Secret File:Innocent Trap
8.3
เขียนโดย Elichika
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 07.24 น.
13 บท
1 วิจารณ์
14.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) Doubt and Truth
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter IV Doubt and Truth
‘ทายาทมหาเศรษฐี โดนทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ตำรวจเร่งสืบคดีคาดมาจากเหตุความขัดแย้งภายใน พบร่างเด็กหนุ่มทายาทร้านอาหารจีนชื่อดังนอนหมดสติ สภาพมีบาดแผลฉกรรจ์สาหัสมากมายตามบริเวณลำตัวไปจนถึงช่วงขา ตอนนี้เด็กหนุ่มอยู่ในอาการสาหัส ตำรวจเร่งสืบคดีคาดว่าจะมาจากปัญหาภายในโรงเรียน’
เด็กสาวเจ้าของผมสีทองปิดโทรทัศน์ ก่อนจะรวบผมแล้วมัดไว้ เธอเดินออกมาจากห้องโดยไม่ลืมที่จะล๊อคประตู ใบหน้าของเธอดูอิดโรย แม้จะผ่านการนอนพักผ่อนมาอย่างเต็มที่ เธอเดินผ่านสาวใหญ่ผู้ดูแลหอไปโดยไม่พูดอะไร
“หนูเอลลี่เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ วันนี้ดูไม่สดใสเลย” ป้าดูแลหอเอ๋ยทักเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง
“หนูทำการบ้านจนนอนดึกไปหน่อยน่ะค่ะ”เธอหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องข่าวเมื่อเช้าหรือเปล่าจ๊ะ น่าสงสารเจ้าเจมส์ แกเป็นเด็กดีนะสมัยก่อนแกมักจะมาเล่นที่หอนี้เป็นประจำเลย” สาวใหญ่ใช้มือขวากุมอกของเธอไว้
“คุณป้ารู้จักเขาหรอคะ?”
“จ๊ะ สมัยที่หนูกานต์ยังอยู่หอนี้แกมักจะมาหาเธอบ่อยๆ คงเป็นความรักวัยรุ่นนั้นล่ะ”
“กานต์? ใช้คนที่ตัวสูงๆหน้าตาสวยๆ ผมสีขาวรึเปล่าคะ?”
“หนูกานต์น่าจะตัวเล็กกว่า หนูเอลลี่นะ แต่แกก็เป็นผู้หญิงที่ตัวสูงเลยล่ะ”
“คนที่ชื่อกานต์คนนั้น อยู่ที่นี่เมื่อสองปีก่อนรึเปล่าคะ?” เอลลี่เปลี่ยนแววตาเป็นจริงจังทันที
“อืม....เท่าที่ป้านึกดูก็ประมาณ สองปีนั้นแหละจ๊ะ แต่เพราะความจำเป็นบางอย่างป้าก็จำไม่ได้แล้วสิ แกเลยต้องย้ายออกจากหอไปแต่ รู้สึกว่าแกยังเรียนอยู่ที่นี่นะ ถึงจะไม่แวะมาหาป้าเลยก็เถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”เอลลี่รีบเดินออกจากหอพักไป
“เดี่ยวสิหนูเอลลี่แล้วข้าวกล่องของหนูล่ะ” ก่อนจะพูดจบเอลลี่ก็เดินหายไปแล้ว “ตายแล้วไม่ไหวเลย”
“หืม ข้าวกล่องหรอคุณป้า?” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาวสลายผู้มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ พูดขึ้นพร้อมกับโผล่หน้ามาด้านข้าง
“อ้าวหนูเนย เรียนห้องเดียวกับหนูเอลลี่ใช่ไหมจ๊ะ ป้าฝากไปให้เธอหน่อยได้ไหม?” สาวใหญ่ยื่นกล้องข้าวที่ห่อไว้ด้วยผ้าสีฟ้าให้
“รับทราบค่า” กรรณรัตรับกล้องข้าวก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ให้เธอและรีบวิ่งออกไป
“อาคารเรียนของปี 3 น่าจะอยู่ตรงนี้นะ?” เอลลี่ยืนด่อมๆมองๆ อยู่หน้าอาคารเรียนทรงคฤหาสน์
“นั้นรุ่นน้องรึเปล่า ดูไม่คุ้นหน้าเลย”“นักเรียนทุนเด็กปี 1 ไง” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสองคนกำลังยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากเอลลี่นัก
“นี่เธอ ที่นี่ไม่ใช่อาคารเรียนของพวกปี 1 นะเปิดเรียนมาตั้งหลายวันแล้วยังจำ อาคารเรียนของตัวเองไม่ได้อีกรึไง?” เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลตัดสั้น รูปหน้าคมดวงตาเรียว จมูกโด่งเป็นสัน จัดว่าหล่อเลยทีเดียว เอ๋ยขึ้นกับเด็กสาวที่คิดว่ากำลังทำตัวน่าสงสัย
“หืม?” เอลลี่ยึดตัวขึ้นหันไปมองทางต้นเสียง “ที่นี่ใช่อาคารเรียนปี 3 รึเปล่าคะ?” หลังจากที่เด็กสาวเจ้าของผมสีทองยืดตัวตรงเป็นปกติแล้ว เธอมีส่วนสูงเท่าเด็กหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้า หรืออาจจะสูงกว่า
“อะ..อ่า มีธุระอะไรที่นี่ล่ะ” เด็กหนุ่มกระแอ่มไอหนึ่งครั้งแก้เขินเล็กๆ ที่มีผู้หญิงสูงกว่า เขาก็ไม่ใช่คนที่ตัวเล็ก เรียกว่ารูปร่างตามมาตรฐานผู้ชายทั่วไป
“ฉันมาตามหาคนน่ะค่ะรุ่นพี่” เอลลี่มองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยกับท่าทางหลบหน้าของเขา
เด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปหนึ่งขั้น ก่อนจะหันหน้าหลบเด็กสาวเล็กน้อย “ถ้าฉันรู้จักล่ะก็นะ ตามหาใครล่ะ?”
“รุ่นพี่พูดอะไรนะคะ? ฉันไม่ได้ยินเลย” เด็กสาวก้าวขึ้นบันไดตามเด็กหนุ่มมา
“โถ!” เด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปอีกขั้น “เธอตามหาใครอยู่ล่ะ?”
“รุ่นพี่ ทิวากาล ค่ะ”
“เอ๊ะ...” บรรยากาศรอบข้างหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง นักเรียนปี 3 ที่อยู่บริเวณนั้น นิ่งเงียบไป “ตอนนี้..เธอคงไม่อู่ที่นี่หรอก ฉันว่าเธอกลับไปก่อนเถอะ” รุ่นพี่ร่างเล็กพูดพร้อมกับเดินเข้าอาคารไป
“งะ..งั้นหรอคะ”เอลลี่ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะ หันหลังเดินกลับไป
...................................................................................................................................
เอลลี่ซุกหน้าหมอบลงบนโต๊ะเรียน วันนี้เธอแทบไม่ได้ฟังที่ครูสอนเลย ในหัวก็มีแต่เรื่องของ ทิวากาล คนที่เธอตามหา เธอพลิกหัวไปทางหน้าต่างช้าๆ แล้วค่อยๆลืมตา
ภาพของกานต์ที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างมันทำให้เธอเห็นเงาของเด็กสาวที่เธอเจอในวันประถมนิเทศ เด็กสาวที่เหมือนกับกานต์ เส้นผมสีขาวปลิวไสวไปกับสายลม ใบหน้านิ่งเฉยที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆของกานต์กับนัยน์ตาสีฟ้าที่สว่างไสวเพราะกระทบกับแสงแดด คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของเด็กสาว เธอเชื่อว่ากานต์ต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการบาดเจ็บของ เจมส์ และต้องรู้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในสมุดปกแดงเล่มนั้น
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เธอจ้องมองใบหน้าด้านข้างของกานต์ รู้ตัวอีกทีสัญญาณพักกลางวันก็ดังขึ้น
“อา-นะ-จัง”เสียงหวานๆที่คุ้นหูดังขึ้นปลุกเธอจากความเหม่อลอย “กินข้าวกันเถอะ” เจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มคานะจัง พูดขึ้น
“กินข้าวกับเธอ ไม่มีวันซะหรอก”เอลลี่ตอบโดยไม่หันกลับไปมองคู่สนทนาของเธอ
“แต่ฉันมีนี่นะ”เนยโชว์ข้าวกล่องของเธอพร้อมกับโบกไปโบกมา
“นี่เธอเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่!?” เอลลี่สะดุ้งตกใจสุดขีด
“ถามตัวเธอเองดีๆสิว่าได้เอามาไหม? คิกคิก”
“เห้อ ลืมไว้จริงๆด้วย” เอลลี่ถอนหายใจยาวๆ
นับว่าตั้งแต่เข้าเรียนมาเอลลี่แทบไม่เคยเข้าโรงอาหารเลยเพราะเธอพกข้าวกล่องมากินเองเสมอ สาเหตุมาจากค่าอาหารที่แพงอย่างเหลือเชื่อของที่นี่ เมื่อพกข้าวกล่องมาทำให้เธอไม่อยากไปนั่งทานอาหารในดงพวกคุณหนู ที่คงจะมองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาดเด็กสาวจึงเลือกไปทานอาหารเงียบๆใต้ต้นไม้ใหญ่หลังอาคาร พอมาดูใกล้ๆแล้ว โรงอาหารที่นี่เป็นอาคารแบบเรือนกระจก มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบแต่ก็ยังปล่อยช่วงเว้นให้ แสงแดดได้ส่องเข้ามาบ้าง ภายในมีโต๊ะไม้แกะสลักสวยงามเรียงกันอย่างเป็นระเบียบกับเก้าอี้โซฟ้าดูหรูหราตามด้วยผ้าปูโต๊ะ ลายลูกไม้ ที่ถักทออย่างดี บนโต๊ะมี มีดช้อนส้อมวางไว้เป็นชุดๆตามที่นั่ง
“เอาข้าวกล่องคืนมา ฉันจะไปกินที่อื่น” เอลลี่ทำหน้าบึ่งตึง
“ไม่เอาน่า ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วฉันจะพาไปรู้จักกับเพื่อนๆด้วย”คานะยังคงถือกล่องข้าวของเอลลี่แกว่งไปแกว่งมา
“คานะจัง” ทรายเจ้าของปรัชญา ‘ถ้าไม่ลงมือทำ ความฝันจะไม่สำเร็จ’ เอ๋ยทักขึ้น
“ไงแม่คนสวยของฉัน”คานะเดินเข้าไปเชิดหน้าเด็กสาวและจ้องมองไปนัยน์ตาของเธอ
“จะปลูกดอกลิ่นลี่กันรึไงพวกเธอ” เอส สาวน้อยห้อง 3 ผู้มีสีหน้าเรียบเฉยแต่ชอบยิงมุขหน้าตายเธอมี ผมยาวสีน้ำตาลใบหน้าเรียวคม ตาโต จมูกเล็กๆ เอ๋ยขึ้น
“หรือว่า เอสกี้ อยากจะเป็นของฉันอีกคนกันล่ะ?”เนยหันไปดึงแก้มเอสเล่น
“เห้อ ฉันไปล่ะ”เอลลี่หันหลังกลับด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“หงำ หงำ หงำ” เนยลงมือทานข้าวกล่องของเอลลี่อย่างรวดเร็ว
“ยัยบ้านั้นมันของฉันนะ!!!” เอลลี่รีบพุ่งตัวเข้าไปชิงข้าวกล่องแต่เนยหันหลังกันเธอเอาไว้และทานต่อไปอย่างไม่สนใจ
“แหม อร่อยจริงๆเลยอานะจัง” คานะยิ้มอย่างสดใสก่อนจะตบพุงตัวเองเบาๆ
“ยัย....ยัย....” เอลลี่กัดฟันแน่น คานะเดินมาตบไหล่เธอเบาๆ
“ใช้ซะสิ บัตรที่ฉันให้เธอไปน่ะ” คานะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะกับเพื่อนๆของเธอ
เอลลี่พลันนึกถึงเหตุการณ์ทำอาหารเมื่อวันเปิดเรียน เธอหยิบบัตรเครดิตสีทองออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
“เร็วๆน้าพวกเรารออยู่” คานะส่งยิ้มโบกมือให้เอลลี่
เอลลี่เดินตรงไปที่ขายอาหาร เธอมองหาอยู่นานก่อนจะสั่งบะหมี่ราเม็งชามใหญ่ ตามด้วย น้ำองุ่นสุดหรูในแก้วทรงสูงตกแต่งด้วยร่มคันน้อยและหลอดรูปดาว เธอไม่ลืมที่จะสั่งของหวานเป็นพุตดิ่งนมสดถึงสี่ถ้วย เด็กสาวเดินกลับมาที่โต๊ะของคานะ
“โห นักเรียนทุนไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย” ทรายพูดขึ้นพร้อมกับขยับแว่นตาขึ้นลง
“มีรูปร่างดีเพราะแบบนี้สินะ” เอสพยักหน้าหลายๆที
เอลลี่นั่งลงข้างๆคานะ ก่อนจะค่อยๆทานอาหารตรงหน้าเธอโดยไม่สนใจเรื่องที่ กลุ่มเด็กสาวบนโต๊ะพูดคุยกัน แม้อาหารจะอร่อยมากแต่มันก็ช่างไม่พอ ความหิวสะสมของเธอที่นอกจากจะลืมหยิบข้าวกล่องมาแล้วยังลืมทานข้าวเช้าด้วย
“แล้วจากนั้นอะนะ แจ๊คก็วิ่งไปหานักเรียนทุนจนทั่วเลย แถมยังตะโกนว่า สไตรเกอร์ สไตรเกอร์” ทรายพูดไปหัวเราะไป เธอยืนขึ้นและทำท่าเลียนแบบแจ๊ค โดยยืดอกและเชิดหน้า “สไตรเกอร์!! แบบนี้อะ” แล้วก็หัวเราะออกมา คนในโต๊ะก็หัวเราะไปกับเธอด้วยยกเว้นเอลลี่ที่ค่อยๆเช็ดปากและวางตะเกียบลงข้างตัว
“ถ้าไม่อิ่ม ก็ไปสั่งเพิ่มได้เลยนะ” คานะพูดยิ้มๆ
“แค่นี้ก็แพงมากแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” เอลลี่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ต้องห่วงไป มันไม่ใช่บัตรของฉัน แต่เป็นของเขา” คานะพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะใช้นิ้วโป้งชี้ไปหา เนียร์ นักเรียนชายห้องเดียวกันที่ นั่งอยู่ด้านหลังเธอ
‘พรวด’ เนียร์พ่นเส้นสปาร์เก็ตตี้ออกมา “ก็ว่าอยู่หายไปไหน!!!”
“ไม่เอาน่า เนียร์” คานะหัวเราะร่า เนียร์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
“เอ๋ เอ่อ ให้ฉันชดใช้นายไหม?” เอลี่เดินไปพูดกับเนียร์
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ดูถูกคนต่างฐานะ ว่าเงินแค่นี้ไม่มีค่าหรอกนะ แต่คนที่ต้องชดใช้มันยัยนั้นต่างหาก” เนียร์จ้องไปทางคานะที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ยังไงก็ขอบคุณนะสำหรับอาหารมือนี้”เอลลี่พูดพร้อมกับยื่นบัตรคืนให้เนียร์
“ไม่มีปัญหา ถ้าลำบากฉันก็เต็มใจช่วย” เนียร์พูดยิ้มๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มผิวสีแทน รูปร่างสูงหุ่นดี ใบหน้าคมเข้มดวงตาเรียวรี หางตาตกเล็กน้อย หน้าตาดูเป็นมิตร บวกกับรอยยิ้มมุมปากเล็กๆทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากทีเดียว
“จะจีบเอลลี่ต้องผ่านฉันไปก่อนนะ” กรรณรัตตะโกนไล่หลังเอลลี่มา
“ฉันจะคุยกับใครมันไม่เกี่ยวกับเธอย่ะ” เอลลี่โวยกลับไป บนใบหน้าของเด็กสาวมีรอยยิ้มน้อยๆ
ดูเหมือนความเหนื่อยล้าและความสงสัยของเธอจะเบาบางลง อย่างน้อยๆก็มีสายสัมพันธ์ ใหม่ๆเกิดขึ้น บางทีการที่เธอไม่สนใจเรื่องราวอันตรายพวกนี้อาจจะดีสำหรับตัวเธอจริงๆก็ได้
.................................................................................................................................................
‘เขาจะมาหาเธอเอง’ คำตอบของหญิงสาวยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัว กานต์ค่อยๆจิบนมกาแฟทีล่ะหน่อยในขณะที่มองดูท้องฟ้ายามบ่ายบนม้านั่งในสวนหลังอาคาร วิชา ประวัติศาสตร์โลก วันนี้มาสเตอร์ต้องไปทำธุระเรื่องของแจนที่โรงพยาบาลเป็นเหตุให้คาบเรียนนี้ต้องศึกษาด้วยตัวเอง กานต์เหม่อมองขึ้นไปไกลแสนไกลคำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว
“โย่ว! นักเรียนทุน”แจ๊ค เดินเข้ามาทักทายพร้อมกับนั่งลงข้างๆกานต์ “แย่เลยนะวันนั้น”
“นั้นสินะ ใครจะไปคิดกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่ดีๆจะเป็นแบบนั้นได้” กานต์พูดโดยไม่หันไปมอง
“เจมส์มันยังไม่ตายก็ดีแล้ว แต่ว่า...ใครทำกับมันแบบนั้นกัน” แจ๊คบีบกระป๋องน้ำอัดลมในมือ
“เป็นห่วงเพื่อนสินะ?”
“เปล่ามันติดตังฉันอยู่ห้าพันถ้ามันไม่ตื่นคงไม่ได้คืนแน่”แจ็คบีบกระป๋องจนเละคามือ
“ว่าแต่นายโดดเรียนมาสินะ”
“ห๊ะ เธอรู้ได้ไง!?”
“ก็ซิสเตอร์ท่าทางน่ากลัวคนนั้นกำลังเดินมาทางนายนิ”กานต์ชี้ไปที่ สาวใหญ่ในชุดแม่ชีที่กำลังเดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“ซวยแล้วไง ฉันไปก่อนล่ะนักเรียนทุน” แจ๊ครีบวิ่งออกไป
“โชคดีนะ” กานต์ตอบกลับไปเบาๆ แม้จะพูดแบบนั้นแต่กานต์ก็สัมผัสได้ว่า แจ๊คเองก็คงเป็นห่วงเจมส์อยู่ไม่น้อย พอมาลองคิดดูอีกทีเรื่องทั้งหมดมันแทบจะเชื่อมโยงกันไม่ได้เลย การมีอันเป็นไปต่างๆของนักเรียนทุนที่เชื่อมกับสมุดปกแดง การตายของมาสเตอร์เจมส์เมื่อ 15 ปีก่อน การป่วยอย่างกะทันหันของแจน อาการบาดเจ็บของเจมส์ คนที่น่าจะรู้เรื่องคงมีแค่คนปล่อยข่าวลือความเชื่อเรื่องสมุดปกแดงเท่านั้น และคนๆนั้นอาจจะเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด
“ขอนั่งด้วยได้ไหม?” เด็กสาวเจ้าของฉายา ตุ๊กตา พูดขึ้น
“ตามสบาย” กานต์ตอบโดยไม่หันไปมอง ปามที่เข้ามาขอนั่งข้างๆ เด็กสาวนั่งลงช้าๆ “ข้างบนนั้นมีอะไรหรอ ทำไมคุณถึงชอบมองขึ้นไป?”
“ไม่รู้สิ”กานต์ตอบโดยไม่หันมองเด็กสาว “เพราะไม่รู้ก็เลยมองยังไงล่ะ”
“คนมักจะกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ใช่ไหม?”
“มั่ง...เพราะไม่รู้ก็เลยกลัว แต่ถ้ารู้แล้วก็จะไม่กลัวใช่ไหมละ”
“เรื่องบางเรื่องถ้ารู้แล้วอาจจะกลัวมากขึ้นก็ได้นะ”
“ถ้ารู้จักมันมากกว่านี้...รู้จักให้มากกว่านี้ก็จะไม่กลัว ฉันเชื่อแบบนั้น”กานต์เผยยิ้มที่มุมปาก
“งั้นหรอ” เด็กสาวแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า นัยน์ตาสีแดงของเธอส่องประกาย
“สีสวยจังเลย นัยน์ตาของเธอ” กานลุกขึ้นยืน “เหมือนกับสีของชะเอมที่ลุกไหม้บนผืนดิน” พูดจบกานต์ก็เดินเข้าไปในอาคารเรียนพร้อมกับสัญญาณหมดคาบเรียน ที่ดังไปทั่วบริเวณโรงเรียน
...............................................................................................................................
ห้องสมุด 05.38 pm
เอลลี่เก็บหนังสือเข้าชั้น เธอค่อยๆใช้นิ้วชี้บรรจงลากไปตามสันหนังสือ
“หาอะไรอยู่หรอคะ?” บรรณารักษ์สาวส่งยิ้มหวานให้เอลลี่ เด็กสาวส่งยิ้มกลับ
“หนังสือประวัติศาสตร์น่ะค่ะ”
“ลองไปดูที่ตู้นู่นสิคะ ส่วนใหญ่หนังสือประวัติศาสตร์จะอยู่ตรงนั้น” หญิงสาวชี้ไปที่ตู้หนังสือด้านใน เอลลี่ก้มหัวให้เธอหนึ่งครั้งแล้วเดินไปที่ตู้นั้น
ห้องสมุดของโรงเรียนนี้มีอยู่ 3 ที่ เป็นห้องสมุดของ ฝ่ายประถม มัธยมต้น และ ห้องสมุดใหญ่ที่อยู่ใกล้อาคารเรียนมัธยมปลาย เด็กนักเรียนมัธยมปลายทั้ง 3 ชั้นปีจึงมาใช้ห้องสมุดเดียวกัน
“เธอ..คนเมื่อเช้านี้” เด็กหนุ่มรุ่นพี่ปี 3 เจ้าของผมสีน้ำตาลและใบหน้าหล่อเหลาเอ๋ยทัก
“สายัณห์สวัสดิ์ ค่ะรุ่นพี่” เอลี่ก้มหัวให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะหันกลับไปหาหนังสือต่อ
“อืม ทำไมถึงถามหาเธอคนนั้นล่ะ?” เด็กหนุ่มค่อยๆเดินเข้ามา
“เธอเคยช่วยฉันไว้ในวันประถมนิเทศน่ะค่ะ เลยอยากจะขอบคุณ” เด็กสาวตอบโดยไม่หันไปมอง
“เคยเจอกันแล้วสินะ” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเขาทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่า
“รุ่นพี่ไม่เคยเจอเธอหรอคะ?”
“เคยสิ...นานมากแล้วล่ะ”
............................................................................................................
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน
“เห้ยเซน จะอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่เดี่ยวก็สายหรอก” เพื่อนของผมตะโกนขึ้น ในขณะที่ผมกำลังมองลูกแมวถูกทิ้งอยู่หน้าโรงเรียน
“เออ แปปนึง” ผมตัดใจหันหลังและวิ่งตามเพื่อนไป แม้ว่ามันจะน่าสงสารแต่ผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ผมคิดแบบนั้น
ผมชื่อ เซน ที่บ้าน เปิดกิจการโรงแรมแถวชายทะเล ถ้าเทียบฐานะการเงินของคนในโรงเรียนนี้แล้วผมคงอยู่ระดับต่ำๆเลย แต่เพราะพ่อของผมอยากให้ผู้สืบทอดของเขามีชื่อเสียงที่ดี ท่านจึงส่งผมมาเรียนที่นี่ ผมวิ่งตามเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยเด็ก บาส ที่บ้านทำกิจการประมงและเปิดสหกรณ์การประมง รายได้ก็คงระดับเดียวกับครอบครัวของผม เราทั้งสองโตมาด้วยกัน เขาเป็นคนมีไฟนึกอยากทำอะไรต้องทำให้ได้ บาสอยากเป็นนักการทูตระหว่างประเทศแม้ว่าพ่อแม่จะไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้เขาสืบทอดกิจการต่อแต่ บาสก็รั้นหัวชนฝาว่าจะไม่ทำ เขาจะทำตามความฝันที่ได้เดินทางไปพบสาวสวยตามประเทศต่างๆ ผมก็นึกอิจฉาในตัวเพื่อนสนิทที่เขามีความฝันและความมุ่งมั่น เมื่อเทียบกันแล้ว ผมกลับไม่มีอะไรเลยความฝันที่พ่อแม่ให้มา อนาคตที่พ่อแม่ให้มา ทุกๆอย่างผมไม่ได้เป็นคนกำหนด
“หูย สุดยอดสาวสวยเต็มไปหมดเลยว่ะเซน” บาสกระโดดเป็นลิงโลด หลังจากได้เห็นสาวๆน้อยใหญ่ใส่ชุดนักเรียน
“ม.4 แล้วนะเว้ยทำตัวให้มันเหมือนคนที่โตแล้วหน่อยสิวะ ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนเพื่อนสนิท
“ลูกผู้ชายมันต้องมีไฟและจุดมุ่งหมายสิวะ” บาสตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนที่พวกเราจะเดินเข้าหอประชุมที่ 2 เพื่อนเข้าร่วมพิธีประถมนิเทศ
ผู้อำนวยการกล่าวเปิดพิธีด้วยหลักการใช้ชีวิตและอุดมการณ์ของโรงเรียน มันฟังดูน่าเบื่อ ผมรู้สึกง่วง แต่ก็พยายามถ่างตาให้กว้างเข้าไว้จนมันดูน่าตลก ถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่ามันตลก ก็เพราะคนข้างๆผม
“คิก คิก คิก” เธอมีผมสีขาวยาว ผิวขาวเนียนอมชมพู เมื่อเด็กสาวด้านข้างสังเกตเห็นว่าผมมองเธออยู่ เธอจึงหยุดหัวเราะและส่งยิ้มให้ผมแทน เธอมีหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสีน้ำเงินหางตาชี้ขึ้น ประกอบกับขนตายาวๆ ตาเธอสวยมาก จมูกเล็กๆได้รูป กับปากสีชมพูเล็กๆน่ารัก เธอสวย...
“อะแฮ่ม” ผมกระแอ่มไอหนึ่งครั้งเพื่อไล่ตัวเองให้ตื่นจากการมโน
“ขอโทษที พอดีเห็นท่าทางของนายแล้วมันตลก” เธอหัวเราะเบาๆก่อนจะผงกหัวให้ผม
“เอ่อ แหะๆ”
หลังจากจบประถมนิเทศผมกับบาสก็ออกมาจากหอประชุม พวกเราพูดคุยหยอกล้อกัน พูดถึงรอง ผอ. คนสวย กับหัวล้านของ ผอ. กันอย่างสนุกปาก แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ได้บอกบาส
“เห้ยๆ เซนดูนั้นดิ โครตสวย!!”บาสตบไหล่ผมถี่ๆแล้วชี้ไปที่เด็กสาวผมสีขาว เธอกำลังเล่นกับลูกแมวตัวหนึ่งอยู่ ลูกแมวที่ผมเจอหน้าโรงเรียน
“หืม นักเรียนทุนหรอ สวยมากเลยนะ” นักเรียนชายคนอื่นๆหยุดยืนดูการกระทำของเธอ เธอดูสนุก และมีความสุขมาก รอยยิ้มของเธอดูเป็นธรรมชาติจนน่าหลงใหล
ผมส่ายหัวถี่ๆ แล้วหันหน้าไปดูที่บอร์ดหน้าหอประชุม “ทิวากาล ชื่อของเธอ...กลางวัน?” ผมเอียงคอด้วยความสงสัย มีคนชื่อแบบนี้เหมือนกันสินะ
หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ก็เปิดเรียนวันแรก ผมได้อยู่ห้อง 7 เพราะเลือกลงเรียนสายศิลป์ หลังจากเรียมพร้อมจัดข้าวของตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ผมจึงเดินอย่างสบายๆ ในหัวผมมีเรื่องของนักเรียนทุนคนนั้นผุดเข้ามา
“เห้ย เซนนายว่านักเรียนทุนคนนั้นจะได้อยู่ห้องไหน” บาสพูดขึ้นปลุกผมจากการมโนถึงเธอ
“เอ่อ ห้อง 4 มั่ง”
“เห้ย หน้าตาออกลูกครึ่งแบบนั้นฉันว่าน่าจะได้เรียนห้อง ภาษาอังกฤษแน่ๆ” บาสยิ้มใช้มือเสยผมขึ้นไปพร้อมกับยิ้มน้อยๆ นี่เป็นท่าปกติเวลาที่เพื่อนซี้ของผมจะทำก่อนเข้าหาผู้หญิง ผมหยุดเดินเพื่อครุ่นคิด
“อืม อาจจะได้เรียนห้อง 1 มั่ง” ผมคิดแบบนั้นแล้วก็เดินหน้าต่อไป บาสหัวเราะกับท่าทางใช้ความคิดของผม ก่อนจะกอดคอและพวกเราก็เดินไปอาคารเรียน
........................................................................................................................
ที่ห้อง 7 ของผมมีผู้หญิงเรียนอยู่เยอะมาก เพราะเป็นห้องที่มีวิชาเรียนบริหารหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ทำให้ในห้องของผมอุดมไปด้วยสาวๆน่ารักๆ บาสเองก็เรียนห้องเดียวกับผม เขาถึงกับเกร็งทำอะไรไม่ถูกจนปวดท้องไปเลย ตอนนี้คงยังอยู่ในห้องน้ำ
หลังจากทานอาหารเสร็จผมวางช้อนส้อมไว้กับที่แล้วลุกขึ้นเดินออกจากโรงอาหารไป ในโรงอาหารมีเสียงผู้คนพูดคุยกันจอแจเสียงดัง มันดูน่าอึดอัด ผมนั่งลงที่ม้านั่งในสวนหลังอาคาร สายตาเหม่อมองไปรอบๆ
“นิ่งๆน้า อย่าไปไหนล่ะ” เด็กสาวคนนั้น ทิวากาล เธอกำลังทำตัวน่าสงสัยอยู่บริเวณพุ่มไม้ในสวน แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่ผมจำเสียงเธอได้ บวกกับผมสีขาวเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
“เธอทำอะไรน่ะ!?”ผมพูดขึ้นเสียงดังๆ
“เอ๊ะ” เธอสะดุ้งและรีบลุกขึ้นยืน หัวเธอชนเข้ากับกิ่งไม้หนาๆของต้นไม้อย่างจัง “โอ๊ย!” ถ้าเป็นในการ์ตูนคงมีเสีย ‘โป๊ก!’ “ชู่ววว เบาๆหน่อยสิ” เธอหันหน้ามาทำแก้มป่องใส่ผม “กว่าจะหลับได้มันลำบากรู้ไหม? ถ้าเจ้านี่ตื่นแล้วหายไปจะทำยังไงล่ะ?”
“เธอแอบเอาอะไรมาเลี้ยงรึไง?” ผมเดินเข้าไปตรงที่ๆเธอยืนอยู่ “ลูกแมว?” มันคือแมวตัวเตียวกันกับที่ผมเจอในวันประถมนิเทศ ขนของมันสีขาวตอนนี้มันยังเด็ก หูเล็กๆและใบหน้าตอนหลับของมันที่เหมือนยิ้มอยู่ ดูน่าเอ็นดูจริงๆ
“นายจะเอาไปบอกคนอื่นก็ได้นะ” ทิวากาลก้มหน้าลงเล็กน้อย เหมือนเธอจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
“ไม่บอกหรอก...ฉันก็”ผมก้มตัวลงไปนั่งยองๆ มองเจ้าตัวเล็กอย่างใกล้ชิด “อยากจะช่วยมัน”
ทิวากาลไม่พูดอะไรเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วก้มหัวให้กับผม “ขอบคุณค่ะ”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมมักจะแอบ มาหาเจ้าแมวตัวนี้บ่อยๆ บางทีก็แอบเอาอะไรมาให้มันกิน ผมมักจะเจอทิวากาลบ่อยๆที่นี่ ที่ๆมีเจ้าแมวอยู่ อาจจะดูแปลกๆแต่ผมรู้สึก เหมือนพวกเรากำลังเล่นพ่อแม่ลูก ผมเป็นพ่อ เธอเป็นแม่ และเจ้าแมวเป็นลูก เมื่อคิดได้แบบนั้นทีไรผมจะส่ายหัวถี่ๆ ขับไล่ความคิดพวกนี้ออกไป
“นายกำลังคิดอะไรแปลกๆอยู่ใช่ไหม?” เธอจ้องหน้าผม
“ปะ..ปะ..เปล่าเลย” ผมรีบยกมือปฏิเสธ
“ตอนนายคิดอะไรแปลกๆก็จะส่ายหัวแบบนี้เป็นประจำ” เธอหัวเราะเบาๆ
เราสองคนพบกันบ่อยขึ้นๆ ทุกๆวันที่ผมอยู่กับเธอมันทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวา โลกนี้มันช่างสดใสเหลือเกิน แม้เธอจะสูงเท่าๆกับผมเลยก็ตามที ก็ตอนเดินด้วยกันมันดูน่าอายยังไงไม่รู้ เหมือนผมปกป้องเธอไม่ได้เลย...แต่ไม่เป็นไร ผมได้แต่คิดแบบนั้นแล้วก็หัวเราะความคิดแปลกๆของตัวเอง
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมาเจอเธอตอนพักกลางวัน ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วแต่ตอนนี้เจ้าลูกแมวน้อยมันโตขึ้นจนวิ่งเล่นไปทั่ว ต้องลำบากไล่จับกันวุ่นวาย แม้จะเหนื่อยหน่อยแต่มันก็เป็นเรื่องดีๆที่ทำให้ผมได้ใช้เวลาอยู่กับเธอนานขึ้น
“พรุ่งนี้ฉันไม่ว่าง นายมาดูแลเจ้าขาวแทนฉันได้ไหม?” ใช่นี่คือชื่อของเจ้าแมวตัวนี้ เพราะไม่ได้ตั้งชื่อสักทีเราจึงเรียกมันว่าเจ้าขาว
“ได้สิ”ผมยิ้มตอบกลับไป
“ตอนยิ้มนายดูหล่อมากเลยนะ ดูแลมันดีๆล่ะ”เธอยิ้มให้ผม บอกตามตรงว่าผมได้ยินแค่คำที่เธอชมผมเท่านั้นตอนนั้นผมรู้สึกร้อนๆที่ใบหน้า “นายไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย?”
“เปล่าๆ สบายดีๆ เดี่ยวฉันดูแลเจ้าขาวให้เธอไม่ต้องห่วง”
ในวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกแรงมาก ผมรีบจัดการอาหารตรงหน้าให้เสร็จและไปดูเจ้าขาวทันที เขาว่ากันว่าแมวไม่ถูกกับน้ำ ผมกางร่มและรีบวิ่งไปที่ประจำใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ทว่าเจ้าขาวก็ไม่อยู่แล้ว
ผมรีบวิ่งตามหามันไปทั่วโรงเรียน ป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้างนะ มันจะได้กินอะไรหรือยัง มันจะไปหลบฝนอยู่ที่ไหนมีใครเจอมันรึยัง ในหัวผมมีคำถามมากมายผุดขึ้นมา
“แมวล่ะ น่าสงสารจัง” มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง ลางสังหรณ์ของผมคงผิดใช่ไหม ผมหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบที่ผมคิด
“เจ้าขาว....” มันนอนหายใจรวยรินหมดสภาพ ที่ท้องของมันมีแผลเลือดออก ไหลไปกับสายฝน
“...เจ้าขาว”ทิวากาลหน้าถอดสีหลังจากที่เปียกปอนไปทั้งตัวผมได้แต่ยืนนิ่งท่ามกลางผู้คน
ผมตัดสินใจขยับตัวจะกางร่มให้เธอแต่ “มีใครพอจะช่วยมันได้ไหมคะ?” เธออุ้มมันขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ได้โปรดมีใครช่วยมันได้ไหม?” เธอพูดขึ้นขณะเงยหน้ามองทุกคนในบริเวณนั้น
“เอ่อ มันสกปรกนะ”“ใช่ๆ เธอวางมันลงเถอะ มันคงตายแล้วล่ะ” นักเรียนบริเวณนั้นต่างถอยห่างจากเธอ
“เธอไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะมันคงไม่รอดแล้ว” ผมวางมือบนไหล่เธอเบาๆ
“ทำไมล่ะ..ก็มันยังหายใจอยู่นิ มันยังไม่ตายนะ!!”เธอตะโกนใส่หน้าผมก่อนจะผละวิ่งอุ้มเจ้าขาวจากไป ผมไม่รอช้าวิ่งตามเธอไปทันที
“เธอทำแบบนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ยังไงก็ช่วยไม่ได้แล้ว หาที่ให้มันพักผ่อนอย่างสงบเถอะ” ผมพยายามรวบรวมคำพูดแล้วตะโกนออกไป
“ไม่ ฉันจะไม่ปล่อยให้มันตายเด็ดขาด!!! มันเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน!!”เธอตะโกนไปด้วยเสียงสะอื้น “ฉันจะพามันไปรักษา”
“หยุดเถอะ โรงเรียนมีกฎห้ามออกจากบริเวณ ในเวลาเรียนนะ”
“ถ้าไม่ทำ...ถ้าไม่ทำ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก นายก็เหมือนกันถ้าปล่อยให้ตัวเองถูกบังคับอยู่ในกฎของคนอื่น นายก็จะไม่เหลืออะไรเป็นของตัวเองเลย!!!” คำพูดของเธอทำให้ผมหยุดชะงัก ร่างของเธอค่อยๆ หายไปกลางสายฝน
“ก็เพราะมันทำอะไรก็ได้ไม่ใช่หรอ” ผมยืนกำมือแน่น ได้แต่พูดออกไปเบาๆ “ก็เพราะทำอะไรไม่ได้...”
หลังจากนั้นนักเรียนทุนก็ถูกลงโทษที่ไม่เข้าร่วมการสอบวัดผลคุณภาพนักเรียน และ ออกไปนอกบริเวณโรงเรียนในเวลาเรียน เธอโดนพักการเรียนสองอาทิตย์ แม้สองอาทิตย์นั้นจะผ่านไปแล้วแต่ ผมก็แทบไม่ได้เห็นเธออีกเลย
“เหมี่ยว!” ผมสะดุ้งตื่น หลังจากที่ไม่ได้นอนมาสองวันเพราะต้องทำงานกลุ่มที่ถูกโยนมาให้โดยสาวๆภายในห้อง ผมปรับโฟกัสภาพให้ชัดเจน ตอนนี้ผมกำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนหลังอาคารเรียน
“หลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย” ผมพลิกนาฬิกาข้อมือดู “ห้าโมงแล้วหรอเนี่ย” เดี่ยวก่อนนะ เหมือนผมได้ยินเสียงแมว ผมหันซ้ายหันขวาก็เจอกับ...”เจ้าขาว?” แมวสีขาวมีผ้าพันแผลพันรอบท้อง มันกำลังคลอเคลียอยู่บนตัวผม... “แกยังไม่ตายสินะ” วินาทีนั้น น้ำอุ่นๆก็ไหลออกมาจากดวงตาของผม ผมกอดร่างของเจ้าแมวตัวน้อยเอาไว้ “ฉันขอโทษนะ ถ้าฉันมาเร็วกว่านี้ แกก็ไม่ต้องเจ็บแบบนี้” ในวินาทีนั้น
‘ถ้าไม่ทำอะไรก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก นายก็เหมือนกันถ้าปล่อยให้ตัวเองถูกบังคับอยู่ในกฎของคนอื่น นายก็จะไม่เหลืออะไรเป็นของตัวเองเลย’ คำพูดของเธอดังเข้ามาในหัวผม...ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวผมเอง
........................................................................................................................
ปัจจุบัน
เอลลี่ยื่นหนังสือให้บรรณารักษ์สาว เธอปั้มตราให้ก่อนจะส่งให้เอลลี่
“ยืมได้สามวันนะคะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” เอลลี่ผงกหัวให้หญิงสาวหนึ่งครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องสมุดไป
นี่ก็เริ่มค่ำแล้ว เด็กสาวค่อยๆเดินผ่านทางเดินในสวนที่เธอคุ้นเคยไปอย่างช้าๆ ในหัวเธอคิดอะไร ต่อมิอะไรอยู่เต็มไปหมด เหมือนวันนี้หลายๆเรื่องจะตีเข้ามาพร้อมกัน เด็กสาวถอนหายใจยาวๆ พลันนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่
‘ถึงแม้หลังจากนั้นฉันจะแทบไม่ได้เจอเธอ จนไม่ได้เจออีกเลยก็เถอะ...ไม่ว่าเธอจะตามหา ทิวากาลไปทำไมแต่ถ้าเธอเจอกับทิวากาลล่ะก็’ เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ‘ฝากบอกเธอด้วยว่าขอบคุณ’
‘ซ่า ครืน!’ ฝนเทตัวลงมาพร้อมกับเสียงฟ้า เด็กสาวรีบวิ่งตรงเข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ ตอนนี้ชุดของเธอไม่เปียกมากนัก เหมือนกระเป๋าของเธอมันจะไม่กันน้ำ เด็กสาวไม่อยากให้หนังสือที่ยืมมาต้องเปียกไปเสียก่อน เธอถอนหายใจยาวๆอีกครั้ง
“เห้อ เข้าหน้าฝนแล้วนินะ” เอลลี่หยิบหนังสือที่ยืมไปขึ้นมาดู เหมือนมันจะยังไม่เปียก เธอถอนหายใจอีกครั้ง
เสียงฟ้ายังคงดังครืนๆต่อเนื่อง ทำให้รอบๆตัวเธอเหมือนมีไฟสว่างวาบกระพริบไปมา
พลันปรากฏเงาใครบางคนด้านหลังเธอไม่ไกลมาก ร่างนั้นสวมชุดกันฝนหนา แสงจากฟ้ากระพริบ ทำให้เกิดแสงสะท้อนจากมีดเงาวับ
เอลลี่ยังคงกอดหนังสือที่ยืมมาไว้แน่น หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘หนูน้อยหมวกแดง’
..........................................................................................................................................
‘ทายาทมหาเศรษฐี โดนทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ตำรวจเร่งสืบคดีคาดมาจากเหตุความขัดแย้งภายใน พบร่างเด็กหนุ่มทายาทร้านอาหารจีนชื่อดังนอนหมดสติ สภาพมีบาดแผลฉกรรจ์สาหัสมากมายตามบริเวณลำตัวไปจนถึงช่วงขา ตอนนี้เด็กหนุ่มอยู่ในอาการสาหัส ตำรวจเร่งสืบคดีคาดว่าจะมาจากปัญหาภายในโรงเรียน’
เด็กสาวเจ้าของผมสีทองปิดโทรทัศน์ ก่อนจะรวบผมแล้วมัดไว้ เธอเดินออกมาจากห้องโดยไม่ลืมที่จะล๊อคประตู ใบหน้าของเธอดูอิดโรย แม้จะผ่านการนอนพักผ่อนมาอย่างเต็มที่ เธอเดินผ่านสาวใหญ่ผู้ดูแลหอไปโดยไม่พูดอะไร
“หนูเอลลี่เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ วันนี้ดูไม่สดใสเลย” ป้าดูแลหอเอ๋ยทักเด็กสาวด้วยความเป็นห่วง
“หนูทำการบ้านจนนอนดึกไปหน่อยน่ะค่ะ”เธอหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องข่าวเมื่อเช้าหรือเปล่าจ๊ะ น่าสงสารเจ้าเจมส์ แกเป็นเด็กดีนะสมัยก่อนแกมักจะมาเล่นที่หอนี้เป็นประจำเลย” สาวใหญ่ใช้มือขวากุมอกของเธอไว้
“คุณป้ารู้จักเขาหรอคะ?”
“จ๊ะ สมัยที่หนูกานต์ยังอยู่หอนี้แกมักจะมาหาเธอบ่อยๆ คงเป็นความรักวัยรุ่นนั้นล่ะ”
“กานต์? ใช้คนที่ตัวสูงๆหน้าตาสวยๆ ผมสีขาวรึเปล่าคะ?”
“หนูกานต์น่าจะตัวเล็กกว่า หนูเอลลี่นะ แต่แกก็เป็นผู้หญิงที่ตัวสูงเลยล่ะ”
“คนที่ชื่อกานต์คนนั้น อยู่ที่นี่เมื่อสองปีก่อนรึเปล่าคะ?” เอลลี่เปลี่ยนแววตาเป็นจริงจังทันที
“อืม....เท่าที่ป้านึกดูก็ประมาณ สองปีนั้นแหละจ๊ะ แต่เพราะความจำเป็นบางอย่างป้าก็จำไม่ได้แล้วสิ แกเลยต้องย้ายออกจากหอไปแต่ รู้สึกว่าแกยังเรียนอยู่ที่นี่นะ ถึงจะไม่แวะมาหาป้าเลยก็เถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”เอลลี่รีบเดินออกจากหอพักไป
“เดี่ยวสิหนูเอลลี่แล้วข้าวกล่องของหนูล่ะ” ก่อนจะพูดจบเอลลี่ก็เดินหายไปแล้ว “ตายแล้วไม่ไหวเลย”
“หืม ข้าวกล่องหรอคุณป้า?” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาวสลายผู้มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ พูดขึ้นพร้อมกับโผล่หน้ามาด้านข้าง
“อ้าวหนูเนย เรียนห้องเดียวกับหนูเอลลี่ใช่ไหมจ๊ะ ป้าฝากไปให้เธอหน่อยได้ไหม?” สาวใหญ่ยื่นกล้องข้าวที่ห่อไว้ด้วยผ้าสีฟ้าให้
“รับทราบค่า” กรรณรัตรับกล้องข้าวก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ให้เธอและรีบวิ่งออกไป
“อาคารเรียนของปี 3 น่าจะอยู่ตรงนี้นะ?” เอลลี่ยืนด่อมๆมองๆ อยู่หน้าอาคารเรียนทรงคฤหาสน์
“นั้นรุ่นน้องรึเปล่า ดูไม่คุ้นหน้าเลย”“นักเรียนทุนเด็กปี 1 ไง” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสองคนกำลังยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากเอลลี่นัก
“นี่เธอ ที่นี่ไม่ใช่อาคารเรียนของพวกปี 1 นะเปิดเรียนมาตั้งหลายวันแล้วยังจำ อาคารเรียนของตัวเองไม่ได้อีกรึไง?” เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลตัดสั้น รูปหน้าคมดวงตาเรียว จมูกโด่งเป็นสัน จัดว่าหล่อเลยทีเดียว เอ๋ยขึ้นกับเด็กสาวที่คิดว่ากำลังทำตัวน่าสงสัย
“หืม?” เอลลี่ยึดตัวขึ้นหันไปมองทางต้นเสียง “ที่นี่ใช่อาคารเรียนปี 3 รึเปล่าคะ?” หลังจากที่เด็กสาวเจ้าของผมสีทองยืดตัวตรงเป็นปกติแล้ว เธอมีส่วนสูงเท่าเด็กหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้า หรืออาจจะสูงกว่า
“อะ..อ่า มีธุระอะไรที่นี่ล่ะ” เด็กหนุ่มกระแอ่มไอหนึ่งครั้งแก้เขินเล็กๆ ที่มีผู้หญิงสูงกว่า เขาก็ไม่ใช่คนที่ตัวเล็ก เรียกว่ารูปร่างตามมาตรฐานผู้ชายทั่วไป
“ฉันมาตามหาคนน่ะค่ะรุ่นพี่” เอลลี่มองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยกับท่าทางหลบหน้าของเขา
เด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปหนึ่งขั้น ก่อนจะหันหน้าหลบเด็กสาวเล็กน้อย “ถ้าฉันรู้จักล่ะก็นะ ตามหาใครล่ะ?”
“รุ่นพี่พูดอะไรนะคะ? ฉันไม่ได้ยินเลย” เด็กสาวก้าวขึ้นบันไดตามเด็กหนุ่มมา
“โถ!” เด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปอีกขั้น “เธอตามหาใครอยู่ล่ะ?”
“รุ่นพี่ ทิวากาล ค่ะ”
“เอ๊ะ...” บรรยากาศรอบข้างหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง นักเรียนปี 3 ที่อยู่บริเวณนั้น นิ่งเงียบไป “ตอนนี้..เธอคงไม่อู่ที่นี่หรอก ฉันว่าเธอกลับไปก่อนเถอะ” รุ่นพี่ร่างเล็กพูดพร้อมกับเดินเข้าอาคารไป
“งะ..งั้นหรอคะ”เอลลี่ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะ หันหลังเดินกลับไป
...................................................................................................................................
เอลลี่ซุกหน้าหมอบลงบนโต๊ะเรียน วันนี้เธอแทบไม่ได้ฟังที่ครูสอนเลย ในหัวก็มีแต่เรื่องของ ทิวากาล คนที่เธอตามหา เธอพลิกหัวไปทางหน้าต่างช้าๆ แล้วค่อยๆลืมตา
ภาพของกานต์ที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างมันทำให้เธอเห็นเงาของเด็กสาวที่เธอเจอในวันประถมนิเทศ เด็กสาวที่เหมือนกับกานต์ เส้นผมสีขาวปลิวไสวไปกับสายลม ใบหน้านิ่งเฉยที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆของกานต์กับนัยน์ตาสีฟ้าที่สว่างไสวเพราะกระทบกับแสงแดด คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของเด็กสาว เธอเชื่อว่ากานต์ต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการบาดเจ็บของ เจมส์ และต้องรู้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในสมุดปกแดงเล่มนั้น
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เธอจ้องมองใบหน้าด้านข้างของกานต์ รู้ตัวอีกทีสัญญาณพักกลางวันก็ดังขึ้น
“อา-นะ-จัง”เสียงหวานๆที่คุ้นหูดังขึ้นปลุกเธอจากความเหม่อลอย “กินข้าวกันเถอะ” เจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มคานะจัง พูดขึ้น
“กินข้าวกับเธอ ไม่มีวันซะหรอก”เอลลี่ตอบโดยไม่หันกลับไปมองคู่สนทนาของเธอ
“แต่ฉันมีนี่นะ”เนยโชว์ข้าวกล่องของเธอพร้อมกับโบกไปโบกมา
“นี่เธอเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่!?” เอลลี่สะดุ้งตกใจสุดขีด
“ถามตัวเธอเองดีๆสิว่าได้เอามาไหม? คิกคิก”
“เห้อ ลืมไว้จริงๆด้วย” เอลลี่ถอนหายใจยาวๆ
นับว่าตั้งแต่เข้าเรียนมาเอลลี่แทบไม่เคยเข้าโรงอาหารเลยเพราะเธอพกข้าวกล่องมากินเองเสมอ สาเหตุมาจากค่าอาหารที่แพงอย่างเหลือเชื่อของที่นี่ เมื่อพกข้าวกล่องมาทำให้เธอไม่อยากไปนั่งทานอาหารในดงพวกคุณหนู ที่คงจะมองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาดเด็กสาวจึงเลือกไปทานอาหารเงียบๆใต้ต้นไม้ใหญ่หลังอาคาร พอมาดูใกล้ๆแล้ว โรงอาหารที่นี่เป็นอาคารแบบเรือนกระจก มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบแต่ก็ยังปล่อยช่วงเว้นให้ แสงแดดได้ส่องเข้ามาบ้าง ภายในมีโต๊ะไม้แกะสลักสวยงามเรียงกันอย่างเป็นระเบียบกับเก้าอี้โซฟ้าดูหรูหราตามด้วยผ้าปูโต๊ะ ลายลูกไม้ ที่ถักทออย่างดี บนโต๊ะมี มีดช้อนส้อมวางไว้เป็นชุดๆตามที่นั่ง
“เอาข้าวกล่องคืนมา ฉันจะไปกินที่อื่น” เอลลี่ทำหน้าบึ่งตึง
“ไม่เอาน่า ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วฉันจะพาไปรู้จักกับเพื่อนๆด้วย”คานะยังคงถือกล่องข้าวของเอลลี่แกว่งไปแกว่งมา
“คานะจัง” ทรายเจ้าของปรัชญา ‘ถ้าไม่ลงมือทำ ความฝันจะไม่สำเร็จ’ เอ๋ยทักขึ้น
“ไงแม่คนสวยของฉัน”คานะเดินเข้าไปเชิดหน้าเด็กสาวและจ้องมองไปนัยน์ตาของเธอ
“จะปลูกดอกลิ่นลี่กันรึไงพวกเธอ” เอส สาวน้อยห้อง 3 ผู้มีสีหน้าเรียบเฉยแต่ชอบยิงมุขหน้าตายเธอมี ผมยาวสีน้ำตาลใบหน้าเรียวคม ตาโต จมูกเล็กๆ เอ๋ยขึ้น
“หรือว่า เอสกี้ อยากจะเป็นของฉันอีกคนกันล่ะ?”เนยหันไปดึงแก้มเอสเล่น
“เห้อ ฉันไปล่ะ”เอลลี่หันหลังกลับด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“หงำ หงำ หงำ” เนยลงมือทานข้าวกล่องของเอลลี่อย่างรวดเร็ว
“ยัยบ้านั้นมันของฉันนะ!!!” เอลลี่รีบพุ่งตัวเข้าไปชิงข้าวกล่องแต่เนยหันหลังกันเธอเอาไว้และทานต่อไปอย่างไม่สนใจ
“แหม อร่อยจริงๆเลยอานะจัง” คานะยิ้มอย่างสดใสก่อนจะตบพุงตัวเองเบาๆ
“ยัย....ยัย....” เอลลี่กัดฟันแน่น คานะเดินมาตบไหล่เธอเบาๆ
“ใช้ซะสิ บัตรที่ฉันให้เธอไปน่ะ” คานะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะกับเพื่อนๆของเธอ
เอลลี่พลันนึกถึงเหตุการณ์ทำอาหารเมื่อวันเปิดเรียน เธอหยิบบัตรเครดิตสีทองออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
“เร็วๆน้าพวกเรารออยู่” คานะส่งยิ้มโบกมือให้เอลลี่
เอลลี่เดินตรงไปที่ขายอาหาร เธอมองหาอยู่นานก่อนจะสั่งบะหมี่ราเม็งชามใหญ่ ตามด้วย น้ำองุ่นสุดหรูในแก้วทรงสูงตกแต่งด้วยร่มคันน้อยและหลอดรูปดาว เธอไม่ลืมที่จะสั่งของหวานเป็นพุตดิ่งนมสดถึงสี่ถ้วย เด็กสาวเดินกลับมาที่โต๊ะของคานะ
“โห นักเรียนทุนไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย” ทรายพูดขึ้นพร้อมกับขยับแว่นตาขึ้นลง
“มีรูปร่างดีเพราะแบบนี้สินะ” เอสพยักหน้าหลายๆที
เอลลี่นั่งลงข้างๆคานะ ก่อนจะค่อยๆทานอาหารตรงหน้าเธอโดยไม่สนใจเรื่องที่ กลุ่มเด็กสาวบนโต๊ะพูดคุยกัน แม้อาหารจะอร่อยมากแต่มันก็ช่างไม่พอ ความหิวสะสมของเธอที่นอกจากจะลืมหยิบข้าวกล่องมาแล้วยังลืมทานข้าวเช้าด้วย
“แล้วจากนั้นอะนะ แจ๊คก็วิ่งไปหานักเรียนทุนจนทั่วเลย แถมยังตะโกนว่า สไตรเกอร์ สไตรเกอร์” ทรายพูดไปหัวเราะไป เธอยืนขึ้นและทำท่าเลียนแบบแจ๊ค โดยยืดอกและเชิดหน้า “สไตรเกอร์!! แบบนี้อะ” แล้วก็หัวเราะออกมา คนในโต๊ะก็หัวเราะไปกับเธอด้วยยกเว้นเอลลี่ที่ค่อยๆเช็ดปากและวางตะเกียบลงข้างตัว
“ถ้าไม่อิ่ม ก็ไปสั่งเพิ่มได้เลยนะ” คานะพูดยิ้มๆ
“แค่นี้ก็แพงมากแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” เอลลี่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ต้องห่วงไป มันไม่ใช่บัตรของฉัน แต่เป็นของเขา” คานะพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะใช้นิ้วโป้งชี้ไปหา เนียร์ นักเรียนชายห้องเดียวกันที่ นั่งอยู่ด้านหลังเธอ
‘พรวด’ เนียร์พ่นเส้นสปาร์เก็ตตี้ออกมา “ก็ว่าอยู่หายไปไหน!!!”
“ไม่เอาน่า เนียร์” คานะหัวเราะร่า เนียร์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
“เอ๋ เอ่อ ให้ฉันชดใช้นายไหม?” เอลี่เดินไปพูดกับเนียร์
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ดูถูกคนต่างฐานะ ว่าเงินแค่นี้ไม่มีค่าหรอกนะ แต่คนที่ต้องชดใช้มันยัยนั้นต่างหาก” เนียร์จ้องไปทางคานะที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ยังไงก็ขอบคุณนะสำหรับอาหารมือนี้”เอลลี่พูดพร้อมกับยื่นบัตรคืนให้เนียร์
“ไม่มีปัญหา ถ้าลำบากฉันก็เต็มใจช่วย” เนียร์พูดยิ้มๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มผิวสีแทน รูปร่างสูงหุ่นดี ใบหน้าคมเข้มดวงตาเรียวรี หางตาตกเล็กน้อย หน้าตาดูเป็นมิตร บวกกับรอยยิ้มมุมปากเล็กๆทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากทีเดียว
“จะจีบเอลลี่ต้องผ่านฉันไปก่อนนะ” กรรณรัตตะโกนไล่หลังเอลลี่มา
“ฉันจะคุยกับใครมันไม่เกี่ยวกับเธอย่ะ” เอลลี่โวยกลับไป บนใบหน้าของเด็กสาวมีรอยยิ้มน้อยๆ
ดูเหมือนความเหนื่อยล้าและความสงสัยของเธอจะเบาบางลง อย่างน้อยๆก็มีสายสัมพันธ์ ใหม่ๆเกิดขึ้น บางทีการที่เธอไม่สนใจเรื่องราวอันตรายพวกนี้อาจจะดีสำหรับตัวเธอจริงๆก็ได้
.................................................................................................................................................
‘เขาจะมาหาเธอเอง’ คำตอบของหญิงสาวยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัว กานต์ค่อยๆจิบนมกาแฟทีล่ะหน่อยในขณะที่มองดูท้องฟ้ายามบ่ายบนม้านั่งในสวนหลังอาคาร วิชา ประวัติศาสตร์โลก วันนี้มาสเตอร์ต้องไปทำธุระเรื่องของแจนที่โรงพยาบาลเป็นเหตุให้คาบเรียนนี้ต้องศึกษาด้วยตัวเอง กานต์เหม่อมองขึ้นไปไกลแสนไกลคำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว
“โย่ว! นักเรียนทุน”แจ๊ค เดินเข้ามาทักทายพร้อมกับนั่งลงข้างๆกานต์ “แย่เลยนะวันนั้น”
“นั้นสินะ ใครจะไปคิดกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่ดีๆจะเป็นแบบนั้นได้” กานต์พูดโดยไม่หันไปมอง
“เจมส์มันยังไม่ตายก็ดีแล้ว แต่ว่า...ใครทำกับมันแบบนั้นกัน” แจ๊คบีบกระป๋องน้ำอัดลมในมือ
“เป็นห่วงเพื่อนสินะ?”
“เปล่ามันติดตังฉันอยู่ห้าพันถ้ามันไม่ตื่นคงไม่ได้คืนแน่”แจ็คบีบกระป๋องจนเละคามือ
“ว่าแต่นายโดดเรียนมาสินะ”
“ห๊ะ เธอรู้ได้ไง!?”
“ก็ซิสเตอร์ท่าทางน่ากลัวคนนั้นกำลังเดินมาทางนายนิ”กานต์ชี้ไปที่ สาวใหญ่ในชุดแม่ชีที่กำลังเดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“ซวยแล้วไง ฉันไปก่อนล่ะนักเรียนทุน” แจ๊ครีบวิ่งออกไป
“โชคดีนะ” กานต์ตอบกลับไปเบาๆ แม้จะพูดแบบนั้นแต่กานต์ก็สัมผัสได้ว่า แจ๊คเองก็คงเป็นห่วงเจมส์อยู่ไม่น้อย พอมาลองคิดดูอีกทีเรื่องทั้งหมดมันแทบจะเชื่อมโยงกันไม่ได้เลย การมีอันเป็นไปต่างๆของนักเรียนทุนที่เชื่อมกับสมุดปกแดง การตายของมาสเตอร์เจมส์เมื่อ 15 ปีก่อน การป่วยอย่างกะทันหันของแจน อาการบาดเจ็บของเจมส์ คนที่น่าจะรู้เรื่องคงมีแค่คนปล่อยข่าวลือความเชื่อเรื่องสมุดปกแดงเท่านั้น และคนๆนั้นอาจจะเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด
“ขอนั่งด้วยได้ไหม?” เด็กสาวเจ้าของฉายา ตุ๊กตา พูดขึ้น
“ตามสบาย” กานต์ตอบโดยไม่หันไปมอง ปามที่เข้ามาขอนั่งข้างๆ เด็กสาวนั่งลงช้าๆ “ข้างบนนั้นมีอะไรหรอ ทำไมคุณถึงชอบมองขึ้นไป?”
“ไม่รู้สิ”กานต์ตอบโดยไม่หันมองเด็กสาว “เพราะไม่รู้ก็เลยมองยังไงล่ะ”
“คนมักจะกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ใช่ไหม?”
“มั่ง...เพราะไม่รู้ก็เลยกลัว แต่ถ้ารู้แล้วก็จะไม่กลัวใช่ไหมละ”
“เรื่องบางเรื่องถ้ารู้แล้วอาจจะกลัวมากขึ้นก็ได้นะ”
“ถ้ารู้จักมันมากกว่านี้...รู้จักให้มากกว่านี้ก็จะไม่กลัว ฉันเชื่อแบบนั้น”กานต์เผยยิ้มที่มุมปาก
“งั้นหรอ” เด็กสาวแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า นัยน์ตาสีแดงของเธอส่องประกาย
“สีสวยจังเลย นัยน์ตาของเธอ” กานลุกขึ้นยืน “เหมือนกับสีของชะเอมที่ลุกไหม้บนผืนดิน” พูดจบกานต์ก็เดินเข้าไปในอาคารเรียนพร้อมกับสัญญาณหมดคาบเรียน ที่ดังไปทั่วบริเวณโรงเรียน
...............................................................................................................................
ห้องสมุด 05.38 pm
เอลลี่เก็บหนังสือเข้าชั้น เธอค่อยๆใช้นิ้วชี้บรรจงลากไปตามสันหนังสือ
“หาอะไรอยู่หรอคะ?” บรรณารักษ์สาวส่งยิ้มหวานให้เอลลี่ เด็กสาวส่งยิ้มกลับ
“หนังสือประวัติศาสตร์น่ะค่ะ”
“ลองไปดูที่ตู้นู่นสิคะ ส่วนใหญ่หนังสือประวัติศาสตร์จะอยู่ตรงนั้น” หญิงสาวชี้ไปที่ตู้หนังสือด้านใน เอลลี่ก้มหัวให้เธอหนึ่งครั้งแล้วเดินไปที่ตู้นั้น
ห้องสมุดของโรงเรียนนี้มีอยู่ 3 ที่ เป็นห้องสมุดของ ฝ่ายประถม มัธยมต้น และ ห้องสมุดใหญ่ที่อยู่ใกล้อาคารเรียนมัธยมปลาย เด็กนักเรียนมัธยมปลายทั้ง 3 ชั้นปีจึงมาใช้ห้องสมุดเดียวกัน
“เธอ..คนเมื่อเช้านี้” เด็กหนุ่มรุ่นพี่ปี 3 เจ้าของผมสีน้ำตาลและใบหน้าหล่อเหลาเอ๋ยทัก
“สายัณห์สวัสดิ์ ค่ะรุ่นพี่” เอลี่ก้มหัวให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะหันกลับไปหาหนังสือต่อ
“อืม ทำไมถึงถามหาเธอคนนั้นล่ะ?” เด็กหนุ่มค่อยๆเดินเข้ามา
“เธอเคยช่วยฉันไว้ในวันประถมนิเทศน่ะค่ะ เลยอยากจะขอบคุณ” เด็กสาวตอบโดยไม่หันไปมอง
“เคยเจอกันแล้วสินะ” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเขาทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่า
“รุ่นพี่ไม่เคยเจอเธอหรอคะ?”
“เคยสิ...นานมากแล้วล่ะ”
............................................................................................................
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน
“เห้ยเซน จะอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่เดี่ยวก็สายหรอก” เพื่อนของผมตะโกนขึ้น ในขณะที่ผมกำลังมองลูกแมวถูกทิ้งอยู่หน้าโรงเรียน
“เออ แปปนึง” ผมตัดใจหันหลังและวิ่งตามเพื่อนไป แม้ว่ามันจะน่าสงสารแต่ผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ผมคิดแบบนั้น
ผมชื่อ เซน ที่บ้าน เปิดกิจการโรงแรมแถวชายทะเล ถ้าเทียบฐานะการเงินของคนในโรงเรียนนี้แล้วผมคงอยู่ระดับต่ำๆเลย แต่เพราะพ่อของผมอยากให้ผู้สืบทอดของเขามีชื่อเสียงที่ดี ท่านจึงส่งผมมาเรียนที่นี่ ผมวิ่งตามเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยเด็ก บาส ที่บ้านทำกิจการประมงและเปิดสหกรณ์การประมง รายได้ก็คงระดับเดียวกับครอบครัวของผม เราทั้งสองโตมาด้วยกัน เขาเป็นคนมีไฟนึกอยากทำอะไรต้องทำให้ได้ บาสอยากเป็นนักการทูตระหว่างประเทศแม้ว่าพ่อแม่จะไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้เขาสืบทอดกิจการต่อแต่ บาสก็รั้นหัวชนฝาว่าจะไม่ทำ เขาจะทำตามความฝันที่ได้เดินทางไปพบสาวสวยตามประเทศต่างๆ ผมก็นึกอิจฉาในตัวเพื่อนสนิทที่เขามีความฝันและความมุ่งมั่น เมื่อเทียบกันแล้ว ผมกลับไม่มีอะไรเลยความฝันที่พ่อแม่ให้มา อนาคตที่พ่อแม่ให้มา ทุกๆอย่างผมไม่ได้เป็นคนกำหนด
“หูย สุดยอดสาวสวยเต็มไปหมดเลยว่ะเซน” บาสกระโดดเป็นลิงโลด หลังจากได้เห็นสาวๆน้อยใหญ่ใส่ชุดนักเรียน
“ม.4 แล้วนะเว้ยทำตัวให้มันเหมือนคนที่โตแล้วหน่อยสิวะ ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนเพื่อนสนิท
“ลูกผู้ชายมันต้องมีไฟและจุดมุ่งหมายสิวะ” บาสตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนที่พวกเราจะเดินเข้าหอประชุมที่ 2 เพื่อนเข้าร่วมพิธีประถมนิเทศ
ผู้อำนวยการกล่าวเปิดพิธีด้วยหลักการใช้ชีวิตและอุดมการณ์ของโรงเรียน มันฟังดูน่าเบื่อ ผมรู้สึกง่วง แต่ก็พยายามถ่างตาให้กว้างเข้าไว้จนมันดูน่าตลก ถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่ามันตลก ก็เพราะคนข้างๆผม
“คิก คิก คิก” เธอมีผมสีขาวยาว ผิวขาวเนียนอมชมพู เมื่อเด็กสาวด้านข้างสังเกตเห็นว่าผมมองเธออยู่ เธอจึงหยุดหัวเราะและส่งยิ้มให้ผมแทน เธอมีหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสีน้ำเงินหางตาชี้ขึ้น ประกอบกับขนตายาวๆ ตาเธอสวยมาก จมูกเล็กๆได้รูป กับปากสีชมพูเล็กๆน่ารัก เธอสวย...
“อะแฮ่ม” ผมกระแอ่มไอหนึ่งครั้งเพื่อไล่ตัวเองให้ตื่นจากการมโน
“ขอโทษที พอดีเห็นท่าทางของนายแล้วมันตลก” เธอหัวเราะเบาๆก่อนจะผงกหัวให้ผม
“เอ่อ แหะๆ”
หลังจากจบประถมนิเทศผมกับบาสก็ออกมาจากหอประชุม พวกเราพูดคุยหยอกล้อกัน พูดถึงรอง ผอ. คนสวย กับหัวล้านของ ผอ. กันอย่างสนุกปาก แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ได้บอกบาส
“เห้ยๆ เซนดูนั้นดิ โครตสวย!!”บาสตบไหล่ผมถี่ๆแล้วชี้ไปที่เด็กสาวผมสีขาว เธอกำลังเล่นกับลูกแมวตัวหนึ่งอยู่ ลูกแมวที่ผมเจอหน้าโรงเรียน
“หืม นักเรียนทุนหรอ สวยมากเลยนะ” นักเรียนชายคนอื่นๆหยุดยืนดูการกระทำของเธอ เธอดูสนุก และมีความสุขมาก รอยยิ้มของเธอดูเป็นธรรมชาติจนน่าหลงใหล
ผมส่ายหัวถี่ๆ แล้วหันหน้าไปดูที่บอร์ดหน้าหอประชุม “ทิวากาล ชื่อของเธอ...กลางวัน?” ผมเอียงคอด้วยความสงสัย มีคนชื่อแบบนี้เหมือนกันสินะ
หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ก็เปิดเรียนวันแรก ผมได้อยู่ห้อง 7 เพราะเลือกลงเรียนสายศิลป์ หลังจากเรียมพร้อมจัดข้าวของตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ผมจึงเดินอย่างสบายๆ ในหัวผมมีเรื่องของนักเรียนทุนคนนั้นผุดเข้ามา
“เห้ย เซนนายว่านักเรียนทุนคนนั้นจะได้อยู่ห้องไหน” บาสพูดขึ้นปลุกผมจากการมโนถึงเธอ
“เอ่อ ห้อง 4 มั่ง”
“เห้ย หน้าตาออกลูกครึ่งแบบนั้นฉันว่าน่าจะได้เรียนห้อง ภาษาอังกฤษแน่ๆ” บาสยิ้มใช้มือเสยผมขึ้นไปพร้อมกับยิ้มน้อยๆ นี่เป็นท่าปกติเวลาที่เพื่อนซี้ของผมจะทำก่อนเข้าหาผู้หญิง ผมหยุดเดินเพื่อครุ่นคิด
“อืม อาจจะได้เรียนห้อง 1 มั่ง” ผมคิดแบบนั้นแล้วก็เดินหน้าต่อไป บาสหัวเราะกับท่าทางใช้ความคิดของผม ก่อนจะกอดคอและพวกเราก็เดินไปอาคารเรียน
........................................................................................................................
ที่ห้อง 7 ของผมมีผู้หญิงเรียนอยู่เยอะมาก เพราะเป็นห้องที่มีวิชาเรียนบริหารหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ทำให้ในห้องของผมอุดมไปด้วยสาวๆน่ารักๆ บาสเองก็เรียนห้องเดียวกับผม เขาถึงกับเกร็งทำอะไรไม่ถูกจนปวดท้องไปเลย ตอนนี้คงยังอยู่ในห้องน้ำ
หลังจากทานอาหารเสร็จผมวางช้อนส้อมไว้กับที่แล้วลุกขึ้นเดินออกจากโรงอาหารไป ในโรงอาหารมีเสียงผู้คนพูดคุยกันจอแจเสียงดัง มันดูน่าอึดอัด ผมนั่งลงที่ม้านั่งในสวนหลังอาคาร สายตาเหม่อมองไปรอบๆ
“นิ่งๆน้า อย่าไปไหนล่ะ” เด็กสาวคนนั้น ทิวากาล เธอกำลังทำตัวน่าสงสัยอยู่บริเวณพุ่มไม้ในสวน แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่ผมจำเสียงเธอได้ บวกกับผมสีขาวเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
“เธอทำอะไรน่ะ!?”ผมพูดขึ้นเสียงดังๆ
“เอ๊ะ” เธอสะดุ้งและรีบลุกขึ้นยืน หัวเธอชนเข้ากับกิ่งไม้หนาๆของต้นไม้อย่างจัง “โอ๊ย!” ถ้าเป็นในการ์ตูนคงมีเสีย ‘โป๊ก!’ “ชู่ววว เบาๆหน่อยสิ” เธอหันหน้ามาทำแก้มป่องใส่ผม “กว่าจะหลับได้มันลำบากรู้ไหม? ถ้าเจ้านี่ตื่นแล้วหายไปจะทำยังไงล่ะ?”
“เธอแอบเอาอะไรมาเลี้ยงรึไง?” ผมเดินเข้าไปตรงที่ๆเธอยืนอยู่ “ลูกแมว?” มันคือแมวตัวเตียวกันกับที่ผมเจอในวันประถมนิเทศ ขนของมันสีขาวตอนนี้มันยังเด็ก หูเล็กๆและใบหน้าตอนหลับของมันที่เหมือนยิ้มอยู่ ดูน่าเอ็นดูจริงๆ
“นายจะเอาไปบอกคนอื่นก็ได้นะ” ทิวากาลก้มหน้าลงเล็กน้อย เหมือนเธอจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
“ไม่บอกหรอก...ฉันก็”ผมก้มตัวลงไปนั่งยองๆ มองเจ้าตัวเล็กอย่างใกล้ชิด “อยากจะช่วยมัน”
ทิวากาลไม่พูดอะไรเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วก้มหัวให้กับผม “ขอบคุณค่ะ”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมมักจะแอบ มาหาเจ้าแมวตัวนี้บ่อยๆ บางทีก็แอบเอาอะไรมาให้มันกิน ผมมักจะเจอทิวากาลบ่อยๆที่นี่ ที่ๆมีเจ้าแมวอยู่ อาจจะดูแปลกๆแต่ผมรู้สึก เหมือนพวกเรากำลังเล่นพ่อแม่ลูก ผมเป็นพ่อ เธอเป็นแม่ และเจ้าแมวเป็นลูก เมื่อคิดได้แบบนั้นทีไรผมจะส่ายหัวถี่ๆ ขับไล่ความคิดพวกนี้ออกไป
“นายกำลังคิดอะไรแปลกๆอยู่ใช่ไหม?” เธอจ้องหน้าผม
“ปะ..ปะ..เปล่าเลย” ผมรีบยกมือปฏิเสธ
“ตอนนายคิดอะไรแปลกๆก็จะส่ายหัวแบบนี้เป็นประจำ” เธอหัวเราะเบาๆ
เราสองคนพบกันบ่อยขึ้นๆ ทุกๆวันที่ผมอยู่กับเธอมันทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวา โลกนี้มันช่างสดใสเหลือเกิน แม้เธอจะสูงเท่าๆกับผมเลยก็ตามที ก็ตอนเดินด้วยกันมันดูน่าอายยังไงไม่รู้ เหมือนผมปกป้องเธอไม่ได้เลย...แต่ไม่เป็นไร ผมได้แต่คิดแบบนั้นแล้วก็หัวเราะความคิดแปลกๆของตัวเอง
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมาเจอเธอตอนพักกลางวัน ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วแต่ตอนนี้เจ้าลูกแมวน้อยมันโตขึ้นจนวิ่งเล่นไปทั่ว ต้องลำบากไล่จับกันวุ่นวาย แม้จะเหนื่อยหน่อยแต่มันก็เป็นเรื่องดีๆที่ทำให้ผมได้ใช้เวลาอยู่กับเธอนานขึ้น
“พรุ่งนี้ฉันไม่ว่าง นายมาดูแลเจ้าขาวแทนฉันได้ไหม?” ใช่นี่คือชื่อของเจ้าแมวตัวนี้ เพราะไม่ได้ตั้งชื่อสักทีเราจึงเรียกมันว่าเจ้าขาว
“ได้สิ”ผมยิ้มตอบกลับไป
“ตอนยิ้มนายดูหล่อมากเลยนะ ดูแลมันดีๆล่ะ”เธอยิ้มให้ผม บอกตามตรงว่าผมได้ยินแค่คำที่เธอชมผมเท่านั้นตอนนั้นผมรู้สึกร้อนๆที่ใบหน้า “นายไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย?”
“เปล่าๆ สบายดีๆ เดี่ยวฉันดูแลเจ้าขาวให้เธอไม่ต้องห่วง”
ในวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกแรงมาก ผมรีบจัดการอาหารตรงหน้าให้เสร็จและไปดูเจ้าขาวทันที เขาว่ากันว่าแมวไม่ถูกกับน้ำ ผมกางร่มและรีบวิ่งไปที่ประจำใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ทว่าเจ้าขาวก็ไม่อยู่แล้ว
ผมรีบวิ่งตามหามันไปทั่วโรงเรียน ป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้างนะ มันจะได้กินอะไรหรือยัง มันจะไปหลบฝนอยู่ที่ไหนมีใครเจอมันรึยัง ในหัวผมมีคำถามมากมายผุดขึ้นมา
“แมวล่ะ น่าสงสารจัง” มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง ลางสังหรณ์ของผมคงผิดใช่ไหม ผมหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบที่ผมคิด
“เจ้าขาว....” มันนอนหายใจรวยรินหมดสภาพ ที่ท้องของมันมีแผลเลือดออก ไหลไปกับสายฝน
“...เจ้าขาว”ทิวากาลหน้าถอดสีหลังจากที่เปียกปอนไปทั้งตัวผมได้แต่ยืนนิ่งท่ามกลางผู้คน
ผมตัดสินใจขยับตัวจะกางร่มให้เธอแต่ “มีใครพอจะช่วยมันได้ไหมคะ?” เธออุ้มมันขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ได้โปรดมีใครช่วยมันได้ไหม?” เธอพูดขึ้นขณะเงยหน้ามองทุกคนในบริเวณนั้น
“เอ่อ มันสกปรกนะ”“ใช่ๆ เธอวางมันลงเถอะ มันคงตายแล้วล่ะ” นักเรียนบริเวณนั้นต่างถอยห่างจากเธอ
“เธอไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะมันคงไม่รอดแล้ว” ผมวางมือบนไหล่เธอเบาๆ
“ทำไมล่ะ..ก็มันยังหายใจอยู่นิ มันยังไม่ตายนะ!!”เธอตะโกนใส่หน้าผมก่อนจะผละวิ่งอุ้มเจ้าขาวจากไป ผมไม่รอช้าวิ่งตามเธอไปทันที
“เธอทำแบบนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ยังไงก็ช่วยไม่ได้แล้ว หาที่ให้มันพักผ่อนอย่างสงบเถอะ” ผมพยายามรวบรวมคำพูดแล้วตะโกนออกไป
“ไม่ ฉันจะไม่ปล่อยให้มันตายเด็ดขาด!!! มันเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน!!”เธอตะโกนไปด้วยเสียงสะอื้น “ฉันจะพามันไปรักษา”
“หยุดเถอะ โรงเรียนมีกฎห้ามออกจากบริเวณ ในเวลาเรียนนะ”
“ถ้าไม่ทำ...ถ้าไม่ทำ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก นายก็เหมือนกันถ้าปล่อยให้ตัวเองถูกบังคับอยู่ในกฎของคนอื่น นายก็จะไม่เหลืออะไรเป็นของตัวเองเลย!!!” คำพูดของเธอทำให้ผมหยุดชะงัก ร่างของเธอค่อยๆ หายไปกลางสายฝน
“ก็เพราะมันทำอะไรก็ได้ไม่ใช่หรอ” ผมยืนกำมือแน่น ได้แต่พูดออกไปเบาๆ “ก็เพราะทำอะไรไม่ได้...”
หลังจากนั้นนักเรียนทุนก็ถูกลงโทษที่ไม่เข้าร่วมการสอบวัดผลคุณภาพนักเรียน และ ออกไปนอกบริเวณโรงเรียนในเวลาเรียน เธอโดนพักการเรียนสองอาทิตย์ แม้สองอาทิตย์นั้นจะผ่านไปแล้วแต่ ผมก็แทบไม่ได้เห็นเธออีกเลย
“เหมี่ยว!” ผมสะดุ้งตื่น หลังจากที่ไม่ได้นอนมาสองวันเพราะต้องทำงานกลุ่มที่ถูกโยนมาให้โดยสาวๆภายในห้อง ผมปรับโฟกัสภาพให้ชัดเจน ตอนนี้ผมกำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนหลังอาคารเรียน
“หลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย” ผมพลิกนาฬิกาข้อมือดู “ห้าโมงแล้วหรอเนี่ย” เดี่ยวก่อนนะ เหมือนผมได้ยินเสียงแมว ผมหันซ้ายหันขวาก็เจอกับ...”เจ้าขาว?” แมวสีขาวมีผ้าพันแผลพันรอบท้อง มันกำลังคลอเคลียอยู่บนตัวผม... “แกยังไม่ตายสินะ” วินาทีนั้น น้ำอุ่นๆก็ไหลออกมาจากดวงตาของผม ผมกอดร่างของเจ้าแมวตัวน้อยเอาไว้ “ฉันขอโทษนะ ถ้าฉันมาเร็วกว่านี้ แกก็ไม่ต้องเจ็บแบบนี้” ในวินาทีนั้น
‘ถ้าไม่ทำอะไรก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก นายก็เหมือนกันถ้าปล่อยให้ตัวเองถูกบังคับอยู่ในกฎของคนอื่น นายก็จะไม่เหลืออะไรเป็นของตัวเองเลย’ คำพูดของเธอดังเข้ามาในหัวผม...ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวผมเอง
........................................................................................................................
ปัจจุบัน
เอลลี่ยื่นหนังสือให้บรรณารักษ์สาว เธอปั้มตราให้ก่อนจะส่งให้เอลลี่
“ยืมได้สามวันนะคะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” เอลลี่ผงกหัวให้หญิงสาวหนึ่งครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องสมุดไป
นี่ก็เริ่มค่ำแล้ว เด็กสาวค่อยๆเดินผ่านทางเดินในสวนที่เธอคุ้นเคยไปอย่างช้าๆ ในหัวเธอคิดอะไร ต่อมิอะไรอยู่เต็มไปหมด เหมือนวันนี้หลายๆเรื่องจะตีเข้ามาพร้อมกัน เด็กสาวถอนหายใจยาวๆ พลันนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่
‘ถึงแม้หลังจากนั้นฉันจะแทบไม่ได้เจอเธอ จนไม่ได้เจออีกเลยก็เถอะ...ไม่ว่าเธอจะตามหา ทิวากาลไปทำไมแต่ถ้าเธอเจอกับทิวากาลล่ะก็’ เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ‘ฝากบอกเธอด้วยว่าขอบคุณ’
‘ซ่า ครืน!’ ฝนเทตัวลงมาพร้อมกับเสียงฟ้า เด็กสาวรีบวิ่งตรงเข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ ตอนนี้ชุดของเธอไม่เปียกมากนัก เหมือนกระเป๋าของเธอมันจะไม่กันน้ำ เด็กสาวไม่อยากให้หนังสือที่ยืมมาต้องเปียกไปเสียก่อน เธอถอนหายใจยาวๆอีกครั้ง
“เห้อ เข้าหน้าฝนแล้วนินะ” เอลลี่หยิบหนังสือที่ยืมไปขึ้นมาดู เหมือนมันจะยังไม่เปียก เธอถอนหายใจอีกครั้ง
เสียงฟ้ายังคงดังครืนๆต่อเนื่อง ทำให้รอบๆตัวเธอเหมือนมีไฟสว่างวาบกระพริบไปมา
พลันปรากฏเงาใครบางคนด้านหลังเธอไม่ไกลมาก ร่างนั้นสวมชุดกันฝนหนา แสงจากฟ้ากระพริบ ทำให้เกิดแสงสะท้อนจากมีดเงาวับ
เอลลี่ยังคงกอดหนังสือที่ยืมมาไว้แน่น หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘หนูน้อยหมวกแดง’
..........................................................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ