Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  33.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) อมยิ้มแทนใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

                ณ หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทายาทแห่งมงคลสกุลทั้งสี่นั่งกุมขมับด้วยสีหน้าไม้สู้ดีนักพร้อมด้วยสินบดี พาณี และรุต นายแพทย์ในชุดเสื้อกาวน์ทรงภูมิผลักประตูออกมา

                “อาผมเป็นไงบ้างฮะ” สินบดีและพาณีผุดลุกรีบถลาเข้าไปหา หลังจากเห็นเลือดแดงฉานที่เท้าของเพชรงาม ทั้งสองก็หน้าซีดเซียวกันไปตามระเบียบ

                “คนไข้มีบาดแผลใหญ่ที่เท้าครับ หมอเอาเศษแก้วออกและทำแผลให้แล้ว ดีนะครับที่พามาส่งก่อนที่เธอจะเสียเลือดไปมากกว่านี้ ส่วนที่เธอหมดสติไปคงเป็นเพราะตกใจ ยังไงช่วงนี้ก็ต้องพักฟื้นไปก่อนและหมั่นดูแลแผลที่เท้าด้วย เดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะครับ” ว่าจบคุณหมอก็เดินจากไป

                ทุกคนได้ฟังดังนั้นก็โล่งใจกันไปเพราะหญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรมากตามที่ตีความกันเองตามสภาพเลือดที่ไหลท่วมเท้า

                “พวกคุณกลับไปพักเถอะครับ เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าเจ้านายเอง” รุตเอ่ยขึ้น

                “ผมอยู่ด้วย” สินบดีรีบบอก

                “พรุ่งนี้นายต้องไปโรงเรียนนี่” พาณีแย้ง

                “ขี้เกียจเรียนเคมีคาบแรก ค่อยเข้าไปเรียนตอนคาบสองก็ได้” เด็กหนุ่มว่าง่ายๆ อย่างไม่ใส่ใจ แล้วหันไปหาศิลาผู้เป็นบิดา พลางเอ่ยขออนุญาต “พ่อ คืนนี้ผมของอยู่เฝ้าอาไดมอนด์นะ” ศิลาพยักหน้าให้ส่งๆ

                “พ่องั้นพิณอยู่ด้วยนะ” พาณีหันไปขออนุญาตบิดาบ้าง สุริยาครางเสียงตอบรับอย่างแผ่วเบาในลำคอ จากนั้นสี่พี่น้องก็พากันเดินออกไป

 

                เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในห้องอาหารที่ไร้ซึ่งอาหารใดๆ จะมีก็เพียงแก้วน้ำเปล่าห้าแห้วสำหรับคนห้าคน บรรยากาศเคร่งขรึมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ทุกคนต่างมีเรื่องกังวลอยู่ในใจ

                “อธิบายมาสิ” เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียบนิ่งทว่าสะท้านใจคนฟังยิ่งนัก

                “อธิบายอะไรครับ” สุริยาทำไขสือ

                “ความชั่วของพวกแกไง” หลังจากที่เขาสอบถามทุกคนแล้วมันก็บ่งชี้ความผิดไปยังลูกชายทั้งสี่ ฐานิชคือคนที่บอกให้เพชรงามเข้าไปในห้องน้ำ และก่อนเริ่มงานคนสวนยังเห็นสี่คนนี้หิ้วกระสอบและถังน้ำไปทำลับๆ ล่อๆ บริเวณห้องน้ำด้วย

                “พ่อคิดว่าพวกเราจะแกล้งไดมอนด์หรือครับ พวกเราโตกันแล้วนะ” ฐานิชโวยขึ้น

                “นั่นสิ พวกแกโตแล้วนะทำไมถึงทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้”

                “พวกเราไม่...” ศิลาขยับตัวเตรียมปฏิเสธ หากพอได้สบประสานกับสายตานิ่งๆ ที่หยั่งลึกด้วยความอ่อนโยนของผู้เป็นบิดา เขาก็ก้มหน้าหลุบตาต่ำด้วยความรู้สึกผิด

                “แกรู้ไหมน้องแกน่าสงสารขนาดไหน” ดวงตาสีอ่อนทอดมองลูกๆ ด้วยความรัก “ในวัยเด็กที่ทุกคนควรได้เล่นสนุกกับเพื่อนๆ แต่พวกแกไม่เคยเล่นกับน้องเลย แล้วยังไปห้ามเพื่อนที่โรงเรียนไม่ให้ยุ่งกับไดมอนด์อีก อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ฉันเลยต้องยัดให้ไดมอนด์มาร่ำเรียนวิชาต่างๆ เพราะคิดว่าคงช่วยให้เธอหายเหงาได้ งานทุกอย่างที่ฉันพร่ำสอนให้พวกแกก็มีแค่เธอคนเดียวที่ตั้งใจและใส่ใจเก็บเกี่ยวจริงๆ จำที่ฉันเคยไล่ต้อนให้พวกแกมานั่งฟังตอนฉันประชุมได้ไหม พวกแกทำอะไร? หนีไปเที่ยวเล่น อ้างโน่นอ้างนี่ แต่ไดมอนด์เข้าฟังทุกครั้งทั้งยังต้องมานั่งสรุปรายงานให้ฉันอีก...

                “อ้อ แล้วยังมีอีกอย่างที่พวกแกคงยังไม่รู้ แกว่าความฝันมันสำคัญแค่ไหน มันน่าเสียดายแค่ไหนที่ต้องละทิ้งความฝันของตัวเอง” ชายทั้งสี่มองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่เข้าใจความหมายของคำที่บิดาเอ่ย ความฝันคือการได้ครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่บิดาสร้างขึ้นมา “ไดมอนด์แอบไปสอบเอ็นฯ เข้าคณะทันตแพทย์แล้วก็สอบติดได้คะแนนดีด้วย แต่สุดท้ายเธอก็ต้องเรียนบริหารตามที่ฉันขอ”

                ชายชราเว้นวรรคพักถอนหายใจอย่างอิดโรย “ฉันไม่เข้าใจพวกแกเลยจริงๆ พี่น้องแทนที่จะรักใคร่กลมเกลียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน แต่นี่อะไร ที่ผ่านมาฉันอุตส่าห์อดทนปล่อยให้ต่างคนต่างอยู่แล้วนะ ฉันคงผิดเองที่ไม่สนใจแก้ไขความสัมพันธ์ของพวกแกเสียตั้งแต่เนิ่นๆ น่าผิดหวังจริง”

                “มันทำให้แม่ต้องตาย” พี่ใหญ่โพล่งขึ้นเสียงกร้าว ทุกคนในที่นั้นมีท่าทีแข็งขึ้น ยกเว้นเพียงสิงห์ภพที่อ่อนลง

                “แม่แกยอมเสียสละตัวเองเพื่อให้ไดมอนด์มีชีวิตอยู่ เธอคงหวังว่าไดมอนด์จะได้รับความรักจากพวกแกเหมือนที่เธอได้รับ ไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่ยอมเห็นลูกตัวเองเกลียดชังกันได้หรอก”

                “ถ้าไม่มีมันแม่ก็คงอยู่กับพวกเราได้นานกว่านี้ พวกเราต้องการแม่นะครับ”

                “แม่แกเองก็ต้องการน้อง คิดว่ามันเป็นโชคชะตาไม่ได้หรือ เลิกคิดเสียว่ามันเป็นความผิดของใคร โชคชะตามันฝืนไม่ได้ว่าใครจะอยู่หรือไป จงยอมรับและอยู่ให้ได้กับสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่”

                “พ่อรักยายไดมอนด์มากกว่าพวกเรา พอมีมันพ่อก็เลิกสนใจพวกเรา ทิ้งขว้างให้เราอยู่กันเอง”

                “ถ้าฉันทำให้แกรู้สึกแบบนั้นฉันก็ขอโทษ แต่รู้ไว้ว่าฉันไม่เคยรักใครมากกว่ากัน” เพียงแต่เอ็นดูลูกสาวมากกว่า เพราะเธอเกิดมาไม่มีแม่ ไม่เคยได้ความรักจากพี่ชาย เขาเพียงอยากเติมเต็มช่องว่างที่หายไปให้ลูก

                “พ่อไม่ต้องพูดหรอก แค่การแสดงออกมันก็บอกทุกอย่างแล้ว”

                “แกว่าสิ่งที่แสดงออกภายนอกมันคือทุกอย่างที่อยู่ในใจหรือ” เป็นอีกครั้งที่เขาถอนหายใจออกมา “ฉันไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนความคิดพวกแกได้ยังไง สรุปว่าที่ไดมอนด์ต้องเข้าโรงบาลเป็นเพราะฝีมือของพวกแก”

                “ผมขอโทษ” วิเชียรเอ่ยเป็นคนแรก

                “สำนึกผิดหรือยังที่ขอโทษน่ะ แล้วคนที่พวกแกต้องขอโทษจริงๆ ก็คือไดมอนด์ ไม่ใช่ฉัน”

 

                ข่าวใหม่ข่าวใหญ่ประจำเช้าวันนี้ของพนักงานในเฟรนซีคือข่าวที่ว่าท่านประธานสาวหน้านิ่งนอนโทรมอยู่โรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บ บ้างก็ว่าขาหักเดินไม่ได้ บ้างก็ว่าที่ขามีแผลฉกรรจ์เหวอะหวะ ต่างคนก็ต่างวิจารณ์กันไปต่างๆ นานาถึงสาเหตุและผลลัพธ์ของเหตุการณ์ดังกล่าว ทว่าก็ไม่มีใครสามารถอธิบายไขความกระจ่างได้เพราะคนใกล้ชิดของหญิงสาวยังไม่มีใครย่างเข้ามาในบริษัทเลยสักคน

                “พี่โม่รู้ข่าวยัง?” โอเปอเรเตอร์สาวนางหนึ่งเอ่ยทักทายชายหนุ่มที่สภาพเหมือนคนกำลังนอนละเมอมากกว่าจะตั้งใจมาทำงานจริงๆ

                “ฮือ” เขาปรือตาหาวหวอดใหญ่ ก่อนจะตบข้างแก้มตัวเองเรียกความกระปรี้กระเปร่ายามเช้า

                “ยังไมรู้ล่ะสิ ว่าตอนนี้ท่านประธานน่ะนอนหยอดน้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล”

                “หา!” ชายหนุ่มตื่นเต็มตาทันที “ว่าไงนะ”

                “ท่านประธานบาดเจ็บอยู่โรงบาล”

                “เป็นอะไร” เขาถามอย่างใคร่รู้ระคนเป็นห่วง ในใจสั่นไหวรู้สึกไม่สู้ดีนัก

                “ไม่แน่ใจเหมือนกัน บางคนบอกเจ็บที่เท้า บางคนบอกเจ็บที่ขา” มานะเดินผละขึ้นไปที่ห้องประจำการ จะเจ็บที่ไหนก็ช่างขออย่าให้เธอเป็นอะไรมากเลย ข่าวนี้ทำอาเขาหดหู่ใจเสียสนิท กังวลไปต่างๆ นานา

 

                ภายในห้องพักพิเศษของผู้ป่วย หญิงสาวที่เป็นจุดศูนย์กลางของทุกสายตากวาดตามองผู้คนที่ยืนแวดล้อมเธอนิ่งๆ

                “เป็นไงบ้างลูก” สิงห์ภพเอื้อมมือไปลูบศีรษะบุตรสาว

                “เจ็บค่ะ” เธอตอบพลางเหลือมองไปที่เท้าใต้ผ้าห่มไม่เพียงที่เท้าเท่านั้นที่เจ็บหากยังรู้สึกระบมไปทั้งตัว

                “โธ่เอ๊ย ไดมอนด์ ไม่เป็นไรนะลูก เดี๋ยวก็หาย” น้ำเสียงและแววตาที่ปลอบประโลมเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย ความอบอุ่นแผ่ซ่านปกคลุมทั่วหัวใจของหญิงสาว ชายชรากล่าวต่อด้วยเสียงที่ทุ้มขึ้น “รู้ไหมทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้”

                เพชรงามพยักหน้านิ่งสงบ “หนูรู้ว่าสาเหตุมาจากไหน แต่ที่หนูต้องเจ็บแบบนี้ เพราะหนูทำตัวเองค่ะ”

                “ถ้าไม่มีตัวต้นเหตุเรื่องทั้งหมดมันคงไม่เกิด” สิงห์ภพหันไปมองลูกชายทั้งสี่ “พวกแกรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

                สี่พี่น้องมองหน้ากันก่อนจะพูดแบบไม่เต็มใจนัก “ขอโทษ”

                “พูดดีๆ” ชายชราครางเสียงหึ่ม

                “ขอโทษนะ” ครั้งนี้เสียงอ่อนลง ทว่าไม่มีใครเลยสักคนที่จ้องตาหญิงสาวจังๆ

                เพชรงามพยักหน้าผ่านๆ เธอเจ็บขนาดนี้คงให้อภัยง่ายๆ ได้หรอกนะ รอหายเจ็บเมื่อไหร่เธอถึงจะยกโทษให้จริงๆ

                “ถึงน้องแกจะให้อภัยแล้วแต่โทษของพวกแกยังไม่ได้ชำระ” คนเป็นพ่อพูดจริงจังเด็ดขาด “อาทิตย์หน้าฉันจะไปปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ แล้วพวกแกสี่คนต้องไปกับฉันด้วย”

                “โธ่ ไม่เอานะพ่อ” พี่ใหญ่รีบชิงปฏิเสธให้ทำอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่การอยู่ร่วมกับธรรมะ

                “ไม่ได้”

                “แต่ถ้าพวกผมไปแล้วใครจะดูแลบริษัทล่ะ ยายประธานก็นอนป่วยอยู่แบบนี้” ศิลาหาเหตุผลมาอ้าง

                สิงห์ภพหรี่ตาครุ่นคิดก่อนจะยิ้มออกมาให้ลูกชายใจผวา “งั้นก็สลับกันไป รอบนี้ไปสอง พอกลับมาอีกสองก็ค่อยตามไป” ทั้งสี่เกี่ยงกันทันทีว่าใครจะไปก่อนไปหลังจนเกิดเป็นสงครามขนาดย่อม “หยุด ไม่ต้องเถียงไม่ต้องเกี่ยง รอบแรกไอ้พี่ใหญ่สองคนไปก่อน”

                “พ่อ” สุริยาและศิลาครางพร้อมกันอย่างอิดออดโดยมีรอยยิ้มแห่งชัยชนะของฐานิชลอยขึ้นเย้ยเยาะ พี่ชายทั้งสองเดินลงส้นออกไป แล้วตามด้วยน้องชายอีกสอง

                “ขอโทษนะไดมอนด์ หายไวๆ นะ” วิเชียรทิ้งคำพูดและรอยยิ้มไว้ให้น้องสาว

                นายใหญ่แห่งเฟรนซีส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนจะเบนสายตาไปหาชายหนุ่มที่ยืนกุมมือนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง “ขอบใจมากนะรุตที่รีบเข้าไปช่วยลูกสาวฉันได้ทัน”

                “มันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วครับท่าน” เขาตอบนอบน้อม เพชรงามรู้เช่นนั้นก็กล่าวขอบคุณเขาในใจ

                “ถึงอย่างนั้นก็ขอบใจมาก”

                เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมร่างของคุณหมอและพยาบาลสองคนที่เข็นรถเข็นเข้ามา “หมอต้องพาคนไข้ไปล้างแผลก่อนนะครับ”

                ขณะที่รุตช่วยพยุงเพชรงามให้ไปนั่งบนรถเข็นด้วยความยากลำบากเพราะหญิงสาวขยุกขยิกเนื่องด้วยอาการไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัว สิงห์ภพก็เอ่ยถามคุณหมอเจ้าของไข้ “เมื่อไหร่ลูกผมจะเดินได้ปกติครับ”

                “ก็รอจนกว่าแผลจะแห้งสนิทครับ คงประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะแผลค่อนข้างหนักเอาการเหมือนกัน ถ้าไม่อักเสบมากคงเดินได้เร็วกว่านี้ครับ อ้อ แล้วช่วงนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวหนักนะครับ บางจุดบนร่างกายมีรอยฟกช้ำที่คงเกิดจากการล้มกระแทกพื้นด้วย”

                “ผมฝากด้วยนะครับหมอ”

                “ครับ”

หลังจากล้างแผลและทายาเสร็จสิงห์ภพก็กลับบ้านไปเพราะลูกสาวขอร้องเนื่องจากเห็นอาการอิดอ่อนโรยราของพ่อ หลังจากนั้นตัวแทนพนักงานจากแผนกต่างๆ ก็ทยอยกันมาเยี่ยมจนคนป่วยต้องชักสีหน้าทุกครั้งที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น

                “จันทร์” เสียงเรียบเอ่ยเรียกสาวใช้เมื่อได้อยู่ตามลำพังกับเธอ “ไปบอกรุตทีว่าห้ามให้ใครเข้าเยี่ยมฉันอีก ฉันจะพักผ่อน”

                “ค่ะ” คนที่นั่งอ่านหนังสือซุบซิบดาราอยู่ลุกขึ้นไปรายงานให้การ์ดที่เฝ้าหน้าห้องทราบทันที

 

                หลังเลิกงานมานะก็ตรงบึ่งไปยังโรงพยาบาลแทบฉับพลันทันด่วนเพื่อพบกับความผิดหวัง

                “งดเยี่ยม ถ้าไม่ได้ใช้นามสกุลมงคลสกุลก็เชิญกลับไปครับไอ้โม่” รุตที่นั่งหน้าประตูหน้าห้องกล่าวบอก

                “แป๊บเดียวเองพี่ ผมแค่อยากเห็นว่าท่านประธานเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง” น้ำเสียงออดอ้อนกว่าทุกครั้ง

                “ยังเป็นอยู่ เหยียบเศษแก้วมาเลยเป็นแผลที่เท้า ตอนนี้ยังเดินไม่ได้และกำลังพักผ่อนอยู่ รู้แล้วก็กลับไปซะ” รุตไล่ด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำที่ชัดเจน

                “อย่าไล่สิพี่”          

                “จะไล่ ทำไม”

                “เดี๋ยวผมก็กลับหรอก” มานะชะเง้อชะแง้มองผ่านช่องโปร่งใสเล็กๆ ที่ประตูเพื่อส่องไปดูคนข้างใน “แต่ขอ...”

                “โนๆ” รุตลุกขึ้นรีบดึงคอเสื้อคนที่เข้าหาประตูฉับพลัน “ไม่ได้ เจ้านายฉันต้องการพักผ่อน เธอบอกว่าห้ามใครเยี่ยม ขนาดคนใหญ่คนโตมาฉันยังไม่ให้เข้าเลย นับประสาอะไรกับคนต๊อกต๋อยอย่างแก” ชี้มือไปที่ทางเดิน “ตรงไปทางนู่นนะ แล้วกลับบ้านไป”

                มานะเบ้ปากใส่การ์ดหนุ่ม หันไปเจอช่อดอกใหญ่ กระเช้าผลไม้ อาหารบำรุง และขนมอีกนานาชนิดวางไปที่เก้าอี้ยาวด้านข้าง “นี่อะไรเหรอพี่”

                “ของเยี่ยม มีไหม ถ้ามีก็เอาวาง เอ้ย ลืมไปว่าแกคือไอ้โม่ จะมีอะไรล่ะเนอะ” ว่าแหย่เย้าติดตลก

                มานะวางอมยิ้มหัวเดียวกระเทียมลีบลงร่วมกองด้วย ทอดตามองราวกับจะมองทะลุประตูเข้าไป ก่อนจะตัดสินใจเดินจากไป

               

                สามวันผ่านไปแล้วที่มานะทำได้เพียงเดินไปชะเง้อแหงนมองดอกฟ้า จนคอเคล็ดก็ยังไม่สามารถมองเห็นดอกฟ้านั้นได้ ปลายพู่กันตวาดอย่างประณีตลงบนแก้วเซรามิกเนื้อขาวรื่นตามก่อเกิดรูปตามจินตนาการของผู้วาด มันเป็นภาพดอกไม้งามเด่นด้วยการไล่เฉดสีฟ้าม่วงอย่างลงตัว ไม่นานนักโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ ก็สั่นครืด

                “ไอ้โม่ ตายห่าแล้วไอ้โม่”

                “อะไรลุง ใครตาย”

                “พ่อมึงน่ะสิ นอนใกล้ตายอยู่โรงบาลเนี่ย” ปลายสายกระชากเสียงร้อนรน

                “อะไรนะลุง” กำอุปกรณ์สื่อสารแน่น หัวใจเต้นรัว

                “รีบมาเลย รีบมาๆ” มานะลุกพรวด ตะโกนขอลางานกะทันหันกับเถ้าแก่ที่นั่งเพนท์สีอยู่อีกฝั่งแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ลุงซึ่งเป็นเพื่อนวินมอเตอร์ไซค์ของพ่อบอก

                “ลุง พ่อเป็นไงบ้าง” มานะพุ่งไปเกาะขอบเตียงในห้องพักผู้ป่วยรวมที่มีกลิ่นยาลอยอวลชวนเวียนเศียร เขามองดูใบหน้าซูบเซียวคุ้นตาที่นอนหลับอยู่บนเตียง

                “อยู่ๆ มันก็ไอเป็นเลือดแล้วเป็นลมไป พวกข้าเลยช่วยกันหามมาส่ง นึกว่ามันจะกลายเป็นผีใส่โลงซะแล้ว หมอมันบอกว่าเป็นพิษสุราเรื้อรังอะไรนี่แหละ” ว่าเสียงห้าวแหบพร่า “แกมาก็ดีล่ะ ข้าจะได้กลับสักที ไอ้พวกนั้นทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียว บรรลัยจริงๆ” ว่าจบก็เดินออกไป

                “ขอบใจนะลุง”

                มานะถอนหายใจพรืดยาว

 

                เพชรงามกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนอ่านข่าวสารบ้านเมืองในสมาร์ทโฟนอยู่บนเตียง อ่านไปอ่านมาอยู่ๆ ก็คิดถึงใครคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าตลอดห้าวันมานี้เขามาเยี่ยมเธอบ้างหรือเปล่า ป่านนี้คงลืมเธอไปเสียแล้วกระมัง จะไปหวังอะไรกับคนแบบนั้น

                เธอปิดโทรศัพท์ในที่สุดด้วยไม่มีอารมณ์อ่านต่อ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับกองของเยี่ยมที่การ์ดรุตขนมาวางที่โซฟาข้างผนังให้ทุกเย็น... ของชิ้นที่เล็กที่สุด

                “จันทร์หยิบอมยิ้มให้หน่อย” หญิงสาวบอกสาวใช้ หากสายตากลับแน่นิ่งไปที่อมยิ้ม เมื่อทุกอย่างยังไม่ไหวติงเธอจึงหันไปมองคนรับคำสั่งเห็นจันทร์นั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้ จึงเรียกชื่อปลุกอีก 2-3 หน ทว่าสาวใช้ก็ยังคงไม่ตื่น มือเรียวคว้าแก้วน้ำทุ้มลงพื้นแตกดังเพล้งกระจายไปทั่ว

                “ว้าย ขี้หมา!” จันทร์อุทานเงอะงะตื่นขึ้นมาด้วยความตระหนกตกใจทันที

                “หยิบอมยิ้มให้ที” ว่าเสียงเรียบมีแววสั่งอยู่ในที จันทร์ยกมือกุมหน้าอก ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก เพชรงามบุ้ยใบ้ไปที่กองของเยี่ยม แต่สาวใช้ก็ยังคงนิ่ง จนถึงตอนที่เพชรงามคว้าแก้วน้ำที่คว่ำอยู่ขึ้นมาอีกแก้วนั่นแหละจันทร์ถึงรีบรุดพรืดไปคุ้ยหาอมยิ้มให้ตามความต้องการของผู้เป็นนาย เธอส่งอมยิ้มสองอันไปให้คนป่วยก่อนกลับไปเก็บเศษแก้วอย่างงุนงง

                เพชรงามหมุนอมยิ้มในมือไปมา... ของใครกัน

                “จันทร์เรียกรุตเข้ามาให้หน่อย” ว่าแล้วก็ต้องไขความกระจ่าง ครู่เดียวการ์ดหนุ่มก็เดินเข้ามา หญิงสาวชูอมยิ้มให้ดู “ของใคร”

                “ไอ้โม่ครับ” รุตบอก

                “มีแค่สองอันเหรอ”

                “สามครับ” เขาเดินไปคุ้ยหาอีกอันแล้วส่งให้เจ้านาย “มันเอามาให้ตอนสามวันแรก ส่วนสองวันหลังนี่ยังไม่เห็นหัวมันเลยครับ”

                “อือ ออกไปได้แล้ว” ว่าเรียบๆ ด้วยท่าทางซึมลง

                หญิงสาวกำลังน้อยใจอย่างไร้เหตุผล โดยหารู้ไม่ว่าใครคนนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการดูแลบิดาและวิ่งเท้าขวิดหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา