ลมหายใจ...แห่งรัตติกาล (dangerous man)
เขียนโดย sesom
วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.27 น.
แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560 11.13 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสองเท้าของหญิงสาวก้าวย่ำบนใบไม้แห้งแผ่วเบา ดวงตาจับจ้องไปที่ตัวบ้านเขม็ง ข้างทางยังคงเป็นแนวต้นหญ้าสูงมีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่ตอนนี้ให้เห็นทุกอย่างรำไร
อื้อ! ร่างเล็กดิ้นรนเมื่อเธอถูกดึงลงมาข้างทางจากแรงไม่ปรารถนานั่น
“พี่เอง” เสียงกระซิบคุ้นหู ทำให้หญิงสาวหยุดดิ้นรนเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง
“โธ่พี่มาทำบ้าไรนี่”
“จุ๊ๆ”ชายหนุ่มเอามือปิดปากเธอ
“เบาๆ ซิปาแปง” ชายหนุ่มมองไปที่บ้านพักหน้าตาเลิกลั่ก ก่อนจะหันมามองหญิงสาวนามว่า ปาแปง น้องสาวสายเลือดเดียวกัน
“หนีอะไรมาอีกละพี่” เธอจับจ้องหน้าพี่ชายที่ชอบพาเรื่องเข้ามาให้ปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ่อยครั้ง นับตั้งแต่เข้าร่วมแก็งค์ของเหล่าอันธพาลที่ชอบเรียกค่าคุ้มครองแถวชายขอบของเมืองดัฟ แน่นอนว่าการเข้าร่วมก๊วนเข้ากับพวกอันธพาลที่มีเงินผ่านมือไม่หยุดยั้ง แต่พี่ชายของเธอกลับไม่เคยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเธอกับเขาดีขึ้นเลย เธอยังต้องออกไปขายบุหรี่ตั้งแต่ตีสี่และกลับเข้าบ้านเกือบห้าทุ่ม ปบบนี้ทุกคืน
“ฉันก็บอกพี่แล้วไงให้กลับมาขายบุหรี่แบบเดิมไปอยู่กับพวกมันแล้วได้อะไร...”
“...!”ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดวัตถุสีดำมันวาวสะท้อนแสงจันทร์ก็จ่อมาที่ขมับของพี่ชายเธอ
“ห๊า!” หญิงสาวเอามือปิดปากแน่น แม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นภาพนี้ แต่มันก็อดที่จะอกสั้นขวัญแขวนไม่ได้
“มึงจะหนีมาทำไม กูไม่เข้าใจ” เจ้าของอาวุธปืนนั่งลงในระดับเดียวกันกับสองพี่น้อง
“ฉันขอโทษน่า เดี๋ยวฉันจะหามาคืนก่อนรุ่งเช้านี้ละ” “
"ถุย!”มันเสยะยิ้มก่อนจับศีรษะชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น
“มึงมีพอสิบเหรียญหรือตอนนี้ไอ้กระจอก เงินสามหมื่นเหรียญของหัวหน้ามึงก็ฟาดเรียบ” “ไอ้พี่เวรพี่เอาของมันมาทำไมคืนมันไปซิ” หญิงสาวเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัวจ้องมองพี่ชายเขม็งก่อนชายหนุ่มเจ้าของปืนจะหันมามองหญิงสาว มือใหญ่ของมันพยายามจะเปิดหมวกแก็บ ออก แต่พี่ชายของเธอกลับดึงมันไว้และกอดศีรษะของน้องสาวไว้แน่น
“แกหันมาคุยกับฉัน หัวหน้าให้ฉันไปเก็บเงินกับร้านปืนพอได้เงินมาก็เลยคิดจะเอาไปต่อยอดให้หัวหน้า ฉันไปวางเดิมพันมวยมา แต่ไอ้ยักษ์บ้ามันชนะทุกครั้งแต่รอบนี้มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้แพ้ไอ้นักชกมือใหม่หน้าหล่อนั่น”
“แกมันแค่ลูกน้องปลายแถวแกไม่มีสิทธิคิดอะไรแทนหัวหน้า ฉันตามมาเอาเงินกับแกและต้องได้ด้วย ไม่เช่นนั้น...” มันกระชับด้ามปืนพร้อมจับศีรษะเขาเงยขึ้น
“ฉันจะรายงานหัวหน้าว่าฉันลงโทษคนทรยศแล้วสมเหตุสมผล” เสียงมันเยือกเย็น ก่อนปาแปงจะได้ยินเสียงพี่ชายระล่ำระลักบอก
“วันเสาร์นี่ ไม่เกินเที่ยง ฉันจะเอาเงินไปให้ที่สาขาเลยจริงๆ นะ”
“ถือว่ามีความผิดครั้งแรกฉันจะให้โอกาสแก”มันลุกขึ้นยืนก่อนจะจ้องมองสองพี่น้องเพียงครู่และเดินออกไป
“มันจะเปิดหมวกเราแล้วเห็นไหมละปาแปง” ชายหนุ่มจับหมวกหญิงสาวก่อนจะมองหน้าหญิงสาวสายเลือดเดียวกัน สายเลือดที่รู้เพียงบิดาชื่ออะไรแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน เขาถูกเลี้ยงดูมาโดยลุงที่พาเขาและน้องอพยพถิ่นฐานมาอยู่ที่นี้ตั้งแต่เขาได้สามขวบ เขามองหน้าน้องสาวที่มอมแมม ใบหน้าสะสวยถูกซ่อนไว้ภายใต้หมวกแก็บใบเก่า เขาเคยสอนเธอเสมอว่าห้ามเปิดหมวกออกหากอยู่นอกบ้าน เพราะเมื่อเธอเริ่มโตเป็นสาวเธอก็ยิ่งทวีความสวยมากขึ้นทั้งดวงตาที่เป็นประกายหวานซึ้ง ผิวพรรณอันสวยงามนั่น หากพวกเหล่าอันธพาลในเมืองเถื่อนแห่งนี้เห็นเธอเข้านั่นหมายถึงอันตรายอาจจะเกิดขึ้นกับเธอ
ปาแปง ชื่อที่ไม่คุ้นหูใครต่อใครนัก มันมาจากภาษาฝรั่งเศสเฉกเช่นชื่อของเขา ปอล แต่เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขากับเธอมีเชื่อสายฝรั่งเศสหรือไม่ถ้ามีจะเป็นฝ่ายพ่อ หรือฝ่ายแม่กันแน่ เพราะเมื่อถามถึงเรื่องราวของเขาและน้องสาวลุงก็ไม่เคยให้คำตอบใดจวบจนท่านลาโลกไปแล้วนั่น กระทั่งวันนี้เขาจึงเข้าใจแล้วว่าคำตอบนั่นมันไม่ได้สลักสำคัญกับเขาเลยเพราะสิ่งสำคัญตอนนี้ของเขากับน้องคืออาหาร และที่หลับนอนเท่านั้น
“พี่ไปทำอะไรไว้อีกแล้ว” ปาแปงจ้องพี่ชายเขม็ง
“เอ่อ เอาน่านิดหน่อยเอง” เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเศษดินและใบไม้แห้งที่ติดตามตัวออก
“นิดหน่อยบ้าอะไรนี่เราก็เกือบตายกันแล้ว บอกฉันมาเดี๋ยวนี้พี่มันบอกว่าพี่เอาเงินมันไป” เธอเดินมาดักหน้าพี่ชายก่อนที่จะได้ยินเสียงพี่ชายถอนหายใจ
“มันลองให้ฉันไปเก็บเงินที่ร้านปืนสามหมื่นเหรียญ ฉันก็นับและดูแลมาอย่างดีแต่พอเดินผ่านเวทีมวย ฉันได้ยินว่าไอ้ยักษ์มันจะขึ้นชกวันนี้ ฉันอยากจะมีเงินเยอะๆ เพื่อวางเดิมพันมวย เวลาชนะมันจะได้กลับมาทวีคูณแต่ไหนคิดดู ฉันห้ามตัวเองไม่ได้ ประกอบกับการชกของไอ้ยักษ์ยังไงมันก็ต้องชนะอยู่แล้ว ฉันคิดว่าโชคเข้าข้างฉัน อย่างน้อยหากฉันได้งานนี้ขึ้นมา ความฝันของแกที่อยากจะไปเที่ยวนอกเมืองแห่งนี้สักครั้งมันก็น่าจะเป็นจริง แต่ แต่ โชคก็ไม่เข้าข้างไอ้หน้าหล่อที่เขาเรียกมันว่าวินเซน มันบ้าระห่ำมาจากไหนก็ไม่รู้ ไอ้ยักษ์แพ้ราบคาบพร้อมกับเงินสามหมื่นเหรียญที่ล่องลอยออกไป” เสียงเล่าเศร้าสร้อยจากพี่ชาย ปาแปงถอนหายใจยาวเหยียด
“แล้วทีนี่จะเอายังไงเงินสามหมื่น วันนี้พี่กับฉันมีเงินรวมกันถึงห้าสิบเหรียญไหม” เธอบ่นก่อนหยาดน้ำตาจะเริ่มเอ่อที่ขอบตาสวย แต่เธอก็สะกดกลั้นไว้ได้เฉกเช่นทุกครั้ง
“ปาแปง พี่ขอโทษวะ เอางี้อีกตั้งสองวัน พี่จะลองหาทางดู”
“จะไปยืมน้าทอมเจ้าของเวทีมวยก็ไม่ได้แล้วนะพี่ หนี้เก่าเรายังไม่ได้ใช้เลยตอนเอามาจัดงานศพลุง” ปาแปงเดินคอตกย่ำเท้าไปตามทางเข้าบ้าน
“ฉันจะไปขอยืมเพื่อนๆ ปาแปงพี่อยากให้เราไปหาน้าทอมอีกสักหน่อย”หญิงสาวหันมามองหน้าพี่ชายที่เข้าหน้าไม่ติดกับทอมเจ้าของเวทีมวยเนื่องจากทอมนั้นไม่ชอบนิสัยที่ติดการพนันของชายหนุ่มนั่น
“ไปหาคิวขึ้นชกของคนชื่อวินเซนพี่ว่ามันเก่งนักหากคราวนี้มันชกชนะอีกพี่ว่าเราต้องหาเงินสามหมื่นได้แน่”
“พี่ติดการพนันขึ้นสมอง และมันก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อพี่เลยสักนิด” หญิงสาวยักไหล่ ก่อนพี่ชายจะเดินเข้ามา
“จะให้พี่หาเงินจากไหนละวันเสาร์นี้แล้ว ช่วยพี่สักนิดเถอะปาแปง หากก่อนจะถึงวันเสาร์ไม่มีชื่อมันขึ้นชก น้องก็ช่วยพูดกับน้าทอมหน่อยให้มันขึ้นชกให้ได้น้าทอมเขาเอ็นดูเรานี่ปาแปง”
“คิดหาทางอื่นดีกว่า”
“ขอร้องครั้งสุดท้ายปาแปงแล้วพี่จะไม่เล่นการพนันอีกเลย” เขาจับมือน้องสาวแน่น เห็นหญิงสาวหน้าเศร้าสร้อยเธอก้มหน้าลงก่อนพยักหน้าช้าๆ อย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะเดินเข้าไปยังบ้านพักหลังเก่าทรุดโทรมโดยมีพี่ชายเดินกอดคอกันไปตามทางเดินที่รกชัน
“ปาแปงกินข้าวหรือยังวันนี้ขายดีไหม”
“พอขายได้ค่ะ ฉันกินอิ่มแล้วพี่เอาเงินที่ฉันไปซื้อบะหมี่ซิ”
กลุ่มดวงดาวสุกสว่างยามใกล้รุ่งพร้อมอากาศที่ค่อนข้างเย็นจัด ปาแปงผูกเชือกร้องเท้าพร้อมกระชับแจกเก็ตตัวเก่งและหมวกใบเก่าให้เข้าที่ ก่อนสองเท้าจะก้าวเดินออกจากบ้านพักหลังจากที่ได้นอนไปเพียงสามชั่วโมงเพราะในหัวสมองเธอคิดแต่เรื่องภารกิจของเงินสามหมื่นนั่น ส่วนพี่ชายของเธอนั้นหายไปตั้งแต่ก่อนเธอซะอีก
ปาแปงยืนรอรถยนต์ที่เตรียมเข้าไปยังตัวเมืองดัฟ ช่วงเวลาตีสามจะมีรถยนต์เที่ยวแรกที่รับคนจากนอกเมืองเข้ามา เธอจะใช้รถเที่ยวแรกของวันเสมอเพื่อเข้าไปในตัวเมือง การเดินทางจากที่พักจนถึงตัวเมืองใช้เวลาไม่นาน ปาแปงกระโดดลงจากรถโดยสารเธอมุ่งหน้าไปยังอาคารสุดโค้งถนนนั่น เวทีมวยของน้าทอม เธอจะไปหาคนที่ชื่อวินเซลให้เขาขึ้นชกให้พี่ชายเธออีกสักครั้ง
สายตาคู่สวยสอดส่ายหาใครสักคนยามที่เท้าเข้ามาภายในอาคารเวลาใกล้ตีสี่เมืองดัฟก็เริ่มคึกคักแล้วก่อนเธอจะเห็นชายหนุ่มทีท่าคุ้นตายืนจดเอกสารอะไรบางอย่างแถวผนังทางขึ้นที่นั่งของคนดู
“น้าทอม” ชายหนุ่มหันมาตามต้นเสียงก่อนเขาจะเห็นภาพอันคุ้นตาของแม่สาวน้อยปาแปงที่สวมเสื้อยีนต์ตัวซีดกับหมวกแก็บใบเก่า เธอเดินมาด้วยบุคลิกอันคล่องแคล่วพร้อมเสียงใสๆนั่น หญิงสาวเดินมานั่งบนเก้าอี้ไม่ไกลเขานักพร้อมทำความเคารพเขาเฉกเช่นทุกครั้ง
“มาซะเช้าเชียวหรือว่ายังไม่ได้กลับบ้าน”
“กลับแล้ว”
“แล้วเป็นไง ขายของดีไหมช่วงนี้หายไปนานเลย”
“ก็ไม่ดีเท่าไร” หญิงสาวเหลือบมองใบหน้าชายหนุ่มคนเดียวในเมืองดัฟที่คอยช่วยเหลือครอบครัวเธอ อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนดีที่หายากในเมืองนี้หรือเพราะเขาทนเห็นสภาพอันน่าเวทนาของเธอกับพี่ชายไม่ได้
“ไอ้ปอลละมันไปไหน เลิกผีพนันเข้าสิงยัง เมื่อวานเห็นมันถือเงินมาเป็นตั้ง” หญิงสาวชะงักงันเธอเห็นชายหนุ่มปรายตามามองเธอ ก่อนเขาจะหันไปสั่งการลูกน้องเขาสองสามคนที่เดินถือภาพถ่ายในกรอบรูปใบสวยเข้ามาตกแต่งภายในอาคารแห่งนี้ ชายหนุ่มนามว่าทอมรูปร่างผอมสูงแต่ดูมีอำนาจสั่งการนักเขามีบุคลิกอันยียวนหากใครเพิ่งพบเจอเขาหากแต่ถ้ารู้จักนานไปเขาเป็นคนที่จริงใจและใจกว้างไม่น้อย
“ก็นี่แหละเหตุผลที่มาหาน้า” เธอเสียงอ่อย ก่อนจะก้มหน้าลง
“ยังไง”
“คือ คือ หนี้เก่าก็ยังไม่ได้ใช้ตอนงานศพลุง”
“เออ ช่างมันเถอะ”
“คือพี่ปอลมันเข้าไปรวมแก็งกับพวกแถวชานเมืองเขาให้พี่ปอนไปเก็บเงินที่ร้านปืนแต่ เอ่อ”
“เอาเงินนั่นมาวางเดิมพันเล่นมวยเมื่อวาน แล้วแพ้ไม่มีเงินคืนเขา” ทอมหันมามองหญิงสาว เห็นเธอก้มหน้าทันที
“ก็อย่างนั้น”
“แล้วมันใช้น้องมันบากหน้ามา แล้วทำไมมันไม่มาเอง”
“เอาเถอะน่าน้าทอม ช่วยพวกเราด้วย พี่ปอลให้มาถามหาว่านักชกที่ชื่อวินเซนเขาจะขึ้นชกอีกทีเมื่อไร” ปาแปงเห็นชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนส่ายศีรษะ
“ไอ้วินล้มยักษ์ได้นี่รู้สึกว่านักพนันจะส่ายหัวกันเป็นแถว” ทอมหัวเราะเบาๆ ก่อนเดินมองรูปถ่ายบนฝาผนังไปมา
“จะบอกให้นะปาแปง วินเซนมันไม่ใช่นักมวยของที่นี่หรือค่ายไหน มันเป็นเพื่อนฉันและไม่ใช่คนเมืองนี้มันจะกลับมาที่นี่ปีละครั้งเท่านั้นและตอนนี้มันคงกลับบ้านไปแล้ว”
“อ้าว”หญิงสาวเงยหน้ามองเขาทันที
“หรือหากว่ามันอยู่มันก็ไม่ขึ้นชกหรอก เชื่อฉันเถอะสภาพจิตใจมันไม่ค่อยดี”
“ทำไมหรือ” ปาแปงเห็นทอมส่ายหัวไปมาก่อนจะยิ้มบนใบหน้า พลันสายตาหญิงสาวก็มองเห็นภาพถ่ายบนฝาผนังที่เพิ่งติดตั้งเมื่อครู่ เธอเห็นรูปนักมวยหลายคนแต่ที่เด่นชัดสุดคือรูปถ่ายด้านบนสุด ชายคนนั้นที่เธอสร้างเรื่องให้เขาเมื่อคืน ใบหน้านั่นหล่อเหลาแต่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขายืนอยู่บนเวทีคล้ายเพิ่งได้รับชัยชนะ ทอมมองตามสายตาหญิงสาวก่อนจะหันมาบอกเธอ
“นี่ละวินเซน” หญิงสาวตาโตขึ้นมาทันที เธอนิ่งคิดบางอย่างเพียงชั่วครู่ก่อนจะดีดตัวลงจากเก้าอี้และวิ่งออกจากอาคารหลังใหญ่นั่นทันที เพื่อไปตามการสั่งการของสมอง ไปหาเขาคนนั้น คนที่ชื่อวินเซน
การเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างตัวเมืองดัฟกับแถวชานเมืองไม่ใช่เรื่องสนุกนักแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อแผนการที่วางไว้วันนี้ยังไม่ได้รับคำตอบใด สายตาคู่สวยมองโรงแรมที่พักที่เงียบสงบเพราะเวลาแค่ตีสี่กว่า เธอมองรอบๆ บริเวณยังเห็นรถยนต์สปอร์ตสีดำจอดอยู่ที่หน้าโรงแรมใบหน้างามผุดรอยยิ้มขึ้นมาทันทีที่รับรู้ได้ว่าเขายังอยู่ในเมืองดัฟแห่งนี้ ร่างบางเดินไปทรุดตัวนั่งลงที่ม้านั่งทางเข้าโรงแรม
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเธอได้เห็นแม่สาวผมทองชุดส้มเดินออกมาผมเผ้าหยุงเหยิงเธอมองตามทางเดินของโรงแรมยังไม่เห็นเป้าหมายเดินออกมาจึงนั่งลงตามเดิมหากเพียงไม่ถึงสิบนาทีเธอก็ต้องดีดตัวลุกขึ้นยืนเมื่อเป้าหมายที่ต้องการปรากฏตรงหน้า
“คุณวินเซ็น “ เสียงเรียกแผ่วเบาจากทางด้านหลังทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าไปที่รถยนต์ส่วนตัวต้องเหลียวหลังกลับมามองทันที ยัยเด็กนั่น
ปาแปงเริ่มใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ปกติวิธีการหาเงินจากเหล่าผู้คนที่หลงทางมาในเมืองแห่งนี้เอสามารถเจรจาได้เรื่อยเปื่อยแต่กับชายคนนี้ คนที่เธอกำลังจะขอความช่วยเหลือทั้งที่เพิ่งพบหน้ามันกับทำให้เธอปะหม่าชอบกล และยิ่งเวลานี้สมองของเธอมันกลับคิดไปว่าเมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาเขาทำอะไรกับแม่สาวผมทองนั่น
“คุณวินเซ็น” เธอกระชับหมวกแกบด้วยทีท่าเดิมๆ จนเป็นความเคยชิน เธอเห็นเขาพยายามก้มหน้าลงแต่เธอก็ยังเบี่ยงหนีได้ทัน
“อะไรอีกไอ้เด็กแสบ”เขาท้าวสะเอว “
ฉัน เอ่อ ฉัน คุณจะกลับแล้วหรือ” เธอยังก้มหน้า
“ทำไม จะหลอกขายอะไรอีก”
“เปล่าซะหน่อยจะไปชกมวยอีกเมื่อไร”
“ปีหน้า”
“ทำไมต้องรอปีหน้าวันนี้พรุ่งนี้ไม่ได้หรือ”
“ทำไม”
“ก็เปล่า” เธอทำเสียงสูง
“นี่ ถ้าเธอไม่บอกจุดประสงค์ในการคุยกับฉันมาละก็มันก็ไม่จำเป็นต้องเสวนากันต่อนะ” เขาหรี่ตามองหญิงสาวก่อนจะทำทีเดินออกไป
“เดี๋ยวซิ”หญิงสาววิ่งมาดักด้านหน้าเขา
“อยากให้ไปชกมวย” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อย วินเซนก้มลงมองหญิงสาวตัวเล็กก่อนเอ่ยขึ้น
“ถอดหมวกออกก่อนเวลาคุยกับผู้ใหญ่น่ะ” เขาเห็นเธอมีทีท่าอิดออด
“คุณขึ้นชกหน่อยไม่ได้หรือครั้งเดียว”
“ฉันไม่อยากจะคุยกับเธอ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ หน้าตาก็เห็นไม่ชัด” เขาส่ายหน้าก่อนจะเดินไปที่รถยนต์คู่ใจ บรรยากาศรอบนอกเริ่มสลัวๆ ทุกอย่างจึงมองได้ชัดเจนขึ้น เขาสาวเท้าไปที่รถก่อนจะกดรีโมทรถยนต์
“ฉันถอดหมวกออกแล้ว ฉันชื่อปาแปง หันมาคุยกันได้หรือยัง
*********ดอกแก้วสีส้ม*************************
ฝากเพจ นามปากกาดอกแก้วสีส้ม ด้วยค่ะ
อ่อนแล้วคอมเม้นท์บอกกล่าวกันบ้างนะคะ
***ยังไม่ตรวจคำผิดนะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ