Stony รักไม่ยาก
เขียนโดย WAFFLE_W
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) หนีเร็ว ตำรวจบุก!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
มานะที่โดนหิ้วปีกมาถูกปล่อยลงบนโซฟาไม้เก่าๆ ในโกดังโกโรโกโสแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องเข้าซอยแคบๆ เปลี่ยวๆ มา เมื่อเห็นหนทางไม่น่าสู้ดีเพชรงามก็ถอดใจอยากย้อนกลับทันที ทว่าเสียหายใจเป็นห้วงลึกของมานะกลับฉุดรั้งเธอเอาไว้
หญิงสาวนั่งลงข้างมานะอย่างหวาดระแวง มองบรรยากาศรอบๆ ที่มีกระสอบมากมายตั้งอยู่เป็นกองสูง เครื่องจักรหลายอย่างที่เธอไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร หยากไย่เกาะเต็มไปหมด แถมหน้าโกดังยังมีชายฉกรรจ์ท่าทางไม่น่าไว้ใจเหมือนคนติดยาเฝ้าอยู่ด้วย
นี่เธอกล้าเข้ามาที่นี่ไปยังไงกัน อะไรคือความปลอดภัยเมื่อมาอยู่ในที่ลับหูลับตาคนเช่นนี้ แล้วไอ้คนที่เธอเป็นห่วงเขาไว้ใจได้หรือเปล่า หรือเขาจะปกป้องเธอยังไงหากไอ้พวกนั้นเข้ามาทำมิดีมิร้าย ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตกกลัว
“อ่ะ ทำแผลให้มันซะ” พิภพที่เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมา ยื่นมันให้หญิงสาว เธอมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วสูง ชี้มือเข้าหาตัวเองด้วยใบหน้างุนงง พิภพพยักหน้า เลื่อนมือเข้าไปใกล้เธออีกนิด เพชรงามจำใจรับมันมา “เดี๋ยวมานะ”
ว่าจบก็เดินออกไป มานะคว้าขวดน้ำที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาบ้วนปากล้างคาวเลือด ก่อนจะนั่งมองหญิงสาวแกะกล่องปฐมพยาบาลแล้วหยิบอุปกรณ์ในนั้นขึ้นมาอย่างเก้ๆ กังๆ เธอเทแอลกอฮอล์ใส่ในสำลีจนชุ่มแล้วมาเช็ดแผลบนหน้าให้เขาแบบสะเปะสะปะ แม้จะแสบจนแทบร้องกรี๊ดทว่ามานะก็เก็บเสียงเอาไว้ นั่งปล่อยใจไปกับท่านประธานแสนสวยดีกว่า หลายรอบเหมือนกันที่เขาถูกสายตาค้อนของเธอตีเข้าให้
ทว่าไม่นานนักชายหนุ่มก็กรีดร้องออกมาจนได้ด้วยความเจ็บปวดแสบแสน พยาบาลจำเป็นจึงต้องเบามือลงหน่อยด้วยกลัวว่าอาการดิ้นพล่านๆ ของเขาจะทำให้ยิ่งเจ็บตัวมากขึ้นไปอีก
พิภพกลับเข้ามาอีกทีตอนที่พลาสเตอร์ปิดแผลแผ่นสุดท้ายปิดสนิทลงบนใบหน้ามานะ
“ไปไงมาไง โดนพวกมันรุมได้วะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเพื่อน ขณะนั่งลงเก้าอี้เดี่ยวข้างๆ
“หน้าตาดีเกินมั้ง” ยักไหล่ไม่แคร์สื่อ
“หยุดมั่นหน้า ไอ้ห่า” หยิบกรรไกรตัดเล็บที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างๆ ขึ้นมาตัดทำความสะอาดเล็บมือ “กูถามดีๆ”
“เคยไปช่วยเด็กคนหนึ่งที่โดนไอ้พวกนั้นรุมไว้น่ะ” เขาตอบอย่างคร้านเล่าต่อถึงรายละเอียด
“กูบอกมึงแล้วความดีไม่ได้ทำให้เราได้ดี”
“เรื่องของกู”
“ไอ้นี่คนอุตส่าห์ไปช่วย พูดจาแบบนี้เอาอีกสักแผลไหม”
“เอาสิ กูสู้นะ” ว่าพลางยกมือขึ้นตั้งกาด สองเกลอหัวเราะออกมา
“เด็กมึงเหรอ” พยักพเยิดไปทางเพชรงาม หญิงสาวปั้นหน้าขรึมนิ่งหากก็เขยิบตัวออกห่างจากมานะเล็กน้อย
“เด็กบ้าไร ดุยังกะป้า” หัวเราะอารมณ์ดี
“กลับได้แล้ว” คุณป้าหน้าบึ้งว่าเสียงเข้ม ผุดตัวลุกขึ้นมาอย่างคนช่างเอาแต่ใจ
“จะรีบกลับทำไม” พิภพแย้ง ทว่าเมื่อได้สบดวงตาคู่ที่ดูราวน้ำแข็งทว่ามีไฟลุกโชนอยู่ในนั้นก็ต้องยอมให้เธอไปแต่โดยดี ชายหนุ่มวางกรรไกรตัดเล็บลงทั้งที่ตัดไปได้แค่ข้างเดียว เช่นเดียวกับมานะที่หยัดกายลุกขึ้นมาโดยไม่ต้องมีใครช่วยพยุง ความจริงแล้วเขาไม่ได้เจ็บหนักถึงขั้นเดินเองไม่ไหวหรอก เพียงแต่เมื่อครู่สวรรค์เปิดทางให้ มีโอกาสดีได้กอดคอท่านประธานฟรีแบบนี้ใครจะพลาด
ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะไปก้าวเท้าออกจากโกดัง ชายหนุ่มหลายคนก็วิ่งหน้าตื่นกรูกันเข้ามาหาลูกพี่ รายงานด้วยเสียงสั่นละล้าละลัง “พี่พี ตำรวจบุกพี่”
หัวหน้าใหญ่หันขวับไปมองอย่างตระหนก ก่อนจะถามเสียงเร่ง “อยู่ไหน เยอะไหม”
“หน้าปากซอย น่าจะสิบคนได้” ว่าน้ำเสียงอกสั่นขวัญผวา
“เก็บของซ่อนแล้วเผ่นเร็ว” สิ้นคำสั่ง ลูกน้องทั้งหลายก็วิ่งกันกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง พิภพวิ่งไปหยิบปืนกระบอกดำก่อนจะเข้ามาบอกเพื่อนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง “รีบพาเมียมึงออกไปจากที่นี่ ออกทางด้านหลังนะ ไปเร็ว”
มานะที่ยืนยกมือลูบหมวกบนหัวไปมาอย่างไม่ใคร่จะเข้าใจนัก ทวาก็รีบทำตามที่เพื่อนบอกโดยพลันด้วยการฉวยมือเพชรงามวิ่งออกไป
“เดี๋ยว ทำไมต้องหนี” หญิงสาวชักเสียงไม่พอใจใส่คนที่พาเธอวิ่ง แม้จะเหนื่อยและล้าเต็มทนกับเหตุการณ์ก่อนหน้า กระนั้นเธอก็ยอมวิ่งไปตามแรงฉุด
“ไอ้พีค้ายา” ตอบโดยไม่หันมามอง ความเข้าใจของเพชรงามกระจ่างวาบ ไม่ต้องขยายความมากก็รู้ว่าวิ่งหนีตำรวจป่าราบขนาดนี้แน่นอนว่าคงไม่ได้ขายยาคูลท์หรือยาดมหรอก
“แต่เราไม่ได้ค้ากับพวกนั้นสักหน่อย” จำเป็นหรือที่ต้องวิ่งหนีขาสั่นแบบนี้
เสียงถอนหายใจหรือสูดลมหายใจเธอก็ไม่แน่ใจนักดังขึ้นจากคนข้างหน้า “ตำรวจเจอเราอยู่ที่นี่ ค้าไม่ค้าก็โดนทดหางเลขหมดแหละครับ”
มานะพาหญิงสาวอ้อมโกดังเก่ามาทางด้านหลัง ซึ่งล้อมอาณาเขตไว้ด้วยรั้วสังกะสีขึ้นสนิมเตี้ยๆ ทั้งสองลอดช่องประตูเล็กๆ ออกไปอย่างค่อนข้างทุลักทุเล เพื่อที่จะไปพบกับป่ารกชัฏที่มีหญ้าเขียวขรึมขึ้นเต็ม ต้นไม้เล็กใหญ่เรียงตัวแลดูอุดมสมบูรณ์และขณะเดียวก็ให้ความน่ากลัวครึ้มครามหัวใจในที ไม่ต่างอะไรกับท้องฟ้าบ่ายนี้สักนิด เลยไปอีกซักพักก็เป็นป่าช้าเล็กๆ อันเงียบสงัด
เสียงไซเรนดังแว่วจากทางด้านหลังพร้อมเสียงยิงปืนอีกสองสามนัด แม้เสียงนั้นจะดังมาจากที่ไกลๆ หากมันก็ใกล้พอให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เสียงฝีเท้าตุบตับที่ไม่รู้ว่าของผู้ร้ายหรือตำรวจวิ่งกันให้ขวักไปทั่วบริเวณ
“โอ๊ย!”
“ท่านประธาน!” มานะรีบเข้าไปช่วยพยุงเพชรงามที่ถลาล้มไปเป่าฝุ่นอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นมา ปัดป่ายเศษฝุ่นเศษดินตามเนื้อตัวออกให้ บนข้อศอกของเธอมีแผลถลอกยาวพอสมควร ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยแววตาจริงจังเป็นครั้งแรก เธอเหลือบสบตาเขา แววตานั้นนิ่งกลบไว้ทุกความรู้สึก หญิงสาวพยักหน้า มานะถอดหมวกแล้วสวมมันให้เพชรงาม แล้วทั้งสองก็พากันวิ่งต่อไป
วิ่งมาได้สักพักทั้งคู่ก็เริ่มหมดแรง เพียงแค่หายใจเข้าออกก็ยังรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ชายหนุ่มรั้งมือหญิงสาวให้มาพักพิงอยู่หลังต้นโพธิ์ใหญ่ มานะแลบลิ้น อ้าปาก หอบหายใจแฮ่กๆ อย่างหมดท่า อาการเจ็บปวดจากใบหน้าคล้ายจะพุ่งพล่านไปตามกระแสเลือดทั่วร่างกายจนต้องขบกรามแน่นเพื่อระงับอาการปวด หากกระนั้นเขาก็ยังมีอารมณ์ยกมือตัวเองข้างที่กุมมือคนข้างๆ ขึ้นมามองแล้วยิ้มกริ่ม เป็นเหตุให้หญิงสาวเจ้าของมือนั้นสะบัดมือออกก่อนจะตวัดผลักตัวเขาออกแรงๆ แรงเพียงน้อยนิดก็ทำให้ชายหนุ่มเซออกมาจากเกาะกำบังของต้นไม้ใหญ่ได้
“ไอ้โม่!” เสียงทุ้มกร้าวตะโกนดังขึ้นเมื่อเห็นลูกน้องคนหนึ่งของตนเล็งปลายกระบอกปืนไปที่เพื่อนของเขา “ไอ้คิมอย่า!”
เสียงปืนดังขึ้นเวลาเดียวกับที่พิภพพาตัวเองไปขวางร่างเพื่อนสนิทเอาไว้ มานะหันหลังไปมองด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ ร่างของพิภพค่อยๆ ไถลลงกับพื้น ดวงตามานะเบิกโต อ้าปากกว้าง สีหน้าซีดแผด
“ไอ้พี!” เสียงเรียกนั้นรวมไว้ซึ่งความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนจะก้มลากตัวพิภพเข้ามาหลบหลังต้นโพธิ์ที่มีหญิงสาวยืนยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้องของตัวเองอยู่ คนบาดเจ็บมีเลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากหน้าขา
“รีบหนีไป” คนโดนยิงบอกเพื่อนเสียงอ่อน ตาเรียวหรี่แสงลงคล้ายเทียนไขใกล้ดับ
“ไปด้วยกัน กูจะพามึงหนีเอง” ว่าพลางยกแขนเพื่อนขึ้นคล้องคอตัวเอง แต่อีกฝ่ายชักกลับ
“ปล่อยกูไว้... กูกระดูกแข็งไม่ตายง่ายๆ หรอก... แต่ไปกับมึงเลือดคงได้หมดตัวตายก่อนพอดี...” พิภพหยัดกายขึ้นพิงกับต้นไม้เก่าแก่ “ปล่อยให้ตำรวจ... มาช่วยพาไปทำแผลดีกว่า... อย่างน้อยแค่ติดคุก”
“มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ” คนกล่าวมองตาเพื่อนด้วยสายตาประกายกล้า พิภพแย้มรอยยิ้มนิดๆ
“กูคบกับมึงจนถึงวันนี้ได้... ก็เพราะกูไว้ใจมึง”
“ไอ้พี...”
“กูดีใจที่มีมึงเป็นเพื่อน... และก็ดีใจที่มึงเลือกเดิน... ในทางที่ถูกต้อง” ความจริงใจและมิตรภาพล้มเปี่ยมในทุกคำที่เปล่งออกมา เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “ไปเถอะ... เอาปืนกูไปด้วย” ยื่นอาวุธประจำตัวไปให้เพื่อน
มานะปัดมันกลับคืนให้เจ้าของเบาๆ “กูไม่เล่นปืน”
“เอาไว้... ป้องกันตัว” ว่าเสียงแหบพร่า พลางแค่นหัวเราะเบาๆ ให้คนที่ไม่กล้าจับปืน
“เอาไปให้หนักมือเล่นซิวะ” เขารู้ตัวดีว่ายังไงตัวเองก็ไม่กล้ายิง แค่ถือมือก็สั่นแล้ว “ขอโทษนะพี ขอโทษในหลายๆ เรื่อง”
“กูยังไม่ได้... จะตายโว้ย” พิภพยิ้มด้วยรอยยิ้มที่บอกว่าไม่เป็นไร ที่มานะต้องวิ่งหนีเสี่ยงตายก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุ
มานะกระชับจับมือเพชรงามอีกครั้ง สายตาทอดมองเพื่อนด้วยความอาวรณ์ เพชรงามหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงสกินนี่สีดำยื่นให้พิภพรับ “ปิดแผลห้ามเลือดไว้”
“ขอบใจ” ชายหนุ่มวางผ้าเช็ดหน้าสีขาวล้วนสะอาดตาทับบนแผลที่มีเลือดไหลไม่หยุด มองตามหลังชายหญิงที่วิ่งห่างออกไป
ทั้งสองหยุดวิ่งกลางคันเมื่อทางข้างหน้าคือลำคลองที่ไม่กว้างมากหากแต่ลึกพอให้จมน้ำตายไปสบาย มีไม้กระดานกว้างประมาณหนึ่งเมตรพาดข้ามระหว่างแผ่นดินสองฝั่ง
“ท่านประธานข้ามไปก่อน” มานะหันมาบอกหญิงสาว เธอส่ายหน้าปฏิเสธทันที จะก่อนหรือหลังเธอก็จะไม่ยอมเหยียบไม้กระดานหัวเดียวกระเทียมลีบแผ่นนี้เด็ดขาด “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าตกผมจะโดดลงไปหา จริงๆ นะ”
คำพูดนั้นมิได้ช่วยคลายความกังวลให้หญิงสาวเลยสักนิด สิ่งที่ช่วยกลับเป็นการที่มือของเขาปล่อยออก เพชรงามผ่อนลมหายใจช้าๆ ยามที่มีตัวคนเดียวทุกอย่างมันก็ดูเหมือนง่ายขึ้น ตายหรือเป็นก็ไม่มีใครเดือดร้อนด้วย เธอค่อยๆ ก้าวขาอันสั่นเทาแตะลงบนแผ่นไม้กระดาน สูดลมหายใจลึกๆ และผ่อนลมหายใจยาวๆ สลับกันไปเกือบทุกย่างก้าว จนในที่สุดเธอก็มายืนอยู่อีกฝั่งคลองได้สำเร็จด้วยใบหน้าที่มีเม็ดเหงื่อเกาะพราว
มานะข้ามตามมาด้วยท่าทีคล่องแคล่วสบายราวเดินเล่นอยู่บนพื้นดิน ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาข้ามมันไปมาหลายร้อยรอบเห็นจะได้ เขาหยุดยืนยิ้มให้หญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่ดูขมเฝื่อนแปลกๆ ก่อนจะพาเธอวิ่งออกไปอีก
มานะบอกให้เพชรงามเหยียบหลังเขาปีนขึ้นกำแพงรั้วหลังวัดเข้าไปด้านใน หญิงสาวลังเลอยู่ครู่ก่อนจะตัดสินใจเหยียบหลังคนที่หมอบตัวกับพื้นขึ้นไปบนกำแพงวัด
หนีร้อนมาพึ่งเย็นสินะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตแล้วกัน คนที่ไม่เคยปีนป่ายซุกซนตลอดทั้งชีวิตคิดในใจพลางถอนหายใจอย่างนึกขอบคุณในโชคชะตา... ที่คอยกำหนดให้คนเรามาเจอในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด
หลังจากนั้นมานะก็กระโดดตามมายืนข้างๆ หันกลับไปมองด้านหลัง เห็นคนหลายคนวิ่งพล่านอยู่ลิบๆ เขาฉวยมือหญิงสาวไว้เตรียมผจญภัยต่อ หากครั้งนี้หญิงสาวกลับสะบัดมือออก
“หลบอยู่ในนี้แหละ”
“เดี๋ยวตำรวจก็ต้องมาค้นในวัดอยู่ดี” เขาว่าตามประสบการณ์ที่เคยฟังเพื่อนเล่าให้ฟัง ดวงหน้าอิดโรยของหญิงสาวแสดงความหน่ายใจ “จะหนีต้องหนีให้พ้นครับ”
“หมวด เมื่อกี้ผมเห็นปีนเข้าไปในวัดสองคน” เสียงทุ้มตะโกนแว่วมาจากที่ไหนสักแห่งไม่ใกล้ไม่ไกล
“จ่ามากับผม เราต้องจับมันให้ได้” นายตำรวจว่าด้วยน้ำเสียงที่ต้องคั้นให้ตายหมายให้มั่น
“ไป” ทั้งสองจับมือกันวิ่งไม่คิดชีวิต ลมหายใจที่เพิ่งเข้าออกได้สะดวกปลอดโปร่งยามเข้ามาพึ่งใบบุญจากวัดเริ่มติดขัดอีกครั้ง ชายหนุ่มเจ้าถิ่นพาหญิงสาววิ่งออกมาทางประตูหน้าวัดแล้วเลาะเลี้ยวเข้าซอยนั่นซอยนี่อย่างช่ำชองเส้นทาง โดยมีตำรวจสองนายวิ่งตามหลังมาติดๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นชวนให้เจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คบนโต๊ะทำงาน ร่างสูงของการ์ดประจำตัวน้องสาวเดินเข้ามาหาแล้ววางแฟ้มเอกสารหลายเล่มลง
“ขอบใจมากนะ” รองประธานบริษัทกล่าว “ถ้าไม่รบกวน ช่วยอธิบายให้ฉันฟังด้วยสิ ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเลย”
“เอ่อ” รุตอ้ำอึ้งก่อนตอบไปว่า “ได้ครับ”
“นั่งสิ” วิเชียรเชื้อเชิญอย่างสุภาพ
การ์ดหนุ่มทรุดตัวนั่งเก้าอี้สำหรับแขก แล้วเริ่มอธิบายรายละเอียดของงาน
ชายหนุ่มออกจากห้องของวิเชียรมาเป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว เขาคาดโทษตัวเองในใจว่าต้องโดนเจ้านายดุแน่ที่ไม่อยู่เฝ้าหน้าห้องหรือตามหาเธอ ทว่าเมื่อเข้าไปในห้องทำงานของประธานกลับพบเพียงความว่างเปล่า เขานั่งรอจนถึงบ่ายสองโมงครึ่งจึงต่อสายหาเธอด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยดีนัก ปกติเขากับเธอไม่เคยห่างกันเลยนี่ หรือถ้าห่างก็ต้องบอกกล่าวกันไว้
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากอุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานใหญ่ บอกให้รู้ว่าเจ้าของคงลืมมันไว้ การ์ดรีบวิ่งไปตามร้านอาหารในย่านบริษัท ซึ่งก็ไม่น้อยเลยทีเดียว ต้องใช้เวลานานนับชั่วโมงกว่าจะหาเกือบทุกร้าน มีร้านหนึ่งที่เจ้าของบอกว่ามีกลุ่มวัยรุ่นอันธพาลยกพวกมารุมหญิงชายครู่หนึ่งตอนบ่ายโมงกว่าๆ รุตภาวนาในใจว่าขอให้อย่าเป็นเจ้านายของเขาเลย แต่นึกไปก็คงไม่ใช่หรอก อย่างเพชรงามจะไปมีเรื่องกับวัยรุ่นอันธพาลได้ยังไง และใครจะกล้าทำอะไรกับหน้านิ่งขรึมแลทรงอิทธิพลนั่น
ว่าแต่ แล้วเพชรงามหายไปไหนล่ะ...
เมื่อเลี้ยวหัวมุมถนนเข้ามามานะก็พาเพชรงามเข้ามาในร้านขายผ้าซึ่งอยู่ถัดจากหัวมุมถนนเป็นร้านที่สาม
“อ้าว พี่โม่ คิดถึงจัง” อารีที่นั่งเล่นแท็ปแล็ตหลังเคาน์เตอร์หันมายิ้มแย้มดีใจ
“ถ้าตำรวจมาถามบอกว่าไม่เห็นพี่สองคนนะ”เขาบอกหน้าเคร่ง ซึ่งมันดูเท่มากในสายตาเด็กสาว
“ทำ...”
ยังไม่สิ้นคำถาม มานะก็ผละไปหาที่ซ่อนอย่างกระวนกระวายซึ่งในนี้ไม่มีที่ที่เอื้ออำนวยในการซ่อนเลย ชายหนุ่มหยุดอยู่ตรงโต๊ะเล็กๆ ที่วางชิดผนังซึ่งมีผ้าหลากสีคลุมอยู่ ด้านบนวางแจกันใหญ่เอาไว้ มานะยัดตัวเพชรงามเข้าใต้โต๊ะก่อนจะตามเข้าไป หญิงสาวถอดหมวกยัดคืนใส่มือเจ้าของ มานะเห็นชายผ้ายังลอยอยู่จึงดึงมันให้ลงมาติดพื้น เป็นผลให้แจกันบนโต๊ะล่วงตกลงมา คนใต้โต๊ะหดตัวติดกันมากขึ้น
สักครู่เดียวเสียงเปิดประตูร้านก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงทุ้มใหญ่ “น้องครับเห็นผู้ชายใส่เสื้อยืดสีดำกับผู้หญิงใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าเข้ามาในนี้ไหม”
“ไม่ค่ะ” เด็กสาวตอบฉะฉานอย่างใสซื่อ เชี่ยวชาญนักแลเรื่องโกหกนี่
“มันไปอยู่ไหนวะ” เสียงสบถอย่างหัวเสียนั้นทำให้ชายหนุ่มใต้โต๊ะเผลอตวัดวงแขนกอดหญิงสาวให้เข้ามาแนบชิดมากขึ้น เขากระตุกยิ้มมุมปากยามที่หญิงสาวเงยหน้ามาทำตาดุให้
“หนู ลุงขอเข้าห้องน้ำหน่อยสิ” ผู้อาวุโสหันไปว่ากับเจ้าของร้าน
“ไม่ได้นะจ่า เดี๋ยวไอ้พวกนั้นก็หนีไปได้หรอก”ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าท้วง
“แป๊บเดียวครับหมวด ไม่ไหวแล้วจริงๆ” ว่าอย่างดันทุรัง “ยายหนู ห้องน้ำอยู่ไหน”
“ตรงนั้นค่ะ” ชี้ไปทางห้องน้ำ
เมื่อนายตำรวจเข้าห้องน้ำก็เดินเข้ามาหยุดหน้าโต๊ะที่มีผ้าคลุมไว้ ชวนให้คนทั้งสองหายใจไม่ทั่วท้อง “หมวด แจกันตก” จากนั้นคนที่ตะโกนรายงานก็วิ่งจากไป
“คือ หนูทำมันตกเอง” อารีเริ่มมีอาการติดขัด
“แน่ใจ?”
“แน่ใจค่ะ”
ทว่าดูเหมือนคนฟังจะไม่แน่ใจในคำตอบของเธอ จึงเดินไปยังที่เกิดเหตุ มือข้างหนึ่งจับชายผ้าหลากสีไว้ก่อนจะ...
“อ้าว” เสียงแหลมของหญิงนางหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะเอ่ยทักทายผู้มาเยือนด้วยเสียงไม่สู้ดีนัก “คุณตำรวจ มาทำอะไรคะ”
“สวัสดีครับ พอดีผมมาตามหาคนร้ายน่ะครับ” มือที่จับชายผ้าปล่อยออก
คนร้ายทั้งสองผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เพชรงามเม้มปากแน่น จังหวะนั้นเองที่เธอเหลือบเห็นจิ้งจกไต่ผนังเฉียดหน้าไป หญิงสาวรีบหันหน้าไปอีกทางจนแก้มเนียนใสของเธอไปชนกับจมูกโด่งของชายหนุ่มที่วางหน้าอยู่ใกล้ๆ มานะยังอยู่ท่าเดิม ฝังจมูกไว้ที่เดิมแม้จะโดนหญิงสาวเจ้าของแก้มจิกเล็บลงไปบนแขน
“แล้วเจอไหมคะ”
“ไม่เจอครับ ขอโทษที่รบกวนนะครับ ไปเถอะจ่า” แล้วตำรวจสองนายก็เดินออกจากร้านไป
“น้องอิงคะ ทำยังไงแจกันถึงตกได้ล่ะคะ ใบละหลายตังค์เชียวนะ กว่าจะได้มาแม่ต้องวิ่งไปซื้อถึงจีนเลยนะคะ” วิภาบ่นลูกสาวเสียงอ่อน ก้มลงเก็บเศษแจกัน
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ เดี๋ยวอิงเก็บเอง” ลูกสาวปราดเข้ามาห้ามมารดา
“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ทำเองนะ เดี๋ยวมันบาดลูกแม่เข้า แม่จะอยู่ยังไงล่ะ”
“อิงทำเองค่ะ” อารีว่าอย่างไม่ยอมแพ้ จนวิภาต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เอง “แม่ไปพักผ่อนเถอะ เฝ้าร้านมาทั้งวันแล้ว ไปสิคะ”
“จ้ะๆ แล้วนี่ลูกไม่มีการบ้านเหรอ” ก่อนจะเดินไปแม่ใจดีก็เอ่ยถาม
“เดี๋ยวค่อยทำค่ะ”
“ตามใจ งั้นถ้ามีอะไรก็เรียกแม่ทันทีเลยนะลูก” ว่าจบก็เดินจากไป
อารีมองตามจนมารดาหายลับขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะเปิดผ้าคลุมโต๊ะที่ซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ออก ภาพที่เห็นทำเอาเด็กสาวร้องกรี๊ดเบาๆ ยกมือข้างหนึ่งปิดตาตัวเอง
“ทำอะไรกัน?” น้ำเสียงนั้นทั้งตกใจและไม่พอใจ
เพชรงามดันตัวชายหนุ่มออกสุดแรง มานะถอนจมูกออกแล้วยิ้มกริ่ม ก่อนจะมุดตัวออกไปนอกโต๊ะตามหญิงสาว
“พี่โม่กับพี่ไดมอนด์ทำอะไรกัน ไม่เอานะ ไม่ๆ” เด็กสาวปล่อยมือออกจากเปลือกตา มองหนุ่มสาวที่ยืนเคียงข้างกันอย่างเจ็บปวดหัวใจ ว่าเสียงกระจองอแง
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ”เพชรงามปฏิเสธสิ่งที่อารีคิด
“ใช่เหรอ” มานะทำหน้าตาล้อเลียนหญิงสาว “ท่านประธานเอาแก้มมาโดนจมูกผมเองนี่”
คนถูกกล่าวหาค้อนขวับให้ทันที วันนี้เธอต้องเปลื้องตัวมากแค่ไหนกับผู้ชายคนนี้ ทั้งจับมือ กอดคอ โอบไหล่ หอมแก้ม แล้วยังจะมาสาดสีให้เธอเสื่อมอีก หัวใจก็ยังสั่นอยู่ได้ไม่รู้หายทั้งที่เหตุการณ์อกสั่นขวัญผวาก็จบสิ้นลงแล้ว ต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาคนเดียว ไอ้หมอนี่!
เพชรงามเบือนหน้ามาหาอารี “พี่ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิอิง”
“ได้ค่ะ” ตอบรับไม่เต็มเสียงกับว่าที่คู่แข่งหัวใจ หากก็ยินดียื่นโทรศัพท์มือถือให้ด้วยความเต็มใจ เพชรงามรับมากดต่อสายหาใครบางคนที่กำลังกระวนกระวายวิ่งวุ่นตามหาเธอ หญิงสาวบอกพิกัดของตัวเองให้เขารับรู้ก่อนกดวางสายทั้งที่ปลายสายยังพูดไม่จบ แล้วคืนโทรศัพท์ให้เด็กสาว จากนั้นจึงนั่งลงเก็บเศษแจกันใส่ถุงพลาสติกที่วางอยู่ใกล้ๆ
มานะทรุดตัวตามลงไป “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวบาดมือเอา”
“ฉันไม่จับให้มันบาดมือตัวเองหรอก” ว่าเสียงเรียบตามแบบฉบับ
“อิง ขอบใจมากนะ ไปเฝ้าหน้าร้านต่อเถอะ” ชายหนุ่มหันไปบอกเด็กหญิงที่มีท่าทีไม่ยอมจากไปไหน ทว่าก็ต้องจากไปเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้าน มานะหันมาช่วยเพชรงามเก็บเศษแจกัน “ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องลำบาก คงเหนื่อยมากเลยใช่ไหม”
“ใช่” หญิงสาวยอมรับเสียงหนักแน่น เธอเหนื่อยมากถึงมากที่สุด
“ขอโทษคร้าบ ถือว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ ระหว่างเราละกันเนอะ”
“ประสบการณ์ซวยๆ ต่างหาก”
“เอาน่า อย่างน้อยท่านประธานก็ได้แตะเนื้อต้องตัวผมตั้งหลายที กำไรล้วนๆ เลยนะครับเนี่ย” ชายผู้รักนวลสงวนตัวมาตลอดทั้งชีวิตเสแสร้งแกล้งโอ่ตัวเอง ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าวันนี้เขาได้เปรียบเธอแบบเหนือชั้นมาก แต่ก็นั่นแหละ บางเวลาก็มีทั้งเรื่องราวที่สุขใจและเสียใจไปพร้อมๆ กัน
“ขาดทุนย่อยยับมากกว่า” แก้คำให้อีกรอบ ทั้งคู่เงียบไปชั่วครู่มีเพียงเสียงหัวเราะแห้งๆ แผ่วเบาของชายหนุ่ม “ทำไมถึงคบเพื่อนแบบนั้น”
เธอถามโดยที่ยังคงก้มหน้าก้มตา
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มขาดห้วงจนเงียบหายไปในที่สุด
“ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็กแล้วครับ ถึงผมจะเป็นคนอัธยาศัยดีมีเพื่อนเยอะ แต่เพื่อนเป็นเพื่อนตายก็มีแค่ไอ้พีคนเดียวนี่แหละ ถ้าเป็นเกย์ผมจับมันแต่งงานไปแล้วนะ”
เพชรงามฟังคำตอบนั้นอย่างอึ้งๆ เพื่อนมีความหมายมากมายเพียงนี้เชียวหรือ สิ่งที่ยังประจักษ์และตราตรึงในความคิดเธอคือตอนที่พิภพยอมมารับลูกกระสุนแทนมานะ ทั้งที่ไม่ใช่คนในครอบครัว ไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เขาคงต้องใช้ความกล้าและความรักที่ล้นท้นท่วมหัวใจจริงๆ ถึงจะยอมตายแทนได้ ความรักของเพื่อนมันคงยิ่งใหญ่มากเลยสินะ เธอเองก็อยากมีเพื่อนที่ยอมตายแทนกันได้บ้าง ทว่าแค่หาเพื่อนที่คุยกันดีๆ สักคนเธอยังทำไม่ได้เลย
“แต่ตอนนี้ผมเป็นผู้ชายเต็มร้อย ผมไม่แต่งกับมันหรอก ท่านประธานหายห่วงได้เลยนะครับ” คำพูดของมานะทำลายความซาบซึ้งในมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่หญิงสาวคิดจนหมดสิ้น
“หลงตัวเองนี่มีความสุขมากไหม”
“นิดหนึ่ง” ยักไหล่ตอบคำถามของเธอ “ที่ศอกของท่านประธานมีแผลนี่ ไปทำแผลก่อน...”
“เจ้านาย” เสียงทุ้มคุ้นหูของคนทั้งสองดังขึ้น ร่างสูงยิ้มเก้อแบบที่ทั้งรู้สึกผิดและเป็นห่วงส่งให้เจ้านายของเขา
เพชรงามลุกขึ้นเมื่อคนที่เธอโทรตามมาถึงแล้ว เธอหันไปบอกลามานะ “ฉันช่วยแค่นี้นะ” และเมื่อเห็นชายหนุ่มพยักหน้าลงเธอก็เดินออกจากร้านไปทันที
รุตมองหน้าคนส่งของอย่างแปลกใจว่ามันมาอยู่ที่นี่กับเจ้านายเขาได้อย่างไร ไม่มีเวลาให้เอ่ยถามเพราะเจ้านายของเขาก้าวฉับออกไปแล้ว
มานะหน้าหมอง ฟ้าสางเดือนดับสินะ
เมื่อเข้ามานั่งอยู่ในรถหรูแล้ว รุตก็เงยหน้ามองกระจกส่องหลังที่สะท้อนภาพหญิงสาวที่นั่งพิงคอกับเบาะแล้วหลับตาลง เสื้อผ้าที่เปื้อนดินโคลนแลดูยับเยินสร้างความตกใจ ประหลาดใจ และสงสัยใคร่รู้เป็นที่สุด สารถีคนขับสตาร์ทเครื่องพลางเอ่ยขึ้น
“ทำไมสภาพ...”
“แวะไปซื้อชุดเปลี่ยนก่อนนะ” เพชรงามชิงพูดขึ้นก่อน บอกให้รู้เป็นนัยว่าเธอไม่อยากฟังเขาพูดอะไรทั้งนั้น รุตจำต้องเงียบปากเก็บความสงสัยใคร่รู้เอาไว้
เพชรงามถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวจะถอนเอาทุกความวุ่นวายออกไปให้หมดสิ้นด้วย ที่ต้องหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยนเพราะเธอไม่อยากให้บิดาเห็นเธอในสภาพแบบนี้ เพราะเธอเชื่อสนิทใจว่าเขาต้องซักไซ้ไล่เรียงเรื่องราวจนมันบานปลายใหญ่โตเป็นแน่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ