ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  25.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เส้นทางของหมีน้อย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เส้นทางของหมีน้อย

     รถกระบะดัทสันช้างเหยียบสีไข่ไก่คันหนึ่ง เลี้ยวเข้ามาในรั้วโรงเรียนไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่ง เครื่องยนต์ดีเซลอายุ 38 ปีร้องครวญครางปิ่มว่าจะขาดใจ ช่วงล่างส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตัวถังรถสั่นกระพือ กระบะท้ายใส่หลังคาผ้าใบทรงสุงสีซีดจาง นักเรียนชายจำนวน 12 คนนั่งเบียดเสียดกันมา ใบหน้าทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ความหวัง และความฝัน

     ด้านหน้ารถมีชายหญิงนั่งเคียงคู่กัน คนขับชื่ออาจารย์มานะเป็นครูพละหนุ่มไฟแรง ผู้โดยสารแก่คราวแม่ชื่ออาจารย์มะลิวัลย์ หล่อนสวมชุดลูกเสือสามัญพร้อมห้อยพู่สีเขียว รถกระบะโก๋แก่วิ่งมาจอดหน้าสนามบาส เป็นสนามขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยอัฒจันทร์กึ่งถาวร คนบนรถทยอยเดินลงพร้อมส่งเสียงฮือฮา บ้างก็วิ่งไปที่สนาม บ้างก็ถ่ายเซลฟี่เป็นที่ระลึก พวกเขามาจากโรงเรียนผักหนองน้ำวิทยาทาน เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่เพิ่งตั้งทีมในปีนี้เอง เด็กหนุ่มผู้มีปานดำใต้ตาขวาลงมาพร้อมกระติกน้ำ เขามีอายุน้อยที่สุดทว่าดวงตาเปล่งประกายที่สุด

     บุญชนะเคยเรียนที่นี่และชอบเล่นบาสมาก แต่เขาเล่นไม่เก่งจึงไม่มีทางติดทีมโรงเรียนแน่ เจ้าตัวก็รู้ดีและยอมรับชะตากรรม จนกระทั่งขึ้นมัธยม 3 จึงได้พบจุดเปลี่ยนสำคัญ ทีมบาส ม.ต้นชนะเลิศระดับจังหวัดเป็นครั้งแรก ได้เป็นตัวแทนแข่งขันระดับเขต แม้ว่าทีมจะแพ้ในรอบชิงได้แค่อันดับสอง แต่บุญชนะประทับใจมากและอยากเดินตามรอย เขาจึงย้ายมาเรียน ม.ปลายที่โรงเรียนผักหนองน้ำ เด็กหนุ่มสมัครเข้าทีมตั้งแต่วันแรกสุด มาซ้อมคนแรกสุด และกลับบ้านคนสุดท้าย บุญชนะเป็นเด็ก ม.4 คนเดียวของทีม เขาได้มาเยือนโรงเรียนเก่าในฐานะนักกีฬา โดยหวังว่าจะได้ลงเล่นบ้างซัก 5 นาที แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ได้แข่งขันกับผู้ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา นักกีฬาบาสผู้โด่งดังของจังหวัด ซึ่งทุกคนรู้จักในนาม “เจ้าชายหมีน้อย”

                                         ----------------------------------------------

     บ่าย 4 โมงวันท้ายสุดเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงเวลาปลายฝนต้นหนาวของทุกปี แสงแดดกำลังอบอุ่นลมหนาวเริ่มพัดผ่าน เหมันตฤดูที่หนาวเหน็บเดินทางมาถึงแล้ว ทว่าบรรยากาศในสนามบาสมีแต่ความร้อนระอุ นักเรียนแน่นอัฒจันทร์ตะโกนเชียร์จนเสียงแหบ วันนี้เป็นการซ้อมแข่งขันบาสเกตบอล ม.ปลาย ระหว่างโรงเรียนเรากับผักหนองน้ำวิทยาทาน อันที่จริงแล้วไม่ควรเรียกว่าการแข่งขันเลย น่าจะเป็นการฆาตกรรมหมู่ที่ โอราเคิล อารีนา มากกว่านะครับ เพราะนักกีฬาฝ่ายเราไล่ทุบอีกฝ่ายอย่างสนุกมือ เข้าสู่ควอเตอร์ที่ 2 ทีมเรามีคะแนนนำ 44 ต่อ 8 โดยนักกีฬาเบอร์ 5 ทำแต้มมากสุดถึง 26 คะแนน เขาก็คือทรงเดชเจ้าของความสุง 185 เซนติเมตร อาจารย์วิบูลย์ให้ทรงเดชลงเป็นตัวจริง เพื่อทดสอบและจัดตัวสำหรับแข่งขัน ส่วนผมและอำนาจก็มีหน้าที่เช่นกัน คือใช้กล้องวีดีโอบันทึกภาพการแข่งขัน ก่อนส่งให้ทีมบาสตรวจสอบข้อบกพร่อง

     “ไม่ต้องรีบออกบอลนะ ดูเพื่อนดูตำแหน่งตัวเองนะ ตอนเข้าทำระวังด้วยนะ ทรงเดชระวังนะ เฮ้ย !”

     อาจารย์วิบูลย์ตกใจร้องเฮ้ยจนลืมพูดนะ พร้อมกันกับกองเชียร์นับร้อยรายรอบสนาม เสียงโห่ตามมาทันทีพร้อมคำพูดสาปส่ง เมื่อเห็นว่าทรงเดชโดนชนจนล้มหงายหลัง ตัวผมซึ่งนั่งรวมอยู่กับทุกคนนี่แหละ ยังมองไม่เห็นซักนิดว่าอีกฝ่ายทำอะไรผิด ลูกบาสชนแป้นกระเด้งขึ้นสุงเสียดฟ้า ทรงเดชกระโดดแย่งพร้อมมือหนึ่งผักหนองน้ำ เพื่อนรักชักศอกสั้นใส่ปลายคางคู่ต่อสู้ เขาคว้าลูกบาสได้พร้อมแจกรอยยิ้มอย่างทั่วถึง คนโดนศอกหมดสติหลับกลางอากาศ ร่างร่วงหล่นนิ้วก้อยเฉี่ยวไหล่ทรงเดชนิดเดียว เท่านั้นแหละครับเพื่อน ๆ เอ๋ย นักกีฬาเบอร์ 5 ทีมเราก็เริ่มบทสำออยใส่ ทรงเดชนอนชักดิ้นชักงอเรียกน้ำตาจากคนดู กรรรมการหน้าแขกเป่าฟาว์ลทันที พร้อมให้ลูกโทษเป็นของแถมกับเจ้าบ้าน มือหนึ่งผักหนองน้ำโดนหามออกไปแล้ว

     หมดควอเตอร์ที่ 2 คะแนนเรานำอยู่ที่ 68 ต่อ 12 ทีมผักหนองน้ำต้องรีบแก้เกมส์ด่วนที่สุด อาจารย์มานะตื่นตระหนกยิ่งกว่านักกีฬาเสียอีก เสียงโห่ร้องรอบสนามทำให้เขาสั่นเป็นเจ้าเข้า ฝ่ายอาจารย์มะลิวัลย์มีท่าทางลังเลใจ เธอสอนวิชาสังคมศึกษาและลูกเสือสามัญ ไม้ถือของผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ทำด้วยไม้ลักษณะกลม เรียว เรียบไม่มีลวดลาย เรื่องพวกนี้เธอยักคิ้วข้างเดียวก็ท่องได้ แต่เรื่องกีฬายัดห่วงเธอไม่มีความรู้แม้แต่น้อย สถานการณ์สร้างวีรบุรุษฉันใด สถานที่นี้ก็ (น่าจะ) สร้างวีรสตรีฉันนั้น อาจารย์มะลิวัลย์ตัดสินใจขั้นเด็ดขาด หล่อนร้องเพลงปลุกใจของลูกเสือพร้อมท่าเต้นประกอบ

     “โฟค เฟียต ฟอร์ด (ซ้ำ) รถฟอร์ดมันวิ่งเต็มเหยียด รถเฟียตมันวิ่งโขยก

     รถโฟคมันวิ่งเขย่า มาซิพวกเรา อย่ามัวนั่งเศร้า นั่งโฟคเฟียตฟอร์ด”

     ขณะที่หญิงสาวสุงวัยในชุดลูกเสือสามัญ กำลังงอศอกขวาเข้าหาลำตัวตั้งขึ้น พร้อมโยกตัวขึ้นลงตามจังหวะอยู่นั้น  ผมมองไปยังนักบาสโรงเรียนผักหนองน้ำ พวกเขามีคนหัวแตก 1 คน ไหล่หลุด 1 คน เล็บขบ 1 คน และอีก 1 คนยังสลบไม่ฟื้น ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานของทรงเดช คนที่เหลือสีหน้าห่อเหี่ยวคล้ายอยากร้องให้ มีนักบาสสำรองคนหนึ่งดูเตะตาเป็นพิเศษ เขาน่าจะอายุน้อยที่สุดมีปานดำใต้ตาขวา นายคนนี้เดินเข้าสนามพร้อมรอยยิ้มสดใส ตาก็จ้องทรงเดชราวกับจ้องสาวน้อยในฝัน สลับกับมองแป้นบาสประหนึ่งว่าเป็นเรือนรัก แต่เวลานี้เขาดูตื่นตระหนกยังไงพิกล เมื่อโดนสั่งให้ไปซ้อมก็เดินหงอเป็นกุ้งเสียบ

     อันว่าตัวผมอยากให้การแข่งขันสิ้นสุดเสียที ไม่ใช่เพราะกลัวนักกีฬาบาดเจ็บหรอกนะครับ แต่กลัวว่าหูจะดับจากเสียงตะโกนของรัตนามากกว่า เธอยืนเคียงข้างผู้นำเชียร์ด้วยท่าทีสง่างาม พลางแผดเสียงแหลมแปดหลอดร้องเพลงยั่วฝ่ายตรงข้าม

     “…หมูแผ่น หมู่แผ่น หมูหยอง หมูกระป๋องจะลงสนาม พวกเรามาช่วยกันหาม หมูสนาม จะลงกะป๋อง…”

     พูดถึงรัตนาแล้วผมก็คิดถึงทรงเดชทันที เขามีรูปร่างสมส่วนจากการออกกำลังกาย ทรงเดชยังมีหน้าตาดีผิวพรรณดีต่างหาก ถ้าบังเอิญเจอแมวมองคงได้เป็นดารากันบ้างล่ะ สรุปความก็คือ…เขาเป็นดาวฝ่ายชายของโรงเรียนเรา และจะเป็นไปอีกนานจนกว่าเรียนจบ ทรงเดชน่าจะเป็นเด็กหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบที่สุด ทว่าฟ้าเบื้องบนยังมีเมตตากับคนที่เหลือบ้าง จึงได้ประทานข้อบกพร่องให้เพื่อนคนนี้ 2 ข้อ อย่างแรกก็คือทรงเดชเป็นคนเรียนไม่เก่ง แถมติดละครน้ำเน่างอมแงม เพราะต้องดูเป็นเพื่อนแม่ทุกค่ำคืน คำพูดของเขาก็เลยแปรผันตามความคิด ไอ้ด้านความคิดก็ผันแปรตามบทละครช่องหลายสี เมื่อทรงเดชพูดอะไรออกมาผมแนะนำเลย ให้เอาสิบหาร เอาขวานจาม เอาน้ำกรดสาด เอาจาระบีราด นั่นแหละครับถึงจะใกล้เคียงความจริง

      ข้อบกพร่องสุดท้ายของเด็กหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบ เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเราอิ่มเอมปลื้มปิติ จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจากความรัก นักกีฬาอนาคตไกลหน้าตาดีหุ่นดีอย่างเขา ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าปฎิเสธหรอกครับ ทว่าทรงเดชเลือกเดินตามเสียงเพรียกของหัวใจ ด้วยการคบหากับรัตนาอย่างออกนอกหน้า หล่อนสุง 150 เซนติเมตรพอดิบพอดี ผิวดำแดงกรามใหญ่โหนกแก้มสุงและไม่มีดั้ง ผมอยากให้นึกถึงตุ๊กกี้ชิงร้อยชิงล้านตอนเข้าวงการ แล้วใส่ผมม้ามยุราที่ไม่เคยสระซอยเซตเข้าไป จากนั้นจึงนำไปย่างด้วยเตาถ่าน กระทั่งน้ำมันพรายหยดพื้นนิดหน่อย นั่นแหละครับสาวน้อยจากห้อง 4/6 นามว่ารัตนา

      ว่ากันตามความจริงที่สุดของหัวใจ ผมและทุกคนไม่ได้รังเกียจรังงอนรัตนาเลย โดยเฉพาะอำนาจถึงกับเชียร์อย่างออกนอกหน้า จะเพราะความริษยาหรืออย่างไรคงเดากันออก พวกเราทุกคนรู้สึกเลี่ยนมากกว่าครับ เลี่ยนจนอยากอ้วกหมดใส้หมดพุง คงเป็นเพราะคำพูดเพ้อเจ้อ น้ำเน่า ไร้สาระ และน่าสยดสยอง จากนักกีฬาผู้มีชื่อเสียงที่สุดของโรงเรียน

“ยามได้ตด สดชื่น ระรื่นตูด                ยามได้สูด กลิ่นตด ก็สดใส

นาตดบ้าง เดชตดบ้าง ไม่เป็นไร             อย่าให้ใคร มาแอบตด ให้นาดม” (ทรงเดชกล่าวไว้ในคาบเรียนวิชาสุขศึกษา)

“ตดแล้วปล่อย ลมหวน ให้ชวนหาว       ตดแล้วนั่ง ดูดาว ยามคราวเหงา

ตดแล้วนั่ง อุดตูด ปู้ดเบาเบา                    ตดแล้วเหงา นั่งซึ้ง คิดถึงนา” (ทรงเดชกล่าวไว้ในคาบเรียนวิชาภาษาไทย)

“หากอยากตด อดไม่ได้ ตดไปเหอะ       คนไม่เยอะ ไม่ต้องกลั้น ให้หวั่นไหว

ถ้าคนมาก อย่าไปตด ให้อดไป                นาตดไหน เดชตดนั่น คู่กันเอย” (ทรงเดชกล่าวไว้ตอนทำปุ๋ยคอกด้วยกัน)

“ตดที่ดี และมีศิลป์ กลิ่นไม่เหม็น           ตดไม่เป็น ตดดังป้าด สาดเป็นฝอย

ตดวิบาก กากกระเซ็น เหม็นทั่วซอย        ตดอร่อย ตดฝอยทอง ของน้องนา” (ทรงเดชกล่าวไว้ตอนล้างคอกหมูด้วยกัน)

      ถึงตอนนี้เพื่อน ๆ บางคนคงอยากตด เอ๊ย ! คงรู้สึกเลี่ยนจนผะอืดผะอมกันบ้าง บางคนอาจได้กลิ่นลอยเข้ารูจมูกแล้วใช่ไหม นี่แค่ยกตัวอย่างให้อ่านไม่กี่บรรทัดนะครับ แล้วพวกผมที่ต้องทนฟังกลอนรักทรงเดชตั้งหลายเดือน จนกระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน มีอาการติดเชื้ออักเสบอย่างหนัก จะไม่รู้สึกติดลบกับรัตนาบ้างก็คงไม่ไหว

      รัตนาเป็นสาวน้อยช่างฝันหรือไม่ก็เพ้อเจ้อ ช่วงอยู่ ม.ต้นเธอยังไม่อะไรซักเท่าไหร่ ครั้นพอเข้าเรียนห้อง 4/6 ประหนึ่งว่าต่อมจินตนาการเกิดแตกซ่าน เธอจึงอยากเป็นผู้นำเชียร์หรือเชียร์ลีดเดอร์นั่นแหละครับ มีการรับสมัครผู้นำเชียร์ตั้งแต่ต้นเทอม แล้วมีหรือที่รัตนาจะพลาดโอกาสสำคัญ บ่าย 3 โมงกว่าวันนั้นเอง มีเสียงแหลมแปดหลอดดังกึกก้องทั่วหอประชุม

      “ทำไมหนูไม่ได้เป็นผู้นำเชียร์ล่ะคะ หนูไม่มีคุณสมบัติข้อไหน หนูผิดอะไร ทำไมต้องกลั่นแกล้ง ทำไม”

      สาวน้อยผิวดำแดงกรามใหญ่กำลังโมโหจัด รัตนาถูกตัดชื่อออกในรอบแรกเพียงคนเดียว อาจารย์โฉมวิไลผู้คัดเลือกยืนสีหน้าบอกบุญไม่รับ แม้รู้เต็มอกว่ารัตนาไม่มีคุณสมบัติทุกข้อก็ตาม แต่ถ้าพูดแบบนั้นออกไปจะทำร้ายเด็กคนนี้เอา

      “อาจารย์คิดว่า รัตนาทำหน้าที่อื่นดีไหมคะ เช่นว่า…ออกแบบท่าเต้น” ครูผู้แสนอารีย์พยายามช่วยเหลือ

      “ท่าเต้น ! หนูมีท่าเต้นประมาณร้อยกว่าท่า เป็นผู้นำเชียร์แล้วหนูจะสอนฟรี ๆ เลยเอ้า”

      สาวน้อยช่างฝันแสดงความสามารถพิเศษทันที ท่าเต้นกบน้อยกินแมลงเม่าสมบูรณ์แบบไม่นานนี้เอง

      “พอก่อนเถอะจ้า อาจารย์กลัวว่าขาสั้น ๆ ของหนูจะเป็นตะคริว รัตนาเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าดีไหม”

      อาจารย์โฉมวิไลพยายามเกลี้ยกล่อมสุดกำลัง แต่มันไม่ส่งผลกับรัตนาผู้มีความมุ่งมั่นเลย สาวน้อยช่างฝันออกสเต็ปและร้องเพลงเชียร์อย่างบ้าคลั่ง กระทั่งมีผู้คนเข้ามามุงดูแน่นหอประชุม รวมทั้งนักกีฬาโรงเรียนผู้หล่อเหลาชื่อทรงเดช

     “…ทางโค้ง ทางโค้ง ทางโค้ง เปิดกระโปรงเห็นเต่าทอง เต่าทองของน้องมีหนวด จะเอาจรวดไปยิงเต่าทอง…”

     ก่อนที่เต่าทองจะโดนจรวดเอ็กโซเซต์ยิงใส่ อาจารย์โฉมวิไลก็ยอมแพ้ในที่สุด รัตนาไม่ได้เป็นผู้นำเชียร์หรอกนะครับ ขืนได้เป็นจริง ๆ คงวุ่นวายไม่รู้จบแน่ สาวน้อยช่างฝันถูกแต่งตั้งเป็นผู้นำจิตวิญญาน ทำหน้าที่เคียงข้างผู้นำเชียร์ประหนึ่งเห็บเหา ท่าเต้นกบน้อยกินแมลงเม่าประทับใจทรงเดชมาก เขาชอบผู้ที่มีความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้เฉกเช่นตัวเอง นักบาสคนเก่งตัดสินใจเลือกรัตนาเป็นแฟน ทำเอาสาวสวยทั่วทั้งโรงเรียนต้องอกหักรักคุด และอยากโดดบึงหนองโพธิ์ตายเสียวันนั้นเลย

     เส้นทางสู่ดวงดาวไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เส้นทางของแฟนหนุ่มรัตนาก็เช่นกัน ทรงเดชเคยหกล้มคลุกคลานมานักต่อนัก กว่าจะเป็นเด็กหนุ่มผู้ (เกือบ) สมบูรณ์แบบในวันนี้ ชีวิตต้องพบกับความน้ำเน่าไม่แพ้ละครที่ติดงอมแงม

                       ----------------------------------------------

     ย้อนกลับไป 3 ปีครึ่งก่อนหน้านี้ โรงเรียนเรามีนักเรียน ม.1 ชื่อเด็กชายสมหมาย หมีกำเนิด เขาย้ายมาจากหนองแคและสอบเข้าที่นี่ได้ อย่างที่ผมเคยพูดไปหลายหนนะครับ ว่าโรงเรียนเราค่อนข้างเล็กและอยู่ไกลปืนเที่ยง โดยแต่ละชั้นเรียนมีเพียง 6 ห้อง แบ่งเป็นสายวิทย์ 3 ห้อง และสายศิลป์ 3 ห้อง เด็กชายสมหมายอยู่ห้อง 1/6 ซึ่งเป็นห้องบ๊วยสุดของสายศิลป์ เขาสุงเพียง 142 เซนติเมตร ผิวกายขาวซีดราวกับไม่เคยโดนแสงแดด สมหมายไม่มีเพื่อนเลยแถมโดนแกล้งสารพัด เขาถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสมหมายน้อย และโดนตั้งชื่อเล่นว่า หมายน้อยบ้าง หมาน้อยบ้าง สมน้อยก็ด้วย ไม่มีใครรู้ชื่อเล่นที่แท้จริงของเขาเลย

     เด็กน้อยทนสภาพนี้ได้ไม่นาน เขาเริ่มท้อแท้หดหู่จึงแอบไปร้องให้หลังโรงเรียน อาจารย์ระเบียบมาเห็นเข้าหล่อนก็นึกสงสาร จึงส่งเขาเป็นตัวแทนแข่งคัดลายไทยประจำจังหวัด อาจารย์ภาษาไทยหวังเพียงเด็กน้อยได้มีอะไรทำบ้าง ส่วนสมหมายก็หวังแค่ไปให้พ้นจากตรงนี้ ลายมือของตัวแทนโรงเรียนประหนึ่งไก่พิการเขี่ยดินเล่น ไม่ตกรอบแรกไปก่อนก็นับว่าปาฎิหารย์แล้ว แต่ทว่าเหมือนโชคชะตาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว คณะกรรมการดันสลับชื่อเขากับชื่อคนได้คะแนนสุงสุด “สมหมาย หมีกำเนิด” ชนะเลิศคัดลายไทยระดับมัธยมต้น ผู้ชนะตัวจริงชื่อ “สมหมาย หมีนำเกิด” ยังคงคาใจตราบเท่าทุกวันนี้

     อ่านมาถึงตรงนี้เพื่อน ๆ คงคิดว่าแปลก แต่ผมมีเรื่องแปลกกว่านี้จะเล่าให้ฟัง ปีนั้นเองโรงเรียนเราได้ผู้อำนวยการคนใหม่ ผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะสายัณห์เป็นสัญลักษณ์ เขามาจากโรงเรียนจ่านกร้องพร้อมไอเดียสุดวิลัย โดยต้องการให้โรงเรียนเรามีชื่อเสียงในวงกว้าง นักเรียนคนไหนสร้างผลงานให้จะได้รับสิทธิพิเศษ นั่นคือได้ย้ายห้องเรียนสุงขึ้น 1 อันดับ หรือคูปองอาหารกลางวัน 2 เดือนเต็ม สมหมายเลือกย้ายห้องเรียนอย่างไม่ลังเล ขึ้นเทอม 2 เขาจึงได้อยู่ห้อง 1/5 สมใจ (สม) หมาย

     เด็กน้อยจากหนองแคไม่หยุดตัวเองเพียงแค่นี้ เขามุ่งมั่นอย่างบ้าคลั่งเพื่อเลื่อนสถานะให้สุงขึ้น เทอมต่อมาเขาชนะเลิศการก่อกองทรายงานวัดประจำจังหวัด โดยส่งสุนัขไปคุ้ยเขี่ยปราสาทเขาพนมรุ้งของคู่แข่ง เขาหัวโล้นของสมหมายได้อันดับหนึ่งไปครอบครอง เป็นปีเดียวที่ทางวัดไม่ยอมถ่ายภาพผู้ชนะเลิศ เทอมถัดไปเขาเลื่อนมาอยู่ห้อง 2/4 ก่อนคว้ารางวัลบทเพลงรอบกองไฟดีเด่น จากงานชุมนุมลูกเสือสามัญภาคกลางเชียวนะครับ เป็นรางวัลใหญ่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนมาก

     “นายแต่งเพลงได้ยังไงทรงเดช โกงหรือเปล่าบอกเรามาเถอะ”

     อำนาจเคยถามเรื่องนี้เมื่อเทอมที่แล้ว เพราะไม่เชื่อว่าทรงเดชจะสามารถแต่งเพลงได้ ทำเอาอีกฝ่ายมองค้อนประหลับประเหลือก แล้วพูดจาเหยียดใส่ประหนึ่งศิลปินมืออาชีพ

     “นายก็รู้จักแต่วงบอดี้สลิม อย่าอวดดีไปหน่อยเลย เรื่องแบบนี้ต้องใช้ทั้งพรสวรรค์และพรแสวงโว้ย”

     “ไม่ได้ถามว่าใช้พรข้อไหนบ้าง” อำนาจทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย “ถามว่านายแต่งเพลงเองหรือว่าโกง”

     เมื่อพูดจบอำนาจก็มองเห็นดาวตอนกลางวัน มือที่ใหญ่และยาวของทรงเดชฉกโดนหัวอย่างจัง

“อย่างนายจะไปเข้าใจอะไร รู้หรือเปล่าว่าผีเสื้อถุงทอง เคยเป็นหนอนชาเขียวมาก่อนนะเฟ้ย”

     ระหว่างเจ้าของเพลงกำลังโม้อย่างออกรสชาติ ผมขอเฉลยตรงนี้เลยแล้วกัน ทรงเดชไม่ได้โกงแต่ก็ไม่ได้เก่ง เขาดัดแปลงมาจากละครช่องหลายสี (ซักเรื่องสิน่า) บทเพลงรอบกองไฟที่ว่านี้ มีเนื้อร้องและท่าเต้นประกอบตามนี้          

     “…กุป่า กุป่า กุป่า กุป่า ฮูย่า กุป่า กุป่า กุป่า กุป่า (ชูมือขวาขึ้นลงสลับกัน แล้วเปลี่ยนเป็นมือซ้าย)

     เมาคลี เป็นลูกหมาป่า ไม่ชอบกินหญ้า ไม่ชอบกินผัก (แบสองมือแนบข้างหู ส่ายหัวไปมา)

     เมาคลี ไม่มีความรัก เพราะว่าเขาพัก อยู่ในไร่อ้อย (สองมือเท้าสะเอว ส่ายก้นดุ๊กดิ๊ก)

     เมาคลี มาเจอซาร่า กำลังยืนอ้า อยู่หน้าคอยวอย (ท่าตกใจตลกคาเฟ่ จ๊ะอื๊ย)

     เมาคลี จึงชวนสาวน้อย ไปหาเผือกกลอย อยู่บนดอยตุง (ท่าปลาพยูนอันแสนโด่งดัง)

     กุป่า กุป่า กุป่า กุป่า เฮ้เฮ้ กุป่า กุป่า กุป่า กุป่า …” (ชูมือซ้ายขึ้นลงสลับกัน แล้วเปลี่ยนเป็นมือขวา)

     ก่อนที่เพื่อน ๆ จะอุทานคำว่า “กุงง” หรือ “กุด้วย” ออกมานั้น ผมก็ขอจบเพลง “กุป่า” อันแสนโด่งดังไว้เพียงเท่านี้ ไม่แน่ใจว่าอาจารย์มะลิวัลย์จากผักหนองน้ำไปงานนี้หรือไม่ แต่เมื่อผมคิดทบทวนด้วยสมองสุดอัจฉริยะแล้ว จึงมีความมั่นใจมากเกินร้อยว่า หล่อนจะต้องร้องและเต้นเพลงกุป่าได้อย่างเชี่ยวชาญ

     ขึ้นเทอม 2 สมหมายน้อยได้เลื่อนไปอยู่ห้อง 2/3 เป็นห้องเรียนสายวิทย์จึงไม่ค่อยมีนักเรียนเกเร จากนั้นไม่นานเขาก็พบกับเรื่องใหญ่เกินตัว เด็กน้อยนักแต่งเพลงเกิดมีความรักกับเพื่อนร่วมห้อง วนิดาหรืออ้อยใจเปลี่ยนให้ทั้งโลกเป็นสีชมพู สาวหน้าใสหุ่นดีผิวเนียนสุง 170 เซนติเมตร เธอสวยน่ารักนิสัยดีและเป็นดาวของห้อง ถ้าโตเป็นสาวสะพรั่งคงเป็นดาวมหาลัยไม่ยาก เมื่อความรักก่อตัวขึ้นอย่างอื่นก็ไม่สำคัญอีก สมหมายหมดความพยายามที่จะทำอะไรต่อ เขาแค่อยากอยู่ห้องนี้ไปตราบนานเท่านาน และจะพยายามพิชิตใจสาวสุงโปร่งคนนี้ให้จงได้

                     ----------------------------------------------

     “อยู่นี่เอง ตามหาตัวตั้งนาน”

     เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูผมเอง เมื่อหันไปมองจึงพบชิดชนกยืนยักคิ้วให้ ตอนนั้นเป็นช่วงพักก่อนแข่งขันควอเตอร์ท้ายสุด ผู้นำเชียร์และผู้นำจิตวิญญานกระโดดโลดเต้นอยู่กลางสนาม แต่ไม่มีใครน่ารักเท่าลูกสาวเฮียอ๋าคนนี้เลย

     “มีอะไรหรือเปล่าชิดชนก” ผมยิงคำถามสามัญประจำบ้านใส่

     “บอกแล้วนี่นา ว่าให้เรียกนกเฉย ๆ” สาวน้อยดวงตากลมโตยิ้มหวานจนผมแทบละลาย

     “บอกแล้วนี่นา ว่าให้เรียกนกเฉย ๆ แหวะ…”

     เสียงพูดแซวดังมาจากคนข้างตัว อำนาจผู้เป็นเพื่อนรักของผมนั่นเอง นายผอมกระหร่องยังงอนฝ่ายสาวไม่หาย อาทิตย์ที่แล้วเธอทำให้เขาโดนอาจารย์สมพิศลงโทษ ไหนยังจะคดีเก่าเรื่องพี่เตงบอดี้สลิมนั่นอีก

     “เปลี่ยนเอสดีการ์ดหรือยังอำนาจ ว่าแต่นกมีอะไรหรือเปล่า” ผมรีบพูดตัดบทก่อนที่ทั้งสองจะฮื่มใส่กัน

     “ก็นิดหน่อย” เธอละสายตาจากอำนาจในที่สุด “อาจารย์สมพิศอยากได้จอบซัก 2 อัน”

     “แล้วอาจารย์สมพิศ จะเอาจอบไปทำอะไร” ผมยิงคำถามสามัญประจำบ้านอีกครั้ง

     “อาจารย์ได้ต้นโมกมาจากเพื่อน 4 ต้น เลยให้เราไปปลูกหน้าอาคารคหกรรม”

     คำตอบของชิดชนกทำเอาผมสะดุ้งโหยง สาวน้อยแสนบอบบางต้องไปขุดดินปลูกต้นไม้เนี่ยนะ ด้วยเหตุนี้เองเธอถึงได้ตามหาผม นั่นก็เพราะผมมีกุญแจห้องเก็บของเพียงคนเดียว การเข้าไปเอาจอบจึงต้องเป็นผมเปิดให้เท่านั้น

     “เอาแบบนี้นะนก เดี๋ยวเราถ่ายวีดีโอให้อาจารย์วิบูลย์เสร็จ แล้วจะไปปลูกให้เอง” ผมรีบเสนอตัวอย่างรวดเร็ว

     “จะดีนะ แต่ก็… ขอบคุณค่ะ”

     ชิดชนกรีบตอบรับอย่างรวดเร็วเช่นกัน จากนั้นจึงหันไปมองนักกีฬาริมสนาม เสียงหัวเราะของอำนาจตามมาทันที ผมส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เป็นการแก้เกี้ยว เพื่อนรักของผมคงไม่ทันเฉลียวใจ ว่าต้นโมกของอาจารย์สมพิศมีถึง 4 ต้น

     “นั่นมันบุญชนะนี่นา นึกแล้วเชียวว่าต้องได้เป็นนักบาส”

     เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง ชิดชนกปรายตามองนักกีฬาผักหนองน้ำ ก็คนที่มีปานดำใต้ตาขวานั่นแหละ

     “บุญชนะเคยเรียนห้อง 3 ตอน ม.ต้น เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเราและทรงเดช เขาชอบเล่นบาสมากแต่เล่นค่อยไม่เก่ง เลยย้ายไปที่โน่นเพราะอยากติดทีมโรงเรียน เราดีใจจังเลยนาย ที่เห็นเพื่อนประสบความสำเร็จ”

     น้ำเสียงและแววตาเธอแสดงความยินดีจากใจ ผมรีบยิ้มยินดีตามทั้งที่ไม่รู้เรื่องเลย กรรมการเรียกนักกีฬาลงสนาม แต่การแข่งขันก็ยังไม่สามารถเริ่มได้ โค้ชทีมผักหนองน้ำตื่นเต้นจัดหอบหืดกำเริบ ต้องใช้เครื่องพ่นยาปฐมพยาบาลอยู่หลายนาที ท่ามกลางเสียงโวยวายจากกองเชียร์ว่าถ่วงเวลา ผมแอบคิดในใจว่ามันจะใช่หรือ ในเมื่อฝ่ายเรานำโด่ง 102 ต่อ 18 เนี่ยนะ ทว่ากรรมการหน้าแขกดันเห็นตามด้วย เขาจึงแจกใบแดงกับโค้ชผู้เป็นต้นเรื่อง รวมทั้งหัก 3 คะแนนและให้ลูกโทษกับฝ่ายเรา

     “ถามอะไรหน่อยสิ นายเก็บความลับเป็นไหม”

     อยู่ดี ๆ ชิดชนกก็กระซิบที่ข้างหูผม ด้วยว่าในสนามเสียงดังหรือไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน น้ำลายเธอโดนเยื่อแก้วหูผมอย่างจัง หวังว่ากระดูกทั่งและโกลนจะไม่อักเสบเพิ่มเติมนะ ผมหันไปกระซิบข้างหูเธอบ้างเพื่อความเท่าเทียม

     “เธอพูดถูกคนแล้วสาวน้อย มีอะไรอยากระบายอย่างนั้นรึ”

     ชิดชนกมองการแข่งขันสลับกับมองหน้าผม การแข่งขันดำเนินไปได้ไม่ถึง 2 นาที ทรงเดชก็แสดงความสามารถให้ปรากฎอีกครา ด้วยการใช้ท่าบอดี้แอทแทคเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ผู้เล่นตัวจริงผักหนองน้ำบาดเจ็บหมดแล้ว เมื่อรวมกับรายล่าสุดเท่ากับ 7 คนพอดิบพอดี นักกีฬาผู้มีปานดำใต้ตาขวาจึงต้องลงสนาม สายตาชิดชนกจับจ้องที่เขาตลอดเวลา

     “สัญญากับเราก่อน ว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะทรงเดช”

     ชิดชนกออกอาการลังเลนิดหน่อย ผมจึงเพิ่มความมั่นใจให้เธอด้วยการพยักหน้า สาวน้อยผู้มีความลับคับอกจึงพอยิ้มออก แต่แล้วก็ต้องผงะเมื่อหันไปมองด้านขวา อำนาจยื่นใบหน้ามีสิวประปรายเข้าใกล้ พร้อมพยักหน้าให้ความมั่นใจเพิ่มอีกคน เมื่อถึงเวลาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน อำนาจก็พร้อมเป็นมิตรกับศัตรูทุกคนบนโลก

     “บุญชนะ เรา และทรงเดช เคยเรียนห้อง 2/3 ด้วยกัน ตอนนั้นทรงเดชแอบชอบวนิดาแต่ไม่กล้าบอก ได้แต่เขียนความในใจเป็นกลอนรักใส่สมุด วันหนึ่งสมุดเล่มนั้นหล่นลงบนพื้น เราเลยให้บุญชนะที่เป็นรองหัวหน้าห้องไปเก็บ เขาเห็นหน้าสมุดเขียนชื่อวนิดาจึงเอาไปให้เจ้าตัว พอวนิดาอ่านจบก็เลยโมโหทรงเดชมาก เรากลัวทรงเดชจะเอาคืนบุญชนะในการแข่งขัน”

     ชิดชนกต้องป้องปากพูดแข่งเสียงเชียร์ เธอมีสีหน้ากังวลใจตามนิสัยผู้หญิง อำนาจตื่นเต้นมากหายใจเสียงดังกว่าเดิม ผมเองก็ตื่นเต้นไม่ต่างจากเพื่อนรักเท่าไหร่ ที่ได้อยู่ใกล้สาวในฝันกระทั่งหอมกลิ่นแป้ง

     “ไม่น่าเป็นแบบนั้นนะ ทรงเดชเป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา เขาคงไม่ทำแบบที่นกกังวลหรอก”

     ผมพูดปลอบใจลูกสาวเฮียอ๋าไปแบบนั้นเอง เมื่อเหลียวมองนักบาสฝ่ายโน้นก็แอบถอนใจ นาทีนี้ผมจำทุกอย่างที่เธอพูดได้แล้ว ชิดชนกเป็นหัวหน้าห้อง 2/3 ผมถึงรู้จักตั้งแต่ ม.ต้น ส่วนบุญชนะก็เคยมาประชุมแทนเธอในบางครั้ง รวมทั้งวนิดาสาวหน้าใสสุงโปร่งคนนั้น เธอสวยน่ารักใจดีราวกับนางฟ้า ทว่าผมมีใจให้กับสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น

     “วนิดาจะโมโหทำไมยายหูกาง กลอนรักเชียวนะเฟ้ย” อำนาจทนอยากรู้ไม่ไหวจึงพูดสอด

     “ปากแบบนี้น่าโดนขังอีกรอบนะ ก็กลอนมันน่าเกียจนี่นา” ชิดชนกโวยกลับคู่อริบ้าง

     “น่าเกียจยังไง เธอลองท่องให้ฟังหน่อย บทเดียวก็ได้ เราไม่บอกเรื่องนี้กับใครหรอก”

     อำนาจคะยั้นคะยอให้เธอด้นกลอนรัก ผมรีบสนับสนุนด้วยอีกแรง ชิดชนกหน้าแดงเล็กน้อยแต่ก็ทำตาม

“ยามได้ตด สดชื่น ระรื่นตูด        ยามได้สูด กลิ่นตด ก็สดใส

ตดกับตด มาเจอกัน ก็บรรลัย    ตดอ้อยใจ วนิดา เหม็นกว่าเอย” (ทรงเดชเขียนไว้ในสมุดรักเล่มนั้น)

     อำนาจและผมปิดจมูกพร้อมกันทันที กลอนรักทรงเดชช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก ผมรู้สึกคันกระดูกค้อนขึ้นมายิก ๆ พลางคิดในใจว่าต้องไปหาหมออีกรอบหรือเปล่า รสนิยมเด็กหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

     มีเสียงร้องเจี๊ยกดังลั่นพร้อมเสียงของหนักตกพื้น ตามมาด้วยการกรีดร้องของรัตนาชนิดแสบแก้วหู ผมรีบหันไปมองพร้อมเพื่อนทั้งสองคน พบทรงเดชนอนสลบไม่ได้สติอยู่กลางสนาม ห่างเขาไปเพียงหน่อยเดียวเป็นร่างของบุญชนะ เด็กหนุ่มผู้มีปานดำนอนนิ่งและมีเลือดกลบปาก แล้วความชุลมุนวุ่นวายก็ตามมาทันที ทรงเดชถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลที่เตรียมไว้แล้ว เสียงไซเรนดังขึ้นพร้อมขบวนรถ 20 คันยาวเหยียด ทิ้งให้บุญชนะนอนสลบเหมือดอยู่เพียงเดียวดาย

     รัตนาพาพรรคพวกมาปิดล้อมฝ่ายโรงเรียนผักหนองน้ำ พร้อมประกาศว่าถ้าไม่ได้ตัวฆาตรกรก็อย่าหวังจะได้กลับ กองเชียร์ต่างโห่ฮาใส่พร้อมขว้างปาสิ่งของในมือ ผอ.ยอดรักต้องรีบเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง เมื่อกรรมการหน้าแขกได้ให้สัญญาว่า จะฟ้องร้องทีมผักหนองน้ำด้วยข้อหาร้ายแรงที่สุด ทุกคนในสนามจึงแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน นาทีนั้นเองผมและชิดชนกก็เดินจากไป โดยไม่ลืมลากอำนาจไปปลูกต้นโมกของอาจารย์สมพิศ

     ผมได้มารู้ความจริงที่แท้จริงในภายหลัง จากกล้องวีดีโอที่ตัวเองเป็นคนถ่ายนั่นแหละ เมื่อบุญชนะเปลี่ยนตัวลงสนาม ทรงเดชเกิดเชือกรองเท้าหลุดจึงก้มลงผูก ทีมผักหนองน้ำจึงฉวยโอกาสบุกเร็ว ทว่าฝ่ายเราตัดบอลได้และโต้กลับทันที บุญชนะตาลีตาเหลือกวิ่งกลับไปป้องกัน พร้อมกับทรงเดชลุกขึ้นยืนด้วยมาดพระเอก ใบหน้าบุญชนะชนเข้ากับท่อนแขนขนาดใหญ่ เขาล้มหงายบนพื้นเลือดกำเดาไหลทะลัก ทรงเดชผู้ไม่รู้อะไรเลยหันไปมองเพื่อนเก่า เมื่อเห็นเลือดจำนวนมากเข้าก็ตกใจเป็นลมล้มคว่ำ แต่ทุกคนดันคิดว่าทรงเดชโดนบุญชนะทำร้าย เด็กหนุ่มผู้มีปานดำใต้ตาขวาคนนั้น ได้ลงสนามเพียง 5 วินาทีก็แพ้น๊อค

     เรื่องราวของเพื่อนผมยังไม่จบนะครับ ขอย้อนกลับไปช่วงไคล์แม็กซ์อีกครั้ง หลังวนิดาอ่านกลอนรักทรงเดชจนจบ เธอก็เดินไปหาเขาด้วยความโมโหสุดขีด จึงพูดโดยไม่ทันคิดออกไปว่า “ไอ้หมีน้อยลามก ตัวเท่าฝาหอยริอาจมีความรัก”

     แค่คำพูดสั้น ๆ ประโยคเดียวนี่แหละครับ ที่ได้เปลี่ยนทรงเดชไปเป็นอีกคนตลอดกาล สมหมายในตอนนั้นทั้งอับอายทั้งเสียใจ เมื่อโดนคนที่ตัวเองรักดูถูกเหยียดหยามต่อหน้า เขาทุ่มเทให้กับการออกกำลังกายอย่างหนัก พร้อมบำรุงด้วยนมสดวันล่ะ 2 ลิตรไม่ขาด เทอมนั้นเองเขาก็เปลี่ยนชื่อมาเป็นทรงเดช แม้ทุกคนในโรงเรียนจะเรียกว่าหมีน้อยก็ตาม ทรงเดชคนใหม่สร้างผลงานอย่างไม่หยุดหย่อน เริ่มด้วยการเป็นแชมป์ปิงปองระดับจังหวัด จบ ม.2 เขาก็สุงถึง 162 เซนติเมตรอย่างไม่น่าเชื่อ

     เทอมต่อไปหมีน้อยย้ายมาอยู่ห้อง 3/2 ก่อนพาทีมตระกร้อคว้าแชมป์โดยไม่แพ้ใครเลย เขาได้มาอยู่ห้อง 3/1 ในเทอมท้ายสุด จึงเจอผมกับอำนาจเด็กห้องคิงในท้ายที่สุด ตอนนั้นเองเขาก็สุงถึง 170 เชนติเมตรแล้ว เมื่อเรียนจบยังสุงขึ้นอีก 7 เซนติเมตร ทรงเดชสร้างผลงานอันเป็นสุดยอดในตำนานขึ้น ด้วยการพาทีมบาส ม.ต้นได้รองแชมป์ระดับเขต สนามบาสโรงเรียนเปลี่ยนมาใช้ชื่อ โอราเคิล อารีนา เป็นชื่อเดียวกับสนามทีม โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส ซึ่งได้แชมป์ NBA ในปีนั้น

     ขึ้น ม.ปลายทรงเดชได้โควต้าห้องคิงทันที นั่นก็คือห้อง 4/3 ของพวกเรานี่แหละ ทำไมห้องคิงสายวิทย์ถึงเปลี่ยนมาใช้เลข 3 ต้องถามผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะสายัณห์เป็นสัญลักษณ์นะครับ เทอมที่แล้วไม่มีการแข่งขันบาสเกตบอล ทรงเดชผันตัวไปเตะฟุตบอลและพาทีมคว้าแชมป์ (อีกแล้ว) เขาเลี้ยงบอลไม่เก่ง เทคนิดไม่มี ลีลาไม่สวย อาศัยแรงควายเตะบอลอัดคู่แข่งจนไม่มีใครกล้าสู้ คราใดที่เด็กหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบเอาจริงขึ้นมา ไม่มีใครในประเทศนี้หยุดเขาคนนี้ได้เลย ทรงเดชได้ถูกโรงเรียนคู่แข่งขนานนามว่า “เจ้าชายหมีน้อย” แต่ทว่ากับเพื่อนร่วมห้องอย่างผมแล้ว เขายังเป็นหมีน้อยส่งเดชคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

                         ----------------------------------------------

     รถกระบะดัทสันช้างเหยียบสีไข่ไก่คันหนึ่ง เลี้ยวออกไปจากรั้วโรงเรียนไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่ง เครื่องยนต์ดีเซลอายุ 38 ปีร้องครวญครางปิ่มว่าจะขาดใจ ช่วงล่างส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตัวถังรถสั่นกระพือ กระบะท้ายใส่หลังคาผ้าใบทรงสุงสีซีดจาง นักเรียนชายจำนวน 12 คนนั่งเบียดเสียดกันมา ใบหน้าทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง หดหู่ และท้อแท้

     ด้านหน้ารถมีชายหญิงนั่งเคียงคู่กัน คนขับชื่ออาจารย์มานะเป็นครูพละหนุ่มหมดไฟ เขาจะกลับไปเผาตำราบาสทิ้งให้หมดทั้งบ้าน ผู้โดยสารแก่คราวแม่ชื่ออาจารย์มะลิวัลย์ หล่อนสวมชุดลูกเสือสามัญพร้อมห้อยพู่สีเขียว นาทีนี้หล่อนนึกไม่ออกซักนิด ว่าเงื่อนพิรอดกับเงื่อนขัดสมาธิต่างกันตรงไหน นักกีฬาบนรถล้วนนั่งเป็นใบ้ไม่พูดไม่จา พวกเขาทั้งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าราวกับโดนช้างเหยียบ เด็กหนุ่มผู้มีปานดำใต้ตาขวากอดกระติกน้ำจนแน่น เลือดกำเดาหยุดไหลแล้วตาซ้ายบวมเป่งน่าสยดสยอง บุญชนะสาบานว่าจะเลิกเล่นบาสตลอดชีวิต และจะผันตัวเองไปเล่นหมากเก็บหรือเป่าหนังยางแทน

     เส้นทางของหมีน้อยไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เอาใจช่วยทรงเดชและรัตนาผู้นำจิตวิญญานด้วยนะครับ

                        ----------------------------------------------

     ปล. ช่วงเวลาอาจย้อนไปย้อนมาบ้าง คงไม่งงกันนะครับ แต่งเพลงเมาคลีลูกหมาป่าด้วย ^^  ฮูย่า…

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา