ลมหวาน ป่าหนาว
9.2
เขียนโดย เพียงแสงจันทร์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.
42 ตอน
8 วิจารณ์
70.25K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
30) กีฬาคือยาวิเศษ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อ้าวไอ้สัสตรี ไอ้ห่าทำไมวันนี้มึงมาสายวะ?”
ผมถามตรีภพออกไปหลังจากที่วิ่งวอร์มร่างกายรอมันที่สนามวอลเลย์บอลเสร็จ ก็เพิ่งจะเห็นเงาหัวมันโผล่มาถึงสนามซ้อมด้วยอาการของผีดิบเดินมาแบบไร้ชีวิตชีวาจริงๆ
“พอดีกูตื่นสายวะมึง”
“อะไรวะ วันนี้ซ้อมวันแรกนะเว้ย เสือกมาสายอีก ปิดเทอมไปทำไรมาวะ?”
“เอ่อรู้แล้ว มึงอย่าเยอะกะกูให้มันมากนัก เพื่อนนะเว้ยไม่ใช่แม่”
“อ้าวไอ้นี้ กูถามดีๆ ยังจะมาทำเป็นอารมณ์เสียใส่กูอีก”
“ช่างกูเหอะ เดี๋ยวกูไปวอร์มก่อนนะมึง”
จากนั้นไอ้ตรีมันก็ไปวิ่งรอบสนามวอลเลย์บอลคนเดียวปล่อยให้นักกีฬาคนอื่นๆซ้อมไปก่อน ผมสังเกตว่าจิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆวิ่งไปเหม่อไปไร้ตัวตนจริงๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆถึงทำให้มันไร้ชีวิตชีวาแบบนี้ ดูมันจะเหนื่อยๆไม่กระตือรือร้นเหมือนไอ้ตรีคนเดิม ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันซ้อมวันแรกหลังจากปิดเทอมไป นักกีฬาทุกคนในทีมต่างก็มีเรื่องมาพูดคุยมาเม้าท์มอยกันไม่ขาดปากอย่างสนุกสนาน แต่กับไอ้ตรีแล้วมันไม่ยอมปริปากพูดกับใครแม้แต่กับผมที่ถือว่าสนิทสุดในทีมก็ไม่คุยเอาแต่ใส่อารมณ์กับลูกบอลเลย์บอลอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนมันจะระบายสิ่งที่อยู่ข้างในให้แตกระเบิดออกมา มันเล่นตีบอลหัวเสาใส่ผมแบบไม่ยังมือเลย แขนที่ห่างจากการซ้อมไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆก็เกิดระบมขึ้นมาทันที
“ไอ้เชี่ยตรี มึงเกิดบ้าไรขึ้นมาวะ ทุบเอา ทุบเอา แบบนี้แขนกูก็หักกันพอดีสิ เบาๆหน่อยไม่ได้หรือไงวะ?”
“อ้าวมึงจะบ่นทำไมวะ ก็มึงเล่นตำแหน่งไร”
“ก็ตัวรับอิสระนะสิวะ”
“เอ่อก็ใช่ไง เล่นเป็นตัวรับ มึงก็มีหน้าที่รับบอลไปสิ มีสิทธิอะไรมาบ่นให้ตัวตีวะ? แค่นี้ทำเป็นสำออย ถ้าทำไม่ได้ก็กลับมาตีบอลเร็วเหมือนเดิม”
“เอ่อ อย่าให้เป็นทีกูบ้างก็แล้วกัน ไอ้เชี่ย”
ในระหว่างที่ผมกับไอ้ตรีกำลังปะทะสงครามคารมกันอยู่นั้น จู่ๆเจ้เชอรี่ก็เดินเข้ามารวมวงสนทนาด้วยอีกคน
“ว่าไงจ๊ะน้องทุ่ง กับการหันมาเล่นเป็นตัวรับอิสระ พอไหวไม๊?”
“ก็น่าจะไหวอยู่นะครับเจ้ ถ้าไม่มาเจอไอ้บอลหัวเสาแรงควายแบบไอ้ตรีเข้า”
“อ้าวทำไมละจ๊ะ? บอลแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เจ้จะลองดูสักหน่อยไหมละ?”
ผมหันไปมองหน้าเจ้เชอรี่ทันที พร้อมกับยื่นแขนของตัวเองให้เจ้เชอรี่ดูทันที
“อืม ท่าจะหนักเอาการนะนี้ หรือว่าน้องทุ่งว่างเว้นจากการซ้อมไปนานเลยทำให้แขนบวมได้?”
“เจ้... ผมไม่ได้บอบบางขนาดนั้นนะ แต่ไอ้ตรีมันเล่นใช้แรงควายพร้อมกับใส่อารมณ์กับบอลแบบนี้ ใครจะทนไหว”
“เจ้ก็อยากลองดูเหมือนกัน ว่าน้องตรีจะแรงขนาดไหน”
พูดเสร็จเจ้เชอรี่ก็ลงไปเตรียมตัวรับบอลตบของไอ้ตรีภพทันที ดูท่าทางเจ้แล้วคงอยากจะลองฝีมือในการตบของไอ้ตรีจริงๆ
“ น้องตรีเจ้พร้อมแล้ว เอาแรงๆเลยนะ เจ้ชอบความรุนแรง แรงไม่กลัว กลัวไม่ถึงใจเจ้”
“ถ้าเจ้สลบจะโทษผมไม่ได้นะครับ”
“อย่ามัวแต่คุยเลยค่ะคุณน้อง เอาให้ไวให้แรง เจ้พร้อมแล้ว”
จากนั้นตรีภพก็ไปยืนในตำแหน่งสี่ พร้อมกับโยนบอลให้กับตัวเซ็ตเตอร์ของทีมทันที เซ็ตเตอร์จ่ายบอลในตำแหน่งหัวเสาให้กับตรีภพทันที ตรีภพได้จังหวะก็กระโดดเข้าบอลอย่างเร็วและใช้แรงจากหัวไหล่ไล่ไปปลายแขนพร้อมกับตวัดฝ่ามือให้เร็วไปพร้อมกับพละกำลังทั้งหมดลงที่ลูกบอลเลย์บอล บอลกระทบกับฝ่ามือด้วยแรงมหาศาลก็พุ่งตรงไปยังตัวรับอิสระที่ตังท่ารอรับ แต่ด้วยความเร็วของบอลที่ส่งผ่านมาจากตรีภพทำให้บอลเข้าหน้าแบบเต็มเปาจนทำให้ร่างของเจ๊เชอรี่เจ้าแม่ตัวรับอิสระล้มนอนหงายลงกับพื้นทันที แบบไม่ไหวติง
“ตุบ!!!!!!”
“ว้าย..........................!”
“เอ้ยยยยเจ้เชอรี่”
นักกีฬาทุกคนวิ่งเข้ามาหาร่างของเจ้เชอรี่ที่ตอนนี้นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวเลย คาสนามซ้อมทันที
“เจ้ๆ เจ้เชอรี่ ได้ยินเสียงผมไหมครับ”
ทุ่งธรรีบเข้าไปประครองร่างไร้สติของอีกฝ่ายทันที จากนั้นหัวหน้าสตาร์ฟโค้ชก็รีบมาปฐมพยาบาลเจ้เชอรี่ จนเริ่มได้สติแล้วพากันหามร่างของเจ้ออกมาพักที่ข้างสนามซ้อม
“โอ้ยยนี้ฉันอยู่ที่ไหน?”
เจ้เชอรี่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา พร้อมกับคำถามที่ทำให้ทุกคนยิ้มออกว่าเจ้คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว
“ก็เจ้นะสิ โดนลูกตบของไอ้ตรีเข้าอย่างจัง ถึงกับสลบไปเลย”
“มิน่าละ มันถึงเป็นหวูบๆแบบนี้ ที่แท้เจ้ก็เจอของดีนี้เอง”
“โอ้ยเจ้ ยังจะมีอารมณ์ขำอยู่ได้นะ”
เสียงทุกคนในทีมร้องออกมาพร้อมกัน หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้เชอรี่แล้ว
“ตอนนี้เจ้เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม?”
“เจ้ไม่เป็นไรแล้ว แค่นี้สบายมาก ขอบใจทุกคนนะที่เป็นห่วง”
จากนั้นตรีภพก็เข้ามาไหว้ขอโทษเจ้เชอรี่ทันที หลังจากที่เจ้เชอรี่มานั่งพักข้างสนามแล้ว
“เจ้ ผมขอโทษนะ ไม่คิดว่าลูกตบผมจะแรงขนาดนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอกตรี อย่าคิดมาก เป็นที่เจ้เองแหละ เจ้คิดว่าตรีคงตีบอลไม่แรงขนาดนี้เลยไม่ทันได้ตั้งตัว”
“ขอบคุณเจ้นะครับ ที่ไม่ติดใจ”
“โอ้ยยยอย่าคิดมากสิ การเล่นกีฬามันก็เป็นแบบนี้แหละ อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา”
“ผมต้องขอโทษเจ้อีกครั้งนะครับ ผมไม่น่าใส่อารมณ์กับการซ้อมเลย”
“ก็ดีแล้วนี้ตรี เราไม่สบายใจอะไรก็ใส่มันลงไปเถอะ มันจะได้ระบายออกมาบ้าง ดีกว่าเก็บไว้ข้างใน เดี๋ยวมันจะระเบิดเอานะ”
“ครับเจ้”
“อย่าลืมสิกีฬาคือยาวิเศษ”
หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าแม่ตัวรับอิสระอย่าเจ๊เชอรี่จะพลาดท่าให้บอลอัดเข้าหน้าแล้ว ก็ได้เวลาเลิกซ้อมตอนเช้าของวันแรกของการเปิดเทอมสอง
“เอ้ยตรี กินข้าวเช้าด้วยกันก่อนไหมมึง”
ผมเป็นคนเอ่ยปากชวนตรีภพออกไป หลังจากที่เดินออกจากโรงยิมของมหาวิทยาลัยตรงมายังลานจอดรถเพื่อรอป่าสักมารับ
“ไม่วะมึง กูรีบไป พอดีรู้สึกเหนื่อยๆอยากอาบน้ำ”
“เอาแบบนั้นเหรอวะ มึงแน่ใจนะ ว่าไม่มีเรื่องอะไรจะคุยให้กูฟัง”
“ไม่มี”
“กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ยตรี ทำไมกูจะดูไม่ออกว่ามึงเป็นไร”
“ขอบใจมึงมากนะทุ่ง ที่เป็นห่วงกู ถ้ากูไม่ไหวจริงๆแล้วกูจะบอกมึงเป็นคนแรก”
“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่มึงสัญญากับกูแล้วนะว่าถ้ามึงไม่ไหว มึงจะบอกกู”
“ อืม ขอบใจวะมึง กูไปละเดี๋ยวไปเรียนสาย ยิ่งวันนี้เกรดเทอมแรกออกแล้วด้วย”
“อืม แล้วเจอกันตอนเย็น โชคดีได้เอทุกตัวนะมึง”
“มึงก็เช่นกันนะทุ่ง ไปละบาย”
จากนั้นตรีภพก็ขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจมุ่งหน้าตรงไปยังหอพักนักกีฬาทันที ปล่อยให้ทุ่งธรยืนมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วงจนลับสายตา พอตรีภพไปแล้วทุ่งธรก็เดินไปหากังวานไพรที่สนามบาสเกตบอลทันที เพราะเขาคงขี้เกียจนั่งรอที่รถยนต์ของกังวานไพรนั้นเอง เขาเดินมาจนถึงสนามบาสเกตบอลก็เห็นป่าสักกำลังซ้อมชู้ตบาสอยู่กับเพื่อนๆในทีมอย่างตั้งอกตั้งใจ ทุ่งธรไม่กล้าเรียกจึงเดินไปนั่งรอข้างๆสนามบาสเกตบอล
“อ้าวทุ่ง มึงมาตั้งแต่ตอนไหน ทำไมไม่เรียกวะ”
“อ่อ ก็เห็นว่ามึงกำลังซู้ตบาสอยู่เลยไม่อยากกวน”
“ไม่เป็นไร วันหลังเรียกเลยนะ เพราะนี้กูก็เลิกแล้วแค่ซ้อมกันเล่นๆ”
“อ้าวเหรอ เห็นท่าทางเอาจริงเอาจัง รู้งี้กูเรียกมึงนานแล้ว”
ทันใดนั้นเองเพื่อนๆในทีมบาสเกตบอลก็เดินเข้ามาหาป่าสักและผมทันที โอ๊ะๆหุ่นแต่ละคนแถมหน้าตาช่างหล่อใสสไตล์เกาหลีจริงๆ เห็นแล้วใจมันหวิวๆ ว่าป่าสักหล่อขั้นเทพแล้วมาเจอแก๊งเพื่อนๆของเขาก็ไม่ใครเป็นรองเลยสักคน ระงับๆไอ้ทุ่ง อย่างออกนอกหน้าแบบนั้นมันไม่งาม(เสียภาพพจน์นายเอกกันพอดี)
“อะไรกันวะพวกมึงสองคนนี้ ชักจะเกินหน้าเกินตาไปแล้วนะเว้ย ถึงกับมาเฝ้ากันถึงขอบสนามเลยนะ”
พัตเตอร์เพื่อนในทีมบาสเกตบอลของป่าสักเป็นคนพูดออกมาหลังจากเห็นว่าทั้งสองจะสนิทกันเกินคำว่าเพื่อนไปเสียแล้ว
“อะไรของมึงวะไอ้เตอร์ พวกกูก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มึงอย่าเสือกปากหมาเว้ย”
ป่าสักหันไปว่าเพื่อนทันที ที่เห็นท่าทางของเพื่อนในทีมจะแกล้งทุ่งธร เพราะเขารู้ดีว่าเพื่อนแต่ละคนปากใช่ย่อยที่ไหน
“เปล่า กูก็แค่เห็นพวกมึงสองคนตัวติดกันยังกะปาท่องโก๋ เจอมึงที่ไหนเจอไอ้ทุ่งที่นั้น”
“มึงเงียบไปเลยนะไอ้เตอร์ เรื่องน้องแนนของมึง กูยังไม่พูดเลย หรือมึงจะให้กูแฉ”
“อ้าวไอ้ป่าสัก มึงเล่นแบบนี้เลยเหรอวะ เครๆได้ๆไม่พูดก็ไม่พูด แต่ทำไมเมื่อวานนี้กูถึงเห็นมึงไปกับสาวๆคณะการจัดการวะไอ้หมอหมา”
“อ้าวไอ้ห่านี้ หาเรื่องให้กูหัวแตกแล้วนะมึง ปากแบบนี้มึงสมควรได้กินบาทาเว้ย”
แทนที่พัตเตอร์เพื่อนของป่าสักจะเกรงกลัวเท้าหนาๆของคุณหนูกลับรีบเข้าไปนั่งข้างๆทุ่งธรทันที ทำให้ป่าสักไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“จริงๆนะทุ่ง เมื่อวานนี้เราเห็นป่าสักไปกับสาวๆคณะการจัดการจริงๆ”
พัตเตอร์ย้ำอีกครั้งให้ทุ่งธรฟัง ด้วยท่าทางที่เป็นจริงเป็นจังอย่างมาก ทุ่งธรพอได้ฟังอย่างนั้นก็รีบหันไปมองทางกังวานไพรทันที พอกังวานไพรเห็นท่าทางเอาจริงของทุ่งธรก็รีบแก้ตัวทันที
“เอ้ยยยย ทุ่งมึงอย่าไปเชื่อมัน ไอ้เตอร์มันปากหมา ชอบเสี้ยมให้คนทะเลาะกันตลอด”
“5555ไปเถอะพวกเรา ทิ้งระเบิดเสร็จแล้ว ปิดภารกิจได้”
พูดเสร็จพัตเตอร์และเพื่อนๆนักกีฬาบาสเกตบอลต่างพากันรีบวิ่งหนีบาทาของป่าสักทันที ปล่อยให้ทุ่งธรมองตามอย่างงุนงง
“ฮึฮึ ไอ้พวกห่านี้ไม่ไหวจริงๆเลย ไปเถอะทุ่งเดี๋ยวไปเรียนสาย ยิ่งวันนี้เกรดออกแล้วด้วย”
จากนั้นป่าสักก็ยื่นมือมาถือลูกวอลเลย์บอลจากมือของทุ่งธรทันทีเอาไปถือไว้ในมือเขาแทน
“เช้านี้จะกินข้าวที่ไหน?”
ป่าสักเดินไปพร้อมกับถามทุ่งธร หลังจากที่ทั้งคู่เดินออกมาจากสนามบาสเกตบอลป่าสักก็ถามทุ่งธรเพื่อทำลายความเงียบของอีกฝ่าย เขาชักจะไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เสียแล้ว อาการของทุ่งธรเหมือนคนไม่พอใจในความทะเล้นของเพื่อนนักบาสของเขาแน่ๆเลย
“ทุ่ง ได้ยินไหม กูถามว่าเช้านี้เราจะไปกินข้าวที่ไหน?”
กังวานไพรถามย้ำทุ่งธรอีกครั้ง เพื่อจะให้อีกฝ่ายตอบโต้กลับมาบ้าง แต่ก็มีแต่ความเงียบและความเฉยเมยของทุ่งธร ทำให้เขาร้อนใจเป็นอย่างมาก
“ทุ่ง นี้มึงอย่าบอกนะว่า มึงเชื่อเรื่องโจ๊กที่พวกไอ้พัตเตอร์พูดนะเว้ย?”
แต่ก็ไร้เสียงตอบรับกลับมาจากทุ่งธร ยังมีแต่ความเงียบและใบหน้าที่บึ่งตึงของอีกฝ่าย
“ทุ่ง ถ้ามึงไม่พูด กูจับจูบปากเลยนะเว้ย”
“ไอ้บ้า ไอ้หื่นกาม”
และแล้วก็มีเสียงตอบกลับมาแบบทันควันจากทุ่งธรทันที ที่เจอลูกไม้ของกังวานไพรเข้าไปแบบหื่นกาม
“ฮึฮึ ทีนี้พูดได้แล้วสินะมึง แน่จริงทำไมไม่เงียบให้ตลอด”
“เชอะ มึงไม่ต้องมาทำเป็นตีเนียนเลยนะป่าสัก”
“กูไม่ได้ตีเนียน กูกะจะจูบปากมึงจริงๆ โทษฐานไม่เชื่อกู”
“มึงกล้าก็ลองดูสิ”
ทุ่งธรพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมากำหมัดอย่างเร็วพร้อมตั้งท่าจะชกอีกฝ่ายจริงๆ
“อ้าว นี้มึงโกรธกูจริงๆเหรอวะ ทำไมหูเบาจัง ไปเชื่อไอ้พวกนั้นได้”
“กูไม่ได้เชื่อคนอื่น แต่กูเชื่อในสายตาของตัวเอง”
“ใจเย็นๆนะมึง เอามือลงก่อนนะ”
“มึงก็หยุดหื่นก่อนสิ”
“ได้ๆไม่จูบก็ไม่จูบ กลัวแล้ว ปะๆรีบไปเถอะกูหิวข้าวแล้ว”
กังวานไพรและทุ่งธรเดินมาถึงรถยนต์คันหรูที่จอดไว้ลานจอดรถแล้ว กังวานไพรก็จับตัวของทุ่งธรยัดเข้าไปในรถทันที
“ทุ่งมึงฟังกูให้ดีนะ กูไม่เคยไปไหนกับใครทั้งนั้น วันๆไม่อ่านหนังสือก็ซ้อมกีฬา แล้วจะเอาเวลาไหนไปทำอย่างว่า”
“ถึงมึงไม่ทำ มันก็มีคนเข้ามาหามึงอยู่ดี”
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าหึง?”
ป่าสักพูดเสร็จก็หันมายิ้มที่มุมปากอย่างได้ทีให้กับทุ่งธรที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงเพราะความอายนั้นเอง
“เปล่า... ใครหึง กูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง จะหึงทำไม?”
“จริงอะ?”
“ก็จริงสิ จะหึงมึงทำไมวะ”
“ถ้าไม่หึงแล้วทำไมต้องโกรธกูด้วย?”
“ใครโกรธมึง กูไปโกรธมึงตอนไหนวะ ไม่มี๊เลย”
“เสียงสูงเชียวเลยนะ หึงก็บอกว่าหึงเถอะ กูไม่ว่าหรอก”
“แหวะ มึงอย่าหลงตัวเองให้มาก”
“เอ้า หลงตัวเองตรงไหนวะ ก็มึงโกรธกูจริงๆนี้ มึงไปเชื่อคนอื่นมากกว่ากู”
“ถ้าไม่มีมูล หมามันไม่ขี้หรอก”
“นั้นไง แสดงว่ามึงหึงกู”
หลังจากถูกจับได้อีกครั้งว่าตัวเองออกอาการหึงกังวานไพรอย่างหนัก ทำให้ทุ่งธรเขินอายจนหน้าแดงไปถึงใบหูเลยคราวนี้
“ป่าสัก มึงจะจ้องกูให้มันสึกหรือไงวะ ออกรถสิ ไหนมึงบอกหิวข้าวแล้วไง”
“เขินแล้วชอบโวยว้าย ชอบเสียงดังนะมึงอะทุ่ง”
“โอ้ยย มึงจะพูดมากทำไมวะ”
“แต่ก็น่ารักดี กูชอบวะ”
“เมื่อกี้กูแค่กำหมัด แต่คราวนี้กูชกจริง”
“ได้ๆๆ แต่หายโกรธกันนะ เชื่อใจกูได้เลยทุ่ง กูไม่เคยมีใคร นอกจาก.....มึง”
“ป่าสัก....!!”
“ไม่ต้องอึ้งหรอก กูพูดจริงทุกคำพูด”
“ป่าสักมึงรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
“รู้สิ ... ทุ่งกูรู้สึกดีนะที่มีมึงอยู่ข้างๆกู ทุกๆวันแบบนี้”
“มึงอย่ามาล้อกูเล่นแบบนี้สิ มึงอย่าเอาความรู้สึกมาล้อเล่น!!!”
“กูไม่ได้ล้อเล่น กูพูดจริง ทำจริง”
ป่าสักพูดเสร็จก็ค่อยๆโน้มใบหน้าเรียวๆของเขาเข้ามาชิดอีกฝ่ายพร้อมกับประกบปากบางของทุ่งธรทันที ปากประกบปากแสนเนินนาน จากนั้นป่าสักก็ค่อยๆถอนริมฝีปากรูปกระจับออกมาอย่างช้าๆพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของทุ่งธรอย่างมีความหมาย
“นี้คือ การกระทำที่จะพิสูจน์ว่า กูจริงจังในคำพูดของตัวเอง”
“ป่าสัก.......”
“ทุ่ง ได้โปรดไว้ใจ และเชื่อมั่นในตัวกู ”
“ป่าสัก... เออ อะ เออคะคือ...คือ มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”
“งั้นก็ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์สำหรับเราสองคน”
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่พูดออกมาแบบนี้”
“อืม มั่นใจตั้งแต่เห็นวันแรกแล้ว”
“ฮะหา อะไรน่ะ?”
“ก็ตามนั้น ฟังไม่ทันก็ช่วยไม่ได้”
พูดเสร็จกังวานไพรก็สตาร์ทรถคันหรูของเขาทันที ขับมุ่งหน้าตรงมายังหอในของมหาวิทยาลัยเพื่อจะเตรียมตัวไปเรียนในวันเปิดเทอมวันแรกทันที
ก๊อก ก๊อก เสียงกังวานไพรเคาะประตูห้องน้ำเพื่อเร่งให้ทุ่งธรรีบอาบน้ำให้เสร็จ
“ทุ่งอาบน้ำเสร็จยัง....ช้าตลอดเลยนะ”
“เออๆเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เร่งจังเลยนะมึง กูก็รีบอยู่นี้ไง”
“เร็วๆมาดูอะไรนี้”
จากนั้นทุ่งธรก็รีบเปิดประตูห้องน้ำออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วมุ่งตรงไปยังโต๊ะหนังสือที่กังวานไพรนั่งรออยู่แล้ว
“ไหนมีไร ถึงได้เรียกให้คนรีบออกจากห้องน้ำ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ เจอดีแน่”
“เอ้านี้ ดูสะ ...ดูแล้วอย่าตกใจละ”
กังวานไพรยื่นกระดาษเอสี่ที่ปริ้นออกมาจากเครื่องปริ้นแล้วส่งให้ทุ่งธรดูทันที
“น่ะ นี้มันใบเกรดนี้!!! เกรดออกแล้วใช่ไหม?”
“อืม รีบดูสิ ”
“โห้!!!! สามจุดเก้าห้า นี้คนหรือเทวดาวะ”
“เป็นไงละกูเทพไหม”
“เออๆ มึงเทพ มึงเก่ง ไหนของกูละขอดูมั้งสิ”
กังวานไพรก็ยื่นกระดาษอีกแผ่นให้ทุ่งธรทันที ทุ่งธรรับไปด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับรีบก้มลงดูเกรดเฉลี่ยนของตัวเองในเทมอแรกของการใช้ชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย
“อะไรวะ โอ้ยยยอยากจะบ้าตาย ทำไมได้แค่นี้?”
“เอาน่า อย่าคิดไรมาก ก็ทำดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ”
กังวานไพรรีบพูดปลอดใจอีกฝ่ายทันที ที่รู้ผลการเรียนของตัวเอง แต่ดูแล้วสีหน้าของทุ่งธรนั้นไม่ดีเอาเสียเลย
“สองจุดห้าสาม ทำไมมันถึงได้น้อยจังวะ ตายๆๆแบบนี้จะรอดไหมเนี้ย”
“กลัวไรละ อย่าลืมสิมึงมีกูอยู่ข้างๆนะ เดี๋ยวเทอมนี้จะช่วยติวให้”
“โอ้ยยพูดง่ายเนาะ เรียนก็เรียนคนละคณะคนละสาขา มึงจะช่วยกูยังไง?”
“อย่างน้อยก็ช่วยเป็นกำลังใจให้มึงไง”
“แหวะ ม่อตลอดเลยนะไอ้หมอหมา”
“ม่อกับมึงแค่คนเดียวเท่านั้นนะ”
ป่าสักพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วก็คว้าตัวของทุ่งธรมากอดไว้หลวมๆพร้อมกับกดจมูกคงที่ต้นคอของอีกฝ่ายอย่างจงใจ
“หอมชื่นใจจัง เปิดเทอมวันแรก มึงห้ามไปหว่านเสน่ห์ให้ใครเด็ดขาดนะทุ่ง กูหวง”
“โอ้ยยพูดอะไรก็ไม่รู้ ปะๆไปหาข้าวเช้าแดรกเถอะเดี๋ยวไปเรียนสายกันพอดี”
“รับปากก่อนสิ”
“รับปากเรื่องไรวะ?”
“ก็เรื่องจะไม่ไปสนใจใครนอกจากกูคนเดียว”
“แล้วมึงละ บอกแต่กู”
“ไว้ใจได้ เชื่อใจกูสิ”
“แต่กูได้ยินมาว่าที่ผ่านมา มึงก็ไม่ใช่ย่อยเลยนะ”
“โอ้ยยนั้นมันอดีตเปล่าวะ ใครๆก็ต้องมีกันบ้าง แต่ตอนนี้กูไม่แล้ว”
“ทำไม?”
“เจอคนที่ใช่แล้ว”
ผมถามตรีภพออกไปหลังจากที่วิ่งวอร์มร่างกายรอมันที่สนามวอลเลย์บอลเสร็จ ก็เพิ่งจะเห็นเงาหัวมันโผล่มาถึงสนามซ้อมด้วยอาการของผีดิบเดินมาแบบไร้ชีวิตชีวาจริงๆ
“พอดีกูตื่นสายวะมึง”
“อะไรวะ วันนี้ซ้อมวันแรกนะเว้ย เสือกมาสายอีก ปิดเทอมไปทำไรมาวะ?”
“เอ่อรู้แล้ว มึงอย่าเยอะกะกูให้มันมากนัก เพื่อนนะเว้ยไม่ใช่แม่”
“อ้าวไอ้นี้ กูถามดีๆ ยังจะมาทำเป็นอารมณ์เสียใส่กูอีก”
“ช่างกูเหอะ เดี๋ยวกูไปวอร์มก่อนนะมึง”
จากนั้นไอ้ตรีมันก็ไปวิ่งรอบสนามวอลเลย์บอลคนเดียวปล่อยให้นักกีฬาคนอื่นๆซ้อมไปก่อน ผมสังเกตว่าจิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆวิ่งไปเหม่อไปไร้ตัวตนจริงๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆถึงทำให้มันไร้ชีวิตชีวาแบบนี้ ดูมันจะเหนื่อยๆไม่กระตือรือร้นเหมือนไอ้ตรีคนเดิม ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันซ้อมวันแรกหลังจากปิดเทอมไป นักกีฬาทุกคนในทีมต่างก็มีเรื่องมาพูดคุยมาเม้าท์มอยกันไม่ขาดปากอย่างสนุกสนาน แต่กับไอ้ตรีแล้วมันไม่ยอมปริปากพูดกับใครแม้แต่กับผมที่ถือว่าสนิทสุดในทีมก็ไม่คุยเอาแต่ใส่อารมณ์กับลูกบอลเลย์บอลอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนมันจะระบายสิ่งที่อยู่ข้างในให้แตกระเบิดออกมา มันเล่นตีบอลหัวเสาใส่ผมแบบไม่ยังมือเลย แขนที่ห่างจากการซ้อมไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆก็เกิดระบมขึ้นมาทันที
“ไอ้เชี่ยตรี มึงเกิดบ้าไรขึ้นมาวะ ทุบเอา ทุบเอา แบบนี้แขนกูก็หักกันพอดีสิ เบาๆหน่อยไม่ได้หรือไงวะ?”
“อ้าวมึงจะบ่นทำไมวะ ก็มึงเล่นตำแหน่งไร”
“ก็ตัวรับอิสระนะสิวะ”
“เอ่อก็ใช่ไง เล่นเป็นตัวรับ มึงก็มีหน้าที่รับบอลไปสิ มีสิทธิอะไรมาบ่นให้ตัวตีวะ? แค่นี้ทำเป็นสำออย ถ้าทำไม่ได้ก็กลับมาตีบอลเร็วเหมือนเดิม”
“เอ่อ อย่าให้เป็นทีกูบ้างก็แล้วกัน ไอ้เชี่ย”
ในระหว่างที่ผมกับไอ้ตรีกำลังปะทะสงครามคารมกันอยู่นั้น จู่ๆเจ้เชอรี่ก็เดินเข้ามารวมวงสนทนาด้วยอีกคน
“ว่าไงจ๊ะน้องทุ่ง กับการหันมาเล่นเป็นตัวรับอิสระ พอไหวไม๊?”
“ก็น่าจะไหวอยู่นะครับเจ้ ถ้าไม่มาเจอไอ้บอลหัวเสาแรงควายแบบไอ้ตรีเข้า”
“อ้าวทำไมละจ๊ะ? บอลแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เจ้จะลองดูสักหน่อยไหมละ?”
ผมหันไปมองหน้าเจ้เชอรี่ทันที พร้อมกับยื่นแขนของตัวเองให้เจ้เชอรี่ดูทันที
“อืม ท่าจะหนักเอาการนะนี้ หรือว่าน้องทุ่งว่างเว้นจากการซ้อมไปนานเลยทำให้แขนบวมได้?”
“เจ้... ผมไม่ได้บอบบางขนาดนั้นนะ แต่ไอ้ตรีมันเล่นใช้แรงควายพร้อมกับใส่อารมณ์กับบอลแบบนี้ ใครจะทนไหว”
“เจ้ก็อยากลองดูเหมือนกัน ว่าน้องตรีจะแรงขนาดไหน”
พูดเสร็จเจ้เชอรี่ก็ลงไปเตรียมตัวรับบอลตบของไอ้ตรีภพทันที ดูท่าทางเจ้แล้วคงอยากจะลองฝีมือในการตบของไอ้ตรีจริงๆ
“ น้องตรีเจ้พร้อมแล้ว เอาแรงๆเลยนะ เจ้ชอบความรุนแรง แรงไม่กลัว กลัวไม่ถึงใจเจ้”
“ถ้าเจ้สลบจะโทษผมไม่ได้นะครับ”
“อย่ามัวแต่คุยเลยค่ะคุณน้อง เอาให้ไวให้แรง เจ้พร้อมแล้ว”
จากนั้นตรีภพก็ไปยืนในตำแหน่งสี่ พร้อมกับโยนบอลให้กับตัวเซ็ตเตอร์ของทีมทันที เซ็ตเตอร์จ่ายบอลในตำแหน่งหัวเสาให้กับตรีภพทันที ตรีภพได้จังหวะก็กระโดดเข้าบอลอย่างเร็วและใช้แรงจากหัวไหล่ไล่ไปปลายแขนพร้อมกับตวัดฝ่ามือให้เร็วไปพร้อมกับพละกำลังทั้งหมดลงที่ลูกบอลเลย์บอล บอลกระทบกับฝ่ามือด้วยแรงมหาศาลก็พุ่งตรงไปยังตัวรับอิสระที่ตังท่ารอรับ แต่ด้วยความเร็วของบอลที่ส่งผ่านมาจากตรีภพทำให้บอลเข้าหน้าแบบเต็มเปาจนทำให้ร่างของเจ๊เชอรี่เจ้าแม่ตัวรับอิสระล้มนอนหงายลงกับพื้นทันที แบบไม่ไหวติง
“ตุบ!!!!!!”
“ว้าย..........................!”
“เอ้ยยยยเจ้เชอรี่”
นักกีฬาทุกคนวิ่งเข้ามาหาร่างของเจ้เชอรี่ที่ตอนนี้นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวเลย คาสนามซ้อมทันที
“เจ้ๆ เจ้เชอรี่ ได้ยินเสียงผมไหมครับ”
ทุ่งธรรีบเข้าไปประครองร่างไร้สติของอีกฝ่ายทันที จากนั้นหัวหน้าสตาร์ฟโค้ชก็รีบมาปฐมพยาบาลเจ้เชอรี่ จนเริ่มได้สติแล้วพากันหามร่างของเจ้ออกมาพักที่ข้างสนามซ้อม
“โอ้ยยนี้ฉันอยู่ที่ไหน?”
เจ้เชอรี่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา พร้อมกับคำถามที่ทำให้ทุกคนยิ้มออกว่าเจ้คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว
“ก็เจ้นะสิ โดนลูกตบของไอ้ตรีเข้าอย่างจัง ถึงกับสลบไปเลย”
“มิน่าละ มันถึงเป็นหวูบๆแบบนี้ ที่แท้เจ้ก็เจอของดีนี้เอง”
“โอ้ยเจ้ ยังจะมีอารมณ์ขำอยู่ได้นะ”
เสียงทุกคนในทีมร้องออกมาพร้อมกัน หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้เชอรี่แล้ว
“ตอนนี้เจ้เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม?”
“เจ้ไม่เป็นไรแล้ว แค่นี้สบายมาก ขอบใจทุกคนนะที่เป็นห่วง”
จากนั้นตรีภพก็เข้ามาไหว้ขอโทษเจ้เชอรี่ทันที หลังจากที่เจ้เชอรี่มานั่งพักข้างสนามแล้ว
“เจ้ ผมขอโทษนะ ไม่คิดว่าลูกตบผมจะแรงขนาดนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอกตรี อย่าคิดมาก เป็นที่เจ้เองแหละ เจ้คิดว่าตรีคงตีบอลไม่แรงขนาดนี้เลยไม่ทันได้ตั้งตัว”
“ขอบคุณเจ้นะครับ ที่ไม่ติดใจ”
“โอ้ยยยอย่าคิดมากสิ การเล่นกีฬามันก็เป็นแบบนี้แหละ อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา”
“ผมต้องขอโทษเจ้อีกครั้งนะครับ ผมไม่น่าใส่อารมณ์กับการซ้อมเลย”
“ก็ดีแล้วนี้ตรี เราไม่สบายใจอะไรก็ใส่มันลงไปเถอะ มันจะได้ระบายออกมาบ้าง ดีกว่าเก็บไว้ข้างใน เดี๋ยวมันจะระเบิดเอานะ”
“ครับเจ้”
“อย่าลืมสิกีฬาคือยาวิเศษ”
หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าแม่ตัวรับอิสระอย่าเจ๊เชอรี่จะพลาดท่าให้บอลอัดเข้าหน้าแล้ว ก็ได้เวลาเลิกซ้อมตอนเช้าของวันแรกของการเปิดเทอมสอง
“เอ้ยตรี กินข้าวเช้าด้วยกันก่อนไหมมึง”
ผมเป็นคนเอ่ยปากชวนตรีภพออกไป หลังจากที่เดินออกจากโรงยิมของมหาวิทยาลัยตรงมายังลานจอดรถเพื่อรอป่าสักมารับ
“ไม่วะมึง กูรีบไป พอดีรู้สึกเหนื่อยๆอยากอาบน้ำ”
“เอาแบบนั้นเหรอวะ มึงแน่ใจนะ ว่าไม่มีเรื่องอะไรจะคุยให้กูฟัง”
“ไม่มี”
“กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ยตรี ทำไมกูจะดูไม่ออกว่ามึงเป็นไร”
“ขอบใจมึงมากนะทุ่ง ที่เป็นห่วงกู ถ้ากูไม่ไหวจริงๆแล้วกูจะบอกมึงเป็นคนแรก”
“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่มึงสัญญากับกูแล้วนะว่าถ้ามึงไม่ไหว มึงจะบอกกู”
“ อืม ขอบใจวะมึง กูไปละเดี๋ยวไปเรียนสาย ยิ่งวันนี้เกรดเทอมแรกออกแล้วด้วย”
“อืม แล้วเจอกันตอนเย็น โชคดีได้เอทุกตัวนะมึง”
“มึงก็เช่นกันนะทุ่ง ไปละบาย”
จากนั้นตรีภพก็ขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจมุ่งหน้าตรงไปยังหอพักนักกีฬาทันที ปล่อยให้ทุ่งธรยืนมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วงจนลับสายตา พอตรีภพไปแล้วทุ่งธรก็เดินไปหากังวานไพรที่สนามบาสเกตบอลทันที เพราะเขาคงขี้เกียจนั่งรอที่รถยนต์ของกังวานไพรนั้นเอง เขาเดินมาจนถึงสนามบาสเกตบอลก็เห็นป่าสักกำลังซ้อมชู้ตบาสอยู่กับเพื่อนๆในทีมอย่างตั้งอกตั้งใจ ทุ่งธรไม่กล้าเรียกจึงเดินไปนั่งรอข้างๆสนามบาสเกตบอล
“อ้าวทุ่ง มึงมาตั้งแต่ตอนไหน ทำไมไม่เรียกวะ”
“อ่อ ก็เห็นว่ามึงกำลังซู้ตบาสอยู่เลยไม่อยากกวน”
“ไม่เป็นไร วันหลังเรียกเลยนะ เพราะนี้กูก็เลิกแล้วแค่ซ้อมกันเล่นๆ”
“อ้าวเหรอ เห็นท่าทางเอาจริงเอาจัง รู้งี้กูเรียกมึงนานแล้ว”
ทันใดนั้นเองเพื่อนๆในทีมบาสเกตบอลก็เดินเข้ามาหาป่าสักและผมทันที โอ๊ะๆหุ่นแต่ละคนแถมหน้าตาช่างหล่อใสสไตล์เกาหลีจริงๆ เห็นแล้วใจมันหวิวๆ ว่าป่าสักหล่อขั้นเทพแล้วมาเจอแก๊งเพื่อนๆของเขาก็ไม่ใครเป็นรองเลยสักคน ระงับๆไอ้ทุ่ง อย่างออกนอกหน้าแบบนั้นมันไม่งาม(เสียภาพพจน์นายเอกกันพอดี)
“อะไรกันวะพวกมึงสองคนนี้ ชักจะเกินหน้าเกินตาไปแล้วนะเว้ย ถึงกับมาเฝ้ากันถึงขอบสนามเลยนะ”
พัตเตอร์เพื่อนในทีมบาสเกตบอลของป่าสักเป็นคนพูดออกมาหลังจากเห็นว่าทั้งสองจะสนิทกันเกินคำว่าเพื่อนไปเสียแล้ว
“อะไรของมึงวะไอ้เตอร์ พวกกูก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มึงอย่าเสือกปากหมาเว้ย”
ป่าสักหันไปว่าเพื่อนทันที ที่เห็นท่าทางของเพื่อนในทีมจะแกล้งทุ่งธร เพราะเขารู้ดีว่าเพื่อนแต่ละคนปากใช่ย่อยที่ไหน
“เปล่า กูก็แค่เห็นพวกมึงสองคนตัวติดกันยังกะปาท่องโก๋ เจอมึงที่ไหนเจอไอ้ทุ่งที่นั้น”
“มึงเงียบไปเลยนะไอ้เตอร์ เรื่องน้องแนนของมึง กูยังไม่พูดเลย หรือมึงจะให้กูแฉ”
“อ้าวไอ้ป่าสัก มึงเล่นแบบนี้เลยเหรอวะ เครๆได้ๆไม่พูดก็ไม่พูด แต่ทำไมเมื่อวานนี้กูถึงเห็นมึงไปกับสาวๆคณะการจัดการวะไอ้หมอหมา”
“อ้าวไอ้ห่านี้ หาเรื่องให้กูหัวแตกแล้วนะมึง ปากแบบนี้มึงสมควรได้กินบาทาเว้ย”
แทนที่พัตเตอร์เพื่อนของป่าสักจะเกรงกลัวเท้าหนาๆของคุณหนูกลับรีบเข้าไปนั่งข้างๆทุ่งธรทันที ทำให้ป่าสักไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“จริงๆนะทุ่ง เมื่อวานนี้เราเห็นป่าสักไปกับสาวๆคณะการจัดการจริงๆ”
พัตเตอร์ย้ำอีกครั้งให้ทุ่งธรฟัง ด้วยท่าทางที่เป็นจริงเป็นจังอย่างมาก ทุ่งธรพอได้ฟังอย่างนั้นก็รีบหันไปมองทางกังวานไพรทันที พอกังวานไพรเห็นท่าทางเอาจริงของทุ่งธรก็รีบแก้ตัวทันที
“เอ้ยยยย ทุ่งมึงอย่าไปเชื่อมัน ไอ้เตอร์มันปากหมา ชอบเสี้ยมให้คนทะเลาะกันตลอด”
“5555ไปเถอะพวกเรา ทิ้งระเบิดเสร็จแล้ว ปิดภารกิจได้”
พูดเสร็จพัตเตอร์และเพื่อนๆนักกีฬาบาสเกตบอลต่างพากันรีบวิ่งหนีบาทาของป่าสักทันที ปล่อยให้ทุ่งธรมองตามอย่างงุนงง
“ฮึฮึ ไอ้พวกห่านี้ไม่ไหวจริงๆเลย ไปเถอะทุ่งเดี๋ยวไปเรียนสาย ยิ่งวันนี้เกรดออกแล้วด้วย”
จากนั้นป่าสักก็ยื่นมือมาถือลูกวอลเลย์บอลจากมือของทุ่งธรทันทีเอาไปถือไว้ในมือเขาแทน
“เช้านี้จะกินข้าวที่ไหน?”
ป่าสักเดินไปพร้อมกับถามทุ่งธร หลังจากที่ทั้งคู่เดินออกมาจากสนามบาสเกตบอลป่าสักก็ถามทุ่งธรเพื่อทำลายความเงียบของอีกฝ่าย เขาชักจะไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เสียแล้ว อาการของทุ่งธรเหมือนคนไม่พอใจในความทะเล้นของเพื่อนนักบาสของเขาแน่ๆเลย
“ทุ่ง ได้ยินไหม กูถามว่าเช้านี้เราจะไปกินข้าวที่ไหน?”
กังวานไพรถามย้ำทุ่งธรอีกครั้ง เพื่อจะให้อีกฝ่ายตอบโต้กลับมาบ้าง แต่ก็มีแต่ความเงียบและความเฉยเมยของทุ่งธร ทำให้เขาร้อนใจเป็นอย่างมาก
“ทุ่ง นี้มึงอย่าบอกนะว่า มึงเชื่อเรื่องโจ๊กที่พวกไอ้พัตเตอร์พูดนะเว้ย?”
แต่ก็ไร้เสียงตอบรับกลับมาจากทุ่งธร ยังมีแต่ความเงียบและใบหน้าที่บึ่งตึงของอีกฝ่าย
“ทุ่ง ถ้ามึงไม่พูด กูจับจูบปากเลยนะเว้ย”
“ไอ้บ้า ไอ้หื่นกาม”
และแล้วก็มีเสียงตอบกลับมาแบบทันควันจากทุ่งธรทันที ที่เจอลูกไม้ของกังวานไพรเข้าไปแบบหื่นกาม
“ฮึฮึ ทีนี้พูดได้แล้วสินะมึง แน่จริงทำไมไม่เงียบให้ตลอด”
“เชอะ มึงไม่ต้องมาทำเป็นตีเนียนเลยนะป่าสัก”
“กูไม่ได้ตีเนียน กูกะจะจูบปากมึงจริงๆ โทษฐานไม่เชื่อกู”
“มึงกล้าก็ลองดูสิ”
ทุ่งธรพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมากำหมัดอย่างเร็วพร้อมตั้งท่าจะชกอีกฝ่ายจริงๆ
“อ้าว นี้มึงโกรธกูจริงๆเหรอวะ ทำไมหูเบาจัง ไปเชื่อไอ้พวกนั้นได้”
“กูไม่ได้เชื่อคนอื่น แต่กูเชื่อในสายตาของตัวเอง”
“ใจเย็นๆนะมึง เอามือลงก่อนนะ”
“มึงก็หยุดหื่นก่อนสิ”
“ได้ๆไม่จูบก็ไม่จูบ กลัวแล้ว ปะๆรีบไปเถอะกูหิวข้าวแล้ว”
กังวานไพรและทุ่งธรเดินมาถึงรถยนต์คันหรูที่จอดไว้ลานจอดรถแล้ว กังวานไพรก็จับตัวของทุ่งธรยัดเข้าไปในรถทันที
“ทุ่งมึงฟังกูให้ดีนะ กูไม่เคยไปไหนกับใครทั้งนั้น วันๆไม่อ่านหนังสือก็ซ้อมกีฬา แล้วจะเอาเวลาไหนไปทำอย่างว่า”
“ถึงมึงไม่ทำ มันก็มีคนเข้ามาหามึงอยู่ดี”
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าหึง?”
ป่าสักพูดเสร็จก็หันมายิ้มที่มุมปากอย่างได้ทีให้กับทุ่งธรที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงเพราะความอายนั้นเอง
“เปล่า... ใครหึง กูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง จะหึงทำไม?”
“จริงอะ?”
“ก็จริงสิ จะหึงมึงทำไมวะ”
“ถ้าไม่หึงแล้วทำไมต้องโกรธกูด้วย?”
“ใครโกรธมึง กูไปโกรธมึงตอนไหนวะ ไม่มี๊เลย”
“เสียงสูงเชียวเลยนะ หึงก็บอกว่าหึงเถอะ กูไม่ว่าหรอก”
“แหวะ มึงอย่าหลงตัวเองให้มาก”
“เอ้า หลงตัวเองตรงไหนวะ ก็มึงโกรธกูจริงๆนี้ มึงไปเชื่อคนอื่นมากกว่ากู”
“ถ้าไม่มีมูล หมามันไม่ขี้หรอก”
“นั้นไง แสดงว่ามึงหึงกู”
หลังจากถูกจับได้อีกครั้งว่าตัวเองออกอาการหึงกังวานไพรอย่างหนัก ทำให้ทุ่งธรเขินอายจนหน้าแดงไปถึงใบหูเลยคราวนี้
“ป่าสัก มึงจะจ้องกูให้มันสึกหรือไงวะ ออกรถสิ ไหนมึงบอกหิวข้าวแล้วไง”
“เขินแล้วชอบโวยว้าย ชอบเสียงดังนะมึงอะทุ่ง”
“โอ้ยย มึงจะพูดมากทำไมวะ”
“แต่ก็น่ารักดี กูชอบวะ”
“เมื่อกี้กูแค่กำหมัด แต่คราวนี้กูชกจริง”
“ได้ๆๆ แต่หายโกรธกันนะ เชื่อใจกูได้เลยทุ่ง กูไม่เคยมีใคร นอกจาก.....มึง”
“ป่าสัก....!!”
“ไม่ต้องอึ้งหรอก กูพูดจริงทุกคำพูด”
“ป่าสักมึงรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
“รู้สิ ... ทุ่งกูรู้สึกดีนะที่มีมึงอยู่ข้างๆกู ทุกๆวันแบบนี้”
“มึงอย่ามาล้อกูเล่นแบบนี้สิ มึงอย่าเอาความรู้สึกมาล้อเล่น!!!”
“กูไม่ได้ล้อเล่น กูพูดจริง ทำจริง”
ป่าสักพูดเสร็จก็ค่อยๆโน้มใบหน้าเรียวๆของเขาเข้ามาชิดอีกฝ่ายพร้อมกับประกบปากบางของทุ่งธรทันที ปากประกบปากแสนเนินนาน จากนั้นป่าสักก็ค่อยๆถอนริมฝีปากรูปกระจับออกมาอย่างช้าๆพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของทุ่งธรอย่างมีความหมาย
“นี้คือ การกระทำที่จะพิสูจน์ว่า กูจริงจังในคำพูดของตัวเอง”
“ป่าสัก.......”
“ทุ่ง ได้โปรดไว้ใจ และเชื่อมั่นในตัวกู ”
“ป่าสัก... เออ อะ เออคะคือ...คือ มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”
“งั้นก็ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์สำหรับเราสองคน”
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่พูดออกมาแบบนี้”
“อืม มั่นใจตั้งแต่เห็นวันแรกแล้ว”
“ฮะหา อะไรน่ะ?”
“ก็ตามนั้น ฟังไม่ทันก็ช่วยไม่ได้”
พูดเสร็จกังวานไพรก็สตาร์ทรถคันหรูของเขาทันที ขับมุ่งหน้าตรงมายังหอในของมหาวิทยาลัยเพื่อจะเตรียมตัวไปเรียนในวันเปิดเทอมวันแรกทันที
ก๊อก ก๊อก เสียงกังวานไพรเคาะประตูห้องน้ำเพื่อเร่งให้ทุ่งธรรีบอาบน้ำให้เสร็จ
“ทุ่งอาบน้ำเสร็จยัง....ช้าตลอดเลยนะ”
“เออๆเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เร่งจังเลยนะมึง กูก็รีบอยู่นี้ไง”
“เร็วๆมาดูอะไรนี้”
จากนั้นทุ่งธรก็รีบเปิดประตูห้องน้ำออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วมุ่งตรงไปยังโต๊ะหนังสือที่กังวานไพรนั่งรออยู่แล้ว
“ไหนมีไร ถึงได้เรียกให้คนรีบออกจากห้องน้ำ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ เจอดีแน่”
“เอ้านี้ ดูสะ ...ดูแล้วอย่าตกใจละ”
กังวานไพรยื่นกระดาษเอสี่ที่ปริ้นออกมาจากเครื่องปริ้นแล้วส่งให้ทุ่งธรดูทันที
“น่ะ นี้มันใบเกรดนี้!!! เกรดออกแล้วใช่ไหม?”
“อืม รีบดูสิ ”
“โห้!!!! สามจุดเก้าห้า นี้คนหรือเทวดาวะ”
“เป็นไงละกูเทพไหม”
“เออๆ มึงเทพ มึงเก่ง ไหนของกูละขอดูมั้งสิ”
กังวานไพรก็ยื่นกระดาษอีกแผ่นให้ทุ่งธรทันที ทุ่งธรรับไปด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับรีบก้มลงดูเกรดเฉลี่ยนของตัวเองในเทมอแรกของการใช้ชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย
“อะไรวะ โอ้ยยยอยากจะบ้าตาย ทำไมได้แค่นี้?”
“เอาน่า อย่าคิดไรมาก ก็ทำดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ”
กังวานไพรรีบพูดปลอดใจอีกฝ่ายทันที ที่รู้ผลการเรียนของตัวเอง แต่ดูแล้วสีหน้าของทุ่งธรนั้นไม่ดีเอาเสียเลย
“สองจุดห้าสาม ทำไมมันถึงได้น้อยจังวะ ตายๆๆแบบนี้จะรอดไหมเนี้ย”
“กลัวไรละ อย่าลืมสิมึงมีกูอยู่ข้างๆนะ เดี๋ยวเทอมนี้จะช่วยติวให้”
“โอ้ยยพูดง่ายเนาะ เรียนก็เรียนคนละคณะคนละสาขา มึงจะช่วยกูยังไง?”
“อย่างน้อยก็ช่วยเป็นกำลังใจให้มึงไง”
“แหวะ ม่อตลอดเลยนะไอ้หมอหมา”
“ม่อกับมึงแค่คนเดียวเท่านั้นนะ”
ป่าสักพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วก็คว้าตัวของทุ่งธรมากอดไว้หลวมๆพร้อมกับกดจมูกคงที่ต้นคอของอีกฝ่ายอย่างจงใจ
“หอมชื่นใจจัง เปิดเทอมวันแรก มึงห้ามไปหว่านเสน่ห์ให้ใครเด็ดขาดนะทุ่ง กูหวง”
“โอ้ยยพูดอะไรก็ไม่รู้ ปะๆไปหาข้าวเช้าแดรกเถอะเดี๋ยวไปเรียนสายกันพอดี”
“รับปากก่อนสิ”
“รับปากเรื่องไรวะ?”
“ก็เรื่องจะไม่ไปสนใจใครนอกจากกูคนเดียว”
“แล้วมึงละ บอกแต่กู”
“ไว้ใจได้ เชื่อใจกูสิ”
“แต่กูได้ยินมาว่าที่ผ่านมา มึงก็ไม่ใช่ย่อยเลยนะ”
“โอ้ยยนั้นมันอดีตเปล่าวะ ใครๆก็ต้องมีกันบ้าง แต่ตอนนี้กูไม่แล้ว”
“ทำไม?”
“เจอคนที่ใช่แล้ว”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ