ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  26.01K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) นิตยาผู้น่ารัก 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     นิตยาผู้น่ารัก 3

     รถกระบะอีซูสุ ดีแมค ไฮแลนเดอร์สีเขียวอายุ 12 ปี จอดส่งเสียงคำรามห่างสะพานแขวนเพียง 10 เมตร กระบะท้ายติดตั้งหลังคาอลูมิเนียมตู้ทึบทรงสุง คาดสติ๊กเกอร์ร้านเมียจ๋าพาณิชย์ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม สาวน้อยคนขับก็คือลูกคนสุดท้องของเจ๊จ๋า เป็นคนที่มาช่วยชีวิตผมกับทรงเดชในคืนนี้ ชิดชนกเดินลงมาสมทบกับพวกเรา มือซ้ายถือเสื้อวอร์มสีกรมท่ามือขวากุมขวานด้ามโต ผมรีบพุ่งตัวหลบด้านหลังนิตยาทันที เพราะไม่รู้ว่าคนถือขวานอารมณ์ไหนกันแน่

     “สุดยอด… รถขนน้ำปลาเฮียอ๋าติดวินซ์ไฟฟ้าด้วย โอ๊ย!”

     ทรงเดชกล่าวต้อนรับแขกผู้มาเยือน ก่อนโดนเจ้าตัวเหยียบขาเพราะดันเล่นของสุง

     “เอาฉมวกออกจากเรือให้ที อย่าทำหักนะของเฮียสี่” ชิดชนกโยนขวานด้ามโตให้กับนักบาสกล้ามโต ก่อนตรงไปหานิตยาที่ยืนตัวเปียกปอน “สวมเสื้อก่อนเถอะนิด แถวนี้มีแต่พวกไม่น่าใว้ใจ บางคนก็ยืนน้ำลายหกอยู่โน่น”

     ผู้มาใหม่ยื่นเสื้อตัวเองให้กับเพื่อนสาว พลางใช้ดวงตากลมโตเหลือบมองมาที่ผม นิตยากล่าวขอบคุณแล้วนำมาคลุมร่าง สาวผมหยักโศกสวมเสื้อยืดสีขาวพอดีตัว ในเวลาปรกติมันก็ดูมิดชิดไม่มีอะไร ทว่าเมื่อเปียกน้ำจะมองทะลุเห็นเสื้อในได้

     ขณะรอทรงเดชใช้ขวานจามเรือเป็ดอยู่นั้น ผมก็เลยแอบมองสองสาวเป็นการประชด ชิดชนกสุงเท่ากับนิตยาพอดี หุ่นบางกว่านิดหน่อยผิวขาวกว่านิดหน่อย ข้อแตกต่างสำคัญจะอยู่ที่ทรงผม รวมทั้งนิสัยส่วนตัวซึ่งออกจะตรงกันข้าม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่เหมือนกันมาก คือชอบทำหน้าดุใส่ผมโดยไม่มีเหตุผลซักนิด

     หลังเอาฉมวกออกจากเรือได้แล้ว พวกเราจึงเดินไปที่รถกระบะคันสีเขียว เป็นรถสี่ล้อที่ใช้ช่วงล่างขับเคลื่อนสี่ล้อแต่ไม่ใช่รถขับเคลื่อนสี่ล้อ นี่คือคำจำกัดความจากปากทรงเดช วันหนึ่งในอนาคตผมคงเข้าใจเพื่อนคนนี้ แต่นาทีนี้ผมอยากเข้าใจเจ้าของรถมากกว่า ชิดชนกสร้างความแปลกใจให้อีกครั้ง ด้วยการนำโอวัลตินร้อนและขนมปังแจกจ่ายทุกคน เจ้าของรถโยนผ้าขาวม้าให้กับผู้ชาย ส่วนนิตยาได้ผ้าขนหนูลายโดเรม่อน คนเปียกน้ำจึงได้รับความอบอุ่นกันอย่างทั่วถึง

     “ไปดูอำนาจกันเถอะ ป่านนี้ร้องให้แล้ว” นิตยาเอ่ยปากด้วยความเป็นห่วง

     “ขอเราถามหน่อยสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชิดชนกเอ่ยปากด้วยความสงสัย

     “เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน เดี๋ยวเราอธิบายให้ฟัง แต่ไปหาอำนาจกันก่อน”

     ผมรีบตัดบทเพราะกลัวเพื่อนจะต้องรอนาน แถมทรงเดชยังอ้าปากเตรียมขยายความแล้ว เราตัดสินใจขับรถไปแค่คันเดียว โดยใช้รถคันสีเขียวเพราะมีวินซ์ไฟฟ้าด้วย ชิดชนกขับรถได้ไม่เลวแม้ไม่เทียบเท่านิตยา แต่รถคันนี้เป็นเกียร์ธรรมดานะครับ นอกจากแป้นคันเร่งและเบรกแล้ว ยังมีแป้นครัชเพิ่มขึ้นมาด้วยเพื่ออะไรก็ไม่รู้

     รถวิ่งมาจอดริมรั้วศูนย์การศึกษานอกระบบ ทรงเดชกับนิตยาเดินนำไปที่ท่าน้ำ ส่วนผมกับเจ้าของรถเตรียมอุปกรณ์ให้เรียบร้อยก่อน พวกเราช่วยกันสาวเชือกออกมากองอย่างเป็นระเบียบ ปลายเชือกผูกติดฉมวกอันที่เพิ่งใช้งานเมื่อครู่นี้แหละ ผมเคยเห็นแต่ระบบที่ใช้สายสลิงเป็นตัวดึง ชิดชนกบอกว่าเหมือนกันและสะดวกกว่าด้วย เชือกยาว 48 เมตรมีน้ำหนักเพียง 5 .5 กิโลกรัม ขณะที่สลิงยาวเท่ากันมีน้ำหนักถึง 26 กิโลกรัม

     “นกตามมาถูกได้ยังไง” ผมถามเรื่องคาใจทันทีที่เสร็จงาน

     “ก็…เรา” สาวผมม้าชะงักไปชั่วครู่ “เราก็ขับมั่วมาไง เห็นรถนิดก็เลยเลี้ยวเข้ามา”

     “แล้วรู้จักรถนิดด้วยหรือ” ผมถามต่อพร้อมทำคิ้วขมวดเป็นปม

     “ก็…เรา” สาวผมม้าชะงักนานกว่าเดิม หรือเธอจะมีความลับ “เราเห็นนิดกลับรถไง”

     “รู้ด้วยเหรอว่ารถนิดคันไหน” คราวนี้ผมถามพร้อมทำหน้างงสุดขีด

     “ก็…เรา” สาวผมม้าหน้าตาเจื่อน ๆ แล้วเธอก็เลยโวยใส่ “จะถามอะไรนักหนา วู้”

     เป็นอีกครั้งที่ผมโดนเธอคนนี้บึ้งตึงใส่ ชิดชนกออกเดินนำผมจึงได้ตามเธอไป พลางย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่เราเจอกัน ผมกำลังยืนรอนิดยาอยู่หน้าร้านเซเว่น ตอนนั้นชิดชนกกลับบ้านไปแล้วนี่ หรือเธอเดินย้อนกลับมาซื้อของให้เตี่ย หรือเธอยังไม่ได้กลับแต่แวะซื้อขนม หรือเธอเคยเห็นนิตยาขับรถคันนี้มาก่อน ทันใดนั้นเองผมก็ต้องแตะเบรกตัวโก่ง เมื่อคนเดินนำดันหยุดโดยไม่ได้บอกกล่าว ชิดชนกได้หันมามองที่ผมอีกครั้ง เธอมีคำถามในแววตาเยอะแยะมากมาย

     “เราถามอีกทีนะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” สาวเจ้าทำหน้าสงสัยกึ่งกังวลใจ

     “ก็ไม่มีอะไรมาก” ผมเล่นตัวนิดหน่อย “นิดขอให้ช่วยหมูชื่อบุษบาก่อนโดนล้ม ตอนแรกจะเอาไปซ่อนคลีนิคหมอประสาท แต่ดันเจอด่านตำรวจก็เลยต้องจอดรถ พอหมูทำท่าจะร่วงนิดจึงขับย้อนกลับ แล้วก็มีรถของเทศบาลขับตามหลังมา ทีนี้อำนาจดันคิดว่าเป็นรถตำรวจ จึงพากันมาจอดหลบแถวนี้ แล้วบุษบาก็หายตัวไป พวกเราก็เลยเดินตามหากัน”

     สาวน้อยดวงตากลมโตจ้องมองอย่างตั้งใจ ทำให้ผมเกิดอาการเกร็งอย่างกระทันหัน เทอมนี้พวกเราได้คุยกันมากกว่าเดิม จึงสนิทกันมากกว่าเดิมเรียกแบบนั้นก็ได้ ทว่าอาการเขินอายของผมก็ยังไม่หายไปไหน

     “แล้วอำนาจอยู่ที่ไหนล่ะ” คนถามยังคงจ้องมองตาแป๋ว

     “เดี๋ยวนกก็รู้เองแหละ เรารีบไปกันดีกว่า”

     ผมรีบตัดบทแล้วกระตุ้นให้เดินกันต่อ เพราะเกรงว่าจะคุยกันยาวจนเสียเวลา แม้จะยังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ เธอก็ยังสงบปากสงบคำไม่บ่นอะไร พวกเราได้มาเจอนิตยากับทรงเดชที่ท่าน้ำเรือ โดยมีรปภ.ทั้ง 3 นายจาก 3 สถานที่ราชการยืนอยู่ด้วย เป็นอันว่าความลับแตกดังโพล๊ะเป็นที่เรียบร้อย

     “อำนาจเป็นยังไงบ้าง แล้วพี่ ๆ เขามาทำอะไร” ผมรีบถามคนที่มาถึงก่อน

     “พวกพี่ ๆ มายืนดูอำนาจ ส่วนอำนาจ… นายต้องดูเอง”

     นิตยาหันหน้ามาบอกปริศนาธรรม ทำให้ผมต้องหันหน้าไปที่กลางบึง เรือเป็ดสีแดงจอดสู้กระแสน้ำอยู่ที่เดิม เชือกคงมัดอะไรไว้เรือเลยไม่เคลื่อนที่ ทว่าเมื่อมองบนเรือผมก็ต้องอึ้งกิมกี่ อำนาจเพื่อนรักนั่งตัวแข็งทื่อเป็นหุ่นไล่กา โดยมีหมูป่าสาวเคล้าคลอเคลียอยู่ข้างกาย บางทีหล่อนก็เข้ามาหอมแก้มซ้าย บางทีหล่อนก็ใช้ขาหน้าลูบปอยผมเล่น

     “นั่นมันอำนาจนี่ ทำไมหมอนั่นไปอยู่ตรงนั้น แล้วหมูตัวนั้นคือบุษบาใช่ไหม ตกลงมันยังไงกันแน่ พูดสิ เราโมโหแล้วนะ” เจ้าของรถสีเขียวพูดรัวเป็นปืนกล พลางดึงแขนผมจนไหล่แทบหลุดจากร่าง

     “บุษบาแอบขึ้นเรือตามลำพัง” ผมตอบกลับพลางดึงแขนออก “เลยจะเอาเรืออีกลำไปลากกลับฝั่ง แล้วน้ำก็ดันไหลแรงกระทันหัน เรากับทรงเดชโดนพัดไปที่สะพานแขวน ส่วนเรืออำนาจโดนเชือกมัดอยู่เลยจอดนิ่ง”

     คนถามทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ชิดชนกมองเรือเป็ดสีแดงแล้วหันมาที่เพื่อนสาว

     “หมูของนิดประหลาดจัง ทำไมต้องหอมแก้มหรือกอดอำนาจด้วย”

     “เราไม่แน่ใจเหมือนกัน เจอหน้าพ่อต้องถามหน่อยแล้ว”

     เจ้าของหมูเองก็แปลกใจไม่น้อย อาจเป็นเพราะหล่อนกำลังจะเป็นสัดแล้ว ฝ่ายทรงเดชเริ่มคิดเตลิดไปไกลลิบลับ ว่าบุษบาถูกส่งมาจากองค์การลับที่ไหนซักแห่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มดราม่าผมรีบชิงตัดหน้าทันควัน

     “หาทางช่วยอำนาจกันเถอะ เขาติดอยู่ตรงนั้นนานแล้ว”

     คำพูดของผมกระตุ้นทุกคนให้สนใจอำนาจ สองสาวหยุดคุยกันเองแล้วหันไปหันมาบ้าง แล้วชิดชนกก็เดินไปหาชายไทยทั้ง 3 นาย ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับสถานที่ราชการ พวกเราที่เหลือจึงได้ตามเธอไป

     “พี่คะ เพื่อนหนูติดอยู่บนเรือลำโน้น หนูอยากขอความช่วยเหลือค่ะ” คนพูดชี้มือไปที่กลางบึง

     “ให้ช่วยอะไรครับ” รปภ.ร่างเล็กเป็นคนตอบ ขณะที่รปภ.ร่างโตเอาแต่มอง ส่วนรปภ.หัวล้านก็เอาแต่ยิ้ม

     “พวกพี่มีเรือบ้างไหมค่ะ เรืออะไรก็ได้” ชิดชนกยิงคำถามสำคัญใส่

     “ที่ทำงานพี่ไม่มีหรอก แต่พวกนี้มีคนล่ะลำ” รปภ.ร่างเล็กพยักหน้าไปที่เพื่อน

     “หนูขอยืมได้ไหมคะ ขอบคุณมากค่ะพี่” สาวผมม้ายิ้มกว้างด้วยความยินดี

     “คงให้ยืมไม่ได้ เพราะตอนนี้มันเสียอยู่” รปภ.ร่างโตชี้มือไปที่บนถนน ตรงนั้นเองมีเรือหางยาวลำหนึ่งจอดอยู่ แสงไฟสีเหลืองนวลส่องกระทบเรือทั้งลำ เผยให้เห็นเครื่องยนต์อันทรงประสิทธิภาพ รวมทั้งหัวเรือซึ่งพังยับเยินไม่มีชิ้นดี

     “ทำไมเละเป็นโจ๊กเลยล่ะพี่” ผมต้องถามบ้างเพราะเพื่อนตกใจพูดไม่ออก

     “คืออย่างนี้น้อง” รปภ.ร่างเล็กเป็นคนพูดแทน “สามวันก่อนลุงม่องแกอยากขับเรือ แต่ที่ทำงานพี่ไม่มีเลยมายืมศูนย์การศึกษา ตอนขาไปนี่ขับอย่างมืออาชีพเลยนะ เลี้ยวซิกแซกไปมาจนแม่บ้านปรบมือกันเกลียว แล้วขากลับแกก็ขับชนตอม่อสะพาน ตัวแกนี่ลอยข้ามเรือเลยนะน้อง แต่ไม่มีบาดแผลซักนิด นี่พี่ยังขนลุกอยู่เลย”

     คนเล่าเรื่องหน้าตาตื่นเต้นตามเนื้อเรื่อง ฝ่ายเด็กนักเรียนถอนหายใจพร้อมเพรียงกัน ชิดชนกดูจะตกใจน้อยที่สุด เพราะไม่รู้ว่าลุงม่องได้จากไปแล้ว เธอจึงหันไปมองรปภ.อีกคนบ้าง คนที่หัวล้านยิ้มเก่งคนนั้นแหละครับ

     “หนูขอยืมเรือพี่ได้ไหมคะ” แม้เธอจะหวานซักแค่ไหน ทว่าอีกฝ่ายก็เอาแต่ยิ้ม

     “คืออย่างนี้น้อง” รปภ.ร่างเล็กพูดแทนอีกครั้ง “หลังลุงม่องทำเรือพังไปแล้ว วันต่อมาแกเลยยืมเรือของอบต.แทน ตอนขาไปนี่ขับอย่างมืออาชีพเลยนะ เลี้ยวซิกแซกไปมาจนแม่บ้านปรบมือกันเกลียว แล้วขากลับแกก็ขับเฉี่ยวตอม่อสะพาน ใบพัดฟาดเสาขาดกระเด็นทันที ตัวแกนี่ลอยข้ามเรือเลยนะน้อง แต่ไม่มีบาดแผลซักนิด นี่พี่ยังขนลุกอยู่เลย”

     คนตอบคำถามมีน้ำเสียงปรกติมาก สีหน้าแววตาแสดงความใสซื่ออย่างแท้จริง คนบ้านนอกก็เป็นแบบนี้แหละครับ ให้ความเครพเชื่อฟังผู้อาวุโสกว่าเสมอ จึงให้ลุงม่องยืมเรือโดยไม่เฉลียวใจ ก็เลยไม่เหลือเรือหางยาวสภาพดีซักลำ

     “นี่มันอะไรกันเนี่ย ลุงม่องนะลุงม่อง”

     ทรงเดชทรุดตัวด้วยหมดอาลัยตายอยาก ผมก็เลยต้องนั่งเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที เมื่อเหลียวมองทางขวาแล้วต้องแอบถอนใจ ที่ได้เห็นนิตยาแยกตัวไปยืนเศร้าเพียงลำพัง เธอคงทุกข์ใจยิ่งกว่าทุกคน

     “ลุกขึ้นมาช่วยกันก่อน อย่าทำหน้าบึ้งแบบนี้สิ ถ้านายยอมแพ้แล้วอำนาจล่ะ”

     ชิดชนกยังคงมีกำลังใจมากที่สุด ดูเผิน ๆ อาจเพราะเธอไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าเฝ้ามองมาตลอดหลายเดือนแบบผม ก็จะรู้ว่าเป็นที่จิตใจอันแสนดีงาม สาวผมม้าตาโตจริงจังมากในเวลาเรียน แต่ตัวเธอเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี นิสัยดี พูดเก่ง ยิ้มเก่ง ชอบให้กำลังใจคนรอบข้าง ผมยืนยันได้โดยใช้หัวตัวเองนี่แหละ

     “เรายังไม่ยอมแพ้หรอก ไปตะโกนคุยกับอำนาจกันดีกว่า”

     ผมยืนยันกับเพื่อนร่วมห้องที่แอบมีใจให้ ก่อนลุกขึ้นยืนพลางดึงเพื่อนรักนักบาสบ้าง ทรงเดชจึงต้องลุกตามแล้วเสยผม ทันใดนั้นเองมีเสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ ไม่ใช่ของผมแน่เพราะนอนตายอยู่ที่บ้าน

     “จะนอนแล้ว อ้าว…อำนาจเหรอ โทษที นึกว่ารัตนา” ทรงเดชตอบกลับโดยไม่ได้มองเบอร์          “แล้วจะโทรมาทำไมให้เปลืองเงิน ตะโกนคุยกันก็ได้ ซื่อบื้อจัง”

     เจ้าของเครื่องกำลังจะกดวางสาย แต่ทำไมได้เพราะโดนสองสาวกระโดดเข้าแย่ง แล้วโทรศัพท์รุ่นใหม่หน้าจอ 5.5 นิ้วก็อยู่ในมือผม โชดดีที่ปลายสายยังคงชัดเจนแจ่มแจ๋ว พวกเราคงเครียดจัดจนลืมไปว่าอำนาจก็มีโทรศัพท์

     “เป็นไงบ้างเพื่อน โต้คลื่นสนุกดีไหม” ผมพูดให้มันตลกไปแบบนั้นเอง

     “ไอ้เพื่อนทรยศ ไอ้เพื่อนเนรคุณ ยายหัวฟูอยู่หรือเปล่า เราโคตรเกลียดหมูบ้าตัวนี้”

     อำนาจโวยวายลั่นพร้อมทำเสียงสะอึกสะอื้น ผมเปิดลำโพงไว้จึงได้ยินกันถ้วนหน้า สาวน้อยเจ้าของหมูมีสีหน้ายุ่งยากใจ เธอกลัวบุษบาจะทำพิลึกพิลั่นมากกว่าเดิม

     “อำนาจเราขอโทษ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวกลางวัน 2 มื้อ” นิตยายกมือไหว้ประหลก ๆ

     “ไม่ต้องมาติดสินบนเลยนะ ช่วยเราขึ้นฝั่งเดี๋ยวนี้” นายแว่นเริ่มงอแงอีกครั้ง

     “เฮ้ย เราพูดจริง ใจเย็นสิ กำลังหาทางอยู่” เจ้าของหมูยืนยันและปลอบใจ

     “นี่เราชิดชนกนะอำนาจ อย่าเพิ่งวู่วาม อยู่บนเรือก็ปลอดภัยดี” คนมาใหม่ช่วยปลอบใจบ้าง

     “นกพูดถูก นั่งกอดหมูถึงเช้าก็ดีนะโว้ย” ทรงเดชรีบแหลเข้ามาบ้าง

     “ไอ้บ้าส่งเดชช่วยด้วย” คนบนเรือหวาดกลัวมากกว่าเดิม ทำให้คนบนฝั่งใจคอไม่ดีตาม “นังหมูบ้าตัวนี้หาเรื่องอยู่ได้ กระโดดไปกระโดดมาจนกราบเรือแตกเป็นรู มีน้ำเข้ามาในเรือแล้วโว้ย”

     นิตยากับชิดชนกใช้มือปิดปากพร้อมกัน ทรงเดชทำตาโตแล้วหันมามองหน้าผม ผมเองก็ตกใจจนโทรศัพท์เกือบหล่น นี่เป็นข่าวร้ายเรื่องที่เท่าไหร่ของวันนี้นะ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่กี่นาที เรือจะลอยอยู่ได้ถ้ามีการถ่วงน้ำหนักทั้งสองฝั่ง ทว่าอำนาจกับบุษบาน้ำหนักตัวต่างกันลิบลับ นั่นหมายถึงทั้งคู่เหลือเวลาไม่มากเลย

     “นกยิงเรือลำนั้นได้ไหม” ผมยิงคำถามใส่มือฉมวกสาว

     “เรืออยู่ไกลมาก เรากลัวแรงส่งจะไปไม่ถึง” มือฉมวกสาวดูจะไม่มั่นใจ

     “เรากลัวอันตราย ฉมวกอาจโดนอำนาจ” นิตยากล่าวตามด้วยความเป็นห่วง

     “แต่เราไม่มีเวลาแล้ว น้ำเริ่มเข้าเรือแถวนั้นก็มีแต่ผักตบชวา ถ้าไม่รีบอำนาจจะลำบาก”

     ผมยังคงยืนกรานความต้องการกับทุกคน ทำให้ทุกคนหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม

     “แต่เราจะยิงเรือได้ยังไง ในเมื่อนกเอารถเข้ามาไม่ได้” ทรงเดชถามคำถามที่ชาญฉลาด

     “ให้อำนาจตัดเชือกบนเรือทิ้ง พอเรือถึงตรงโน้นนกค่อยยิง ถ้าโดนก็ใช้วินซ์ลากเรือกลับฝั่ง ถ้าไม่โดนให้อำนาจกระโดดเรือเลย ตรงนั้นมีผักตบชวานิดเดียว กระแสน้ำช้าลงตั้งเยอะ อำนาจว่ายน้ำเก่งเขาต้องทำได้”

     ขณะอธิบายความผมชี้ไม้ชี้มือประกอบ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจแผนการสำคัญนี้ ชิดชนกดูหน้าบึ้งจนไม่กล้าสบตาด้วย เธอกำลังคำนวนความเร็วและทิศทางลมอยู่กระมัง จึงได้มองไปที่อื่นกระทั่งพบนิตยาเข้า

     “ส่วนบุษบา บุษบา เอ่อ….” แล้วเจ้าของแผนการสำคัญก็ไปต่อไม่ถูก

     “ไม่ต้องสนใจ ช่วยอำนาจก่อน” เจ้าของหมูพูดสั้นและห้วนตามนิสัย

     “ขอโทษอีกทีนะนิด แต่มันจำเป็น” ผมพยายามปลอบใจแบบสิ้นคิด

     “ผู้ชายนี่นะ เหมือนกันทุกคน” นิตยาทำสีหน้าเซ็ง ๆ แล้วหันไปมองชิดชนกแทน “นกคิดว่าไหมไหว เราจะบอกให้อำนาจนั่งอีกฝั่ง เราไม่โกรธนะถ้านกยิงโดนบุษบา ก็มันจำเป็นนี่นา หัวหน้าห้องกล่าวไว้”

     สาวผมหยักโศกยังมีอารมณ์แซวกลับ ทำเอาผมสะดุ้งเฮือกพลางปาดเหงื่อ ชิดชนกคลายความกังวลใจลงมาก ใบหน้ารูปใข่จึงไม่บึ้งตึงเหมือนก่อน เธอมองเรือเป็ดสีแดงอีกครั้งจากนั้นจึงได้เปิดปาก

     “เราจะเล็งที่ท้ายเรือ บุษบาจะได้ปลอดภัย แต่ถ้าพลาดให้อำนาจกระโดดเลยนะ”

     “เดี๋ยวเราดึงเชือกให้เอง เรือลำเล็กนิดเดียวสบายมาก อำนาจจะได้ถึงฝั่งเร็วขึ้นไง”

     ทรงเดชยอดนักบาสกล่าวสรุปปิดคดี แล้วชูมือขึ้นสุงประหนึ่งพระเอกละครน้ำเน่า ดูเหมือนเจ้าตัวได้ขโมยซีนจากทุกคน แต่ไม่มีใครโวยและออกจะขบขันมากกว่า เมื่อตกลงได้แล้วผมจึงเริ่มเจรจากับคนบนเรือบ้าง

                            ---------------------------------------------

     5 นาทีถัดมาทุกคนได้เข้าประจำที่ ชิดชนกถือที่ยิงฉมวกยืนอยู่ข้างรถกระบะ เชือกความยาว 48 เมตรถูกกองไว้เป็นอย่างดี โดยอดีตหัวหน้าลูกเสือสำรองซึ่งก็คือผมนั่นเอง ข้างกายเธอคือสาวน้อยหน้าแฉล้มชื่อนิตยา ทั้งคู่ยืนปรึกษากันท่าทางเอาจริงเอาจัง รปภ.ทั้ง 3 นายยืนลุ้นผลอยู่ที่ท่าน้ำ ผมและทรงเดชได้ลงไปรอที่ริมตลิ่ง เมื่อทุกคนพร้อมจึงได้ต่อสายหาเพื่อนรัก

     “เอาเชือกหัวเรือออกเลย เราเชื่อว่านายทำได้” ผมกล่าวเปิดงานทันที

     “นายว่ายายหูกางจะทำได้เหรอ เรากลัวจังเลย” อำนาจยังคงขี้ระแวงไม่เปลี่ยน

     “เราก็กลัวเหมือนกัน แต่เราเชื่อว่านกทำได้” ผมให้การตามข้อเท็จจริง

     “นกต้องทำได้สิวะ ต่อไปเราจะไม่แกล้งตบหัวนายอีก ซัก 2 อาทิตย์เป็นไง”

     ทรงเดชตะโกนให้กำลังใจแก่เพื่อนรัก อาจฟังขัดหูไปบ้างแต่นี่แหละสไตล์ของเขา อำนาจบ่นกระปอดกระแปดอยู่พักหนึ่ง ก่อนยอมทำตามแม้จะไม่เต็มใจเลย แล้วเวลาที่พวกเรารอคอยมาก็ถึง เรือเป็ดสีแดงเริ่มเคลื่อนตัวไปตามกระแสน้ำ ขณะที่เรือลอยผ่านศูนย์การศึกษานอกระบบ ฉมวกอันหนึ่งวิ่งฝ่ากระแสลมขึ้นไปจนสุงลิบ ทุกคนต่างลุ้นระทึกว่ามันจะถึงหรือไม่ถึง แล้วฉมวกก็สิ้นแรงตกลงบริเวณท้ายเรือ ผมไม่ได้ยินอะไรเลยเพราะมันค่อนข้างไกล แต่ทรงเดชไม่อยากรอจึงกระโดดเข้าใส่เชือก เขาออกแรงดึงด้วยสองแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เรือมีอาการกระตุกแปลว่าชิดชนกทำสำเร็จ

     “เธอทำได้ยายนก เธอทำได้!” ทรงเดชตะโกนอย่างบ้าคลั่งให้กับมือฉมวกสาว

     “อย่ากระชากแรงเดี๋ยวมันหลุด ฉมวกแค่เกี่ยวขอบเรืออยู่”

     ผมรีบผวาเข้าไปช่วยประคอง เพราะไม่แน่ใจว่าฉมวกเกาะแน่นแค่ไหน มือฉมวกสาวต้องยิงวิถีโค้งระยะไกลลิบ เธอทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมราวกับโรบินฮู้ดสาว ระหว่างช่วยกันดึงผมก็หันไปมองรถสีเขียว นิตยาและชิดชนกยืนยิ้มแป้นหน้าบานทั้งคู่ สาวผมม้าตาโตหยิบอุปกรณ์สำคัญขึ้นมา มันคือรีโมทสำหรับควบคุมวินซ์ไฟฟ้า แล้วเชือกเส้นนี้ก็เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาในหลัก

     อำนาจและบุษบาเข้าใกล้พวกเราอย่างเชื่องช้า คำนวนดูแล้วน่าจะห่างประมาณ 35 เมตร สองสาวเดินมาสมทบที่ริมตลิ่ง ชิดชนกมีรีโมทสามารถหยุดวินซ์ตอนไหนก็ได้ ความหวังของทุกคนกำลังสดใสเรืองรอง เราแอบเห็นรอยยิ้มเหงา ๆ จากคนสวมแว่นตา แล้วความหวังที่ว่านี้ก็จากไปชนิดปุบปับ เพราะเรือดันปะทะอะไรซักอย่างจากใต้น้ำ น่าจะเป็นจุดเดียวกับที่ผมเคยโดนมาก่อน คนบนเรือตกใจหน้าซีดเมื่อเรือเอียงวูบ คนบนฝั่งตะโกนลั่นฟังแทบไม่รู้เรื่อง

     บังเอิญว่าหมูป่าดันคิดไม่เหมือนกัน บุษบาตกใจและโมโหกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นฉมวกเกี่ยวเรืออยู่จึงปรี่เข้าใส่ ก่อนใช้ปลายจมูกทั้งผลักทั้งดุนด้วยจิตอาฆาตแค้น แล้วฉมวกของชิดชนกก็ตกน้ำป๋อมแป๋ม เรือเป็ดสีแดงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ผมคิดถึงแผนต่อไปจึงตะโกนให้อำนาจสละเรือ ลูกชายหมอประสาทจด ๆ จ้อง ๆ ท่าทางหวาดกลัว เขาตัดสินใจกระโดดข้ามตัวบุษบาทันที เพื่อนทุกคนต่างจ้องมองแทบลืมหายใจ แล้วก็พลันใจหายวาบกับภาพที่ปรากฎตรงหน้า

     เกิดเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึกที่สุดในจักรวาล หมูป่าสาวเต็มวัยน้ำหนัก 200 กิโลกรัม ได้กระโดดเทคตัวขึ้นสุงประหนึ่งนักยิมนาสติก บุษบารวบตัวอำนาจไว้ในอ้อมกอดตัวเอง แล้วทั้งคู่ก็กลับสู่เรือเป็ดสีแดงอีกครั้ง แรงปะทะจากมวลสารหนัก 245 กิโลกรัม ทำให้น้ำกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง เรือยังคงลอยเท้งเต้งอยู่บนบึงหนองโพธิ์ ทว่าน้ำทะลักเข้ามาเยอะพอสมควร เพื่อนรักของผมนอนนิ่งใกล้ขาถีบเรือ โดยมีเพื่อนรักของนิตยานอนทับอยู่ด้านบน

     “กระโดดลงมาสิโว้ย ผลักนังหมูบ้านั่นออกไป” ทรงเดชวิ่งตามพลางตะโกนโวยวาย

     “อำนาจกระโดดเลย ใช้ขาถีบหรือทำอะไรก็ได้”

     นิตยาวิ่งหน้าตาตื่นตามเรือเป็ดมาด้วย เธอพยายามตะโกนแม้รู้ดีว่าไร้หวัง บุษบามีน้ำหนักตัวมหาศาล ออกจะเป็นหมูที่อ้วนท้วนสมบรูณ์ไปนิด ต่อไปนี้จะไม่ให้หล่อนกินไอติมอีกแล้ว ต่อให้ชูขาหน้าแล้วส่วยสะโพกก็จะไม่ใจอ่อน แต่เวลานี้เธออยากขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้ช่วยเหลืออำนาจขึ้นฝั่งสำเร็จเสียที คำขอร้องของนิตยาดูจะศักดิ์สิทธิ์พอสมควร เรือลำน้อยที่ทำท่าจะจมก็ยังไม่จม ความแรงของกระแสน้ำน้อยลงกว่าเดิมเช่นกัน

     ฝ่ายชิดชนกป้องปากตะโกนบอกรปภ.ทั้ง 3 นาย แล้วเรือหางยาวที่ไม่มีเครื่องยนต์ก็เริ่มเดินทาง มือพายทุกคนต่างทำหน้าที่สุดความสามารถ เพื่อตามเรือเป็ดสีแดงให้ทันให้จงได้ นี่คือแผนสุดท้ายที่ได้เตรียมเผื่อไว้

     “ใจเย็นนะเพื่อน เดี๋ยวมีเรือไปช่วยนายแล้ว” ทรงเดชตะโกนบอกเป็นรอบที่สิบ

     “มันจะไม่ทันน่ะสิ เราลงไปช่วยดีกว่า”

     สาวน้อยดวงตาซุกซนทำท่าจะกระโดดน้ำ เดือนร้อนชิดชนกต้องเข้ามาห้ามไว้  เรือลอยห่างสะพานแขวนไม่ถึง 20 เมตร พ้นจากสะพานไปก็คือขุมนรกในบึงกว้าง ขณะที่เรือหางยาวอยู่ห่างออกไปถึง 40 เมตร

     “ทำยังไงดีล่ะนาย นาย นาย…หายไปไหนแล้วเนี่ย นิดเห็นหรือเปล่า”

     ทั้งที่ต้องใช้สองมือรั้งตัวนิตยาจนแน่น ชิดชนกก็ยังตะโกนเรียกเพื่อนไปด้วย ลูกสาวเฮียอ๋าทั้งตกใจและประหลาดใจ ที่หลานชายร้านจักรยานไม่ตอบกลับมา แล้วพายุฝนก็ตกลงสู่พื้นดินอีกครั้ง พร้อมเสียงฟ้าผ่าและประกายไฟจากฟ้าแลบ

     “ไม่ได้อยู่กับทรงเดชเหรอ หรือว่าวิ่งไปขอความช่วยเหลือ”

     นิตยาผละตัวเองออกจากอ้อมกอดเพื่อน เธอล้มเลิกความคิดที่จะกระโดดน้ำชั่วคราว ทรงเดชยังคงวิ่งตามเรืออยู่ที่ริมตลิ่ง อำนาจยังคงนอนนิ่งและโดนบุษบานอนทับ เรือหางยาวไร้เครื่องยนต์เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น แต่คงไม่ทันก่อนถึงสะพานแขวนแน่นอน อำนาจจะต้องเผชิญกับบึงรับน้ำที่ทั้งกว้างยาวและลึก เขาต้องรออีกเป็นชั่วโมงถ้าเรือไม่ล่มเสียก่อนนะ สาวผมหยักโศกคำนวนทุกอย่างได้หมด สิ่งเดียวที่เธอคนนี้ยังไม่รู้ก็คือ นายหัวหน้าห้อง 4/3 หายหัวไปไหนแล้ว

     “นั่นใช่เขาไหม บนเสาตอม่อสะพาน”

     เจ้าของหมูป่ารีบสะกิดไหล่เพื่อนสาว ทั้งคู่ช่วยกันมองด้านบนสะพานแขวน เกิดสายฟ้าแลบติดต่อกันจากฟากฟ้า ทำให้เห็นความเคลื่อนไหวชัดเจนยิ่งขึ้น เด็กนักเรียนคนหนึ่งกำลังปีนขึ้นสู่ยอดเสา ใบหน้าของเขาแสดงความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ และแล้วในที่สุดเขาก็ยืนอยู่ที่จุดสุงสุด สองตาจับจ้องเรือเป็ดที่กำลังเคลื่อนเข้าใกล้

     “จะทำอะไร ลงมาเดี๋ยวนี้” ชิดชนกตะโกนใส่เป็นคนแรก และวิ่งไปที่สะพานเป็นคนแรก

     “นายว่ายน้ำไม่เป็น อย่าทำแบบนี้เลย” นิตยารีบวิ่งตามพร้อมช่วยอ้อนวอนอีกแรง

     “ไอ้เพื่อนบ้าลงมาสิโว้ย มันคิดจะทำอะไรของมันกันแน่”

      เด็กหนุ่มตัวโตที่สุดวิ่งตามเรือเป็ดเช่นเก่า ดวงตาทั้งสองเริ่มมีน้ำตาปริ่มออกมา ทรงเดชไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี อำนาจยังติดอยู่ในเรือที่กำลังจะผ่านสะพานไป เพื่อนอีกคนก็ดันปีนขึ้นไปเสียสุงลิบ เขาคิดว่าเพื่อนคงหาทางช่วยอำนาจอยู่ แต่ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะขึ้นไปทำไม นายคนนี้ว่ายไม่เป็นและไม่มีอะไรติดตัว แล้วหมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่ล่ะเนี่ย

     ส่วนเด็กหนุ่มที่ทุกคนเพรียกหากำลังทำสมาธิ แล้วเช็ดเหงื่อปลายคิ้วพลางหายใจเข้าเต็มปอด ทันทีที่อำนาจลงจากเรือไม่สำเร็จ ผมก็วิ่งกลับไปที่รถกระบะของนิตยา จากนั้นจึงปีนขึ้นสะพานเวลาเดียวกับฝนลงเม็ด บอกตรงนี้เลยว่าเป็นอะไรที่ยากมาก คุณจะมองไม่เห็นว่ามือไม้จับอะไรอยู่ ต้องฝากชีวิตไว้กับโชดชะตาซึ่งผมไม่มี แต่ถึงอย่างไรผมก็ขึ้นมาได้แล้วนี่นา

     “ลงมาเดี๋ยวนี้นะ ให้เราขอร้องก็ได้”

      ชิดชนกตะโกนเสียงดังด้วยเป็นห่วง ทั้งเธอและนิตยาวิ่งมาหยุดที่ทางขึ้นสะพาน ผมมองเห็นเธอได้แม้ว่าเราจะอยู่ไกลกัน ความกังวลใจของเธอผมรับรู้ทั้งหมด ความห่วงใยที่ปรากฎผมเองเข้าใจดี แต่ผมไม่สามารถปีนลงตามที่เธอร้องขอได้ ต่อให้อ้อนวอนมากแค่ไหนมันก็เท่านั้น เพราะผมคนเดียวทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ถ้าผมไม่เอาคำว่าชายชาตรีมาเป็นข้ออ้าง อำนาจก็คงไม่ต้องมาเสี่ยงตายแบบนี้ แต่ผมก็ทำลงไปแล้วด้วยเหตุผลงี่เง่าสิ้นคิด

     ตลอดทั้งวันผมทำผิดพลาดทุกสิ่งทุกอย่าง ครั้งนี้จะขอเดิมพันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างบ้าง มือซ้ายได้ล้วงอาวุธลับสุดยอดออกมา มันคือลูกวอลเลย์บอลใหม่เอี่ยมของนิตยา เธอเล่นไม่ค่อยเก่งจึงต้องมีติดรถไว้ซ้อม ผมสัญญาว่าจะช่วยติวจนกว่าเธอจะดีขึ้น แล้วเป้าหมายสำคัญก็วิ่งเข้าสู่พื้นที่สำคัญ เรือเป็ดสีแดงอยู่ห่างออกไปเพียง 10 เมตร

     ท่ามกลางเสียงโวยวายจากเพื่อนทุกคน รวมทั้งเม็ดฝนที่เริ่มตกหนักมากขึ้น ผมยิ้มมุมปากให้ขณะหยิบบอลขึ้นมา จากนั้นจึงจัดท่าพลางย่อเข่าลงเล็กน้อย บอลในมือซ้ายถูกโยนขึ้นถึงจุดสุงสุด เงื้อมือขวาเต็มแรงถ่ายน้ำหนักตัวมาที่เท้าหลัง จังหวะที่โยนมีแสงสว่างพุ่งมาจากริมบึง แม้เพียงแวบเดียวแต่ก็ทำให้เสียจังหวะ บอลลูกนั้นถูกโยนห่างตัวมากเกินไป

     ไม่ได้…! จะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้ ผมคิดในใจขณะจ้องมองลูกบอลของนิตยา วินาทีนั้นเองผมจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด บางครั้งคนเราก็ต้องทำเพื่ออุดมการณ์อันแน่วแน่ เท้าหลังที่รับน้ำหนักสปริงตัวขึ้นสุงทันที ผมพุ่งไปข้างหน้าเพื่อเข้าหาอาวุธลับสุดยอด เมื่อได้จังหวะจึงใช้ส้นมือขวาฟาดกึ่งกลางลูก ด้วยแรงส่งจากน้ำหนักตัว กล้ามเนื้อท้อง หัวไหล่ และแรงเหวี่ยงข้อมือรวมกัน บอลพุ่งเร็วปานจรวดปราบรถถัง ตรงไปยังเรือเป็ดสีแดงที่อยู่ด้านล่าง

     เกิดสายฟ้าแลบติดต่อกันทั่วฟากฟ้า บุษบานึกว่าใครจุดพลุจึงลุกขึ้นมอง อำนาจได้จังหวะตั้งท่ากระโดดจากเรือ ทว่าลูกเสิร์ฟมหาประลัยเดินทางไปถึงแล้ว บอลของนิตยาพุ่งเข้าชนหมูของนิตยา บุษบาร้องโอ๊ยเสียงดังก่อนร่วงตกน้ำทันที อาวุธลับสุดยอดยังคงไม่หมดฤทธิ์เดช มันวิ่งไปกระทบตัวเรือแล้วมุ่งสู่จุดยุทธศาสตร์

     “อ๊ากกกก….!!”

     อำนาจส่งเสียงร้องลั่นจนแสบแก้วหู แล้วนั่งจุมปุ๊กหน้าตาเหยเกสุดชีวิต ทว่าตรงที่เขานั่งลงดันไม่ใช่ฝั่งตัวเรือ เพื่อนรักผมจึงได้ร่วงลงสู่ท้องน้ำ แว่นตาและโทรศัพท์หล่นไปกองอยู่บนเรือ เขากำลังจะจมน้ำทั้งที่บาดเจ็บและสายตาสั้น ผมเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขณะลอยอยู่บนเวหา แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนเป็นสีดำ คนทำพลาดกำลังดำลึกสู่อาณาจักรใต้ท้องสมุทร

     ผมอยากให้ตัวเองจมน้ำแล้วหายลับดับไป ให้มันสาสมกับเรื่องทั้งหมดที่ได้กระทำ แต่ชีวิตจริงดันไม่น้ำเน่าเหมือนในละคร ร่างของผมจึงโผล่พรวดขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง สองมือซ้ายขวาเริ่มออกแรงว่ายเข้าหาฝั่ง จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใช้ท่าอะไรกันแน่ แต่มันก็ได้ผลเพราะริมตลิ่งอยู่ไม่ไกล สถิติ 5 เมตรที่ยืนยงถูกทำลายวันนี้เอง จากที่เคยสิ้นหวังกลับเริ่มมีความหวังขึ้นมา แล้วความหวังที่ว่าก็พังทลายไม่มีชิ้นดี เนื่องจากริมตลิ่งเริ่มห่างออกไปมากขึ้น

     ตอนนี้ผมทำได้แค่ลอยคอพยุงตัว เรื่องที่จะได้ขึ้นจากบึงคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ได้ยินเสียงคนกระโดดน้ำดังตูมแว่วเข้าหู ผมไม่ได้คิดไปเองแน่แต่มันไม่ได้ผลหรอก ห่างออกไป 10 เมตรคือขุมนรกในบึงกว้าง น้ำวนขนาดใหญ่มากโผล่ขึ้นมาจากอเวจี มันดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างหายต๋อมทันตาเห็น ไม่มีใครว่ายมาช่วยผมได้ทันหรอกครับ ไม่ว่าชิดชนกหรือนิตยาก็ช่วยไม่ได้ ต้องเป็นนักว่ายน้ำทีมชาติไทยไปแข่งโอลิมปิคกระมังครับ

     ผมเริ่มคิดเพ้อเจ้อขณะลอยคอเพื่อรอคอย คอยว่าจะหายไปจากโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้เวลาไหน เกิดฟ้าผ่าดังเปรี้ยงที่ด้านท้ายบึงรับน้ำ น้ำวนยักษ์อยู่ห่างออกไป 5 เมตรเท่านั้น จมูกสำลักน้ำมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหว ดวงตามองอะไรต่อมิอะไรได้อย่างเลือนลาง ร่างของผมกำลังจะถึงแก่กาลอวสาน เว้นแต่จะมีปาฎิหารย์เกิดขึ้นในวินาทีนี้

                        ---------------------------------------------

     “วังน้ำวน สายชลวนเชี่ยว เป็นเกลียวลึกลง หื้อ ฮือ หื้อ ฮือ เกลียวน้ำวน วนวิ่งดิ่งตรง ลึกลงทุกที หื้อ ฮือ หื้อ ฮือ”

     เสียงเพลงวังน้ำวนดังขึ้นที่ข้างหูผมเอง ช่างเป็นมุขตลกทิ่มแทงใจเสียเหลือเกิน แต่ยังมีมุขตลกที่ร้ายกาจยิ่งกว่า นั่นคือมือทั้งสองกำโดนก้อนกรวดเข้า จมูกของผมหายใจได้อย่างสะดวก ไม่มีการสำลักน้ำแทบขาดใจเหมือนแต่ก่อน ไม่มีความหนาวเย็นประดุจขั้วโลกเหนือ ไม่มีเสียงน้ำไหลเข้ามาปะทะใบหู และไม่มีฝนตกพรำใส่หัวให้รำคาญใจ

     ผมลืมตาขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงได้พบกับสิ่งที่ดูแปลกไปจนรู้สึกแปลกใจ สาวน้อยนิตยาผู้แสนเงียบขรึมเกินใครนั้น กำลังบีบหัวไหล่ให้พลางพูดจ้อไม่หยุดปาก ฝ่ายสาวน้อยชิดชนกคนพูดเก่งแสนร่าเริง เธอนั่งอยู่อีกด้านเอาแต่ยิ้มหวานจนมดตอม สองมือของเธอกำลังนวดขาให้ผมอยู่ ดวงตากลมโตฉายแววดีใจบวกปลื้มปิติ

     คนโดนนวดตกใจลุกขึ้นมานั่ง นิตยายังพูดไม่หยุดพลางส่งยิ้มหวานบ้าง ผมไม่ได้ยินเสียงของเธอแม้แต่ประโยคเดียว ทันทีที่ลุกขึ้นหูของผมก็ดับไป อาจเป็นเพราะกระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน ยังคงอักเสบอยู่หรือเปล่า หันซ้ายหันขวาจึงได้เจอต้นตอที่ทำให้หูดับ เจ้าชายหมีน้อยหรือทรงเดชเพื่อนรักอีกคน กำลังร่ำให้หนักมากประหนึ่งว่าโดนรัตนาทอดทิ้ง ผมชักเริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาอีกแล้ว นี่ผมกำลังฝันอยู่หรือได้จากไปแล้วกันแน่ จึงตัดสินใจพิสูจน์ความจริงให้ปรากฎ

     มีเสียงร้องเจี๊ยกดังลั่นพร้อมเสียงของหนักตกพื้น ทรงเดชล้มลงแทบเท้าพลางใช้มือกุมหน้า แก้มซ้ายของเขามีรอยแดงเป็นผื่นกว้าง เนื่องจากมวลสาร  2 สิ่งเข้าปะทะกันเสียงดังเพลี๊ยะ สิ่งที่เข้าปะทะก็คือมือขวาของผมนี่แหละ มันแดงเถือกทั้งฝ่ามือและเจ็บจนน้ำตาไหล แสดงว่าผมไม่ได้ฝันไปอย่างแน่นอน และหูของผมทำงานได้ตามปรกติแล้ว

     “อะไรของเอ็งเนี่ย มันเจ็บนะโว้ย” ทรงเดชโวยลั่นพร้อมลูบแก้มตัวเองไปด้วย

     “โทษที สงสัยเส้นกระตุก” ผมแก้ตัวสุดงี่เง่าพลางหันไปหาคนอื่น “เราไม่เป็นอะไรแล้ว ใครช่วยลากหมีควายขึ้นฝั่ง”

     คนพูดทดลองขยับเนื้อขยับตัวบ้าง มันค่อนข้างลำบากแต่แล้วก็สำเร็จ ความสุงจากจุดกระโดดน่าจะประมาณ 10 เมตร ส่งผลกระทบต่อร่างของผมทุกตารางนิ้ว ชิดชนกจ้องมองคนตกน้ำอย่างใกล้ชิด ทว่าเธอก็ยังยิ้มโดยไม่พูดอะไรเลย

     “ไม่ใช่เราหรือนกหรอก คนนั้นต่างหากที่ลงไปช่วย” คนพูดไม่เก่งอย่างนิตยาเป็นคนเฉลย ระหว่างที่พูดก็ผายมือไปทางขวา “ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ สวมเสื้อสีส้มแป๊ดเหมือนกระเทย จำได้ไหมพ่อเราเอง”

     “สีโอรสย่ะ พ่อไม่ได้เป็นกระเทยนะคะ กระเทยที่ไหนมีลูกสาวน่ารักขนาดนี้”

     ผู้ช่วยชีวิตแก้ตัวอย่างติดตลก ผมผงกหัวมองพบชายไทยรูปร่างดีทีเดียว เขามีความสุง 180 เซนติเมตรไหล่ค่อนข้างหนา สวมเสื้อแขนยาวสีโอรสกางเกงผ้าร่มสีดำแถบเหลือง ดูไปดูมาเหมือนกับ ก๊อต จักรพรรณ ไม่มีผิดเพี๊ยน

     “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ตามมารยาท จะพูดมากกว่านี้ก็ไม่ทันอีกฝ่ายแล้ว

     “สวัสดีจ้า ลูกเสิร์ฟสวยมาก ช่วยติวให้นิดบ้างได้ไหม ยายคนนี้เล่นวอลเลย์บอลไม่ได้เรื่องเลย” เขาชะงักไปชั่วขณะเหมือนนึกอะไรได้ “แย่แล้วสิ ลืมไอ้นี่ไปเลยแฮะ รบกวนคืนเจ้าภาพให้ผมด้วยนะ”

     แล้วเจ้าตัวก็ล้วงกระเป๋ากางเกงทันควัน ก่อนหยิบไมค์ลอยเปียกน้ำตัวหนึ่งออกมาถือ หางเครื่องสาวนางหนึ่งปาดเข้ามารับ หล่อนแต่งหน้าเข้มจัดสวมหมวกขนไก่สุงลิบ ชุดแซกสีแดงสดโชว์เนินอกยักษ์ราวกับลูกมะพร้าว

     “ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะฝากคนไปคืนให้ แต่สงสัยพังแล้วแน่นอน”

     เสียงหางเครื่องทั้งทุ้มต่ำและแหบมาก นี่มันเสียงวัวกระทิงชัด ๆ ผมคิดในใจ เมื่อหล่อนเดินเข้าใกล้ก็เลยเริ่มคุ้นหน้า รอยยิ้มของนางมีเขี้ยวกระต่ายทั้งสองฝั่ง แล้วคนจมน้ำก็ถึงบางอ้อในที่สุด

     “พี่ท้อแท้! พี่ท้อแท้จริง ๆ ด้วย” คราวนี้เองที่ผมลุกขึ้นยืนสำเร็จ

     “ใช่แล้ว พี่ท้อแท้เอง อยากดูใบเสร็จค่าปะยางหรือเปล่า”

     พี่ท้อแท้ยิ้มให้พลางสะบัดผมยาวสลวย ก่อนเดินส่ายก้นใหญ่ ๆ เอาไมค์ลอยไปเก็บ ฝั่งขวามือรถกระบะสีน้ำเงินเนบิวล่า มีรถเก๋งฮอนด้าซีวิคสีขาวจอดเปิดไฟทิ้งไว้ น่าจะเป็นคันที่ทำให้ผมโยนบอลเสียจังหวะ ที่ยืนอยู่ข้างรถคือรปภ.หน้าโหดกับคู่หูของเขา เป็นอันว่าทั้งโจทย์และจำเลยอยู่ที่นี่ครบถ้วนแล้ว

     “พ่อมาที่นี่ได้ยังไง” เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่เป็นอะไรแล้ว นิตยาจึงได้เปิดศึกกับผู้เป็นบิดา

     “สมานโทรหาพ่อที่งานเลี้ยง ก็เลยรีบบึ่งกลับมาทันที” ผู้เป็นพ่อตอบกลับพลางยิ้มให้

     “พี่สมาน” สาวน้อยผมหยักโศกหันไปโวยใส่ คุณพี่สมานก้มหน้าหาเศษขยะทันที

     “อย่าไปว่าเขาเลย นิดพาหมูมาเล่นน้ำกลางดึก แล้วสมานจะไม่โทรบอกพ่อได้หรือ”

     “ไม่ได้พามาเล่นน้ำ พ่อให้พี่สมานคอยตามนิดใช่ไหม” ลูกสาวหันไปแว๊ดใส่พ่อแทน

     “ไปกันใหญ่แล้ว พ่อให้สมานดูแลบุษบาต่างหาก” คนพูดส่ายหัวไปมาแล้วมองหางเครื่อง “นี่พ่อกับพี่ท้อแท้นะ ไม่ใช่เชอร์ล็อค โฮลมส์กับคุณหมอวัตสัน เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็น…โคนันกับผองเพื่อนดีล่ะท้อแท้”

     “เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” พี่ท้อแท้รับมุขพลางชี้ไม้ชี้มือใส่

     “พ่อ” ฝ่ายลูกสาวถึงกับตะลึง “พ่อรู้จักชื่อบุษบาด้วย”

     ไม่ใช่แค่นิตยาหรอกนะครับที่แปลกใจ เพื่อน ๆ เธอทุกคนล้วนแปลกใจและงุนงงตาม พวกเราต่างนิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไรขัด คอยลุ้นผลการเจรจาครั้งสำคัญด้วยใจระทึก ดูเหมือนว่าฝ่ายลูกจะเสียเปรียบมากขึ้น

     “ทำไมพ่อจะไม่รู้ล่ะนิด บุษบาชอบกินไอติมกูลิโกะรสกะทิ บุษบาชอบฝรั่งดองแต่ต้องไม่ใส่พริกเกลือ บุษบาชอบให้เกาคางแต่ไม่ชอบให้ใครลูบหลัง และดูเหมือนว่า…นางสาวบุษบาใกล้ติดสัดแล้วใช่ไหม”

     คนเป็นพ่ออธิบายความไปสบตาลูกสาวไป แต่ไม่ได้เข้าใกล้เพื่อกดดันแม้แต่น้อย คนเป็นลูกกำลังสับสนและว้าวุ่นใจ ที่รู้ว่าพ่อตัวเองก็รู้ว่าบุษบาชื่อบุษบา คนเป็นเพื่อนแทบลืมหายใจกันทั้งสิ้น เพราะไม่รู้ว่าคดีนี้จะลงเอยแบบไหนดี สถานการณ์ตอนนี้เข้าขั้นแตกหักเสียแล้ว ถ้านิตยาไม่โกรธมากขึ้นเธอก็จะหายโกรธ แล้วหวยจะออกข้อไหนกันแน่นะ

     “ใช่ค่ะ บุษบากำลังติดสัดแบบที่พ่อบอก แล้วพ่อยังจะล้มเธอในงานเลี้ยงอีกเหรอคะ”

สาวน้อยดวงตาซุกซนจ้องมองอย่างแค้นเคือง มือทั้งสองกำแน่นเพื่อช่วยระงับอารมณ์ ชิดชนกกระตุกร่างผมจนเกือบล้มลง เพราะไม่รู้อะไรเลยเธอจึงอยากรู้อะไรบ้าง ทว่าตอนนี้ไม่เหมาะผมจึงไม่กล้าปริปาก 

     “ล้มเธอ หมายถึงบุษบาเหรอ นิดเอาความคิดเรื่องนี้มาจากไหน”

     คนพูดแสดงท่าทีประหลาดใจสุดขีด เขาหันไปหาพี่ท้อแท้ซึ่งงุนงงไม่แพ้กัน เมื่อไม่ได้คำตอบจึงต้องหันมาที่ลูกสาว นิตยาเริ่มลดอาการโมโหจนลมออกหู เธอชักไม่แน่ใจแล้วสิว่ามันยังไงกันแน่

     “ก็ พี่สมานกับพี่อองรี บอกว่าคนงานจะล้มบุษบาในงานเลี้ยงนี่คะ”

     และแล้วความจริงที่แท้จริงก็ได้ปรากฎ คุณพ่อนิตยาหันไปมองคนต้นเรื่องทันที คุณพี่สมานหน้าจ๋อยสนิทศิษย์อัศวินดำ ขณะที่คุณพี่อองรีตัวดำปิ๊ดปี๋แต่หน้าขาวซีด

     “พี่สมานเป็นคนพูดขลับ ผมห้ามแล้วก็ไม่ฟังขลับ” อองรีโยนขี้ให้เพื่อนทันควัน

     “อ้าว ไอ้นี่” สมานทำตาดุใส่คู่หู แล้วหันมาแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจนิ แค่อยากล้อคุณหนุเล่นเท่านั้นเองนิ ผมต้องขอโทษคุณและคุณหนูด้วยขลับ คุณหนูอย่าถือสาคนปากหมาอย่างพี่เลยขลับนิ”

     รปภ.หน้าโหดตกใจจนพูดเพี๊ยน แกเป็นคนระยองนิสัยดีและอารมณ์ดีมากไปนิด ทั้งที่อยากแพ่นกระบาลลูกน้องมากก็ทำไม่ได้ เพราะตรงนี้ดันมีนักเรียนรวมทั้งลูกสาวหัวดื้อ ผู้เป็นนายจึงได้หันไปเจรจาสงบศึกต่อ

     “พ่อขอโทษแทนสมานกับอองรีด้วย นิดเข้าใจทุกอย่างแล้วนะคะ”

     “แต่นิดได้ยินพ่อคุยกับพี่ท้อแท้ ว่าต่อไปบุษบาจะไม่อยู่แล้วนี่คะ”

     ยังมีความสงสัยสุดท้ายอยู่ในความคิด นิตยาเข้าใจหมดแล้วยกเว้นก็แต่เรื่องนี้ พ่อของเธอสะอึกไปบ้างหลังได้ฟังจบ เขาเหลือบมองไปที่ท่าน้ำครู่หนึ่ง แล้วกลับสู่โต๊ะเจรจาเพราะไม่มีทางเลือก

     “อันที่จริงพ่อยังไม่อยากบอก” คนพูดมีรอยยิ้มติดมุมปาก “พ่อหาบ้านใหม่ให้บุษบาได้แล้ว เป็นฟาร์มหมูของพี่หมูผู้ชายกับพี่หมูผู้หญิงที่หนองหมู บุษบาจะมีเล้าหมูแยกเป็นส่วนตัว อาหารการกินสมบูรณ์และมีคนพาไปเดินเล่น มีสระว่ายน้ำพร้อมสปริงบอร์ดสุง 5 เมตรด้วยนะ แล้ววันหยุดพ่อจะพานิดไปเยี่ยมดีไหมลูก”

     นี่คือการพูดคุยที่ออกจะประหลาดพิกล คนเป็นพ่อยืนห่างลูกสาวประมาณ 3 เมตร เขาใช้มือกุมเป้าพลางแจงเหตุผลละเอียดละออ ไม่มีทีท่าที่ว่ากล่าวบังคับหรือขู่เข็ญเลย นี่ถ้าเป็นบ้านผมหรือชิดชนกแล้วล่ะก็ ได้โดนหวดด้วยไม้มะยมจนน่องลายแน่ ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าวิธีนี้เหมาะสมหรือไม่ แต่นิตยาไม่แข็งกระด้างเหมือนช่วงแรกสุดแล้ว

     “ทำไมพ่อไม่บอกนิดเรื่องบุษบา” คำพูดยังสั้นและห้วนแต่น้ำเสียงอ่อนลง

     “ก็พ่อไม่รู้ว่านิดไม่รู้ว่าพ่อรู้ ถ้าพ่อรู้ว่านิดไม่รู้ว่าพ่อรู้ พ่อคงรู้ว่าควรบอกให้นิดรู้ตั้งนานแล้ว”

     หลังฟังจบผมและทรงเดชอ้างปากค้าง ชิดชนกลูกสาวเฮียอ๋าสะดุ้งเป็นตลกคาเฟ่ ฝ่ายลูกสาวยังคงนิ่งเงียบไม่ต่างจากเดิม ทั้งที่พ่อตัวเองเพิ่งปล่อยมุขฮาระดับโลก ผมได้เห็นอากัปกิริยาแล้วนึกพิเรน นิตยาน่าจะเป็นลูกสาวเฮียอ๋าผู้พิการรอยยิ้ม สลับให้ชิดชนกมาเป็นลูกสาวบ้านนี้แทน เพราะทั้งคู่ต่างชื่นชอบตลกคาเฟ่เช่นเดียวกัน

     ขณะที่ผมเริ่มจินตนาการไปไกลลิบลับ นิตยาก็หันหลังขวับแล้วจ้ำพรวดไปที่ท่าน้ำ เธอยังคงแสดงอาการแข็งขืนใส่พ่อ ทั้งที่ควรกระโดดเข้าไปกอดให้สาแก่ใจ ยังเป็นนิตยาคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และน่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่านาน 

     “เอาหมูขึ้นรถกระบะแล้วขับกลับด้วย เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ”

     พ่อของนิตยาหันมาสั่งเสียรปภ.ทั้ง 2 นาย สมานกับอองรีผงกหัวแล้วก้มหน้าหาไส้เดือนต่อ พี่ท้อแท้ตรงมาโวยลูกน้องเสียยกใหญ่ แถมยังบิดหูลงโทษที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทั้งคืน เมื่อเพื่อนและพ่อเข้าใจกันได้ผมเองก็ยินดีด้วย บุษบาปลอดภัยแล้วและได้บ้านใหม่ที่ดีมาก ระหว่างนั้นผมจึงหันไปมองที่เพื่อนคนอื่น เลยพาลนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

     “ทรงเดช แล้วอำนาจล่ะ…?” ใช่แล้วครับ ผมลืมเพื่อนรักสี่ตาคนนี้ไปเลย

     “ไม่ต้องห่วงหมอนั่นหรอก นอนกอดหมูอยู่ที่ท่าน้ำโน่น”

     ทรงเดชตอบแบบเนือย ๆ เนื่องจากง่วงนอน ผมชะโงกมองตามเห็นเพื่อนยืนอยู่ริมน้ำ เรือหางยาวที่ไม่มีเครื่องยนต์เข้าจอดเทียบท่า รปภ.หัวล้านยื่นแว่นตากับโทรศัพท์ให้เจ้าของ อำนาจรีบสวมแว่นแล้วมุ่งตรงมายังพวกเรา

     “บุษบาช่วยอำนาจขึ้นมาจากน้ำ” ชิดชนกเป็นคนพูดแทรก เธอคงเห็นว่าผมทำหน้าหมาสงสัยอยู่ “จากนั้นจึงให้เกาะหลังพามาส่งที่ฝั่ง ส่วนพ่อของนิดเป็นอดีตนักว่ายน้ำทีมชาติ เคยแข่งซีเกมส์ได้เหรียญทองเชียวนะ”

     นักว่ายน้ำทีมชาติไทย เคยแข่งซีเกมส์ได้เหรียญทอง ผมเคาะหัวตัวเองให้กับความโชดดีครั้งสำคัญ เข้าใจแล้วว่ารอดตัวมาได้อย่างไร แต่ไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย วันนี้ทั้งวันผมทำทุกอย่างผิดพลาดไปหมด เป็นความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิตแล้ว ขณะที่ผมกำลังยืนดราม่าอยู่คนเดียวนั้นเอง ชิดชนกก็เดินปรี่เข้ามาคุยด้วยเพียงลำพัง

     “ดีใจด้วยนะที่รอดมาได้ เราช่วยลุ้นจนเสียงแหบเสียงแห้งเลยเนี่ย” สาวเจ้าพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี

     “แต่เราไม่ดีใจเลย มันดูแย่ยังไงก็ไม่รู้” ผมรับสารภาพตามข้อเท็จจริง

     “เป็นอะไรอีกล่ะ” คนพูดขมวดคิ้วเป็นปมบ้าง “เราว่านะ… คืนนี้นายดูดีมาก”

     ผมรีบหันขวับไปหาคนคุยด้วย สาวน้อยดวงตากลมโตยิ้มหวานสุดชีวิตให้ แววตาชิดชนกใสแป๋วราวกับลูกแก้ว ทว่าผมดันไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด ในเมื่อผมทำอะไรก็แย่ไปหมด แล้วมันดูดีตรงไหนกันล่ะเนี่ย ระหว่างนั้นเองมีคนพูดแทรกเข้ามา

     “ไอ้เพื่อนทรยศ ไอ้เพื่อนเนรคุณ ไอ้เพื่อนไม่รักดี เมิงขึ้นไปทำอะไรบนนั้น”

     สารพัดคำด่าออกมาจากปากคนเรียนเก่งที่สุด เขาก็คือนายอำนาจผู้โกงความตายมาแล้ว เพื่อนผมปรกติทุกอย่างยกเว้นเรื่องตัวเปียก แต่ผมก็เปียกนี่นาถ้าอย่างนั้นเราเท่าเทียมกัน ลูกชายหมอประสาทวิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดเข้าใส่ด้วยท่าบอดี้แอทแทค เราทั้งสองล้มหัวทิ่มแต่ก็ยังปลุกปล้ำกันต่อ พ่อนักบาสเห็นดังนั้นจึงเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน

     ผม อำนาจ และทรงเดช นอนหงายเก๋งอยู่บนแผ่นดินงอก ไม่รู้เหมือนกันว่าใครหัวเราะขึ้นมาก่อน คนที่เหลือจึงทำตามราวกับคนบ้าไม่มีผิด

     “ลุกขึ้นก่อน เรามีอะไรจะบอก”

     สาวน้อยดวงตาซุกซนเดินกลับมาอย่างเงียบกริบ เธอมีรอยยิ้มจากใจอย่างแท้จริงปรากฎ พวกเราลุกขึ้นยืนหน้ากระดานเปิดระยะ พลางเชิดหน้าใส่ใช้มือกุมเป้าล้อเลียนพ่อเพื่อน นิตยายื่นมะเหงกให้แล้วปล่อยก๊ากทันที ผมหยักโศกปลิวสยายด้วยแรงลมฤดูหนาว ฝนที่ตกในคืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ แล้วมันจะหายไปพร้อมความกังวลใจของเธอคนนี้

     “ขอบใจทุกคนมาก บุษบาปลอดภัยแล้วล่ะ ดีใจนะที่ได้รู้จักกัน” เธอสบตาเหล่าเพื่อนชายเพื่อขอบคุณ ดวงตาเธอช่างสวยและมีเสน่ห์เหนือใคร สุดท้ายจึงหันไปหาเพื่อนสาวบ้าง “ขอบใจนกด้วยนะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”

     “ระวังเป็นหวัดนะนิด เช็ดผมให้แห้งก่อนนอนด้วย” ชิดชนกรีบสั่งเสียอีกครั้ง

     แล้วนิตยาก็จากไปอย่างแท้จริง เธอเดินยิ้มแป้นไปยังรถเก๋งสีขาวของพ่อ ถ้าสาวน้อยได้หันกลับมามองอีกครั้ง เธออาจคิดเปลี่ยนใจไปเลยก็ได้ เพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งกล่าวขอบคุณไปนั้น กำลังจ้องมองเธออยู่ชนิดปากอ้าตาค้าง

     สามหนุ่มสามมุมเลือดกำเดาไหลนองพื้น มีอาการตัวเกร็งทว่ายืนตัวตรงไม่ได้ เสื้อวอร์มที่เธอสวมทับดันเปิดอ้าเกือบหมด สาวผมหยักโศกสวมเสื้อยืดสีขาวพอดีตัว ในเวลาปรกติมันก็ดูมิดชิดไม่มีอะไร ทว่าเมื่อเปียกน้ำจะมองทะลุเห็นเสื้อในได้ พวกเราจึงได้รับรู้ความจริงที่แท้จริงว่า นิตยาเป็นผู้หญิงที่อิ่มเอมเปรมปรีย์มาก คงต้องใช้คำว่า ซูเปอร์อื๋ม และซูเปอร์…

     “เอ๋งงงงง….!!”

     ทันใดนั้นเองทรงเดชก็ร้องคราญคราง ผมรู้สึกเหมือนโดนรถถังพุ่งชนจากด้านหลัง จึงล้มหัวทิ่มหัวตำและเห็นภาพอันน่าสยดสยอง มวลสารหนัก 85 กิโลกรัมพุ่งเข้าใส่อำนาจทั้งตัว แล้วเด็กชายผอมกระหร่องก็หายวับไปจากจอเรดาร์ เห็นเพียงนักบาสคนเก่งนอนคว่ำอยู่ที่พื้น พลันมีเสียงกรีดร้องดังโหยหวนทั่วทั้งบึง พร้อมกับฮอนด้าซีวิคสีขาวจากไปอย่างเชื่องช้า

     “เป็นลมอีกแล้วเหรอ ไปหาหมอไหม” ผมสอบถามทรงเดชขณะปฐมพยาบาลอำนาจ

     “ไม่ได้เป็นลม ตรูโดนยายนกถีบโว้ย!”

     นักบาสคนเก่งทำท่าจะร้องให้ ริมฝีปากบนเริ่มเจ่อเล็กน้อยจากการพุ่งปะทะ ผมรีบหันขวับไปหาลูกสาวเฮียอ๋า เธอไม่ได้อยู่ที่เดิมแต่จ้ำพรวดไปยังรถกระบะ เมื่อแน่ใจแล้วว่าอำนาจยังหายใจอยู่ ผมจึงใส่เกียร์หมาวิ่งตามสาวคนนี้ไป

     “นก ชิดชนก… รอเราด้วย”

     ทันทีที่เจอหน้ากันผมก็ต้องสะดุ้งโหยง ก่อนถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง ใบหน้าของชิดชนกตึงเคร่งเครียดไร้รอยยิ้ม บรรยากาศมาคุได้ปกคลุมทั่วทั้งบึงหนองโพธิ์แล้ว นั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าดันทำพลาดอย่างแรง

     “ไปส่งพวกเราด้วย แล้วจะกลับบ้านกันยังไง” ผมใช้คำพูดงี่เง่าที่สุดในโลก

     “มาเองก็กลับเองสิ แค่นี้นะ”

     แล้วชิดชนกก็ขับรถจากไปเหมือนเช่นเคย โดยไม่ลืมหันมาค้อนวงโตใส่ตามมารยาท ก่อนไปเธอยังเบิ้ลเครื่องจนควันดำปี๋ ผมได้สูดเข้าไปเต็มปอดสาแก่ใจเขาล่ะ สาวผมม้าตาโตได้จากไปอย่างแท้จริง ทิ้งให้ไอ้หัวหน้าห้องยืนเซ่อเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดและผิดตรงไหน ผมถอนหายใจเสียงดังพลางขยี้หัวเล่น เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่นะ

     “ผมไม่เคยเข้าใจผู้หญิงเลยซักนิด ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ”

                   ---------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา