Stony รักไม่ยาก
9.0
เขียนโดย WAFFLE_W
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.
34 ตอน
1 วิจารณ์
33.09K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) คนมีความรักมักจะดูเด็กลงไปนิดนึง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความชายหนุ่มร่างสูงจับโทรศัพท์แนบหู รอฟังเสียงสัญญาณโทรศัพท์อย่างใจเย็น
“ฮัลโหล” ปลายสายกดรับ
“งานเรียบร้อยไหม”เอ่ยถามน้ำเสียงวางท่า
“แน่นอน” คนว่ายิ้มกว้าง
“ดี จะเปิดตัวเมื่อไหร่”
“ประมาณสามอาทิตย์”
“อย่าให้เกินสามอาทิตย์ล่ะ เพราะที่นี่กำหนดอีกหนึ่งเดือน นายต้องชิงตัดหน้ามันให้ได้ เข้าใจไหม”กำชับเสียงเข้ม
“เข้าใจครับ ฉันน่ะทำได้ทุกอย่างแหละ ยกเว้นก็แต่นาย มีอย่างที่ไหนสาวไส้ให้ศัตรู” ว่าเยาะ
“หุบปาก ถ้าเรื่องนี้จบเราก็จบกัน”
“จบกันง่ายๆ จะดีหรือครับ เผื่อวันหนึ่งเราอาจได้ร่วมธุรกิจกันก็ได้ คุณว่าที่ประธานเฟรนซี”
“ถึงตอนนั้น เราคงเป็นได้แค่คู่แข่งกัน แล้วเฟรนซีก็จะนำแซนด์ไทม์ไปหลายขุม”
“เหอะ...” ผู้นำนาฬิกาแบรนด์แซนด์ไทม์แค่นหัวเราะ ทว่าอีกฝ่ายกดตัดสายไปเสียก่อนจึงหยุดการสนทนาไว้แค่นั้น
ถ้วยข้าวต้มบนโต๊ะอาหารสำหรับผู้ป่วยกระเด็นออกจนตกขอบโต๊ะ หากยังโชคดีที่มีมือหนามารับไว้ได้ทัน เขาวางมันไว้ที่เดิม ระบายลมหายใจเชื่องช้าอย่างยอมถอดใจในการบอกให้บิดาทานอาหารเช้า
“เหล้า เอาเหล้ามาให้กู” เสียงอ่อนระรวยโหยหวน คร่ำครวญหาน้ำเมาเพื่อนคู่ใจยามเหงา “กูจะกินเหล้า กูไม่ไหวแล้ว”
มานะคว้ามือที่สะเปะสะปะไขว่คว้าอากาศให้หยุดนิ่ง มองบิดาด้วยสายตาเวทนาระคนห่วงใย“เหล้าไม่มีหรอก กินข้าวดีกว่าพ่อ”
“ออกไป!” บุญมีสะบัดมือออก “อย่ามาสั่งกู มึงมันหมา ไป เอาหน้ามึงไปไกลๆ ตากู”
“เบาๆ สิพ่อ เกรงใจคนอื่นด้วย” ผู้ป่วยและญาติที่มาเฝ้าในห้องพักผู้ป่วยรวมต่างก็หันมามองเตียงของบุญมีเป็นตาเดียว
“กูจำได้ กูไม่เคยสอนให้มึงมีมารยาท อย่าทำเป็นผู้ดีเหมือนแม่มึงหน่อยเลย” กระชากเสียงใส่หน้าอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนหันไปมองเอาเรื่องคนที่มองมา “ใครอยากเสร่อยุ่งเรื่องชาวบ้านก็ปล่อยมัน”
“กินข้าวด้วยนะพ่อ ไปทำงานแล้ว” มานะเดินหน้าเครียดออกไป ด้วยไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาให้ทุกคนมองเขาและพ่ออย่างเหยียดหยามนานกว่านี้
หลายวันแล้วที่พ่อนั่งอาละวาดอยู่ในโรงพยาบาล จะนิ่งได้ก็ตอนที่ไอติดต่อกันจนมีเลือดออกและตอนที่หมอเข้ามาจ่ายยานอนหลับให้ อาการของพ่อไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย หนำซ้ำยังแย่ลงทุกวัน ลูกอย่างเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้มากแค่ยืนใกล้ก็โดนไล่อย่างกับหมูกับหมา ทางเดียวที่พอจะช่วยได้คือต้องหาเงินมาให้หมอรักษาพ่อจนหาย
เงินต้องแลกกับงาน และงานที่เขาทำก็คือ ช่วงเช้ามืดเข้าไปขนผักที่ตลาด พอเช้าตรู่ก็ไปกวาดขยะบริเวณรอบบริษัทซึ่งได้รับค่าจ้างจากยามอีกทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็ทำงานส่งของตามเดิมจนถึงเที่ยงวันก็ไปล้างจานที่ร้านอาหารหน้าบริษัท บ่ายโมงกลับมาส่งของ ห้าโมงเย็นไปเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารฟาสต์ฟูด พอถึงสี่ทุ่มก็กลับไปเพนท์สีแก้วที่ร้านทำแก้วเซรามิกจนถึงเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเมตตาของเถ้าแก่ใจดีที่ให้เขาเลื่อนเวลามาได้ จากนั้นตีสามก็กลับไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล ทำให้เขาได้มีเวลางีบหลับได้สักชั่วโมงสองชั่วโมงแม้จะมีตารางงานแน่นเอี๊ยดแทบอกแตกตาย หากเขาก็ยังมีเวลาหลายเสี้ยววินาทีที่คิดคำนึงถึงท่านประธานหน้านิ่ง
หลังจากแผลแห้งและรับการบำบัดจนอาการดีขึ้นคุณหมอก็อนุญาตในเพชรงามออกจากโรงพยาบาลได้ คราแรกหญิงสาวดึงดันว่าจะเข้าบริษัทไปทำงานให้ได้ แต่ก็ถูกบิดาที่กำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่ปรามไว้ว่ารอให้พักฟื้นจนหายดีจริงๆ ก่อน ส่วนงานที่บริษัทนั้นให้พี่ชายสองคนช่วยกันทำไป
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่เธอเดินกระปอกกระเปียกไปมาในบ้านด้วยอารมณ์เบื่อเหงาเศร้าเซ็ง
หญิงสาวเดินไปหยิบนมในตู้เย็นมาเทใส่แก้วแล้วยกดื่ม อยู่บ้านเฉยๆ มันก็สบายดีหรอก หากแต่การที่ได้อยู่กับตัวเองนานๆ เธอก็มักจะชอบคิดเรื่องนั่นนี่ตลอด โดยเฉพาะเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตและสิ่งที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตที่มักมาพร้อมกับความกังวลว้าวุ่น มันไม่ได้ให้ความรู้สึกดีเท่ากับการได้ทำงาน เธอคิดถึงงาน คิดถึงการได้แสดงความคิดไอเดียต่างๆ ได้รับความคิดแปลกใหม่ที่แตกต่างและแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กับบุคคลมากมาย ที่สำคัญเธอคิดถึงใครบางคน ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะไปยิ้มอ่อยปล่อยใจให้กับสาวที่ไหนบ้างแล้ว
“อ้าว คุณหนู หิวหรือคะ” ป้าแม่บ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นเพชรงามยืนดื่มนมอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว
“เปล่าค่ะ”
“เห็นจันทร์ไหมคะ ป้าจะออกไปซื้อของสักหน่อย จะให้ไปอยู่เป็นเพื่อนเฝ้าคุณหนูแฝด”
“ไม่เห็น เดี๋ยวหนูไปอยู่กับหลานเองค่ะ” ดีเหมือนกัน จะได้มีอะไรทำ ไม่ต้องมานั่งคิดฟุ้งซ่าน
“ค่ะ แล้วคุณหนูอยากได้อะไรไหม”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นป้าไปนะคะ” ป้าแม่บ้านยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินออกไป เพชรงามเดินเอาแก้วไปล้างที่อ่างล้างจานก่อนจะเดินขึ้นไปหาหลานที่ห้อง ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปรอยยิ้มของเธอก็ปรากฏขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ห้องกว้างถูกเนรมิตในเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อย เตียงขนาดเล็กสองเตียงตั้งอยู่ชิดผนัง มีม้าโยก กระดานลื่น ซุ้มลูกเสือจำลอง ลูกบอลขนาดทั้งเล็กและใหญ่อยู่เกลื่อนกลาดทั่วพื้นห้องที่ปูด้วยแผ่นโฟมปูพื้นสำหรับรองคลาน ตัวแสบสองคนกำลังนั่งต่อเลโก้กันอยู่ คุณอาสาวล้มลงนั่งล้อมวงด้วย
“เล่นด้วยสิ”
“คร้าบ อาม่อนมาช่วยพิกเล็ทต่อสิคร้าบ”
“ม่าย อาม่อนต้องช่วยทิกเกอร์สิ”
เด็กชายทั้งสองกระแทกตัวต่อเลโก้ลง แย่งกันฉุดกระชากแขนคุณอาให้มาอยู่ช่วยตนเอง คนกลางเอนหัวไปมาตามแรงยื้อฉุด
“อาว่า เรามาแข่งกันต่อดีกว่า เอารูปอะไรดีครับ” เด็กทั้งสองทำท่าครุ่นคิด
“พิกเล็ทอยากสร้างรถถัง”
“ม่ายเอา สร้างยีราฟดีกว่า”
“เค้าจะเอารถถัง”
“เค้าก็จะเอายีราฟ”
“รถถังๆๆ”
“ยีราฟๆๆ”
“ผีเสื้อ” เพชรงามโพล่งออกไปตัดรำคาญ เวลาอยู่กับเด็กๆ ถ้าอารมณ์ดีก็จะมองว่าพวกเขาน่ารักน่าชัง แต่ถ้าเริ่มอารมณ์ไม่ดีความน่ารักก็จะกลายเป็นความน่ารำคาญ
“ก็ได้คร้าบ”
“ใครทำเสร็จก่อนคนนั้นชนะนะ เริ่ม”
เด็กน้อยทั้งสามแข่งกันต่อเลโก้เป็นรูปผีเสื้อกันอย่างขะมักเขม้น หลานชายตั้งใจต่ออย่างสนุกสนานตรงข้ามกับอาสาวที่ดูเอาจริงเอาจริงกับการเล่นมาก เธอมีท่าทีเงอะงะจับตัวต่อที่ไม่เข้าคู่กันหลายครั้งหลายหน สิบนาทีผ่านไปทิกเกอร์ก็นำผีเสื้อของเขาวางลงกลางวงได้ก่อนเป็นคนแรก ตามมาด้วยพิกเล็ทที่ทำเวลาไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด ดวงตาแป๋วทั้งสองคู่มองดูผีเสื้อที่ปีกหายไปข้างหนึ่งก่อนจะหัวเราะคิกคัก เพชรงามวางผีเสื้อที่เพิ่งต่อปีกได้ข้างเดียวลงด้วยความอับอาย
“บางอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์หรอก ผีเสื้อแม้จะมีแค่ปีกเดียวมันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้นะ”
“ผีเสื้อพิการ” เด็กทั้งสองชี้นิ้วไปที่ผีเสื้อพิการแล้วหัวเราะร่าน่าหรรษา เจ้าของผีเสื้อพิการทำตาดุใส่อย่างแง่งอน อาสาวตบมือดังๆ สามครั้งเป็นคำสั่งบอกให้หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้
“ไปดูทีวีกันดีกว่าเด็กๆ” เธอคลานเข้าไล่ต้อนให้เจ้าตัวแสบเคลื่อนทัพไปอยู่หน้าจอทีวี จัดการเปิดเครื่องเล่นดีวีดีสำหรับสอนเด็ก ทั้งสามนอนดูอย่างสนุกสนาน บางครั้งเมื่อมีเพลงมันๆ สะท้านอารมณ์เด็กทั้งสองก็ลุกขึ้นมาเต้นกันเรียกเสียงหัวเราะจากคุณอาดังลั่นสนั่นบ้าน ทั้งสามพักทานน้ำหวานและขนมว่างที่พี่เลี้ยงเอาขึ้นมาให้แล้วกลับไปดูทีวีกันอีกครั้งก่อนจะผล็อยหลับไป
รุตที่มานั่งเล่นอยู่กับยามที่ป้อมยามหน้าประตูบ้าน นั่งส่องกระจกเสยผมพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี ไม่มีอะไรสุขใจไปกว่านี้แล้ว นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ตากแอร์ตากพัดลมไป พอรู้สึกเบื่อก็ไปตัดหญ้ากวาดขยะเล่น ไม่ก็จับกลุ่มนั่งสนทนาถึงบ้านเกิดกับเหล่าการ์ดและแม่บ้าน ที่สำคัญไม่ต้องไปเจอเจ้านายตัวร้าย ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าสุขภาพหูของเขาจะดีขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อไม่ต้องทนรับฟังเสียงก่นด่านานา เสียงตะคอกกระแทกกระทั้น ชีวิตมีความสุขเหลือเกิน อันที่จริงก็ไม่อย่างแช่งเจ้านายหรอก แต่ถ้าเป็นไปได้ขอให้ครั้งหน้าเจ็บหนักๆ หน่อยก็แล้วกัน การ์ดหนุ่มคนนี้จะได้มีเวลาพักยาวๆ
หากยังไม่ทันที่ผมบนหัวจะเรียบแปล้เสียงของใครบางคนก็ดังโวกเวกขึ้นเสียก่อน
“พี่รุตๆ พี่ๆ” เจ้าของชื่อหันซ้ายแลขวาไปตามเสียงเรียก เสียงคุ้นๆ ที่ทำเอาใจหายใจกระตุกดังมาจากคนที่สวมหมวกแก็ปสีดำซึ่งยืนเกาะรั้วอยู่ใกล้ๆ ป้อมยาม
“ไอ้โม่” รุตลุกขึ้นก่อนจะไปหาคนส่งของที่ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร “แกมาทำไม”
คนถูกถามยกกล่องสีรุ้งซึ่งบรรจุนาฬิกาเซ็ตใหม่ชูขึ้น “เอาสินค้ามาส่งให้ท่านประธาน”
“เอามาสิ เดี๋ยวฉันเอาขึ้นไปให้” การ์ดส่วนตัวของท่านประธานยื่นมือไปรับด้วยสีหน้าแหย อุตส่าห์หลบหลีกไม่เจอเจ้านายมาทั้งอาทิตย์ ในที่สุดวันที่น่าโหดร้ายที่สุดของชีวิตก็มาถึงจนได้ มานะส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเก็บกล่องนาฬิกามากอดไว้แนบอก
“ผมขอเอาไปให้เองได้ไหม”
“แกจะเข้ามาทำไม รีบเอามาให้ฉันแล้วกลับไปทำงานซะ เดี๋ยวก็หักเงินเดือนซะหรอก” ขู่ราวกับตัวเองเป็นคนใหญ่คนโตในบริษัท ถึงไม่ใช่ก็ใกล้ชิดล่ะวะ
“นาทีนี้หักก็ยอมวะ ขอผมเข้าไปหน่อยนะพี่” คิดถึงใจจะขาดแล้ว เพิ่งจะรู้ใจตัวเองตอนที่ต้องห่างเหินเดินจากกันนี่เอง ว่าท่านประธานคนนี้สำคัญต่อความรู้สึกของเขามากเพียงไร
“เจ้านายฉันจะพักผ่อน แกอยากโดนไล่ตะเพิดกลับหรือไง”
“แป๊บเดียวเอง ขอเจอแวบหนึ่งแล้วผมจะวิ่งออกมาเลย”ยังคงตื๊อไม่เลิก
“เออๆ ตามใจแล้วกัน” การ์ดผู้ใจดีเปิดประตูให้ชายหนุ่มที่ชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนเข้ามา “อยู่ดีไม่ว่าดี รนหาที่ตาย”
“ขอบคุณนะพี่ ผมล่ะรักพี่ที่สุดเลย” ว่าอย่างเอาใจแล้วกระโดดโอบไหล่คนที่เดินนำหน้าไป รุตสะบัดตัวออกห่างทันควันอย่างหวาดระแวง
“ไม่ต้องมาใกล้ บ๊ะ ไอ้นี่ ถึงเนื้อถึงตัวตลอด”
“จะได้ถึงพริกถึงขิงไงพี่” ว่าเย้าแหย่กลั้วหัวเราะ ให้อีกคนขนลุกชันไปทั้งตัว เร่งฝีเท้าก้าวเดินอย่างระแวดระวัง
ในตอนที่มานะกำลังตื่นตาตื่นใจกับความหรูหราอลังการและความโอ่อ่าภาคภูมิของตัวบ้านข้างในอยู่นั้น รุตก็เรียกสาวใช้นางหนึ่งที่เดินผ่านมา เพื่อเรียกถามว่าเพชรงามอยู่ไหน เมื่อได้คำตอบแล้วก็หันไปชายอีกคนเดินไปลูบๆ คลำๆ คริสตัลรูปหงส์ข้างแจกันใบใหญ่บนโต๊ะโชว์
ถ้าเอาไปขายคงจะเลื่อนฐานะตัวเองเป็นเศรษฐีได้สักเดือนสองเดือนเชียว มานะคิด
“อ้าว พี่รุต” สาวใช้คนหนึ่งเดินผ่านมาพลางเรียกรุตด้วยความร้อนใจ
“มีอะไรจันทร์”
“ท่อน้ำหลังบ้านมันแตกน่ะจ้ะ ช่วยซ่อมให้หน่อยสิ ฉันจะไปปิดวาล์วน้ำใหญ่ก่อน”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหาท่อมาเปลี่ยนให้แล้วกัน” รุตหันไปหามานะ “ไอ้โม่ไปที่ชั้นสอง ห้องประตูที่มีป้ายหมีพูห์ติดข้างหน้า” จบคำเขาก็เลี้ยวตัวเดินตามสาวใช้ไปทันที
คนที่ถือกล่องสีรุ้งอยู่ในมือเลียบมองสิ่งของไปทั่วห้อง ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดอัปยศออกไป ไม่เห็นต้องขโมยเลย ยังไงอนาคตเขาก็ต้องมาร่วมเป็นเจ้าของอยู่แล้ว พลันใบหน้าชายหนุ่มก็แดงขึ้นเป็นลูกตำลึง เขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง และเมื่อหาห้องที่มีลักษณะตามอย่างที่การ์ดบอกแล้ว ชายหนุ่มก็แสดงมารยาทที่มีอยู่น้อยนิดออกมาด้วยการเคาะประตู ยืนรออยู่นานสองนานประตูก็ยังอยู่แน่นิ่งเช่นเดิม นาทีนั้นมารยาทที่มีขจรกระจายออกไปวิ่งเล่นจนหมดแล้ว มือหนาบิดลูกบิดกุญแจแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ห้องรกๆ ที่ดูน่ารักอบอุ่น ทำให้มานะเผลอยิ้มออกมา เขาใฝ่ฝันแต่เด็กว่าอยากมีบรรยากาศห้องนอนเป็นแบบนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแค่มีที่ให้ซุกหัวนอนก็ถือว่าเป็นบุญถมเถแล้ว เขากวาดสายตาไปรอบห้องเพื่อหาเป้าหมาย ชายหนุ่มยกมือทาบอกตัวเองเมื่อลื่นลูกบอลยางที่อยู่เกลื่อนกลาดพื้นห้องจนเกือบล้ม เขาล้มนั่งลงอย่างแผ่วเบาเมื่อเข้าถึงจุดที่เป้าหมายอยู่ หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนกุดสีขาวและกางเกงยีนส์ขาสั้น เธอกำลังนอนหลับตาพริ้มอ้าปากหวออยู่ สิ่งที่คั่นระหว่างตัวเขากับเธอคือเด็กชายตัวน้อยที่แต่งตัวเหมือนกัน หากพิจารณาดีๆ ลักษณะใบหน้าก็เหมือนกันอย่างกับแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้...ท่านประธานนะไม่ใช่เด็ก
ชายหนุ่มวางกล่องสีรุ้งไว้ข้างตัว พร้อมด้วยถอดกระเป๋าเป้และหมวกสุดที่รักออก ถือโอกาสนอนลงข้างๆ เด็กน้อย อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองกำลังรับบทเป็นพ่อที่ออกไปทำงานแต่เช้าเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แล้วกลับเข้าบ้านอีกทีก็ตอนดึก ภรรยาและลูกน้อยต่างหลับใหลกันหมดแล้ว พ่อเข้าห้องมาแอบจุ๊บแก้มภรรยาและลูกคนละฟอดสองฟอด ก่อนจะล้มตัวนอนลงไปอย่างมีความสุข นี่แหละชีวิตที่เขาต้องการ แบบนี้เลย...
ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่และหลับไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าตอนตื่นมาอีกทีเขาก็แทบอยากหลับไปอีกรอบ เมื่อพบว่าภรรยามานั่งขัดสมาธิจ้องอยู่ใกล้ๆ พร้อมด้วยลูกน้อยที่จ้องเขาตาแป๋วเช่นกัน มานะยิ้มเจื่อนๆ ปากคอแห้งผาก ก่อนจะดันตัวขึ้นโดยจงใจให้ใบหน้าเคลื่อนเข้าไปหาเพชรงาม เหลือพื้นที่อีกแค่คืบเดียวเท่านั้นที่จมูกเข้าจะได้สัมผัสแก้มนวลไร้เครื่องสำอางของเธอ หญิงสาวก็ผลักใบหน้าเขาออกเสียก่อนอย่างน่าเสียดาย
เพชรงามมองลูกน้องสีหน้าเคร่งขรึม เธอไม่รู้ว่าหมอนี่เข้ามาในห้องได้ยังไง เธอตื่นขึ้นมาเพราะสียงเรียกและการก่อกวนของหลานชาย ทั้งสองชี้ไปที่คนแปลกหน้าที่นอนนิ่งอยู่ คราแรกเธอกะจะคว้ามาฟาดให้แล้วแต่เมื่อพอลองมองดีๆ ชัดๆ ความตกใจก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ ยอมรับก็ได้ว่าดีใจนิดหนึ่ง เห็นแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ จึงได้แต่นั่งนิ่งจ้องคนร้ายอย่างเหน็ดหน่ายใจ
มานะยกมือถูหน้าผากไปมาอย่างเก้อเขินก่อนจะหยิบหมวกขึ้นสวมโดยหันเอาปีกหมวกไปไว้ด้านหลัง เขายิ้มให้เด็กสองคนที่จ้องมาไม่วางตา
“มีอะไรจะพูดไหม” เพชรงามเอ่ยขึ้นตัดความเงียบ
“คิดถึง” จ้องตาสื่อความหมาย หญิงสาวแสร้งทำไขสือ
“นายบุกรุกบ้านฉัน”พยายามอย่างยิ่งเพื่อให้น้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เปล่านะ ผมไม่ได้บุกรุกบ้านท่านประธานนะครับ ไม่ได้ขโมยของสักชิ้นเลยด้วย” คนกลัวความผิดรีบร้อนตัวบอก “พี่รุตพาผมเข้ามา คือผมจะเอากล่องนาฬิกามาให้น่ะครับ” ว่าพร้อมยื่นกล่องสีรุ้งไปให้เธอรับ
หญิงสาวเปิดฝากล่องออก ข้างในมีนาฬิกาหลากสีเรียงตัวอยู่ครบเซ็ต เธอหยิบสีขาวออกมาชื่นชมด้วยความภูมิใจ ตรงด้านข้างของหน้าปัดมีปุ่มเล็กๆ สีแดง เธอกดไปที่ปุ่มนั้น ไฟหน้าปัดสว่างวาบพร้อมทั้งมีกลิ่นลิ้นจี่หวานชื่นโชยมาจากข้างตัวเรือนนาฬิกาซึ่งเป็นช่องตาข่ายเล็กๆ
เพชรงามยื่นเอาให้หลานสูดดมกล่อนจากช่องตาข่ายนั่น เด็กทั้งสองชอบใจแย่งกันใหญ่ จนคุณอาสาวต้องยกนาฬิกาให้คนละเรือนหลังจากที่เธอสำรวจดูทุกอันเรียบร้อยแล้ว เธอปิดกล่องเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มพอใจต่อผลงานได้มลายหายไปยามได้สบสายตาวาววับนั่น
“สวยดีนะครับ”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง” ว่าเสียงขรึม “มีสิทธิ์อะไรมานอนกับฉัน เอ่อ หมายถึงมานอนข้างๆ หลานฉัน” คนที่ไม่ได้เรียบเรียงคำให้ดีก่อนพูด รีบพูดใหม่เมื่อเห็นรอยยิ้มชอบใจจากคนเจ้าเล่ห์
“ตอนแรกผมเข้ามาเห็นท่านประธานนอนอยู่ ไม่กล้าปลุก ก็เลยออกไปรอข้างนอก จำได้ว่าผมเดินออกไปข้างนอกแล้วนะ ต่อจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้เลย นี่ก็งงอยู่เลยว่าตัวเองมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คนเจ้าเล่ห์เสแสร้งพูดหน้าซื่อ
“ตอแหล” คำสั้นๆ บาดลึกถึงจิตใจ หากชายหนุ่มก็ยังคงยิ้มหน้ารื่นอย่างไม่สะทกสะท้าน
“นี่ท่านประธานไม่เชื่อผมเหรอ เปิดดูกล้องวงจรปิดเลยก็ได้”
“ฉันเปิดแน่”
“อะ อ้าว ห้องนี้ติดกล้องวงจรปิดด้วยเหรอครับ” ซวยล่ะไอ้โม่
“ติดสิ เพื่อป้องกันภัยจากตัวอันตราย”
ตัวอันตรายหน้านิ่วลง มองหาตัวกล้องรอบห้องหากก็ไม่เจอ
“อยู่ไหนล่ะ”
“ซ่อนไว้ในที่ลับ ภาพคมชัดทั้ง 360 องศาเลยล่ะ” หญิงสาวแกล้งทำเสียงขู่ ความจริงแล้วในตัวบ้านเธอไม่ติดกล้องวงจรปิดเลยสักตัว เพราะถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล
“คุณอา ทิกเกอร์จะเอาหมวกนี่” เด็กชายคนหนึ่งกระตุกแขนเสื้อเพชรงามแล้วชี้ไปที่หัวมานะ ชายหนุ่มยิ้มกัดปากส่ายหน้าไม่ให้
“ไม่ได้ครับ ไม่ใช่ของเรา” เธอบอกหลาน หลานตัวแสบก็ดีดดิ้นแล้วตั้งต้นร้องไห้ น้ำหูน้ำตาไหลพรากจนแฝดผู้พี่พลอยร้องไห้ไปด้วย เพชรงามหันมามองตัวต้นเหตุแล้วเอ่ยเสียงแข็ง “ถอดหมวกมา”
“หมวกนี่ใบโปรดของผมเลยนะ ไม่ให้หรอก” ของของใคร ใครก็หวง ยิ่งของที่รักด้วยล่ะก็... ข้ามศพไอ้โม่ไปก่อนเถอะ
“ยืมแป๊บเดียวเอง เด็กเล่นไม่เท่าไหร่เดี๋ยวมันก็เบื่อ”
“ผู้ใหญ่ก็พูดแบบนี้ตลอด ไปรู้ใจเด็กได้ยังไง ให้ยืมเล่นแล้วไม่เห็นเคยได้คืนสักอย่าง” เถียงอย่างไม่ยอม
“นายโตแล้วนะ ให้หลานฉันยืมเล่นหน่อยสิ”
“ไม่ให้ก็คือไม่ให้ ผมเก็บตังค์แทบตายกว่าจะได้มันมา”
“อาม่อน พิกเล็ทก็จะเอาด้วย”
“ทิกเกอร์เอา เอาให้ทิกเกอร์”
เด็กทั้งสองเริ่มงอแง มือไม้ชี้โบ้ชี้เบ้มาทางศีรษะของมานะ
“ถอดมาให้หลานฉันก่อน เดี๋ยวซื้อให้ใหม่” ชายหนุ่มหันขวับมามอง
“ซื้ออะไร ซื้อให้ใคร”
“ฉันจะซื้อหมวกให้นายใหม่ โอเคไหม”
“โอเคที่สุด” จะเอาให้แพงกว่าใบนี้สักร้อยเท่าเลย คอยดู
มานะถอดหมวกบนหัวไปใส่บนหัวทิกเกอร์ แล้วก็ถอดออกมาอีกเพื่อปรับให้มันพอดี ซึ่งปรับยังไงมันก็ยังใหญ่อยู่ดี เด็กชายทั้งสองหัวเราะร่ามีได้สลับกันใส่หมวกที่ตกลงมาปิดตา เพชรงามถือจังหวะนั้นเดินออกไปเข้าห้องน้ำ หวังว่ามานะคงดูแลหลานเธอได้นะ ตลอดทางเดินเธอก็คิดถามตัวเองในใจว่าเหตุใดถึงไม่ไล่เขาไป
กลับมาอีกทีภาพที่เธอเห็นคือทิกเกอร์นั่งขี่คอมานะ ส่วนพิกเล็ทก็เกาะหลังเขาไว้ ชายหนุ่มวิ่งเหยาะเบาๆ ไปรอบห้องอย่างน่าหวาดเสียว “พิกเล็กกับทิกเกอร์เกาะหมีพูห์ไว้ให้ดีๆ นะ หมีพูห์จะพาไปเที่ยว”
“นายโม่ นี่ หยุดวิ่งนะ ถ้าหลานฉันตกจะทำยังไง” หญิงสาวโวยวายพลางเดินไล่ตามหลังอย่างกลัวว่าหลานเธอจะตกลงมา “ฉันบอกให้หยุดไง หยุดสิ”
“ว้าย แม่มดใจร้ายตามมาแล้ว หนีเร็ว” ชายหนุ่มไม่ฟังคำสั่งเจ้านายที่ตอนนี้กลายเป็นแม่มดใจร้ายไปเสียแล้ว เขาเร่งฝีเท้าวิ่งเร็วขึ้น
“นายโม่ หยุด!” เช่นเดียวกับหญิงสาวที่วิ่งตามเร็วขึ้น แต่จุดประสงค์เปลี่ยนไปจากการช่วยเหลือหลานชายกลายเป็นมุ่งทำร้ายไอ้เเมสเซ็นเจอร์ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทุกอย่างเริ่มว่องไวขึ้นความสนุกก็เพิ่มมากขึ้น ทิกเกอร์และพิกเล็ททั้งหัวเราะชอบใจและหวาดกลัวอาสาวที่วิ่งตามไล่จับ คนที่เหนื่อยและสนุกที่สุดคงเป็นมานะ เขารู้สึกราวได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ได้เล่นวิ่งไล่จับกับเพื่อนๆ
การไล่ล่าสิ้นสุดลงเมื่อชายหนุ่มทำเด็กทั้งสองตกลงไปบนเตียงนุ่มเล็กๆ ก่อนจะนั่งตามลงไป เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ล้มตัวลงบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน อาการเจ็บไข้หายไปเป็นปลิดทิ้งเหลือเพียงแต่ความเหนื่อยอ่อน แฝดคู่แสบที่ไม่มีอาการเหนื่อยหอบแต่อย่างใดกระโดดลงไปเล่นกระดานลื่นกันต่อ
เพชรงามอยากร้องบอกให้ทั้งสองหยุดพักบ้างหากก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะออกปาก เธอนั่งเหยียดขาอย่างหมดสภาพ สายตาเจ้ากรรมดันหันไปปะทะกับดวงตาคมที่จ้องมองอยู่ สองหนุ่มสาวที่ได้สบกับดวงตาที่เฝ้าคำนึงถึงหลายวัน คลี่ยิ้มออกมาให้กันอย่างไม่อาจปิดกั้นความรู้สึกอันแสนสุขนี้ นานเนิ่นทีเดียวกว่าจะละสายตาออกจากกัน ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของห้วงหัวใจ เสียงกระโจมโครมครามจากเด็กทั้งสองไร้อิทธิพลต่อประสาทการรับรู้
เพชรงามคือคนที่ลุกขึ้นยืนก่อน แล้วตามด้วยชายหนุ่ม
“ขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมครับ ไม่ไหวแล้ว” มานะว่า
“เปิดประตูเดินไปซ้ายมือ ห้องริมสุด” เพชรงามบอก
“ทิกเกอร์ไปด้วย” ลุกขึ้นเดินไปจับมือชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จัก
“พิกเล็ทก็ปวดฉี่เหมือนกัน” เดินไปจับมืออีกข้างไว้ แล้วชายทั้งสามก็แกว่งแขนพากันเดินออกไป ทิ้งให้หญิงสาวยืนส่ายหน้าตามหลังด้วยรอยยิ้ม
เธอนั่งลงบนฟูกที่ปูไว้บนพื้น พลันสายตาก็ปะทะกับกระเป๋าเป้สีดำของมานะเข้า ไม่รู้อะไรบันดาลใจให้เธอหยิบมันขึ้นมาเปิดดู กระเป๋าใหญ่มีเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เธอจำได้ว่าเห็นเขาใส่ซ้ำหลายครั้งแล้ว และแล้วเธอก็รู้สึกได้ว่าตัวเองไร้มารยาทเกินไปแล้ว ทว่าตอนนั้นเองที่เธอสะดุดตาเข้าอะไรบางอย่างสีบานเย็นที่อยู่ใต้เสื้อผ้านั่น เพชรงามถือวิสาสะดึงมันออกมา มันคือสมุดโน้ตเล่มเล็กสภาพยับเยิน
เธอบรรจงเปิดมันออกเพื่ออ่านข้อความข้างใน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ