รักหมดใจ...เจ้าชายกระดาษ (Re-Write)
เขียนโดย ภรณ์นิชา
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 12.19 น.
แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 11.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) 8 | ถึงเวลา (100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผู้ชายบางคนก็มีดีแค่หน้าจริงๆ - ต้นข้าว
ตลอดทั้งสัปดาห์ ปริ๊นซ์ก็เอาแต่บอกให้ฉันเลิกหลบหน้าภีมแล้วไปคุยกันให้รู้เรื่อง
จริงๆ ฉันก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกันแหละ แต่ลึกๆ ฉันก็ยังกลัวการเผชิญหน้ากับเขาอยู่
เฮ้อ ฉันนี่มันขี้ขลาดจริงๆ เมื่อไหร่จะเลิกเป็นคนแบบนี้ แง!
“จะมองหน้าจออีกนานมะ นัดมันไปดิ”
ฉันหันขวับไปมองคนพูดที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านการ์ตูนอย่างขะมักเขม้นก่อนจะถามเสียงฉงน
“อ่านการ์ตูนอยู่ แล้วเอาตาไหนมาดูฉันฮะ?”
“เออ เห็นล่ะกัน ไหน…มันว่าไงบ้าง” ปริ๊นซ์พูดปัดพลางปิดการ์ตูนฉับ แล้วยื่นหน้าเข้ามาอ่านข้อความบทหน้าจอ ก่อนขมวดคิ้ว “แม่งพูดวนแต่คำเดิมๆ เนอะ”
ฉันสะดุ้งรีบเอียงตัวหลบคนอยากรู้อยากเห็นวูบ ก่อนจะละล่ำละลักบอก
“ดะ เดี๋ยววันเสาร์นี้ก็จะนัดคุยแล้วล่ะ”
“เออ ก็นัดดิ” ปริ๊นซ์พยักหน้าหงึกหงักก่อนเสริม “เดี๋ยวไปด้วย”
ฉันเบิกตากว้างแล้วรีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน
“ปะ ไปทำไม ไม่ต้องหรอก”
“กากแบบเธอไปคนเดียวไม่ได้หรอกแว่น” เขาส่ายหน้าแล้วจิ้มมาที่โทรศัพท์พร้อมเร่งยิกๆ “รีบพิมพ์นัดเลย”
“เอ่อ…”
“ให้ไว หรือจะให้พิมพ์ให้” ไม่ว่าเปล่ายังยื่นมือมาเตรียมฉกไปด้วย ฉันจึงร้องเสียงหลงแล้วดึงโทรศัพท์กลับมาถือไว้แน่น
“จะพิมพ์เอง!”
ฉันค้อนปริ๊นซ์จนตาแทบถลน ไม่รู้ว่าทำไมตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นถึงได้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้นัก
ฉันก้มลงมองห้องสนทนาที่เดิมมีแค่ภีมพิมพ์คุยอยู่คนเดียว ก่อนเม้มปากแน่นแล้วตัดสินใจพิมพ์
TON_KHAO : วันเสาร์ขอคุยด้วยหน่อย สิบโมงที่ A Lot of Coffee
ทันทีที่กดส่ง มันก็ขึ้นแจ้งว่าทางนั้นอ่านแล้วอย่างรวดเร็ว
PEEM : ขอบคุณที่ให้โอกาสเรานะ
ภีมส่งสติกเกอร์การ์ตูนกระโดดโลดเต้นดีใจมายกใหญ่ ฉันมองมันนิ่งก่อนจะกดล็อกหน้าจอแล้วเงยหน้าขึ้น
“เฮ้ย!”
ฉันสะดุ้งพร้อมร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อคนที่เห็นว่านั่งอยู่ห่างๆ เมื่อครู่ บัดนี้เอาหน้ามาใกล้จนแทบชิด
“เข้ามาใกล้ทำไม!?” ฉันจัดแว่นให้เข้าที่เข้าทางแล้วแหวเสียงดัง จนปริ๊นซ์สะดุ้งนิดๆ ก่อนยืดตัวกลับไปนั่งตัวตรงเหมือนเดิม พร้อมเกาหัวแกรกๆ
“ก็แค่เช็คให้มั่นใจว่าเธอนัดกับหมอนั่นจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรหรอกน่า” เขาว่าก่อนโบกมือพัดไปมาที่หน้าตัวเอง แล้วพาเปลี่ยนเรื่อง “สองคนนั้นไปนานจังวะ”
“ผู้หญิงเข้าห้องน้ำก็งี้แหละ อ่านการ์ตูนไปน่ะ”
ฉันว่าพลางหยิบหนังสือการ์ตูนยัดใส่มือใหญ่ แล้วก้มลงมองโทรศัพท์อย่างครุ่นคิด
มันจะเป็นไปด้วยดีใช่ไหมต้นข้าว?
วันเสาร์ 09:00 a.m.
ฉันเดินออกจากบ้านด้วยเวลาที่ถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับเวลานัด เพราะจากที่นี่ไปถึงจุดนัดหมาย ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้น แต่ฉันก็ตั้งใจจะไปเตรียมตัวเตรียมใจก่อนในการจบปัญหาทุกอย่าง
แม้ไม่ค่อยแน่ใจว่าปริ๊นซ์เห็นแชทที่ฉันพิมพ์นัดภีมไหม แต่ฉันก็ตัดสินใจไม่บอกย้ำ เผื่อเขาอาจจะลืมไปแล้ว เพราะฉันไม่อยากรบกวน แถมยังไม่อยากร้องไห้โชว์เขาอีกแล้วด้วย ให้ฉันเฮิร์ทแล้วทำตัวบ้าบอแบบไม่ต้องอายใครเถอะ
นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่นาน รถประจำทางสายประจำก็แล่นเข้าจอดตรงป้าย ฉันจึงกระชับกระเป๋าสะพายหลังแน่น ตั้งใจจะรีบขึ้นไปหาที่นั่งสบายๆ ให้ตัวเองให้เร็วที่สุด
หมับ!
“อ๊ะ!?”
หากแต่ยังไม่ได้ก้าวขึ้นบันไดอย่างที่ตั้งใจ แรงกระตุกที่กระเป๋าแบบไม่เบานักก็ทำฉันหงายเงิบไปข้างหลัง เกือบล้มถ้าไม่มีมือร้อนคว้าประคองไว้
ฉันหันไปหาตัวต้นเหตุเตรียมอ้าปากด่าเต็มที่ แต่ไม่ทันมือใหญ่ที่ตรงเข้ามาผลักหน้าผากฉันเสียก่อน
“จะแอบหนีไปไหนฮะไอ้แว่น!”
“ปริ๊นซ์!?”
ร่างสูงที่ไม่ได้อยู่ในแผนชี้หน้าอย่างคาดโทษ แล้วจัดการดึงแขนฉันให้ขึ้นรถประจำทางไปด้วยกัน เมื่อได้ที่นั่งแล้ว เขาจึงหันมาเฉ่งฉันเหมือนพ่อที่จับได้ว่าลูกสาวหนีตามผู้ชาย
“ก็บอกว่าจะไปด้วย จะ-ไป-ด้วย” ปริ๊นซ์ออกแรงผลักหัวฉันทุกคำที่เน้นแล้วกัดฟันพูดต่อ
“ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลยวะ”
--------------------------- (30%)
“ก็อยากไปคนเดียว” ฉันเม้มปากเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ปริ๊นซ์ที่เห็นจึงเปลี่ยนจากมือที่ผลักหัวมาเป็นโขกแทน
“แค่เห็นหน้าเขาก็ร้องไห้แล้ว ครั้งนี้ไปนั่งคุย เธอทนไม่ไหวหรอก”
“นายจะมารู้ดีไปกว่าฉันได้ยังไง”
ปริ๊นซ์หัวเราะเหอะแล้วโบกมือไปมา “ช่างเหอะ เคยบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนก็ต้องไปดิ”
“ต้องรักษาสัญญาขนาดนั้นเลยหรือไง” ฉันบ่นพึมพำแล้วหันหน้ามองออกนอกกระจก
“จริงๆ ก็สองจิตสองใจน่ะนะ แต่…น้ำค้างบอกให้ตามมาก็เลยต้องมา” เขาพูดพร้อมยักไหล่เหมือนช่วยไม่ได้ ด้วยความหมั่นไส้ ฉันจึงเลือกพ่นลมหายใจแรงๆ ไม่ต่อล้อต่อเถียง อยากทำอะไรก็ทำ
แต่ถ้าบ่นแม้แต่คำเดียว…แม่เตะตัดแน่!
A Lot of Coffee
“สวัสดีค่า/ครับ”
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน เสียงต้อนรับของฝาแฝดชาย-หญิงที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ของร้านก็ดังขึ้น
“อ้าว พี่ข้าวนี่เอง มาเช้าจังเลยค่ะ หวานกับขมเพิ่งจัดร้านเสร็จตะกี๊นี่เอง”
‘น้ำตาลหวาน’ แฝดหญิงจึงทักฉันขึ้นมาอย่างสนิทสนม เนื่องจากเคยร่วมทำงานด้วยกันหลายครั้ง เธอยิ้มจนตาเรียวเล็กติดเฉี่ยวนิดๆ อย่างคนเชื้อสายจีนหยีลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“วันนี้เปิดร้านเองเลยเหรอ” ฉันเอ่ยปากถามอย่างแปลกใจ เพราะปกติคนที่เห็นประจำอยู่หลังเคาเตอร์จะเป็นคุณพ่อและคุณแม่ของสองแฝดนี้เสียมากกว่า
“ใช่ค่ะ ช่วงเช้าวันหยุด ลูกค้าที่เป็นนักเรียนไม่ค่อยเยอะ ป๊ากับม้าเลยให้เราสองคนดูแลไปก่อน” น้ำตาลหวานว่า ในขณะที่เทน้ำเชื่อมลงในขวด “ตามสบายเลยนะคะพี่ข้าว”
“พี่ข้าวกับเพื่อนจะสั่งเลยไหมครับ”
แฝดชายที่อยู่หลังเคาเตอร์ถามด้วยรอยยิ้ม คนนี้ชื่อ ‘กาแฟขม’ ถึงแม้จะอยู่คนละโรงเรียน แต่ด้วยความที่สนิทกับน้ำตาลหวานและมาร้านนี้บ่อย จึงรู้จักกันไปโดยปริยาย
“งั้นพี่ขอชาเขียวนมสดเย็นแก้วนึงล่ะกันนะ” จบประโยคฉันก็หันไปถามคนตัวสูงข้างๆ “เอาด้วยมั้ย ชาเขียวที่นี่อร่อยมากกก”
“ไม่ชอบชา” ปริ๊นซ์สั่นหัวดิ๊ก “มีอะไรซ่าๆ ไหมน้อง”
“อิตาเลี่ยนโซดาครับพี่”
“งั้นเอากีวี่โซดาล่ะกัน”
กาแฟขมพยักหน้ารับแล้วลงมือทำอย่างคล่องแคล่ว เมื่อสั่งเรียบร้อยแล้วฉันจึงเดินนำปริ๊นซ์ไปยังโต๊ะที่อยู่ในมุมอับสักหน่อยแล้วทิ้งตัวลง ก่อนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
เฮ้อ 09:40 น.แล้ว อีกไม่นานก็ถึงเวลานัด
“ถอนหายใจอย่างกับกลัวไม่รู้ว่ากลุ้ม” ปริ๊นซ์ที่กำลังอ่านเมนูเล่นรอเวลาหันมาเหน็บ
“ฉัน…กลัวใจอ่อน”
ฉันสารภาพเสียงเบา ฉันเป็นขี้สงสาร เห็นใจอื่นง่ายๆ และนี่เป็นจุดอ่อนของฉัน ภีมก็คงมองเห็นเหมือนกัน ถึงได้ใช้คำพูดหวานๆ หว่านล้อมจนฉันยอมเชื่อใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“จะใจอ่อนไปให้มันหลอกอีกหรือไง” ตาคมดุขึ้นมาฉับพลันแล้วพูดร่ายยาว “อย่าใจดีให้โอกาสคนบ่อยๆ เพราะเป็นอย่างนี้แหละถึงไม่ทันคมเขี้ยวชาวบ้านเขาน่ะ”
นี่เพื่อนหรือพ่อเนี่ย
“อย่าดุสิ” ฉันหดคอลงอย่างหวาดๆ “พูดมันก็ง่าย แต่ให้ทำมันก็ยาก…”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค มือใหญ่ก็ยื่นมาตรงหน้า
“มาจับมือสัญญากัน”
“ห้ะ?” จับมือสัญญาอะไรฟะ
“สัญญาว่าถึงจะยาก เธอก็ต้องทำมัน” ปริ๊นซ์พูดพร้อมมองเข้ามาในตาฉันอย่างแน่วแน่
“ปกติมันต้องเกี่ยวก้อยนี่…” ฉันค้านเสียงอ่อย มันมีที่ไหนเล่าจับมือสัญญา
“เกี่ยวก้อยบ้าอะไร เกรงใจหน้าฉันด้วย” เขาจิ๊จ๊ะ ไม่รู้ว่าแว่นมัวหรือเปล่า ฉันถึงได้เห็นสีแดงซับจางๆ ที่โหนกแก้มของเขา
“ก็…”
“อ๊ะๆ ไม่จับก็ไม่จับ แต่ต้องเคลียร์ให้ได้ เคลียร์ไม่ได้…” ปริ๊นซ์ชี้หน้าฉันอย่างคาดโทษ “โดนแน่!”
ฉันบุ้ยปากมองคนเจ้ากี้เจ้าการอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมพยักหน้ารับแบบส่งๆ
“ชาเขียวเย็นกับกีวี่อิตาเลี่ยนโซดาได้แล้วครับ” น้องขมเดินมาเสิร์ฟรายการที่สั่ง ก่อนจะเบี่ยงตัวเผยให้เห็นคนข้างหลัง
“เพื่อนพี่ข้าวครับ”
หัวใจฉันกระตุกวูบอีกครั้งเมื่อมองคนมาใหม่เต็มตา ความรู้สึกร้อนในอกพาลทำให้มือทั้งสองสั่นจนฉันต้องแสร้งจับแก้วและหลอดให้มั่น
ฉันและภีมมองหน้ากันนิ่ง จนกระทั่ง…
“อ้าว มาแล้วก็เชิญนั่งเลยครับ”
จนกระทั่ง คนเจ้ากี้เจ้าการข้างๆ เอ่ยปากเชิญแขกนั่งเองนั่นแหละ!
------------------------------------------ (65%)
หัวใจฉันกระตุกวูบอีกครั้งเมื่อมองคนมาใหม่เต็มตา ความรู้สึกร้อนในอกพาลทำให้มือทั้งสองสั่นจนฉันต้องแสร้งจับแก้วและหลอดให้มั่น
ฉันและภีมมองหน้ากันนิ่ง จนกระทั่ง…
“อ้าว มาแล้วก็เชิญนั่งเลยครับ”
จนกระทั่ง คนเจ้ากี้เจ้าการข้างๆ เอ่ยปากเชิญแขกนั่งเองนั่นแหละ!
ภีมเลิกคิ้วมองปริ๊นซ์อย่างฉุนๆ แต่นั่นไม่ได้สะเทือนเจ้าของรอยยิ้มกวนแม้แต่น้อย
“นั่งเถอะภีม” ฉันเลิกสนใจบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างสองหนุ่มแล้วแสร้งทำเสียงเข้ม พร้อมกันก็หันไปกระซิบบอกคนข้างๆ “เขามาแล้ว นายไปเถอะ”
“ทำไมจะต้องไป” ปริ๊นซ์ทิ้งตัวลงกับพนักพิงแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดูด
“ก็ฉันอยากคุยกับเขา”
“แล้วไง?”
อีตาบ้านี่*!*
ฉันมองหน้าคนช่างกวน นับหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจ ก่อนจะพูดลอดไรฟัน
“แค่สองคน!”
ปริ๊นซ์ชะงักปากที่กำลังดูดน้ำแล้วหันมามองฉันสลับกับภีม สายตาเคืองๆ นั่นทำเอาฉันรู้สึกผิดเล็กๆ
“ข้าวว่ายังไง นายก็น่าจะทำตามนะ”
ภีมได้ทีเสริม ปริ๊นซ์ยังคงมองฉันคล้ายจะรอคำตอบ ถึงจะรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่…
“ขอเวลาฉันหน่อยนะ”
และนั่นก็ทำให้ปริ๊นซ์ลุกพรวดขบกรามแน่น ก่อนเดินฉับๆ ไปนั่งโต๊ะติดประตูทางออกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
น้อยใจ
รู้…แต่ฉันก็อยากจบปัญหาด้วยตัวเองเหมือนกัน
ภีมมองตามหลังคนขี้ใจน้อย ริมฝีปากอมยิ้มขำ
“ตัวแทนประกวดเดือนห้องข้าวใช่ไหม เพื่อนสนิทเหรอ?”
“ใช่ เพื่อน…”
ภีมเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ดูขี้น้อยใจจังเลยเนอะ” ภีมยักไหล่ ก่อนหยิบเมนูขึ้นมาเปิดดูพร้อมส่งยิ้มให้ “ช่างเถอะ สั่งขนมไปบ้างหรือยัง กินไหม ภีมเลี้ยงเอง”
ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว*…*
“ชอบบิงซูของร้านนี้นี่ใช่ไหม เอาเป็นสตรอเบอรี่เนอะ”
“…”
ฉันกระพริบตามองคนตรงหน้าปริบๆ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์หน้าโรงเรียนวันนั้นเพิ่งผ่านไปไม่ถึงเดือน ฉันตกเป็นขี้ปากคน ฉันอับอาย แต่เขากลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“…ได้ยังไง?”
“หืม” ภีมเงยหน้าขึ้นมาจากเมนู “ว่ายังไงนะ”
มันควรถึงเวลาที่ฉันจะลุกขึ้นเพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวเองบ้างแล้วหรือยัง
จะใจอ่อนไปให้มันหลอกอีกหรือไง
ใช่! เธอต้องอย่าใจอ่อน เข้มแข็งแล้วพูดมันออกไปต้นข้าว!
“กล้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง”
“เรื่องมันผ่านมาแล้…”
“ผ่านมาแล้ว แล้วยังไง? สิ่งที่นายทำมันลบล้างได้ด้วยเวลางั้นเหรอ”
ฉันขัดขึ้น ด้วยสรรพนามและน้ำเสียงเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ทำเอาภีมชะงักแล้วมองมาที่ฉันอย่างเลิกลั่กก่อนจะทำหน้าเศร้า
“เรารู้ว่าเราทำแย่กับข้าวไว้มาก แต่…ขอโอกาสเราอีกสักครั้ง”
“โอกาสให้นายมาทำตัวสารเลวใส่ฉันอีกหรือไง!?”
“ข้าว!?”
“ไง รับไม่ได้เหรอ? นึกว่าจะหน้าหนากว่านี้ซะอีกนะ”
ภีมมองหน้าฉันตาค้าง ปกติฉันไม่ใช่คนหยาบ แต่แล้วไง กับคนแบบนี้ฉันไม่จำเป็นต้องสุภาพด้วยแล้ว
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมถอนหายใจแรง แล้วพูดเสียงจริงจังมากขึ้น
“ภีมไม่ได้อยากทิ้งให้ข้าวอยู่คนเดียวในเวลาที่ผ่านมาหรอกนะ ก็เห็นว่าภีมพยายามติดต่อแต่เป็นข้าวเองที่ไม่อยากเจอหน้าภีม แล้วจะให้ภีมอธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยังไง”
ภีมเลื่อนมือหมายจะมากุมมือฉัน หากฉันกลับรีบดึงมือหลบ เขาจึงถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉัน
“กับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไร เขาเป็นรุ่นน้องที่ปลื้มภีมมากๆ ที่ผ่านมาภีมก็แค่คุยกับเขาตามมารยาท ไม่คิดเลยว่าเขาจะตีความไปว่าภีมรู้สึกพิเศษกับเขา”
“…”
“แต่จริงๆ แล้วภีมรักแค่ข้าวนะ”
ภีมอมยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อเห็นฉันนิ่งเงียบไป จึงเสริมประโยคประจำตัวให้อีกรอบ
“สัญญาว่ามันจะดีขึ้น ให้อภัยแล้วเริ่มต้นใหม่กันนะ”
ฉันจ้องใบหน้าตรงหน้า ไร้ซึ่งคำพูด หากมุมปากกลับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน
“คำหลอกล่อบ้าๆ พวกนี้ เก็บไปใช้กับผู้หญิงคนอื่นของนายเถอะ”
ฉันพยักพเยิดไปยังประตูหน้าร้าน ที่ตอนนี้ปรากฏร่าง ‘รุ่นน้อง’ คนสนิทของภีม ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว ก่อนที่ตาจะเบิกกว้างวาววับเมื่อเห็นฉันกับภีม
“เฟิร์ส!” ภีมอุทานแล้วลุกขึ้นยืน “มาได้ยังไงน่ะ!?”
“ฉันเตือนแกแล้วใช่มั้ย!?”
เฟิร์สไม่สนใจคำถามของภีม แต่เลือกยกมือขึ้นชี้หน้าฉันอย่างมาดร้าย แล้วตรงดิ่งเข้ามาที่ฉัน พร้อมๆ กับที่ปริ๊นซ์ลุกพรวดก้าวยาวๆ ตามหลังเธอมา
“หน้าด้าน! เจออีกสักครั้งเป็นไง ฮะ!?”
ไวเท่าคำพูด ไม่ทันที่ภีมหรือปริ๊นซ์ได้ทันห้าม เธอก็คว้าแก้วชาเขียวบนโต๊ะไว้ในมือเตรียมตัวสาดใส่ฉันอย่างเต็มที่
ดูละครมากไปเหรอ?
ครั้งนี้ฉันไหวตัวทันแล้วโว้ย!
พลั่ก!!
“กรี๊ดดด”
ฉันปัดแก้วในมือของเธอเต็มแรงจนทิศทางแก้วหันกลับไปหาเจ้าตัว ชาเขียวค่อนแก้วสาดไปทั่วบริเวณรวมถึงใบหน้าของคนมาดร้าย
“เฟิร์ส!”
ภีมอุทานอย่างตกใจแล้วถลันไปหาคนที่เขาอ้างว่าเป็น ‘รุ่นน้อง’ ซึ่งตอนนี้เริ่มกรีดร้องพร้อมย้ำเท้าไปมา ฉันได้แต่มองภาพตรงหน้าแล้วแค่นยิ้ม ก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องไปยัดใส่มือเธอ
“นี่คือครั้งสุดท้ายที่ฉันจะยอมให้เธอมาทำแบบนี้ รับรองว่าเธอไม่อยากเห็นฉันร้ายหรอก” ฉันจ้องลงไปในตาคนตรงหน้านิ่ง จนเธอต้องหลบสายตาวูบ “และก่อนจะมาเตือนฉันน่ะ ล่ามผู้ชายของเธอไว้ให้ดีก่อนเถอะ จะได้ไม่ไปทำนิสัย ‘หมาๆ’ กับใครอีก”
ภีมหันขวับมาที่ฉันพลางขบกรามแน่น แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น
“นายเองก็เลิกมายุ่งกับฉันเสียที เอาเวลาไปดูแล ‘รุ่นน้อง’ ของนายเถอะ”
เฟิร์สหันขวับไปหาภีมแล้วกรีดร้องเสียงแหลม
“รุ่นน้องอะไร! คนไหนอีก!?”
ฉันมองภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกสะใจปนสงสารเล็กๆ ถ้าเธอยังพร้อมที่จะจมปลักกับผู้ชายคนนี้ เธอคงต้องได้วิ่งไล่หัวฟูตามไปทุกหนทุกแห่งแน่ๆ
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน
ฉันหันไปคว้าแขนของปริ๊นซ์กอนจะพูดทิ้งท้าย
“ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา ก็ดีนะ…ทำให้รู้ว่าผู้ชายบางคนก็มีดีแค่หน้าจริงๆ”
--------------------------------- (100%)
นี่แหนะ หายไปนานเพื่อบ่มเพาะแว่นน้อยนุ่มนิ่มเวอร์ชั่นเกรี้ยวกราด เซอร์ไพรส์มั้ยล่ะเธอออ
เคยเป็นมั้ยคะ เมื่อมาถึงจุดๆ นึง เราก็จะสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าเธอต้องต่อสู้เพื่อตัวเองเสียที
ตอนนี้ต้นข้าวก็คงรู้สึกแบบนั้น
พระเอกเราตอนนี้ค่าตัวแพง บทพูดเลยน้อย แต่บทหน้ามาเยอะแน่นอน ขอเวลาปั่นก่อนเด้อ แฮ่ๆ
เม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยเน่อออ งานหนักมาก แต่ก็คิดถึงนักอ่านมากเช่นกัน T_T
จะแว๊บมาลงให้เรื่อยๆ ห่างๆ แต่ไม่หายนะค้าบ
รัก
ภรณ์นิชา
กดติดตาม/คอมเม้นต์ เป็นกำลังใจให้นักเขียนตัวเล็กๆ คนนี้ด้วยนะคะ เลิฟฟ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ