ห้องสามเดอะซีรี่ย์
เขียนโดย มุมฉาก
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.
แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) นิตยาผู้น่ารัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนิตยาผู้น่ารัก
คาบสุดท้ายของวันนี้คือวิชาวอลเลย์บอล อาทิตย์ที่แล้วพวกเราต้องซ้อมตั้งโต๊ะงานเลี้ยงกัน จึงไม่ได้เรียนการเสิร์ฟลูกโดยข้ามไปสอบเลย วิธีการวัดผลก็ช่างง่ายดายมาก คือให้เสิร์ฟ 10 ครั้งใครได้ถึงครึ่งถือว่าผ่าน
“นายอำนาจผ่าน ท่าควักกะปิสวยมากนะ คนต่อไปนะ”
อาจารย์วิบูลย์แดกดันอำนาจด้วยคำพูด ก่อนหันไปสนใจนักเรียนรายชื่อถัดไป คนเรียนเก่งที่สุดเดินหน้ามุ่ยไปหาเพื่อน เขาสอบผ่านด้วยการเสิร์ฟครั้งสุดท้ายอย่างฉิวเฉียด ทั้งที่ใช้วิธีเสิร์ฟด้วยมือล่างตั้งแต่ลูกแรก
“ทำไมมันยากขนาดนี้วะ คำนวนความเร็วและทิศทางลมดีแล้วเชียว สงสัยวันนี้เราคงไม่มีโชด”
อำนาจบ่นอุบท่าทางไม่ชอบใจเลย หรือจะพูดให้ชัดก็คือเสียฟอร์มต่อหน้าหญิง ผมและทรงเดชเท้าคางมองเพื่อนด้วยหมั่นใส้ ที่คนเกือบสอบตกยังสามารถคุยโวได้ถึงขนาดนี้
“ไม่เป็นไรน่า แล้วมันจะผ่านไป” ผมพยายามปลอบใจในฐานะหัวหน้าห้องที่ดี
“ใช้ท่าเสิร์ฟสาวน้อยยังเกือบตาย ไอ้อ่อนเอ๊ย” ทว่าทรงเดชไม่ยอมให้ผ่านไปเนี่ยสิ
“ไม่ใช่ท่าผู้หญิงนะโว้ย แต่เป็นท่าที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถเสิร์ฟลงถึง 100 เปอร์เซนต์”
แล้วอำนาจก็เริ่มบรรยายบทความวิชาการ ทำเอาเพื่อนทุกคนส่ายหน้าระอาใจ เขาเป็นคนเรียนเก่งและพูดเก่งไม่แพ้ใคร บังเอิญว่าเป็นคำพูดที่น่าเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน ทรงเดชคงทนไม่ไหวเลยพูดเสียงเหน่อแทรก
“เราว่านายหยุดพร่ำเสียที แล้วรอดูมืออาชีพเขาทำกันดีกว่า”
นักบาสโรงเรียนพยักหน้ามาทางผม แม้จะไม่เต็มใจรับแต่มันดันเป็นเรื่องจริง ผมจึงเชิดหน้าใส่พลางจ้องมองด้วยหางตา ประหนึ่งตนเองเป็นนักเลงหัวไม้จากเยาวราช ฝ่ายอำนาจถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็เงียบเสียงลง
“นายมนต์ชัยผ่าน คนต่อไปนะ”
ต่อจากมนต์ชัยก็คือผมนี่แหละครับ ปรกติแล้วผมเล่นกีฬาไม่ถึงกับเก่ง บังเอิญว่าเคยเล่นวอลเลย์บอลมาตั้งแต่ประถม พาทีมโรงเรียนวัดหมูแดงคว้าแชมป์มาแล้ว การสอบในวันนี้จึงง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย
“สุดยอด มันต้องแบบนี้สิ ไอ้หัวหน้าห้องสู้เขานะ”
ทรงเดชเริ่มส่งเสียงเชียร์ท่าทางคึกคัก เมื่อเห็นเสิร์ฟลูกแรกลงเส้นหลังอย่างแม่นยำ ผมยิ้มมุมปากให้ขณะหยิบบอลลูกใหม่ จากนั้นจึงจัดท่าพลางย่อเข่าลงเล็กน้อย บอลในมือซ้ายถูกโยนขึ้นถึงจุดสุงสุด เงื้อมือขวาเต็มแรงถ่ายน้ำหนักตัวมาที่เท้าหลัง เมื่อได้จังหวะจึงใช้ส้นมือขวาฟาดกึ่งกลางลูก ด้วยแรงส่งจากน้ำหนักตัว กล้ามเนื้อท้อง หัวไหล่ และแรงเหวี่ยงข้อมือรวมกัน บอลพุ่งเร็วปานจรวดปราบรถถังแล้วตกลงจุดเดิม คนทั้งสนามเฮลั่นเมื่อเห็นของจริงจากมืออาชีพ
ผมหยิบบอลลูกที่สามขึ้นมาเตรียมพร้อม พลางคิดถึงการแข่งขันกีฬาสีในเดือนกุมภาพันธ์ สีฟ้ามีนักวอลเลย์บอลโรงเรียนหลายคน แต่โอกาสที่ผมจะติดทีมก็ยังเปิดกว้าง ด้วยลูกเสิร์ฟมหาประลัยที่ซุ่มฝึกซ้อมมาหลายปี
“ไอ้หัวหน้าห้องสู้เขานะ”
เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูผมเอง แม้เพียงแวบเดียวแต่ก็ทำให้เสียจังหวะ บอลลูกนั้นโดนแถบขนานตาข่ายไม่ถือเป็นคะแนน นี่คือการเสิร์ฟพลาดครั้งแรกหลังเรียนจบประถมศึกษา ผมรีบหันไปมองคนต้นเรื่องฝั่งขวามือ ลูกสาวเฮียอ๋ายืนยิ้มหวานอยู่กับผองเพื่อน เธอสอบผ่านแล้วและคงมาให้กำลังใจ ชิดชนกอุตส่าห์เชียร์ต้องแสดงฝีมือกันหน่อย
“อ๊ากกกก….!!”
อำนาจส่งเสียงร้องลั่นจนแสบแก้วหู แล้วนั่งจุมปุ๊กหน้าตาเหยเกสุดชีวิต นั่นคือความผิดของผมแต่เพียงผู้เดียว ที่สมาธิดันแตกซ่านเสียจังหวะไปหมด บอลจึงเลี้ยวไปโดนจุดยุทธศาสตร์เพื่อนรัก ผมเสิร์ฟต่ออีก 3 ลูกแล้วก็ออกนอกสนามทุกลูก หรือนี่คือวันสิ้นสุดของโลกอย่างแท้จริง อำนาจโดนทำหมันเป็นที่เรียบร้อย ส่วนผมก็กำลังจะสอบตกวิชาวอลเลย์บอล
“เอ้า! จะสอบไม่สอบนะ เร็วหน่อยอาจารย์มีนัดนะ”
อาจารย์วิบูลย์(ผู้ชอบนะ)ตะโกนมาจากกลางสนาม เพราะเห็นว่าคนสอบยืนนิ่งนานไปแล้ว สายตาจากนักเรียนทั้งห้องจับจ้องมาที่ผม รวมทั้งสาวน้อยผมม้าตาโตหูกางคนนั้นด้วย แววตาเธอประหนึ่งว่าคนกำลังผิดหวัง ผมจะทำให้ชิดชนกเสียใจไม่ได้เด็ดขาด วินาทีนั้นเองผมจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ บางครั้งคนเราก็ต้องทรยศกับอุดมการณ์
“ไอ้หัวหน้าห้องผ่าน ท่าควักกะปิไม่เลวนะ คนต่อไปนะ”
อาจารย์วิบูลย์แดกดันผมด้วยคำพูด ก่อนหันไปสนใจนักเรียนรายชื่อถัดไป ไอ้หัวหน้าห้องเดินหน้ามุ่ยไปหาเพื่อน เขาสอบผ่านด้วยการเสิร์ฟครั้งสุดท้ายอย่างฉิวเฉียด โดยใช้วิธีเสิร์ฟด้วยมือล่างหรือท่าเสิร์ฟสาวน้อยนั่นเอง
“เราว่านายหยุดพร่ำเสียที แล้วรอดูมืออาชีพเขาทำกันดีกว่า”
อำนาจต้อนรับด้วยคำพูดประชดประชันบ้าง ก่อนเดินขาถ่างจากไปเพื่อเข้าห้องน้ำ ทรงเดชส่ายหัวระอาใจแล้วเดินตามอำนาจไป เขาคงผิดหวังมากที่เพื่อนไม่ใช่อย่างที่คิด วันนี้ผมสอบผ่านโดยใช้วิธีเสิร์ฟแบบผู้หญิง เป็นความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิตแล้ว ขณะที่ผมกำลังยืนดราม่าอยู่คนเดียวนั้นเอง ชิดชนกก็เดินปรี่เข้ามาคุยด้วยเพียงลำพัง
“ดีใจด้วยนะที่สอบผ่าน เราช่วยลุ้นจนเสียงแหบเสียงแห้งเลยเนี่ย” สาวเจ้าพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี
“แต่เราไม่ดีใจเลย มันดูแย่ยังไงก็ไม่รู้” ผมรับสารภาพตามข้อเท็จจริง
“แย่เย่ออะไรกัน ดีกว่าเพื่อนตั้งหลายคนที่ต้องสอบใหม่” ชิดชนกแย้งกลับเพราะไม่เห็นด้วย
“อันที่จริงเราสอบผ่านสบายอยู่แล้ว ถ้าไม่บังเอิญเห็นนกยืนอยู่ตรงนั้น”
ขณะที่ผมกำลังพูดแก้ตัวอยู่นั้นเอง ก็เกิดปากเสียอ้างถึงเธอเข้าโดยบังเอิญ ชิดชนกหยุดยิ้มทันควันและหน้าบึ้งใส่ บรรยากาศมาคุได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามแล้ว นั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าดันทำพลาดอย่างแรง
“นี่นายจะบอกว่า เราเป็นตัวซวยใช่ไหม”
น้ำเสียงคนพูดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รวมทั้งแววตาและสีหน้าทั้งหมด ไม่ทันที่ผมจะแก้ตัวชิดชนกก็จากไป ทิ้งให้นักวอลเลย์บอลวัดหมูแดงยืนเซ่อเป็นไก่ตาแตก ผมถอนหายใจเสียงดังพลางนั่งบนพื้น เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่นะ
“ทำอะไรอยู่คนเดียว เครียดมากเดี๋ยวผมหงอกนะ”
เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง ลูกสาวเฮียอ๋านั่งยอง ๆ พร้อมยิ้มหวานให้ เล่นเอาผมตกใจจนต่อมตุ๊ดทำงาน สาวน้อยดวงตากลมโตกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ในเมื่อเธอเพิ่งเดินจากไปเมื่อครู่นี้เอง
“ช่วยอะไรหน่อยสิ” แววตาชิดชนกใสแป๋วราวกับลูกแก้ว “เราว่าช่วงนี้นิตยาเงียบเกินไปแล้ว ตลอดทั้งวันแทบไม่เห็นเธอพูดเลย ขนาดเรียนชีวะด้วยกันก็ยังถามสองคำตอบคำเดียว เธอดูแปลกไปจนเรารู้สึกแปลกใจ ถึงนายจะว่าไม่แปลกเราก็ว่าแปลกอยู่ดี แต่ถึงมันจะแปลกหรือไม่แปลกก็ตาม นายเป็นหัวหน้าห้องช่วยถามให้หน่อย”
คนพูดปรายตามมองเพื่อร่วมห้อง เมื่อผมมองตามจึงพบคนที่เงียบเกินไปแล้ว นิตยาสาวผมหยักโศกดวงตาซุกซน กำลังเดินทอดน่องที่ริมสนามแต่เพียงลำพัง ใบหน้านิตยาบึ้งตึงเคร่งเครียดไร้รอยยิ้ม ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะแปลกหรือไม่แปลก เพราะโดยปรกติไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่ในเมื่อชิดชนกขอร้อง แล้วผมจะปฎิเสธได้หรือ
“ได้สิ เดี๋ยวเราถามให้” ผมตอบกลับพร้อมออดอ้อนเล็กน้อย “นกไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ”
“เรื่องอะไร เราเป็นตัวซวยนี่นา แค่นี้นะ”
แม่สาวผมม้าเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองอีกครั้ง เธอลุกขึ้นทันควันข้อศอกเฉี่ยวปลายคางผมนิดเดียว แล้วชิดชนกก็เดินจากไปเหมือนเช่นเคย โดยไม่ลืมหันมาค้อนวงโตใส่ตามมารยาท ทิ้งให้ไอ้หัวหน้าห้องนั่งเซ่อเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดและผิดตรงไหน ผมถอนหายใจเสียงดังพลางขยี้หัวเล่น เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่นะ
“ผมไม่เคยเข้าใจผู้หญิงเลยซักนิด ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ”
---------------------------------------------
เวลาประมาณ 2 ทุ่มคืนนั้นเอง เด็กหนุ่ม 3 คนมาเจอกันหลังอาบน้ำกินข้าวแล้ว ผมกับทรงเดชจอดจักรยานหน้าคลีนิคหมอประสาท ส่วนอำนาจเดินป๋อออกมาจากคลีนิคนั่นแหละ พวกเราข้ามถนนไปฝั่งตลาดสดอย่างเงียบกริบ แล้วเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ ร้านขนมปังสังขยา ร้านเกาเหลาเลือดหมู กระทั่งมาหยุดหน้าอาคารชั้นเดียวขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
“แล้วไหนล่ะนิตยา” อำนาจเริ่มบทสนทนาเป็นคนแรก
“เดี๋ยวก็มาน่า เธอนัดเราไว้ตอน 2 ทุ่ม” ผมตอบกลับพลางจ้องมองรถที่วิ่งผ่าน
“แล้วยายหัวฟูนัดพวกเราทำไมวะ ให้แต่งตัวเสียหล่อเหมือนนัดสาวเที่ยว นายก็ดันบ้าจี้ทำตาม”
นายสี่ตายังคงพร่ำบ่นไม่หยุด พลางมองผมด้วยหางตาท่าทางเคืองโกรธ ผมเข้าใจทันทีว่าอำนาจกำลังงอน ก็คงเรื่องลูกเสิร์ฟมหาประลัยนั่นแหละครับ ช่วงนี้ผมจึงต้องเอาใจเพื่อนรักเป็นพิเศษ
“นิตยาขอความช่วยเหลือ จากคนที่เป็นชายชาตรีไม่ใช่ไก่อ่อน เรื่องนี้ลับสุดยอดห้ามบอกใคร”
“ลับสุดยอดห้ามบอกใคร แต่นัดเจอหน้าร้านเซเว่นเนี่ยนะ”
ทรงเดชเริ่มพร่ำบ่นตามไปอีกคน เขาไม่อยากออกจากบ้านช่วงเวลานี้เลย เนื่องจากละครหลังข่าวกำลังจะออนแอร์ และเป็นตอนที่พระเอกใกล้รู้ความจริงของนางเอก ผมหันไปมองด้านหลังแล้วแอบถอนใจ พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งเดินเข้าออกร้านเป็นว่าเล่น โรงงานขนาดใหญ่อยู่ห่างตลาดไม่ไกลนัก จึงไม่แปลกที่จะมีเหล่าพนักงานเดินกันให้ว่อน
“นิตยาอยากให้ช่วยเรื่องอะไร บอกมาเสียทีเถอะน่า” อำนาจสอบถามเรื่องเดิมเป็นครั้งที่ห้า
“บอกไปแล้วไง เธออยากไปเยี่ยมบุษบาคืนนี้ เลยชวนพวกเราไปเป็นเพื่อน”
ผมตอบคำถามอำนาจตามที่ตนเองรับรู้ พลางย้อนคิดถึงช่วงเวลาหลังเลิกเรียน นิตยาเดินกลับบ้านตามลำพังเช่นเคย ทว่าวันนี้เธอจะไม่เดียวดายอีกต่อไป เพราะผมใส่เกียร์หมาวิ่งตามมาแล้ว กระทั่งมาทันกันที่ริมถนนใหญ่
“นิตยา นิตยา… รอเราด้วย”
ทันทีที่เจอหน้าผมก็หอบแฮ่ก ๆ ใส่หน้า เนื่องจากอาจารย์สมพิศเรียกไปคุยอยู่นานสองนาน นิตยาหันมามองแล้วออกเดินต่อ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะแปลกใจเลยซักนิด เธอใช้มือเสยผมที่ยาวและหยักโศกเข้าทรง แสงแดดอ่อน ๆ กระทบใบหน้าจากด้านข้าง เพื่อนคนนี้ดูเป็นสาวเต็มวัยมากกว่าหลายคน อาจเป็นเพราะปีนี้เธอไว้ผมยาวได้แล้ว
“มีอะไรกับเรา หรือกำลังซ้อมวิ่ง” แล้วเธอก็คุยกับผมประโยคแรก
“ก็ไม่มีอะไรมาก” ผมลังเลใจนิดหน่อย “เราเห็นช่วงนี้เธอเงียบไปไม่ค่อยพูด ก็เลยอยากถาม”
สาวน้อยดวงตาซุกซนหยุดเดินทันที ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบแตะเบรกจนหัวทิ่ม ผมทันเห็นรอยยิ้มมุมปากของสาวเจ้า แต่ก็แค่แวบเดียวก่อนที่มันจะหายไป แล้วนิตยาก็ก้าวฉับ ๆ ตรงไปข้างหน้า ทิ้งให้ผมยืนเซ่ออยู่ริมถนนใหญ่อีกแล้วสินะ
“อยากถามว่าอะไร” เธอยิงคำถามทันทีเมื่ออีกฝ่ายตามมาทัน
“ก็ไม่มีอะไรมาก” ผมยังคงลังเลใจเช่นเคย “เราแค่อยากถามเธอว่า มีปํญหาอะไรหรือเปล่า”
“ถ้ามีแล้วจะทำไม อยากช่วยเหรอ” คำพูดของเธอยังคงสั้นและห้วนเสมอ
“ก็นะ พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา และอีกอย่างเราเป็นหัวหน้าห้องด้วย”
“หัวหน้าห้องนี่งานยุ่งเนอะ” เธอแซวกลับเล็กน้อย “เราไม่ได้เป็นอะไรหรอก ขอบใจมาก”
นิตยาหันมาสบตาด้วยในคราวนี้ ดวงตาเธอช่างสวยและมีเสน่ห์เหนือใคร สาวน้อยสุง 165 เซนติเมตร ผมหยักโศกสีดำสนิท ผิวดำแดงค่อนไปทางขาว คิ้วหนาได้รูป จมูกรั้นนิดหน่อย ริมฝีปากค่อนข้างบางและเล็ก อากัปกิริยาโดยรวมราวกับสาวแรกแย้ม พวกเราเรียนมัธยมปลายกันแล้วก็จริง แต่เพิ่งเติบโตเป็นวัยรุ่นกันได้ไม่นาน เพื่อนบางคนยังเป็นเด็กกะโปโลอยู่เลย อาทิเช่นอำนาจแฟนคลับพี่เตงบอดี้สลัม ขณะที่เพื่อนบางคนก็โตแต่ตัว อาทิเช่นทรงเดชนักบาสคนเก่งของโรงเรียน
“จริง ๆ แล้วเรามีเรื่องกวนใจ แต่มันงี่เง่ามาก”
แล้วนิตยาก็รับสารภาพเอาดื้อ ๆ อาจเป็นเพราะเธอเปิดใจให้ผมแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่มักกังวลใจในทุกเรื่อง แต่จะยอมเปิดปากเฉพาะกับคนที่สนิทมาก บางทีก็อยากพูดอยากระบายให้หมดเปลือก และต้องการคำแนะนำแต่ไม่ชอบให้ใครมาแนะนำ หน้าที่ผู้ชายก็แค่ยิ้มและพยักหน้าให้ แต่อย่าได้เผลอโชว์ความเก่งเหนือมนุษย์เชียวนะครับ เราต่างเดินคู่กันกระทั่งผ่านสถานีตำรวจ ก่อนมาหยุดตรงหน้าอาคารที่ว่าการอำเภอ ข้าราชการส่วนใหญ่กลับบ้านหมดแล้ว ยกเว้นก็เพียงคนขยันอย่างพ่อของนิตยา เธอเหลียวมองรอบตัวโดยเฉพาะด้านหลังอาคาร แล้วหันมาสบตาผู้ยืนรออย่างมีหวัง
“เพื่อนเราชื่อบุษบามีปัญหา เราอยากช่วยแต่ทำไม่ไหว” เจ้าตัวยอมเปิดเผยเรื่องราวในที่สุด
“ให้เราช่วยบุษบาด้วยคนสิ เพื่อนไม่ได้มีไว้แค่ส่งส.ค.ส.นะจ๊ะ” ผมรีบแสดงความเป็นแมนทันที
“นายคนเดียวไม่ไหวหรอก” เธอคำนวนเร็วจี๋แล้วถอนใจ
“งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวเราชวนทรงเดชและอำนาจมาด้วย สามคนน่าจะไหวอยู่นะ”
พวกเราพูดคุยเรื่องนัดหมายเพิ่มเติม ก่อนที่นิตยาจะวิ่งไปขึ้นรถพ่อตัวเอง ฮอนด้าซีวิคสีขาวจากไปอย่างเชื่องช้า ผมไม่ทันถามว่าบุษบามีปัญหาอะไร พาลนึกถึงเรื่องใช้กำลังจากคำพูดนิตยา คงอยากย้ายของหรือจัดห้องใหม่ประมาณนั้น
“มายืนทำอะไรตรงนี้ แต่งตัวเสียหล่อเชียว”
เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง ช่วยดึงผมกลับสู่โลกปัจจุบันทันด่วน ชิดชนกคนที่ผมแอบชอบนั่นเอง เธอสวมเสื้อยืดหมีพูห์สีฟ้ากางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ใบหน้าของสาวน้อยมีแต่รอยยิ้ม รอยยิ้ม แล้วก็รอยยิ้ม
“อ้าวนก นึกว่าใครเสียอีก” ผมพูดแก้เก้อไปก่อน “มาทำอะไรแถวนี้เหรอ”
“ซื้อต้มเลือดหมูให้เตี่ย แล้วนายล่ะ” เธอตอบกลับพร้อมชูถุงอาหารในมือใส่หน้าผม
“เรานัดนิตยาไว้ เรื่องที่นกให้ไปถามนั่นแหละ” ผมตอบบ้างพลางดึงใบหน้าหนีถุงอาหาร
“นั่น! นัดไปจู๋จี๋สองต่อสองแน่เลย เราแค่ให้ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า อย่ารับสมอ้างหน่อยเลยน่า”
สาวน้อยพูดแซวอย่างแรงแต่ดันยิ้มแฉ่ง ผิดไปจากตอนที่เราจากกันเมื่อช่วงบ่าย ผมเกรงว่าเธอจะเข้าใจผิดจนเรื่องบานปลาย จึงชี้ไม้ชี้มือไปที่ประตูทางเข้าร้านเซเว่น ทรงเดชกับอำนาจเดินออกมาพร้อมของกินในมือ
“อุ่ย…” ลูกสาวเฮียอ๋าสะดุ้งเป็นตลกคาเฟ่ “งั้นเราไม่กวนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”
แล้วชิดชนกก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว พลางสะบัดผมเพื่อจัดทรงเข้าที่เข้าทาง เธอยังคงไว้ผมสั้นเหมือนตอนมัธยมต้น ซึ่งก็ดูเหมาะสมกับใบหน้ารูปไข่มาก ชิดชนกมีความสุงใกล้เคียงกับนิตยา หุ่นบางกว่านิดหน่อยและดูไม่โตเต็มวัยเท่า ผมให้ข้อสรุปว่าทั้งคู่น่ารักทัดเทียบกัน และติดหนึ่งในห้าดาวโรงเรียนฝ่ายหญิงทัดเทียบกันด้วย
“เจอหญิงแล้วทิ้งเพื่อนเลยนะเอ็ง”
ทรงเดชพูดแซวทั้งที่มีขนมปังเต็มปาก ในมือยังถือนมสดรสจืดอีก 2 ขวดลิตร อำนาจอ้าปากและกำลังจะซ้ำดาบสอง ทว่ามีรถคันหนึ่งวิ่งตรงเข้าหาอย่างเร็วจี๋ สามหนุ่มสามมุมกระโดดหนีตัวใครตัวมัน พร้อมกันกับเสียงเบรกดังสนั่นทั่วทั้งตลาด รถกระบะสีน้ำเงินเนบิวล่าจอดห่างพวกเราไม่ถึงคืบ สาวน้อยหน้าแฉล้มชื่อนิตยาเปิดกระจกและกวักมือเรียก
“ถึงเราจะเจอหญิง ก็ไม่เคยทิ้งเพื่อนนะโว้ย”
ผมย้อมคำพูดของทรงเดชกลับไปบ้าง พลางทั้งผลักและดันให้เพื่อนเดินไปขึ้นรถ ทรงเดชพร้อมนมสด 2 ลิตรก้าวเข้าไปโดยปรกติ ทว่าอำนาจยังคงพร่ำบ่นไม่หยุดปากเสียที ผมจึงถีบเพื่อนเต็มแรงแล้วกระโดดไปนั่งข้างคนขับ
“รอนานไหม เรารีบที่สุดแล้ว”
นิตยาเอ่ยปากแก้ตัวกับทุกคน เป็นวิธีแก้ตัวที่ประหยัดคำพูดเสียเหลือเกิน เธอดูพอใจมากที่เห็นพวกเรายังรออยู่ ตรงข้ามกับอำนาจที่ไม่ชอบการรอคอย ก่อนเพื่อนปากเสียจะพูดแดกดันใส่ ผมต้องชิงลงมือตัดหน้าทันที
“ครู่เดียวเอง ทรงเดชยังกินขนมไม่หมดเลย ชายชาตรีอย่างพวกเราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
เมื่ออ้างเรื่องนี้ขึ้นมาอำนาจก็เงียบไป ดูเหมือนเขาจะผูกตัวเองไว้กับคำว่าชายชาตรี ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมหรือเพราะอะไร แต่เมื่อมันได้ผลผมก็ใช้มุขนี้มาตลอด เมื่อเพื่อนสงบปากสงบคำผมจึงหันไปหาคนขับ
“นิตยาขับรถได้ด้วย เก่งจังเลยแฮะ” ขณะที่พูดตาก็เหลือบมองบนถนนไปด้วย
“เรียกเราว่านิดเถอะ รถเกียร์ออโต้ขับง่ายจะตาย”
เจ้าตัวแสดงทีท่าว่าเป็นเรื่องหมูตู้ เธอยังปล่อยมือจากพวงมาลัยให้พวกเราได้เสียวเล่น อำนาจที่เงียบไปแล้วบ่นงึมงำอีกครั้ง นิตยาจึงแกล้งด้วยการเบรกแรง ๆ เสียหนึ่งที เด็กหนุ่มผู้มีสิวประปรายล้มกลิ้งไปกองที่พื้น แถมโดนนมรสจืดของทรงเดชราดใส่หัว ผมเช็คเข็มขัดนิรภัยอีกครั้งทั้งที่คาดเรียบร้อยดี แล้วหันไปมองเพื่อนลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ไม่รู้นิตยาเก็บกดมาจากโรงเรียนหรือเปล่า ที่ต้องทนฟังอำนาจพูดถึงพี่เตงบอดี้สลัมทุกวี่วัน ความแค้นของหญิงสาวช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“โตโยต้า รีโว่สวยจัง เครื่องเสียงก็สุดยอด วิ่งเร็วสุดเท่าไหร่เนี่ย” ทรงเดชกินอิ่มแล้วจึงพูดจาได้
“ไม่รู้เหมือนกัน เราเพิ่งเคยขับวันนี้”
คำตอบของสาวผมหยักโศกทำเอาผมเส้นกระตุก เธอพูดง่ายดายราวกับเดินไปจ่ายกับข้าว อันว่าตัวผมไม่คุ้นเคยกับรถยนต์ทุกชนิด รู้จักก็เพียงจักรยานเพราะที่บ้านเป็นร้านขายจักรยาน สิ่งที่นิตยากำลังทำเป็นเรื่องไกลตัวมาก เพราะฐานะบ้านผมไม่ดีกระทั่งมีเงินซื้อรถ เมื่อเธอขับแซงรถคันอื่นผมก็เกร็งจนคอแทบหัก เมื่อเธอกำลังเหยียบเบรกผมก็เกร็งจนฉี่แทบราด เบาะหนังแท้(หรือเปล่าก็ไม่รู้)ขนาดใหญ่รองรับชายไทยหุ่นมาตราฐาน แผงหน้าปัดสีฟ้าตัวเลขสีขาวสุดแพรวพราวเพริดพริ้ง เครื่องเสียงทันสมัยพร้อมหน้าจอ Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว มีปุ่มอะไรต่อมิอะไรอยู่ใต้จอเต็มไปหมด ผมไม่มีวันกดมันแน่เพราะกลัวว่ารถจะระเบิด แอร์เย็นจัดซัดใส่กลางหน้าจนชาไปแล้วครึ่งแถบ
“ถ้ามันเย็นนัก ก็เบนไปทางอื่นสิ”
นิตยามีน้ำใจช่วยปรับช่องแอร์ให้ เธอคงสังเกตุว่าผมไม่กล้าแตะต้องรถ ท่านผู้โดยสารได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับไป เพราะไม่รู้จะแก้ตัวอะไรหรืออย่างไรดี รถกระบะวิ่งเลยทางเข้าบึงหนองโพธิ์มาแล้ว ผมคิดถึงเรื่องอาทิตย์ก่อนแล้วขนหัวลุกทันที ถนนข้างหน้าค่อนข้างโล่งผิดจากช่วงตอนเย็น ผู้โดยสารต่างนิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไร แล้วคนขับสาวน้อยก็เลี้ยวซ้ายกระทันหัน เข้าสู่ถนนเส้นเล็ก ๆ ที่ดูคุ้นตาตั้งแต่เมื่อตอนเย็น
“นี่เรากำลังจะไปที่ไหน” อำนาจถามแทรกเพราะอยากรู้มาก
“ไปหาบุษบาเพื่อนเราไง” คนขับตอบกลับพร้อมชลอความเร็วลง
“แต่นี่มันที่ว่าการอำเภอนะ” คนพูดเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว อำนาจชะโงกหัวมองโน่นนั่นนี่ไปมา
“รู้แล้วน่า เงียบก่อนได้ไหม”
นิตยาหันมาดุนายแว่นที่ดูร้อนรนเกินเหตุ ขณะที่ทรงเดชเริ่มกระส่ายกระสับไม่เหมือนก่อน รถกระบะสีน้ำเงินจอดสนิทหน้าป้อมยาม รปภ.หน้าดุสีหน้าบอกบุญไม่รับเดินเข้ามาหา กระจกฝั่งคนขับถูกเปิดลงโดยอัตโนมัติ
“อ้าวคุณหนู มาทำอะไรที่นี่ฮิ” เจ้าหน้าที่หน้าดุมีทีท่าผ่อนคลายทันควัน
“นิดมาเอาเอกสารให้คุณพ่อค่ะ เตือนแล้วว่าอย่าลืมก็ไม่เชื่อ พวกนี้เพื่อนนิดเองพี่สมาน”
สาวน้อยตอบคำถามกลับอย่างฉะฉาน พลางชักสีหน้าเหนื่อยหน่ายสมจริงสมจังมาก คุณพี่สมานมองหน้าผู้โดยสารไม่ละสายตา ทำให้ผมซึ่งกำลังนั่งเกร็งอยากเปิดประตูวิ่งหนี ขณะที่อำนาจกับทรงเดชรีบจับมือของกันและกัน พลางแจกรอยยิ้มหวานหยดเมื่อโดนฉายไฟส่องหน้า รปภ.หน้าดุใช้เวลาตรวจสอบเพียง 10 วินาที ทว่าผมกลับคิดว่ามันยาวนานถึง 10 ชั่วโมง ไม้กั้นทางถูกยกขึ้นโดยรปภ.ชื่ออองรี สาวน้อยผมหยักโศกขับรถผ่านไปอย่างเยือกเย็น เธออ้อมไปยังด้านหลังของจวนนายอำเภอ ตรงนั้นเองมีอาคารไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่โทนโท่ คนขับจอดรถแล้วก้าวเท้าลงมาคนแรก
“เธอมาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามา…ขโมยเอกสารลับสุดยอด” ทรงเดชเริ่มพูดส่งเดชตามบทละคร
“จะบ้าเหรอ เรามาหาบุษบาต่างหาก” นิตยาหันไปดุเด็กหนุ่มตัวโตที่สุดในกลุ่ม
“แล้วไหนล่ะบุษบา ใครมันจะมานอนอยู่แถวนี้ นี่มันสถานที่ราชการนะยายหัวฟู”
อำนาจเริ่มโวยบ้างเพราะรู้สึกกดดัน คำพูดเหน็บแนมของเขาทำให้ผมต้องรีบปราม นิตยาไม่ได้โต้ตอบแต่เดินนำไปที่อาคารไม้ เธอหยิบกุญแจออกมาไขเปิดประตูอย่างง่ายดาย ทั้งที่ยังลังเลใจว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ ทว่าผมและคนที่เหลือก็py’เดินย่องตามเธอไป ภายในนั้นค่อนข้างมืดมีกลิ่นเหม็นอับโชยใส่ บุษบากำลังนอนหลับสนิทอยู่ซอกมุมขวามือ
“อย่าบอกนะว่า บุษบาคือหมูตัวนี้”
ผมชิงถามคนแรกสุดเพราะเดินเข้ามาก่อน นิตยาพยักหน้าให้แล้วปลุกบุษบาจนตื่น ทรงเดชกับอำนาจต่างจด ๆ จ้อง ๆ ด้วยความระแวง กระทั่งแน่ใจว่าปลอดภัยดีจึงกล้าตามเข้ามา
“ก็เป็นอันว่า พวกเรารู้จักบุษบาแล้ว สวัสดีจ้า เธอดูอ้วนไปนะ แล้วทีนี้จะยังไงต่อ”
อำนาจยังคงประชดประชันต่อไปไม่เลิก แต่ดูเหมือนนิตยาจะชาชินหรือคงไม่อยากตอบโต้ เธอใช้เวลาพูดคุยกับบุษบาไม่นาน แล้วเดินนำพวกเราออกมาข้างนอกอีกที ผมได้แต่เดินตามพร้อมคำถามมากมายในใจ ทำไมผู้หญิงชอบทำอะไรโดยไม่ยอมบอกกล่าว บทจะดีแม่ก็ดีใจหาย บทจะร้ายแม่ก็ร้ายเต็มคราบ เหมือนกันไม่มีผิดทั้งเธอคนนี้และเธอคนนั้น
“วันที่ 5 ธันวาคมมีโครงการปั่นเพื่อพ่อ พ่อเราและลูกน้องจะไปร่วมงานที่จังหวัด”
สาวน้อยผมหยักโศกเดินมาหยุดที่ท้ายรถ โตโยต้าขับเคลื่อนสี่ล้อช่างสุงใหญ่ราวปีศาจ ผมเพิ่งเห็นรถอย่างชัดเจนก็ตอนนี้เอง คำนวนดูแล้วน่าจะสุงไล่เลี่ยกับทรงเดช แล้วนิตยาขับรถคันนี้ได้อย่างไร
“ก็ดีแล้วนี่ พ่อเราก็ไปงานนี้ด้วย ทำไมเหรอ” อำนาจถามต่อเพราะตัวเองก็รู้เรื่องนี้
“ตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงที่นี่ พวกคนงานจะล้มบุษบาเพิ่อทำอาหาร เราเลยมาช่วยเธอออกไปก่อนไง”
นี่เป็นคำพูดที่ยาวที่สุดของนิตยา และทำให้คนฟังทั้งสามตกใจที่สุดด้วย คนพูดไม่รีรอปีนขึ้นกระบะเพื่อทำอะไรซักอย่าง เธอสวมเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นสีน้ำทะเล ผมต้องตามขึ้นไปช่วยเพราะดูแล้วคงไม่รอด จึงเห็นว่าเป็นผ้าใบที่ทั้งหนาและหนักพอสมควร นิตยาสบตาพร้อมรอยยิ้มประหนึ่งแสดงความขอบคุณ
“เอาบุษบาขึ้นท้ายรถ แล้วเอาผ้าใบผืนนี้คลุมทับ จากนั้นก็เอาไปซ่อน”
สาวน้อยอธิบายแผนการเสร็จสรรพ ฝ่ายคนที่เหลืออ้างปากค้างแมลงวันบินเข้าสบาย
“นี่เธอจะขโมยของหลวง ประหารชีวิต 7 ชั่วโคตร! ตายแน่ตรู” ทรงเดชคงดูเปาปุนจิ้นมาเมื่อเย็นนี้
“หยุดตะโกนได้แล้ว พ่อเราซื้อบุษบามา เธอเป็นของครอบครัวเรา”
นิตยาลงมาจากรถพร้อมโวยใส่ ส่วนผมกระโดดไปรั้งตัวอำนาจไม่ให้วิ่งหนี เพื่อนรักสี่ตาของผมคงจะช๊อคอย่างแรง จากที่เคยพูดเก่งจึงกลับกลายเป็นเตมีย์ใบ้ หลังทุกอย่างเงียบสงบอีกครั้งผมจึงต้องเอ่ยปากบ้าง
“ทำแบบนี้ไม่ดีมั้ง ถึงหมูเป็นของพ่อแต่นิดก็ไม่ควรขโมย เราว่านิดโทรคุยกับพ่อก่อนไหม”
“พ่อไม่สนใจเราหรอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมูชื่อบุษบา” สาวน้อยปฎิเสธอย่างคนดื้อรั้น
“นิดไม่ได้บอกพ่อหรือเปล่า ผู้ชายกับผู้หญิงคิดไม่เหมือนกันนะ” ผมเข้าข้างเพศเดียวกันอย่างเต็มตัว “เราว่าพ่อนิดงานยุ่งเพราะนายอำเภอไม่อยู่แล้ว กลับบ้านคงเหนื่อยจัดและอยากพักผ่อน ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้สนใจนิดเสียหน่อย”
“ผู้ชายนี่นะ เหมือนกันทุกคน”
นิตยาทำสีหน้าเซ็ง ๆ แล้วเดินจากไป เธอตรงมายังบุษบาซึ่งออกมาข้างนอกแล้ว ผมแบไม้แบมือให้เพื่อนก่อนเดินตามไปบ้าง ก็ไม่อยากแก้ตัวอะไรหรอกนะครับ แต่ผมมีความคิดคล้ายกันว่า ผู้หญิงก็เหมือนกันหมดทุกคน
“เราตัดสินใจแล้ว ถ้านายไม่ช่วยเราทำเองก็ได้”
สาวน้อยดวงตาซุกซนมีท่าทีจริงจัง เธอหยิบปลอกคอสุนัขมาสวมบุษบาอย่างทุลักทุเล จากนั้นจึงออกแรงดึงให้หมูเดินไปข้างหน้า ทว่าเรี่ยวแรงผู้หญิงไม่ทำให้มวลสารหนัก 200 กิโลกรัมเคลื่อนที่ เมื่ออยู่นอกอาคารพวกเราจึงรู้ความจริงอีกเรื่อง นางสาวบุษบาเป็นหมูป่าโตเต็มวัยแล้ว ลำตัวสีน้ำตาลเข้มค่อนไปทางดำ ปกคลุมด้วยขนที่หยาบและยาวสีเข้มกว่า แม้ว่าหล่อนจะเป็นหมูสาวแสนบอบบาง ทว่าแรงผู้หญิงคนเดียวคงดึงไม่ไหวหรอก ผมทนดูได้ไม่นานก็เริ่มใจอ่อน
“มาช่วยกันหน่อย หรืออยากโดนจับตัวก็ตามใจ”
เมื่อเห็นเพื่อนกำลังเอ๋อผมก็เลยกระตุ้น ทรงเดชกับอำนาจจึงตื่นจากภวังค์หรือเลี่ยงไม่ได้ พวกเราช่วยกันลากหมูป่าไปที่ท้ายรถ จากนั้นจึงเอาไม้กระดานมาพาดเพื่อที่จะดันก้น ทันใดนั้นเองก็เกิดเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อ พอเห็นไม้พาดไว้อย่างหมิ่นเหม่เท่านั้นแหละ บุษบาก็เดินดุ่ม ๆ ขึ้นไปบนรถด้วยท่าทีสง่างาม ชาติก่อนหล่อนคงเป็นนักแสดงผาดโผนกระมังครับ
“เสร็จเสียที ทีนี้ก็กลับบ้านกันได้”
ผมนั่งหอบแฮ่ก ๆอยู่ที่ล้อรถ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่นะ ทำให้ชิดชนกโกรธแถมยังเกือบสอบวอลเลย์บอลตก นาทีนี้ผมกำลังล้อเล่นกับคุกตารางอยู่ เพื่อนคนอื่นต่างหาที่นั่งพักเช่นกัน รวมทั้งสาวน้อยเจ้าของความคิดพิสดาร
“มันง่ายไปไหม” ทรงเดชเอาผ้าใบคลุมหมูเสร็จ แล้วหันมาเพ้อเจ้อพร้อมทำตาโตใส่ “ปรกติมันต้องมีอะไรมากกว่านี้ ขากลับพวกรปภ.ต้องรู้แน่ ว่าเราขโมยบุษบาออกไปข้างนอก หรือว่าพวกนั้น ไปตามตำรวจมาล้อมไว้หมดแล้ว”
“ไม่เอาน่าทรงเดช ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากพวกเรา” ผมต้องรีบปรามอีกฝ่ายโดยเร่งด่วน
“รีบเผ่นเถอะว่ะ ไม่อย่างนั้นเราจะร้องให้ตรงนี้แหละ” อำนาจแสดงทีท่าว่าจะทำตามที่พูด
“ขึ้นรถทุกคน ผู้ชายอะไรอ่อนแอชะมัด”
นิตยาตัดสินใจปุบปับอีกครั้ง เธอเดินไปสตาร์ทเครื่องแล้วรีบถอยหลังทันที คนที่เหลือต่างกระโดดขึ้นรถกันแทบไม่ทัน รถกระบะสีน้ำเงินวิ่งมาถึงป้อมยามอีกครั้ง คุณหนูของน้าสมานส่งยิ้มหวานให้น้าอองรี แล้วพวกเราก็ผ่านด่านออกมาได้โดยละม่อม ทุกคนในรถพากันถอนหายใจเฮือกโต ผมแอบเห็นรปภ.หน้าโหดคุยโทรศัพท์หลังเสาไฟ เขาน่าจะโทรไปสั่งพิซซ่ามากินรอบดึก เป็นการคิดเข้าข้างตัวเองที่ไม่มีอะไรรองรับ
“รอดตายแล้วโว้ย เอาหมูบ้าตัวนี้ไปซ่อนแล้วก็จบ” อำนาจตะโกนเสียงดังแข่งกับทรงเดช
“นั่นคือปัญหาข้อแรก เราไม่รู้จะเอาบุษบาไปซ่อนที่ไหน”
ผมได้รู้ซึ้งถึงความเงียบสงัดของป่าช้าวันดอน อำนาจกับทรงเดชอ้าปากค้างเป็นรอบที่แปด ทันใดนั้นเองเกิดฝนตกทั่วทั้งอำเภอ แม้จะยังไม่แรงแต่ก็เริ่มหนาเม็ดมากขึ้น ความสว่างไสวในใจดับวูบลงพร้อมสายฝนพรำ
“ยายหัวฟูปัญญาอ่อนงี่เง่า มีความคิดเหมือนคนอื่นเขาบ้างไหม”
อำนาจโวยวายพร้อมกระโจนมาจากด้านหลัง เดือดร้อนทรงเดชต้องล๊อคคอแล้วดึงกลับที่ นิตยาเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนใหญ่อย่างสวยงาม เวลาสามทุ่มบนถนนใหญ่ไม่มีรถแล้ว ขณะที่พวกเรากำลังเคร่งเครียดอยู่นั้นเอง ทรงเดชก็ได้โพล่งขึ้นมา
“ใช่แล้ว ไอสไตน์เคยกล่าวไว้ว่า ที่ที่อันตรายที่สุดย่อมปลอดภัยที่สุด” เจ้าตัวทำหน้าตาภาคภูมิใจสุดชีวิต ผมรู้สึกสงสารไอสไตน์ขึ้นมาทันที “ฉะนั้น เราจะเอาวัวตัวนี้ไปซ่อนที่ คลีนิคหมอประสาท”
“ไม่ได้โว้ย แล้วพรุ่งนี้จะเปิดร้านยังไง เอาไปซ่อนร้านจักรยานดีกว่า” อำนาจรีบโยนมาทางผม
“พ่อแม่นายไปสัมนาที่กรุงเทพ กว่าจะกลับก็วันอาทิตย์โน่น ถึงตอนนั้นบุษาบาคงปลอดภัยแล้ว”
แล้วสถานะหัวหน้าห้องก็ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ ผู้ปกครองอำนาจแจ้งเรื่องนี้กับอาจารย์สมพิศ แล้วมีหรือที่หล่อนจะไม่ใช้งานผมต่อ ที่อำนาจออกมาแรดคืนนี้ได้เพราะผมนี่แหละ ทว่าเจ้าตัวดันทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าแกงกัน
“ไอ้เพื่อนทรยศ ไอ้เพื่อนเนรคุณ ไอ้เพื่อนไม่รักดี” สารพัดคำด่าออกมาจากปากคนเรียนเก่งที่สุด
“ไปคลีนิคหมอประสาทนะ จับกันดี ๆ ล่ะ”
นิตยาได้แจ้งเตือนกับผู้โดยสาร แล้วหักเลี้ยวขวาเพื่อกลับรถกระทันหัน ยาง All Terrain ขนาด 265/65 ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแสบหู ทว่าล้ออัลลอย 17 นิ้วและช่วงล่างแบบอิสระปีกนกคู่ก็ยังเอาอยู่ เมื่อรถตั้งหลักได้เครื่องยนต์ดีเซล 2,755 ซีซีก็พลันส่งเสียงกระหึ่ม รถคันนี้มีถุงลมนิรภัยถึง 7 ใบก็จริง แต่เชื่อเถอะว่าผมไม่มีวันอยากใช้ อำนาจและทรงเดชเงียบเสียงไปแล้ว ส่วนผมก็เกิดอาการกลัวรถขึ้นมาอีกแล้ว ขณะที่นั่งตัวเกร็งพลางจ้องมองข้างทาง สมองก็ดันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา
“นิดมองเห็นถนนชัดหรือเปล่า ข้างนอกทั้งมืดและมีแต่เม็ดฝน” ผมถามคำถามงี่เง่าใส่
“นั่นคือปัญหาข้อถัดไป เราลืมใส่แว่นสายตา เกือบชนเกาะกลางไปแล้ว”
เจ้าตัวตอบกลับโดยไม่ได้ทุกข์ร้อนเลย ทว่าผู้ชายตะโกนร้องเจี๊ยกโดยพร้อมเพรียงกัน แล้วความทรงจำของผมก็กลับมาทันที นิตยามักใส่แว่นติดจมูกตอนเรียนหนังสือ ทว่าในคืนนี้เธอดันลืมมันไว้ที่บ้าน
“แม่จ๋า หนูกลัว” อำนาจที่เคยขู่ว่าจะร้องให้ เริ่มมีน้ำตาปริ่มออกมาบ้างแล้ว
“กลับบ้านกันเถอะ คืนนี้ทัดดาวบุษยาถึงตอนสำคัญด้วย” ทรงเดชอ้อนวอนอย่างไร้ฤทธิ์เดช
“หยุดบ่นเป็นผู้หญิงเสียที เราไม่มีสมาธิขับรถเลย จริงไหมฮะเจ้าฮะ”
ทัดดาวนิตยายังมีแก่ใจชวนพวกเราคุย แล้วเธอก็ทำรถตกหลุมดักควายเสียงดังโครม ผมนี้อยากทัดมาลาด้วยศอกขวาซักสามดอก ตามด้วยกระบี่กระบองทัดหูแล้วฟาดอีกสามดาบ แต่เมื่อสาวน้อยคนขับแลบลิ้นแล้วยิ้มตาหยี ก็สุดที่หัวใจดวงน้อยดวงนี้จะทัดทาน นิตยาเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักเหลือเกิน เธอมีความสวยงามชนิดพิเศษใส่ไข่เป็ดสองฟอง
“เอี๊ยดดดดดด…!!”
โตโยต้า รีโว่สีน้ำเงินทำการเบรกกระทันหัน ระบบป้องกันล้อล๊อค ระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรก และระบบควบคุมการทรงตัวได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ คนขับหักพวงมาลัยเข้าข้างทางที่มืดมิด ผู้โดยสารพร่ำร้องหาแม่ปริ่มว่าจะขาดใจ กว่าที่ผมจะตั้งสติได้รถก็จอดสนิทแล้ว นิตยาหันมามองสีหน้าปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมมีด่านตำรวจ ขามายังไม่เห็นเลย” เธอปรายตามองไปยังถนนฝั่งตรงข้าม
“นั่นสิ” ผมมองตามทันที “หน้าคลีนิคหมอประสาทด้วย เกิดอะไรขึ้นวะอำนาจ”
ตอนนี้รถเราจอดอยู่ห่างสี่แยกเพียง 100 เมตร ข้ามไปหน่อยเดียวคือจุดหมายที่จะไปกัน ทว่าตรงนั้นดันมีแผงเหล็กตั้งขวางเอาไว้ แสงไฟสีแดงส่องวิบวับไปมาชวนปวดตา เจ้าหน้าที่หลายนายกำลังยืนโบกรถหรือไม่ก็ไล่รถ
“ไม่รู้เหมือนกัน ปรกติไม่เคยมีเลยนะ” อำนาจตอบกลับพลางขยับแว่น
“หรือว่า” ทรงเดชหรี่ตามองอำนาจ “พ่อนายแจ้งตำรวจให้มาจับ ไอ้เพื่อนทรยศ ไอ้เพื่อนเนรคุณ ไอ้เพื่อนไม่รักดี”
สารพัดคำด่าออกมาจากปากคนเล่นบาสเก่งที่สุด ทำเอาผมกับนิตยานั่งกุมหัวด้วยระอาใจ ฝนเริ่มตกหนักขึ้นสร้างแรงกดดันมากขึ้นตาม ผมคิดว่าเราอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ก็เลยเสนอแผนสองขึ้นมาทันที
“ตำรวจคงตั้งด่านตรวจคนเมา นิดขับเลยไปบ้านเราดีกว่า ให้บุษบานอนห้องเราก็ได้”
นิตยาหันมาสบตาด้วยทันที ดวงตาซุกซนของเธอเปล่งประกายระยิบระยับ ผมไม่เข้าใจความหมายหรอกและไม่กล้าคาดเดา วันนี้ผมทำพลาดทุกอย่างจนขาดความมั่นใจแล้ว เธอรวบผมหยักโศกไว้ที่ท้ายทอยก่อนมัดรวมกัน
“นั่นคือปัญหาข้อที่สาม รถคันนี้ป้ายแดง” คำพูดเรียบ ๆ น้ำเสียงปรกติเช่นเคย
“ป้ายแดง ป้ายแดงแล้วทำไม เพิ่งรู้ว่าป้ายรถมีสีด้วยแฮะ” ผมถามคำถามงี่เง่าอีกครั้ง
“ห้ามรถป้ายแดงใช้งานตอนกลางคืน ขืนขับไปตำรวจจับแน่”
แล้วความจริงที่แท้จริงก็ปรากฎ เพราะเป็นป้ายแดงนี่เองถึงขับผ่านไปไม่ได้ ผมแช่งชักหักกระดูกให้กับโชดชะตา รวมทั้งพ่อของนิตยาที่ไม่รอบคอบเอาเสียเลย นี่ถ้าใช้ป้ายเขียวหรือป้ายส้มก็คงไม่มีปัญหาอะไร
ทันใดนั้นเองรถกระบะก็เริ่มเคลื่อนตัว นิตยาเพิ่มความเร็วโดยกระทืบคันเร่งจมฝ่าเท้า เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะทำงานอย่างซื่อสัตย์ แค่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็พามวลสารหนัก 2 ตันมาถึงสี่แยก สาวน้อยดึงเบรกมือพร้อมหักพวงมาลัยไปทางขวา โตโยต้ารีโว่กลับหลังหัน 180 องศาในบัดดล เสียงยางรถกรีดร้องได้ยินทั่วทั้งตลาด แล้วรถก็โยนตัวมาอยู่ถนนอีกฝั่งสำเร็จ คนขับสาวเหยียบคันเร่งแทบทะลุพื้น ม้าทั้ง 177 ตัววิ่งแข่งกันราวกับเพิ่งกินยาม้า คลีนิคหมอประสาทถูกทิ้งไว้ในกระจกมองหลัง ผมเอี้ยวตัวไปมองจึงเห็นความชุลมุนวุ่นวาย เจ้าหน้าที่หลายนายวิ่งไปวิ่งมาไม่รู้เพื่ออะไร รถกระบะสีแดงสดคันหนึ่งได้ขับตามมา เสียงไซเรนดังสนั่นโดยที่ไม่ได้นัดหมาย นั่นคือปัญหาข้อที่สี่ของพวกเราอย่างไม่ต้องสงสัย
ชีวิตของผม อำนาจ ทรงเดช และบุษบา ฝากไว้ในมือนิตยาแต่เพียงผู้เดียว สาวน้อยอายุ 16 ปีผู้ขับรถเก่งราวกับนักแข่งมืออาชีพ ทว่าเธอไม่ได้สวมแว่นสายตาและฝนก็กำลังตกหนัก ตำรวจทั้งเมืองก็ดันไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด วินาทีนั้นเองผมนึกถึงใบหน้ารูปไข่ของลูกสาวเฮียอ๋า ชิดชนกคงไม่รู้สินะว่าคืนนี้ผมทำอะไรเพื่อเธอบ้าง
---------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ