูณนี้คือชื่อของเหล่าเทพชั้นสูง พอรู้อย่างนี้แล้วจะทำอย่างไรโทรเฟ่นอยากรู้นัก จะตกใจกรีดร้องหรือ เอามือป้องปากอุทานออกมาเสียงสั่นเครือหรือไม่ก็น้ำตาคลอเบ้าออดอ้อนออเซาะให้เข้าไปปลอบประโลมหรือ…แต่เปล่าเลย ทุกอย่างที่คิดนั้นไม่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแม้แต่ข้อเดียว ตรงกันข้ามเธอกลับยิ้มรับอย่างไม่รู้สา
“เจ้า…ไม่ตกใจรึ”
คำตอบของอีกฝ่ายคือการส่ายหน้า
“ไม่กลัวรึ”
และส่ายหน้า…
“เพราะอะไร”
“เพราะไม่มีเหตุผลที่ข้าจะต้องกลัวท่าน”
“เจ้าไม่เหมือนสตรีที่ข้าคิดจินตนาการเอาไว้เลยสักนิดเดียว”
“บนโลกมีคนอยู่มากมาย ต่างคนก็ต่างความคิด”
“เจ้าเป็นคนแปลกจริงๆด้วย เอ่อ…เจ้า”
“เฮเลียส”
“หือ”
“ชื่อของข้าคือเฮเลียส…เจ้าชายนักรบโทรเฟ่น การ์ดิโอเปีย”
พูดเองเออเองโดยไม่ไถ่ถามความสมัครใจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่โทรเฟ่นได้รับความรู้สึกจากคนอื่นโดยไร้ซึ่งการเสแสร้ง และนี่ก็คงจะเป็นครั้งแรกที่เขานึกชมจากใจจริงว่าเธอผู้นี้ช่างงดงามทั้งรูปกายและจิตใจ แต่น่าเสียดาย…น่าเสียดายที่เธอเป็นเพียงมนุษย์ แถมยังเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างจะเย็นชาและแข็งกระด้างทางแววตาเสียด้วย
กี๊ซซซซซซซซ!!!
‘นายท่าน!’
พลันเสียงกรีดร้องดังก้องกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลพร้อมๆกับเสียงร่ำร้องที่ส่งผ่านมาทางจิต เสียงกระพือปีกดังมาแต่ไกลสะกิดให้หันไปมอง และได้พบกับมังกรสีดำขนาดมหึมาร่อนลงมาทรงตัวอยู่กลางผืนน้ำทะเล แรงกระพือปีกของมันสร้างคลื่นสูงซัดเข้าหาฝั่งลูกหนึ่ง และแน่นอนว่าคนที่ได้รับอานิสงจากมันก็คือเจ้านายเหนือหัวอย่างโทรเฟ่น ชายหนุ่มกลืนน้ำทะเลแสนเค็มเข้าไปอึกใหญ่หลังจากที่คลื่นซัดโครมใส่เขาจนเปียกน้ำหยดติ๋ง คิดอยู่ในใจว่าจะต้องดัดนิสัยเจ้าพาหนะคู่ใจนี้อีกสักรอบหลังจากที่ปลุกปล้ำกับมันมาตั้งแต่เด็ก
“จะต้องไปแล้วสินะ”
พลันเสียงใสๆดังมาอีกครั้งสะกิดให้หันกลับไปมองอีกหน
“ไปดีมาดีนะ”
เอ่อ…ขอโทษเถอะนะ ทำไมเธอผู้นี้ถึงได้เฉื่อยชาขนาดนี้กัน แล้วยังคำพูดเมื่อกี้ เขาไม่ได้จะเดินทางรอบโลกเสียหน่อย เล่นสวดส่งซะ แต่นั่นก็คงจะเถียงอะไรไม่ได้เพราะบุญคุณจากแม่เจ้าประคุณยังค้ำคอ
โทรเฟ่นพยักหน้ารับและจำต้องถอยจากเธอก้าวหนึ่ง พลันสายลมแผ่วจางพัดออกมาจากชายป่า นำพากลิ่นหอมจางๆจากกายหญิงสาวแตะผ่านปลายจมูกชวนให้เคลิ้ม โทรเฟ่นหลับตาสูดรับกลิ่นหอมนั้นก่อนจะร่ายเวทลอยตัวขึ้นไปยืนอยู่บนหัวมังกร เจ้ามังกรคู่ใจพาเขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไกลห่างหญิงสาวออกไปเรื่อยๆจนเห็นเพียงจุดเล็กๆสีอำพันดุจดวงไฟดวงเล็กและหายไปจากสายตาในที่สุด
‘ข้านึกว่าท่านตายไปเสียแล้ว นายท่าน’
มังกรสีดำเจ้าของดวงตาสีทองเฉียดเช่นเจ้านายเอ่ยถามผ่านกระแสจิตในระหว่างที่บินโต้คลื่นอากาศเหนือหมู่เมฆ โทรเฟ่นถอนหายใจเหมือนจะเป็นการตอบผ่านจิตกลายๆว่า ‘ข้าเองก็แปลกใจที่รอดมาได้’ หากไม่ใช่เพราะมนุษย์ผู้หญิงคนนั้น ป่านนี้เขาคงจะได้ไปเยือนยมโลกจริงๆ…เฮเลียส เธอช่างเป็นหญิงที่งดงามและแปลกประหลาดจนไม่อาจคาดเดาจิตใจได้ถูก เธอเป็นคนแรกในรอบพันปีที่โทรเฟ่นนึกถึงและลืมไม่ลง หากสามารถพบกับเธอผู้นั้นได้อีกครั้งเขาก็ยินดี
บนหาดทรายที่มีเพียงสายลมพัดผ่านแผ่วเบา ร่างบางเจ้าของเรือนผมหยักศกสีทองได้แต่ยืนนิ่งแหงนหน้ามองเมฆสีดำที่บดบังดวงดาว พลันเสียงๆหนึ่งสะกิดมาจากด้านหลังพร้อมทั้งกลิ่นคาวคลุ้งพัดมาเตะจมูกพร้อมกับสายลมจาง
“ไปแล้วรึ”
เจ้าของเสียงนั้นคือชายหนุ่มผิวขาวแม้จะเป็นกลางคืนก็ยังเด่นชัด ผมสีดำยาวสยายตกกลางหลังและปิดใบหน้าข้างซ้ายเอาไว้ทั้งแถบ ร่างสูงโปร่งสวมชุดสีดำขาดวิ่นประดับตกแต่งด้วยโซ่และกำไลสีเงินห้อยระย้าตามชายเสื้อและกางเกง และที่สำคัญ…เขาคนนี้มีปีกเป็นพังผืดสีดำเหมือนค้างคาว
เฮเลียส ไม่ได้หันไปมองแต่กลับหลับตาถอนหายใจยาวเหมือนปลงตกเสียมากกว่า
“เฮ้อ”
“ดูท่าทางเจ้าจะเสียดายมันนะ”
“ข้าปลงตกกับพฤติกรรมของท่านต่างหากล่ะ เคโอเรสเตอร์”
“เรื่องอะไร”
“เมื่อไหร่จะเลิกซกมกกินมูมมามเสียที ข้าทรมานที่ต้องมารับรู้กลิ่นคาวเลือดจากปากของท่านเต็มทีแล้วนะ ท่านพี่บุญธรรม”
น้ำเสียงนุ่มนวลเป็นมิตร แต่กลับทำให้ผู้ถูกกล่าวหาถึงกับเลิกคิ้วสูงลุกลี้ลุกลนอย่างผิดวิสัย เคโอเรสเตอร์ คารากัส เจ้าชายปีศาจผู้ชื่นชอบการดื่มโลหิตใต้แสงจันทร์ยิ่งชีวิต โหดเหี้ยมไร้ซึ่งความปราณีตามแบบฉบับของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทว่า…กับเฮเลียสชายหนุ่มกลับยอมอ่อนข้อให้และยอมให้เอ่ยชื่อเล่นที่มารดาตั้งให้ไว้ว่า ‘เคออน’ เพียงเพราะเธอผู้นี้คือน้องสาว (บุญธรรม) ของเขา
“พอใจหรือยัง”
เคโอเรสเตอร์หันกลับมาถามน้องบุญธรรมหลังจากเอาศีรษะมุดลงไปในน้ำเพื่อล้างกลิ่นคาวคราบเลือดออกจนหมด และแน่นอนว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นคือรอยยิ้มหวานและเสียงหัวเราะคิกคักจากหญิงสาว
เฮเลียสนั่งชันเข่าบนพื้นทรายตำแหน่งเดิมที่เคยยืน เคโอเรสเตอร์เดินขึ้นมาจากน้ำและล้มตัวลงนอนแผ่ข้างๆ ทุกคืน…ไม่สิ บางคืนเท่านั้นที่พวกเขาทั้งสองจะออกมาจากปราสาทเพื่อเสพสุขสำราญใจกับการท่องเที่ยว จุดประสงค์หลักมาจากเคโอเรสเตอร์ซึ่งต้องการดื่มเลือดจากสัตว์ในป่าเพื่อประทังชีวิต ส่วนเฮเลียสเป็นเพียงมนุษย์ก็ถือโอกาสที่รอการรีดเลือดของปีศาจหนุ่มโดยการเดินทอดน่องชมวิวไปพลางๆ กระทั่งพี่บุญธรรมอิ่มท้องและกลับมาหา อย่างเช่นคืนนี้ที่แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หากไม่ได้พบกับเทพหนุ่มผู้นั้น เธอช่วยเขาขึ้นมาบนฝั่งและรักษาบาดแผลยื้อลมหายใจเขาเอาไว้ได้เพราะการช่วยเหลือของเคโอเรสเตอร์ ไม่มีใครรู้ถึงที่มาของพลังรักษานอกจากตัวเธอและคนที่พร่ำสอนถ่ายทอดมันให้กับเธออีกทอด เทพหนุ่มผู้นั้นคงสงสัยไม่น้อยที่มนุษย์บอบบางอย่างเธอจะมีเวทมนตร์ชั้นสูงเทียบเท่าเทพและปีศาจได้ แน่นอนว่าคำตอบนั้นเธอไม่ได้ไขให้เขากระจ่าง เพราะคำตอบบางส่วนนั้นคือคนที่กำลังนอนแผ่หลาอยู่ข้างเธอนี้เอง
“เฮเลียส…ข้าอยู่กับเจ้านานแค่ไหนแล้ว”
“นานมากเลยล่ะ”หญิงสาวที่ยังเหม่อมองออกไปยังท้องมหาสมุทรเอ่ยเสียงแผ่ว “นานเสียจนทำให้ข้าลืมเลือนคนที่เคยรายล้อมข้าในอดีต”
ซึ่งความหมายตรงๆของมันก็คือหลายกัปหลายกัลป์มาแล้ว
“เจ้าคงเบื่อ”
“ไม่เลย ข้าเป็นสุขมากต่างหาก”
คำตอบไม่ได้ต่างไปจากครั้งที่ผ่านๆมา หลายร้อยปีที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งยังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้เพราะดื่มเลือดของปีศาจเข้าไป ใช่…ต้นตอของชีวิตอมตะและพลังเวทมนตร์แปลกประหลาดของเฮเลียสมาจากเคโอเรสเตอร์….ซึ่งมันก็เป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่งเท่านั้น
เหตุเกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน เมื่อครั้งที่ปีศาจหนุ่มได้ข้ามประตูมิติมายังโลกมนุษย์เพื่อหลบหนีการตามล่าของเหล่าปีศาจด้วยกัน เขาตัดสินใจทำลายประตูเพื่อตัดขาดจากโลกแห่งนั้นอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในคืนที่เขามาถึงเป็นช่วงคืนวันเพ็ญพอดี เขาพบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ในพงหญ้า ร่างกายฉีกขาดและถูกของมีคมปาดลึกเข้าจนแทบถึงแกนกระดูก กลิ่นเลือดตลบอบอวลยั่วน้ำลายของเขาเป็นยิ่งนัก สัญชาตญาณของปีศาจสั่งให้เข้าไปใกล้สูดรับกลิ่นเลือดอันหอมหวานจากมนุษย์ตัวน้อย ทว่า…เสียงแหบพล่าที่เอ่ยออกมาจากปากของเด็กหญิงผู้นั้นทำเอาเขาชะงักงัน
‘ช่วยด้วย…ช่วยฆ่าข้าทีเถอะ’
‘หืม’
‘ฆ่าข้าให้ตายไปเลย!’
กล้าหาญไม่เบา ทั้งที่เหลือเพียงลมหายใจรวยรินแท้ๆ…
เคโอเรสเตอร์ไม่เคยคิดจะใส่ใจใครแม้กระทั่งตัวเองก็ยังไม่รู้จุดหมาย แต่ทว่าเสียงของเธอทำให้เขาถึงกับก้าวขาไม่ออก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังพูดอยู่กับใคร มีแต่พร่ำเพ้อสบถกร่นด่าไปสารพัดเหมือนประชด ทำให้คนที่ฟังอยู่นานตีความได้อย่างไม่ต้องสงสัยมากมายว่าเธอถูกลอบทำร้ายแต่บังเอิญดวงแข็งจึงยังเหลือลมหายใจ ซึ่งนั่นเธอคงไม่ต้องการมันเท่าไหร่กับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันทำให้เจ้าชายปีศาจรู้สึกสมเพชหาใช่ความสงสารเวทนา เขาคุกเข่าลงจ้องมองใบหน้าที่ไม่เหลือแม้เค้าโครงเดิมให้เห็นเพราะบาดแผลเหวอะหวะแถมยังอาบด้วยเลือดแดงฉาน ปลายเล็บแหลมคมดุจใบมีดกรีดลงข้อมือข้างซ้ายเรียกโลหิตสีดำของปีศาจให้เอ่อล้นจากปากแผลก่อนจะปล่อยให้มันหยดลงบนปากของเด็กหญิงที่ยังพะงาบๆ
‘ข้าจะช่วยเจ้าก็ได้…เพราะฉะนั้น ขอถามเพียงคำถามเดียวและครั้งเดียวว่าเจ้าอยากจะตายหรืออยากจะมีชีวิตรอด’
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่หยดโลหิตสีดำหยดสุดท้ายจะถูกเด็กหญิงกลืนลงท้อง ไม่รู้คำตอบของเธอหรอก แต่มาถึงวันนี้ก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้อยากตายจริงๆ เพียงแต่อยากหลุดพ้นจากความทรมานเท่านั้น และนั่นเองที่ทำให้เจ้าชายปีศาจได้ทิ้งเขี้ยวเล็บและกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กในราชวังอันโอ่อ่าโดยที่มีเลือดมนุษย์หลายร้อยคนซึ่งเป็นพวกกบฏที่เคยลอบสังหารเด็กหญิงเป็นค่าตอบแทน ทำไมพวกมนุษย์แสนอัปลักษณ์พวกนั้นต้องการสังหารเธอน่ะหรือ เหตุผลก็เพราะว่าเด็กหญิงคนนั้นคือเจ้าหญิงรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องสืบทอดบัลลังก์กษัตริย์น่ะสิ
ราห์ เฮเลียส อีวานอฟ ผู้ปกครองดินแดนตะวันออก
“เป็นอะไรไป ทำหน้าหลายอารมณ์เชียว”
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็พลันสะดุ้งจนตัวแทบลอยเมื่อพบกับดวงตาสีอำพันดุจพระจันทร์วันเพ็ญจับจ้องอยู่ในระยะประชิด
นี่เขาฝันถึงอดีตอีกแล้วหรือ…
“กลับกันเถอะ”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ก่อนจะยื่นมือมารับมือน้องสาวให้ลุกตาม พระจันทร์คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตกบ่งบอกถึงเวลาที่ปีศาจควรจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ปีกพังผืดสีดำขนาดใหญ่กางออกและพาร่างทั้งสองทะยานขึ้นไปบนฟ้าเหนือยอดไม้ที่สูงลิบลิ่วเพื่อกลับไปยังปราสาทที่แสนจะรกร้างด้วยผู้คน ใช่แล้ว…ในปราสาทแห่งนั้นไม่มีผู้อาศัยแม้แต่คนเดียว นอกจากเจ้าหญิงรัชทายาทผู้เป็นอมตะและปีศาจต่างถิ่นอย่างเคโอเรสเตอร์เท่านั้น ซึ่งนั่นมันก็ดี และหากเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงจะดี…ดีมากๆด้วย
“เคออน”
“หือ”
“ทำไมเทพองค์นั้นถึงได้มีปีกสีดำ”
เห็นสินะ….
“คงจะเป็นเทพที่เกิดขึ้นมาเพียงหนึ่งเดียวในรอบหนึ่งพันปีกระมัง”
“ในรอบหนึ่งพันปี...จะยาวนานเหมือนอายุของท่านหรือเปล่านะ”
“อย่าไปสนใจเลย”
“ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าจะได้พบกับเขาอีก”
“เทพสติดีๆที่ไหนจะซุ่มซ่ามตกสวรรค์มาได้ทุกวันกันเล่า”
เป็นคำตอบที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย แต่กลับทำให้ผู้ที่ฟังถึงกับร้อง ‘อ๋อ’ออกมาเบาๆ นั่นสินะ…คงไม่มีเทพองค์ใดซุ่มซ่ามขนาดเหยียบผ้าคลุมตัวเองจนลื่นไถลลงมาจากสวรรค์หรอก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะเป็นเทพที่ติงต๊องเต็มพิกัด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ