Stony รักไม่ยาก
เขียนโดย WAFFLE_W
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) พ่อค้าหน้ามนคนร้อนเงิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
มานะที่นั่งแคะขี้เล็บเล่นบนโซฟาสีฟ้ารีบกระวีกระวาดผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นประธานใหญ่แห่งเฟรนซีเดินเข้ามา เขาโค้งคำนับให้ด้วยรอยยิ้มแช่มชื่น เพชรงามชายตามองนิดแล้วเดินผ่านไปเปิดประตูเข้าห้อง
“มาเช้าจังนะไอ้โม่” การ์ดรุตเอ่ยทัก วางประเป๋าสัมภาระลงบนโต๊ะทำงานแล้วเข้าไปนั่งประจำที่
“งานเสร็จแล้วนะพี่” มานะหยิบแฟ้มเอกสารและแฟลชไดร์ที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกมาวางที่โต๊ะทำงานของการ์ดหนุ่ม รุตมองอย่างอึ้งนิดๆ
“ดีมากไอ้น้อง ทำงานได้รวดเร็ว” ชื่นชมก่อนจะหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยบาทส่งให้หนึ่งใบ “งานมาเงินไป”
แมสเซ็นเจอร์หนุ่มตาโตเป็นประกายรีบรับธนบัตรมาจูบอย่างรวดเร็ว “ได้ตั้ง 500 เชียว”
“แกจะเอาน้อยกว่านี้ก็ได้นะ”
“แหม เอาเท่านี้แหละครับ” พับธนบัตรเก็บยัดใส่กระเป๋ากางเกง “ไปทำงานก่อนนะพี่” ว่าจบก็เดินออกไปทำงานของตนเองต่อ
ภายในห้องประชุมเล็กๆ ของทีมออกแบบบริษัทเฟรนซี มีชายหญิงรวมห้าคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่โต๊ะประชุมทรงกลม เมื่อประตูเปิดออกพวกเขาก็เงียบเสียงลงแล้วยืนขึ้นค้อมหัวให้คนมาใหม่
“สวัสดีครับท่านประธาน” หัวหน้าทีมออกแบบกล่าวทักทาย
“สวัสดีค่ะ” เพชรงามก้มหัวลงนิด ก่อนจะนั่งลง จากนั้นคนอื่นๆ จึงนั่งตาม
“สบายดีนะคะท่านประธาน”
“ค่ะ พวกคุณคงสบายดีกันทุกคนนะ” น้ำเสียงเป็นมิตรดังมาจากคนที่มีสีหน้าเรียบๆ
“สินค้าตัวใหม่ ท่านประธานต้องการแบบไหนดีคะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยถามเข้าเรื่อง ในมือมีปากกาและสมุดโน้ตเตรียมจดบันทึกคำสั่ง
“ฉันอยากได้คอเล็กชันผลไม้น่ะค่ะ เป็น Fruity Frenzy ทำให้มันดูมีลูกเล่นมากขึ้น แต่ยังคง concept ของเฟรนซีเอาไว้” เฟรนซี คือยี่ห้อนาฬิกาที่เน้นความเรียบหรู ดูราบเรียบธรรมดาแต่แฝงไว้ด้วยความเปรี้ยวเก๋ บ้าคลั่ง และร้ายกาจจากดีไซน์ของลวดลายและลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ เหมาะสำหรับคนจำพวก Work hard Play hard “ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ฉันคิดว่าผลไม้น่าจะเข้ากับเทศกาลดี”
“น่าสนใจดีนะครับ ผลไม้กับฤดูร้อน” หัวหน้าทีมว่าตาพราวดูชื่นชอบแนวคิดใหม่ที่ท้าทายความสามารถ “แล้วตัวนาฬิกาล่ะครับ”
“หน้าปัดทรงกลม ขนาดกลาง ข้างในมีรูปผลไม้เรืองแสงที่เป็นสีเดียวกับตัวสาย ฉันอยากให้มันมีกลิ่นผลไม้ชนิดนั้นๆ ด้วย แบบมีช่องระบายกลิ่นเล็กๆ ที่ตัวนาฬิกาน่ะค่ะ ฉันว่าเจ็ดสีน่าจะพอเหมาะนะ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม” ก็แบบที่นายคนส่งของว่า ของธรรมดาถ้าลองเพิ่มกลิ่นก็น่าจะพิเศษขึ้น
“ว้าว แบบนี้เรียบแต่แอบแรงใช่ไหมคะ”
เพชรงามยิ้มให้นิดๆ
“เจ็ดสี... ส้มไหมคะ สีส้ม กลิ่นส้ม คลาสสิกดีค่ะ”
“องุ่นสีม่วงค่ะ เปรี้ยวหวานกำลังดี”
...
หลังจากช่วยกันเสนอความคิดในการค้นหาสีของผลไม้แล้วก็ได้สีของนาฬิกาเจ็ดสีตามที่ต้องการ อันประกอบไปด้วย สีส้มของส้ม สีม่วงขององุ่น สีเหลืองนวลของกล้วยหอม สีขาวของลิ้นจี่ สีเขียวอ่อนของแคนตาลูป สีแดงของสตรอว์เบอร์รี่ และสีฟ้าของบลูเบอร์รี่
“งานนี้ดูน่าสนุกจัง พวกเราจะทำให้เต็มที่และดีที่สุดนะครับท่านประธาน”
“ต้องการอะไรอีกไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามผู้เป็นใหญ่
“ฉันขอดูแบบภายในสัปดาห์นี้นะคะ นี่ค่ะ... ฉันมีแบบที่ลองวาดเล่นๆ ดูน่ะ พวกคุณลองดูจากแนวนี้นะ” เธอส่งกระดาษที่ตัวเองวาดลายเส้นดีไซน์นาฬิกาไว้ ซึ่งดีเทลต่างๆ ยังไม่ละเอียดนัก “ฉันวาดแล้วมันเหมือนของเด็กไปหน่อย พวกคุณช่วยทำให้มันมีความเรียบหรูแบบผู้ใหญ่หน่อยนะคะ”
“ใช้ได้เลยนะครับ”
“นั่นสิคะ แค่นี้ก็ดูสวยแล้ว” เพชรงามไม่แน่ใจว่ามันเป็นคำชมอย่างจริงใจหรือคำประจบประแจงเฉยๆ
“ตอนนี้พอแค่นี้ค่ะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมฉันจะติดต่อไปนะ” คลี่ยิ้มนิดๆ ก่อนจะดันเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น “ขอบคุณทุกคนมากนะคะ” ร่างระหงสูงเพรียวเดินออกไปเฉกเช่นนางพญาราชินี
ทุกสายตาที่อยู่ในห้องมองตามจนประตูปิดลง แล้วเลื่อนเก้าอี้เข้ามาสุมหัวกันใกล้ๆ
“ไหนเค้าว่าเป็นเด็กสปอยล์ ก็ไม่เห็นดำอย่างที่ถูกระบายสีเลยนี่ นางดูตั้งอกตั้งใจ มีหัวคิดครีเอทดีนะ” หญิงคนที่ก้มจดขยุกขยิกในสมุดโน้ตเปิดฉากวิจารณ์เป็นคนแรก
“ใช่ เวลาได้คุยด้วยแบบนี้ก็ไม่เห็นหยิ่งเหมือนเวลาเจอตามทางเดินเลย”
“แต่ฉันรู้สึกแปลกๆ กับนางนะ สายตาเหมือนจิกไปทั่วตลอดเวลา บอกตรงๆ ไม่ถูกชะตาเลย”
“อิจฉาก็บอก นางหงส์แบบนั้นเขาไม่ได้เรียกว่าจิก เขาเรียกกรีดกรายสายตา”
“เธอเป็นยังไงฉันไม่รู้ รู้แต่ว่ามองใกล้ๆ แล้วสวยมาก”
“ก็แค่สวยและรวยมาก ไม่เห็นมีอะไรให้น่าอิจฉาเลย”
เสียงตบโต๊ะดังสนั่น ก่อนที่เสียงเข้มจะเอ่ยขึ้นตำหนิลูกน้องในทีม
“เลิกปากนกกระจิบนกกระจอกสักทีเหอะ ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโกจริงๆ เลยพวกแกนี่ ไปๆ แยกย้ายกันไปทำงานต่อได้แล้ว” หัวหน้าทีมว่าแล้วคว้าเอกสารเดินออกไป
“ไอ้โม่ทำอะไรวะ” ประสิทธิ์เอ่ยถามเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วเห็นเพื่อนร่วมงานนั่งขัดสมาธิหลังค่อมอยู่บนพื้นกระเบื้องกลางห้อง
“ถ่ายหนังอยู่มั้ง”
“บ๊ะ ไอ้นี่ ถามดีๆ ตอบกวนตีน” เขาเดินไปนั่งลงใกล้ๆ
“อ่ะ ช่วยหน่อยดิ” หยิบเส้นเอ็นที่ตัดไว้ให้ประสิทธิ์เส้นหนึ่ง ตรงหน้าของเขาคือลูกปัดหลากสีคละรูปทรง มือข้างหนึ่งถือสายสร้อยที่ร้อยลูกปัดไปได้กว่าครึ่งแล้ว เขาไปได้งานนี้จากการไปส่งสาสน์ให้บริษัทแห่งหนึ่งแล้วเดินผ่านแผงขายลูกปัดลดราคาเลยซื้อมาทำสร้อยคอและสร้อยข้อมือขายดู เผื่อจะรุ่ง
“เรื่องอะไรฉันต้องช่วยแกวะ”
“คำว่าเพื่อนรู้จักไหม”
“รู้จัก แต่ไม่ช่วย” ปัดมือเพื่อนออกไป มานะปล่อยเชือกลงอย่างไม่ยี่หระ หยิบเม็ดลูกปัดสีพาสเทลมาเรียงต่อกันให้เป็นสีของสายรุ้ง
“เมื่อเช้าบังเอิญเดินไปเจอลูกพีชที่อยู่ฝ่ายบัญชีด้วยว่ะ เธอเขียนอะไรก็ไม่รู้ใส่มือให้ด้วย ดูสิ” มานะหงายมือแล้วแบให้ประสิทธิ์ดู เลขสิบหลักปรากฏหราอยู่บนนั้น
“เพื่อนโม่ครับ เดี๋ยวเพื่อนสิทธิ์ช่วยร้อยนะ” มานะแสยะยิ้มอย่างพึงใจเมื่อเห็นท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือของคนตรงหน้า ซึ่งกุลีกุจอหยิบเส้นเอ็นขึ้นมาร้อยลูกปัดทันที
ชายหนุ่มหน้าตาดีแต่งกายเนี้ยบด้วยเสื้อผ้าจากแบรนด์ดังเดินก้าวยาวๆ ตรงมาที่หน้าห้องประธานเฟรนซี ก่อนจะหยุดอยู่หน้าโต๊ะที่ติดป้ายไว้ว่าเลขานุการแล้วเอ่ยบอก
“ฉันมาพบน้องไดมอนด์”
รุตเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่มีลักษณะเหมือนดาราหรือนายแบบ ใครวะ? หล่อจับใจจริงเชียว “ให้เรียนว่าใครมาพบครับ”
“เวนิส”
“สักครู่นะครับ” รุตยกหูโทรศัพท์ต่อหาเจ้านายในห้อง “เจ้านายครับคุณเวนิสมาขอพบครับ”
“อือ” เธอครางตอบพร้อมเสียงถอนหายใจที่ดังเล็ดลอดออกมา
“ให้เข้าไปได้ใช่ไหมครับ”
“อือ” เสียงเหนื่อยหน่ายชัดเจน “นายเข้ามาด้วย”
“เชิญครับ” รุตลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ชายหนุ่ม เวนิสเดินเข้าไปด้วยท่วงท่าสง่างาม จากนั้นการ์ดหนุ่มจึงเดินตามเข้าไปพยายามก้าวเดินให้เหมือนคนข้างหน้า
“สวัสดีครับน้องไดมอนด์ ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะ” เขากล่าวทักทายก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้รับแขก “พี่ดีใจมากเลยนะที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกัน ถึงพี่จะจบจากยูนิเวอร์ซิตี้ระดับเวิร์ลคลาสแต่พี่ก็คงต้องเรียนรู้อีกเยอะ ยังไงน้องไดมอนด์ก็ช่วยเป็นคุณครูสอนพี่ด้วยนะคะ พี่สัญญานะว่าพี่จะเป็นเด็กดี”
เพชรงามกำปากกาในมือแน่น รู้สึกสะอิดสะเอียนพิกลกับคำพูดคำจาของชายหนุ่ม เธอตีหน้าขรึมแล้วบอกเสียงเรียบ “ฉันเตรียมงานให้คุณแล้วค่ะ รุตจะแนะนำให้คุณเอง” เธอหันไปมองหน้าการ์ดคนสนิท เขาพยักหน้านิดเป็นเชิงรับคำสั่ง
“เชิญครับคุณเวนิส”
“เดี๋ยว” เวนิสทำหน้าฉงนน้ำเสียงงุนงง “น้องไดมอนด์ไม่ได้เป็นคนฝึกงานให้พี่เองเหรอคะ”
“ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นค่ะ”
“แต่พี่อยากฝึกกับน้องไดมอนด์นี่คะ ให้พนักงานมาฝึกให้จะได้เรื่องหรือเปล่า”
“ถ้าคุณไม่เชื่อใจในฝีมือพนักงานของฉันก็กลับไปเถอะค่ะ”
“พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ พี่เพียงแต่...”
“เชิญค่ะ ฉันจะทำงานต่อ” จบคำก็ก้มหน้าทำงานต่อทันทีเป็นการตัดบทสนทนา
เวนิสลุกขึ้นอย่างไม่ใคร่พอใจนักกับท่าทางเย็นชาของหญิงสาว สะบัดหน้าเดินออกไปอย่างจะจำยอม รุตมองเจ้านายแล้วแค่นในใจ มีหนุ่มหล่อดูเป็นผู้ดีมีสกุลขับราชรถมาเกยถึงที่ยังจะทำเย่อหยิ่งเย็นชาอีก เลือกนักมักได้แร่นะครับเจ้านาย เอ... หรืออย่างเธอต้องใช้สโลแกนนี้ เพชรงาม... คานเท่านั้นที่เธอคู่ควร
เมื่อสองหนุ่มออกไปแล้วเสียงโทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้นทันที เธอคว้ามันมาดูชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอแล้วกดรับทันใด
“ว่าไงสิน” น้ำเสียงที่ใช้กับหลานต่างจากที่ใช้กับเวนิสคนละขั้วโลก
“ผมพร้อมทำตามสัญญาแล้วนะอาไดมอนด์ เย็นนี้ไปกินไอติมกัน”
“ลืมไปเสียสนิทเลย”
“แก่แล้วก็แบบนี้แหละฮะ”
“พูดแบบนี้อยากอายุสั้นเหรอ” อาสาวทำเสียงขู่ “แล้วนี่ทำอะไรอยู่ ไม่มีเรียนหรือไง”
“ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเรียนครับอา” เด็กหนุ่มปดคำโต หันไปดูบอลบนจอไอแพดที่มีนักเรียนชายนั่งล้อมกันเป็นกลุ่ม “คาบนี้คุณครูไม่เข้าสอน เป็นแบบนี้ประจำครับครูคนนี้น่ะ ไม่รู้ว่าจะเอาคาบนี้มาใส่ในตารางสอนให้มันรกทำไม ตั้งแต่เปิดเทอมจนตอนนี้จะปิดเทอมแล้วได้เรียนอยู่แค่สองสามคาบเอง”
“แบบนี้นักเรียนก็เสียเปรียบสิ”
“ไม่เป็นไรครับ พวกผมยอมเสียเปรียบ” น้ำเสียงยินดีปรีดา “แค่นี้นะอา อ่านหนังสือกำลังมันเลย”
เพชรงามวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือไรที่เธอได้ยินเสียงหลานชายดังก่อนตัดสายไปว่า 'แมนยูสู้ๆ'
“เส้นนี้เหมาะกับพี่สาวมากเลยครับ ใส่แล้วมันช่วยขับผิวบริเวณคอให้เนียนนวลขาวผ่องประดุจแสงนีออนที่เปล่งออกมาจากไข่มุกอันดามัน หรูหราอลังการเลอค่ามากครับ” มานะทำไม้ทำมือประกอบคำโฆษณาที่แสนป้อยอ ลูกค้าสาวยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่าถูกอกถูกใจ
“แนะนำให้ใส่คู่กับเส้นนี้เลยครับ สีน้ำเงินกับสีเขียวเหมาะเหม็งกันยิ่งกว่าญาญ่าณเดชอีกนะครับ พี่สาวลองใส่สิครับ นั่นแหละ โอ้โห... มันช่างน่าดึงดูดใจเสียจริงๆ ครับ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเมียสองลูกสามผมนี่จีบไปแล้วนะครับ ยังไงก็ช่วยอุดหนุนคนทำมาหากินด้วยกันหน่อยนะครับ”
“พ่อหนุ่มก็ปากหวานเหลือหลาย งั้นเอาสองเส้นนี้ค่ะ” เธอยื่นสายสร้อยไปให้เขาใส่ถุงคิดเงิน
“ซื้อไปฝากเพื่อนไหมครับ ให้ใครใครก็หลงก็รักนะครับ รู้ไหมลูกปัดแต่ละเม็ดนี่ปลุกเสกมาจากหลวงพ่อชื่อดังเชียวนะครับ ไม่อยากจะพูด ได้เมียสองคนก็เพราะเอาสร้อยไปให้เธอใส่นี่แหละครับ กลางคืนแทบไม่ได้พักครับ อุ๊ย เขิน” มานะแสร้งเอามือป้องปากอย่างเคอะเขิน เป็นเหตุให้ลูกค้าสาวผู้นั้นหยิบสร้อยคอและสร้อยข้อมือมาเพิ่มอีกอย่างละ 3 เส้น “ขอบคุณครับพี่สาวคนสวย”
พ่อค้ามือใหม่ฟาดเงินไปบนแผงสร้อยคอโดยทั่ว หลังเลิกงานเขาก็มาตั้งโต๊ะขายของอยู่ข้างร้านหมูปิ้งริมทางซึ่งเป็นร้านของพี่ที่รู้จักกัน แค่เริ่มก็ดูเหมือนว่าธุรกิจของเขาจะไปได้ไกลทีเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสร้อยสวยที่ดึงดูดหรือคนขายหล่อลีลาเด็ดจึงทำให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สงสัยต้องวางแผนเปิดบริษัททำสร้อยลูกปัดส่งออกไปทั่วโลกแล้วกระมัง
“เร่เข้ามาครับเร่เข้ามา เธอๆ ซื้อสร้อยเราหน่อยดิ เฟี้ยวเงาะมากเลยง่ะ” เรียกสาวที่แต่งตัวเหมือนสก๊อยซึ่งเดินผ่านมา
“น้องสาวครับซื้อสร้อยพี่ไหมครับ ใส่สร้อยคอเหมือนแทยอน ใส่สร้อยข้อมือเหมือนยุนอา ใส่ทั้งสร้อยคอสร้อยข้อมือประกายยิ่งกว่า Girls’ Generation ทั้งวงอีกนะครับ” เรียกเด็กประถมและมัธยม
“พี่สาวครับแวะดูสร้อยก่อนไหมครับ เสริมสิริมงคลดีมากเลยนะครับ” เรียกคนวัยทำงาน
“คุณพี่ครับสนใจสร้อยเก๋ๆ ไหมครับ ใส่แล้วกระชากวัยให้กลับมาดูสวยใสวัยกระเตาะเลยครับ” เรียกคุณยายที่เดินถือไม้เท้าพยุงเดิน
“เท่าไรล่ะไอ้หนู”
“สร้อยคอเส้นละ 50 สร้อยข้อมือเส้นละ 30 ครับคุณพี่”
“แพงจังเลย ลดได้ไหมไอ้หนุ่ม” คุณยายหยิบสร้อยคอขึ้นมาเส้นหนึ่งแล้วจัดการต่อราคา คนจิตใจดีเช่นมานะอดสงสารไม่ได้จึงช่วยลดราคาให้คุณยาย ความสุขของลูกค้าต้องอยู่เหนือผลกำไรอยู่แล้ว
“ผมลดให้คุณพี่สุดๆ เอาไปเลย 49 บาท 50 สตางค์ครับ” คุณยายหรี่ตามองพ่อค้าหน้าคม
“ถ้าจะลดให้ขนาดนี้นะพ่อคุ๊ณ”
“คุณยายจะจ่ายเป็นสลึงก็ได้นะครับ แต่เงินพดด้วงผมไม่รับนะครับ”
“แกว่าฉันแก่หรือไอ้หนุ่ม เดี๋ยวก็ฟาดด้วยไม่เท้าเสียนี่” ยกไม้เท้าขึ้นมาด้วยมือสั่นๆ
“เปล่าครับคุณพี่ ผมลดให้เหลือ 49 แล้วกัน คนกันเองครับ” รับแบงค์สีฟ้ามาแล้วหยิบเหรียญบาททอนให้ “ขอบคุณครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะฮะ”
“เจริญๆ นะพ่อหนุ่ม”
“สาธุครับ” ยกมือไหว้รับพรท่วมหัว
หลังจากขายดีจนหมดเกลี้ยงมานะก็ยิ้มแฉ่งเหมือนคนบ้าเดินกลับบ้านไปตลอดทาง หากก่อนจะกลับบ้านเขาก็คิดว่าจะไปแวะซื้อลูกปัดมาร้อยต่ออีก เฒ่าแก่น้อยก็เฒ่าแก่น้อยเถอะ เจออาเสี่ยใหญ่อย่างไอ้โม่เข้าไประวังจะหนาว ทว่าทางที่เดินไปซื้อลูกปัดนั้นกลับมีอุปสรรคติดขวางอยู่เล็กน้อย
“ไอ้สินแกจะไปไหนต่อวะ” หนุ่มตี๋ที่เดินออกมาจากร้านเกมเอ่ยถามเพื่อนข้างกาย
“ไปหาอาว่ะ” สินบดีในชุดนักเรียนที่ชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกงตอบ
“เมื่อเช้าดูบอลสะใจมากเลย เด็กหงส์หรือจะสู้เด็กผีอย่างเรา” เด็กตี๋ว่าพลางหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ
“ใช่ๆ นี่ขนาดดูย้อนหลังนะยังมันขนาดนี้ อีกทีมก็กากจริงไรจริง โธ่ จะมาสู้แมนยู ไปสู้กับเด็กประถมก่อนดีกว่าไหม หงส์หรือห่านวะ ไอ้เป็ด!” สินบดีระเบิดเสียงหัวเราะร่วมกับเพื่อนอย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย โดยหารู้ไม่ว่าคำพูดจากความคิดความชอบส่วนตัวเหล่านั้นมันไปกระแทกกระทั้นใส่คนที่มีความคิดแตกต่างกันเข้า
เด็กหนุ่มหกคนที่ยืนเล่นอยู่แถวนั้นชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กสองคนซึ่งเป็นเด็กต่างสถาบันกับพวกเขาเดินคุยกันเสียงดัง เด็กหนุ่มทั้งหกพยักหน้าให้กันก่อนจะวิ่งไปบังหน้าเด็กหนุ่มทั้งสองเอาไว้
“มึงว่าใครเป็นเป็ดนะ” หนึ่งในเด็กหกคนกระชากถามเสียงดังอย่างหาเรื่อง สินบดีและเพื่อนขวัญหนีดีฟ่อทันที หน้าตาดูตื่นตระหนก
“ทีมมึงดีมากงั้นสิ ถุย” ฝ่ายที่คนเยอะกว่ารุกอย่างมาดมั่นและจริงจัง
“เอ่อ คือ...” เด็กตี๋อ้ำอึ้ง สีหน้าแสดงออกถึงความขลาดอย่างชัดเจน ก่อนจะโบ้ยความผิดไปให้เพื่อน “ไอ้นี่เป็นคนพูดครับ ลาก่อย”
ว่าจบก็รีบกลับหลังวิ่งออกไปทันที ทิ้งให้เพื่อนสบถเสียงด่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สินบดีมองเพื่อนต่างสถาบันที่จ้องมาด้วยสายตาสุนัขจิ้งจอก ทันใดนั้นเองหนึ่งในหกนั้นก็เข้ามาชกมัดเข้าตรงมุมปากเขาทันที
“พ่อ! ผมอยู่นี่” สินบดีทำหน้าเหยเก ก่อนจะโบกมือไปข้างหลังพวกหมาหมู่เป็นเชิงหาตัวช่วยทั้งที่ไม่มีใครเลย พวกมันหันไปมอง เขาก็กลับหลังออกวิ่งตามเพื่อนตี๋ไปทันที
เด็กหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบหลายนาที เสียงฝีเท้าหนักๆ และคำขู่ขวัญแรงๆ ดังตามมาข้างหลังอย่างกระชั้นชิด สินบดีมิได้ระวังทางข้างหน้าจึงทำให้ชนใครคนหนึ่งเข้าอย่างจังจนล้มคะมำลงไป
“อ้าวๆ ไอ้น้อง ตาก็มีหัดมองบ้างสิวะ” ชายหนุ่มโวยวาย จัดรูปทรงหมวกที่ใส่กลับด้านอยู่บนศีรษะให้เข้าที่
“พี่ช่วยผมด้วย” สินบดีตาลีตาเหลือกขึ้นไปเกาะแขนขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มแปลกหน้า ก่อนจะเข้าไปหลบอยู่ด้านหลัง เมื่อคู่อริวิ่งมายืนเผชิญหน้าเป็นฝูง
“นี่เรื่องอะไรกันวะไอ้น้อง” มานะถามอย่างงุนงง มิได้มีอาการตกใจหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ไม่เกี่ยวอย่าเสือก”
“อ้าว ทำไมพูดจาหมาไม่รับประทานแบบนี้ล่ะ” มานะมองหน้าอย่างกวนโอ๊ย
“ไม่อยากโดนก็หลีกไป” เด็กทั้งหกมองหน้าคนที่เข้ายุ่งแล้วก็คันไม้คันมือ อยู่เฉยๆ หน้าตามันก็หาเรื่องอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาทำลอยหน้าลอยตาทำหูทวนลมกับคำสั่งของพวกเขาอีก
“เข้ามาเลยไอ้น้อง คิดว่าจะกลัวหรือไง” มานะกระดิกนิ้วเรียก จากนั้นก็เกิดเสียงตุบตับดังขึ้นชวนให้อลวนวุ่นวาย โชคดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีคน เลยไม่มีใครเข้ามามุงหรือเข้ามาวุ่นวายให้โกลาหลกว่าเดิม
สินบดีที่พาตัวเองไปหลบอยู่ข้างกระถางต้นไม้ใหญ่นั่งกอดกระเป๋าเป้นิ่งพลางกดโทรศัพท์หาคนที่คิดว่าอาจจะช่วยเขาได้ ทว่าอยู่ๆ ก็มีใครบางคนมากระชากคอเสื้อเขาให้ลุกยืนขึ้น ง้างหมัดสูงราวจะต่อยให้เขากรามหักเลยทีเดียว หากก่อนที่จะทันต่อยหมัดลุ่นๆ ให้กระแทกเข้าใบหน้า ไอ้คนที่ง้างมือขึ้นก็โดนต่อยด้วยมัดหนักๆ จนล้มลงไปนอนบนพื้นเสียก่อน ชายหนุ่มเจ้าของหมัดหนักนั้นแกว่งมือแกว่งเท้าอย่างปวดหนึบ สินบดีหันกลับไปมองเห็นสภาพพวกหมาหมู่กองกันอยู่ระเนระนาดอย่างน่าสมเพช เขาเบนกลับมามองฮีโร่ที่เนื้อตัวยังคงเหมือนเดิม มีเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อยที่ข้างแก้ม
“พี่ทำได้ไง”
“อยากรู้เมื่อกี้ทำไมไม่ดู ไปนั่งหลบเป็นตุ่นเข้ารูอยู่ได้” มานะแขวะเข้าให้ ก่อนจะหันไปสั่งสอนเด็กหนุ่มที่เละด้วยน้ำมือของเขา “อย่าทำตัวเป็นอันธพาลรังแกคนที่ไม่มีทางสู้ ถ้าอยากสู้ก็ต้องสู้ให้มันแฟร์ๆ”
ว่าพลางปัดป่ายเศษฝุ่นตามเนื้อตัว แล้วจากไป “กลับบ้านกันดีๆ เว้ย”
“เดี๋ยวพี่” สินบดีวิ่งตามไปเดินข้างๆ “เพื่อตอบแทนที่พี่ช่วยผม ให้ผมเลี้ยงไอติมนะ”
“ไม่เป็นไร เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้เอง”
“บุญคุณต้องทดแทน ให้ผมตอบแทนพี่บ้างเหอะนะ” ตื้อเสียงอ่อน
“เออ ก็ดีเหมือนกัน” เป็นผู้ใหญ่ไปปฏิเสธความหวังดีของเด็กมันจะเสียมารยาทเอา “งั้นขอแวะซื้อลูกปัดข้างหน้านี่ก่อนนะ”
“พี่เนี่ยนะซื้อลูกปัด ไม่เห็นจะเข้ากันเลย” สินบดีว่าไปตามรูปลักษณ์ที่เห็น “หรือว่า... พี่เป็นใช่ป่ะ”
“อยากไปอยู่กับไอ้พวกเมื่อกี้ไหม”
“แฮะๆ ไม่ครับ” ปฏิเสธเสียงแห้ง “ว่าแต่พี่ชื่ออะไรครับ”
“โม่”
“พี่โม่ ผมชื่อสินนะ” เด็กหนุ่มบอก
“ใคร”
“ผมไง”
“ใครถาม?”
...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ