กลลวงรักจอมบาป

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.33 น.

  7 ตอน
  1 วิจารณ์
  9,257 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ตอนที่ 2 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
‘เด็กคนนี้ชื่อเมมฟีส เป็นลูกชายของอเดเมียร์’
“ชู่ว... อย่าร้องไห้นะคนดี โอ๋... นิ่งซะ” พี่เลี้ยงโยกตัวไปมาทั้งยังลูบแผ่นหลังอย่างปลอบประโลม ก้าวเดินออกไปรอบๆ ห้องโถงของเพนต์เฮ้าส์สุดหรู “นิ่งซะนะเมมฟีส”
ยังคงได้ยินเสียงร้องไห้โยเยแต่คนที่เพิ่งจะได้เป็นคุณลุงกลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ขนาดชี้นิ้วออกไปยังร่างของเด็กชายตัวน้อย เผยอปากเตรียมจะตั้งคำถามแต่จนแล้วจนรอดเขายังไม่อาจเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคได้เลย อคิลลีสชักมือของตนกลับมาลูบปลายคาง หนักข้อเข้าก็ลูบทั้งใบหน้าแต่ยังไม่มีคำถามใดๆ เอื้อนเอ่ยออกมา มีเพียงเสียงคำรามราวกับกำลังอดทนในบาดแผลฉกรรจ์ซึ่งสร้างความเจ็บปวดยิ่งนัก
“เฮ้... ถ้าคุณอยากออกไปเดินสูดอากาศข้างนอก”
“ไม่ๆ ถึงผมไม่โอเค แต่ก็อยากรู้ว่าเด็กนั่นเป็นลูกชาย...” อคิลลีสชะงักคำพูดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเรียบเรียงคำถามเสียใหม่ “คือผมหมายถึงเขาเป็นเด็กที่น้องชายผมรับอุปการะ”
เมแกนส่ายหน้าปฏิเสธ “จากคำบอกเล่าของพี่เลี้ยง เป็นลูกชายของเขาจริงๆ ค่ะ เธอดูแลเมมฟีสให้กับน้องชายของคุณตั้งแต่แกอายุแค่สองเดือน”
“แล้วแม่ของเด็กล่ะ?...” ท้ายประโยคเบาจนแทบกลืนหายเข้าไปในลำคอ
ทว่าพี่เลี้ยงที่ดูแลหนูน้อยเมมฟีสกลับเดินเข้ามาตอบคำถามนั้นด้วยตัวเอง “เรื่องนี้ฉันเคยถามแล้วค่ะ แต่คุณเดลก็ไม่พูดถึงเลย”
“อาจจะเป็นความพลาดพลั้งเพียงครั้งเดียว ถ้าค้นเอกสารรับรองการเกิดเจอ คุณก็คงได้รู้ว้าใครเป็นแม่เด็ก” เมแกนบอก ก่อนมองไปยังผู้หญิงอีกสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบ แล้วจึงหันมาอธิบายเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปให้ชายหนุ่มได้รับรู้ “แต่ตอนนี้เมมฟีสต้องอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่พิทักษ์สิทธิเด็ก”
“อะไรนะ” อคิลลีสถามและมองหน้าอย่างเอาเรื่องอีกครั้ง
“เราต้องทำตามกฎหมายค่ะ เว้นเสียแต่คุณจะมีพินัยกรรมจากผู้ตายที่ระบุว่ายกสิทธิ์ให้คุณเป็นผู้ปกครองของเด็ก ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องมีเจ้าหน้าที่เข้าสุ่มประเมินว่าคุณพร้อมที่จะดูแลเด็กคนนี้ไปจนโตหรือเปล่า แต่นั่นเป็นเรื่องรอง ส่วนตอนนี้ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรเลยก็ต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เราจะดูแลเด็กให้อย่างดี”
หนึ่งในสองของเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กลาสเวกัสซึ่งเดินเข้ามาสมทบใหม่นั้นชี้แจงโดยละเอียด ไม่เคยมีเรื่องใดที่ทำให้อคิลลีสรู้สึกว่าทุกอย่างนั้นอยู่เหนือการควบคุมของตนได้เท่าเหตุการณ์ในวันนี้ แล้วเขายังจะแก้ไขอะไรได้นอกเสียจากจ้องหน้าหนูน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่เลี้ยง
ถึงจะหยุดร้องไห้แล้วแต่น้ำตายังเปรอะเปื้อนสองแก้ม ที่น่าเอ็นดูและทำให้หัวใจของจอมบาปแห่งลาสเวกัสกระตุกวูบคือท่าทางที่เจ้าหนูเมมฟีสดึงเอาจุกหลอกในมือพี่เลี้ยงขึ้นมาดูดเสียเอง ดวงตาใสแจ๋วแสนซื่อ ไร้เดียงสาเกินกว่าต้องมารับรู้เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เชื่อเถอะว่าสายเลือดอันเข้มข้นที่มีอยู่ในตัวของเจ้าหนูเมมฟีสกำลังทำให้คนที่เพิ่งจะเป็นคุณลุงเริ่มสาบานกับตัวเองว่าจะเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของน้องชายให้ดีที่สุด เกิดความเงียบงันเข้าครอบคลุมอยู่พักใหญ่จนในที่สุดอคิลลีสก็เป็นคนทำลายความอึดอัดนั้นลง “ขอเวลาส่วนตัวหน่อยได้ไหม”
ตำรวจสาวและเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ลาสเวกัสทั้งสองคนได้ยินดังนั้นจึงเดินออกมา ทำตามคำขอร้องของชายหนุ่ม
เมื่อไม่มีคนนอกอคิลลีสก็เริ่มก้าวเข้าไปยืนใกล้ๆ หลานชาย แต่เขายังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเจ้าหนูน้อย “เฮ้... พวก”
เมมฟีสเอนตัวหนีฝ่ามือในทันที แต่พี่เลี้ยงก็ก้มลงบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เมมฟีส นี่คุณลุงนะจ๊ะ ทักทายคุณลุงหน่อยเร็ว...” ไม่พูดเปล่าแต่กางฝ่ามือทาบกลางหน้าอกด้วยความนุ่มนวล รั้งไม่ให้เด็กน้อยหันหน้าหนี
กิริยาที่แสดงออกมานั้นบ่งบอกให้อคิลลีสรู้ว่าเธอไม่น่าจะมีพิษสงใด
“เธอชื่ออะไร”อคิลลีสถามและยิ้มอย่างพอใจเมื่อมือนุ่มของเจ้าหนูเมมฟีสกำเข้าที่นิ้วชี้ของตน
“เรียกอีฟก็ได้ค่ะ ฉันดูแลเมมฟีสมาตั้งแต่แกยังแบเบาะ”
“พูดได้รึยัง”
“ได้เป็นคำๆ หรือประโยคสั้นๆ ค่ะ แต่แกเป็นเด็กฉลาดช่วยเหลือตัวเองได้ดีมาก” อีฟบอกด้วยความสัตย์จริงแล้วส่งเด็กน้อยในอ้อมแขนให้กับคนเป็นลุงเมื่อเห็นว่าเมมฟีสไม่มีท่าทางหวาดเกรงใด “ให้คุณลุงอุ้มหน่อยนะ เมมฟีส”
อคิลลีสรับเอาเด็กชายวัยหนึ่งขวบครึ่งเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ดูเก้ๆ กังๆ เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้อุ้มเด็ก
“ไงเพื่อน... ฉันเคิร์ทนะ”
นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้แนะนำตัวเองเช่นนี้ คนที่เข้ามาในวงโคจรของชีวิตเขานั้นมักศึกษาข้อมูลส่วนตัวมาแล้วทั้งนั้น การแนะนำชื่อเสียงเรียงนามจึงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเลย มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดออกมาแต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่กอดหลานชายไว้แนบอก สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังเศร้าเสียใจอย่างถึงที่สุดแต่กลับไม่มีน้ำตาหลั่งออกมา
หากเขาได้พบเจอและกอดหลานชายในสถานการณ์ที่ต่างไปจากนี้ อเดเมียร์เป็นคนแนะนำให้ได้รู้จักด้วยตนเองแล้วล่ะก็...
ไม่ว่าเมมฟีสจะลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ด้วยสาเหตุใดมันจะเป็นความปลาบปลื้มใจที่วิเศษมากที่สุด
อคิลลีสรีบหักห้ามความเศร้าใจแล้วคลายอ้อมกอด หันไปตั้งคำถามกับอีฟด้วยความสงสัย “เมมฟีสอยู่กับเธอตลอดเวลาเหรอ”
“ค่ะ ถ้าคุณเดลกลับมาที่ลาสเวกัสก็จะสั่งให้ฉันพาเมมฟีสมาอยู่ที่นี่ แต่ถ้าช่วงที่คุณเดลอยู่ลอสแองเจลิส ฉันก็จะพาเมมฟีสกลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเอง มันสะดวกกว่าน่ะค่ะ”
เจ้าหนูเมมฟีสกำลังเอนตัวออกจากแผงอกกว้างของคนเป็นลุงเล็กน้อย แล้วจ้องตาแป๋วก่อนจะยกมือขึ้นทาบกับโครงหน้าคร้ามคมจนทำให้คุณลุงหมาดๆ ยิ้มกว้าง แต่ก็หันมาสอบถามพี่เลี้ยงต่อ “แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“คือความจริงแล้วฉันเป็นพี่สาวของลิลลี่” อีฟกล่าวถึงแม่บ้านประจำเพนต์เฮ้าส์สุดหรูนี้ซึ่งทำงานให้อเดเมียร์มานานกว่าสี่ปี “หลังจากที่ลิลลี่โทร.แจ้งความ ก็โทร.หาฉันค่ะ ฉันตกใจมากเลยปลุกเมมฟีสแล้วมาที่นี่”
“ทำไมเดลไม่เคยบอกเลยว่ามีลูกชายอายุตั้งขวบครึ่งแล้ว”
เหมือนเป็นการเปรยออกมาเสียมากกว่า แต่อีฟก็รีบอธิบายเพราะก่อนจะรับปากดูแลเมมฟีสนั้นเคยเอ่ยถามแล้ว “ฉันเคยถามคุณเดลนะคะ แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร หนำซ้ำยังให้ฉันกับลิลลี่ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ พวกเราก็เลยคิดว่าคุณเดลคงไม่อยากเปิดเผยเพราะอาจจะกระทบกระเทือนกับชื่อเสียง”
อคิลลีสส่ายหน้า ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดนั้นเพราะเดี๋ยวนี้มีนักแสดงมากมายที่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้สาธารณชนได้รับรู้ “น่าจะเป็นเพราะไม่อยากพูดถึงแม่ของเมมฟีสมากกว่า”
บทสนทนาต้องหยุดชะงักลงเมื่อเจ้าหน้าที่พิทักษ์สิทธิเด็กเดินกลับเข้ามาสมทบอีกครั้งเพราะให้เวลามานานพอสมควรแล้ว
“ให้ฉันดูแลเมมฟีสต่อไม่ได้เหรอคะ แกคงต้องร้องไห้โยเยเป็นแน่เพราะไม่คุ้นหน้าใครเลย” อีฟเป็นฝ่ายถามเสียเองเพราะนึกเป็นห่วงความรู้สึกของเด็กชายที่ดูแลมาถึงปีเศษ
“ในช่วงแรกก็ต้องมีบ้างค่ะ แต่เราก็มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอยู่หลายคน นั่นน่าจะทำให้พวกคุณลดความกังวลใจลงได้บ้าง อีกอย่างพวกคุณสามารถติดต่อขอเข้าเยี่ยมเด็กได้ตามเวลานะคะ” จบคำพูดก็ยื่นมือทั้งสองข้างสอดเข้าสีข้างของเด็ก
แม้อคิลลีสจะไม่ได้ถอยหนีแต่ก็ไม่ยอมปล่อยร่างของหลานชายให้กับเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ท่าทางนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น “ไว้ใจดิฉันนะคะ อีกอย่างเด็กควรได้พักผ่อน แกคงง่วงเต็มทีแล้ว”
“เมมฟีส... อดทนไว้นะเจ้าหนู ฉัน เอ่อ...” อคิลลีสรีบเปลี่ยนสรรพนามของตนในทันที “ลุงจะรีบไปรับมาอยู่ด้วยกัน”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นหนักแน่น มุ่งมั่นยิ่งนัก ความจริงแล้วเขาไม่รู้หรอกว่าเด็กอายุหนึ่งขวบครึ่งจะเข้าใจในสิ่งที่สื่อสารออกไปมากน้อยสักแค่ไหน  ทว่าการที่เจ้าหนูเมมฟีสก้มหน้าลงซุกหัวอยู่กับแผงอกกว้างชั่วครู่แล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาอีกครั้ง ก็ทำให้คนเป็นลุงไม่อยากให้จากไปไหน
“ถ้าอย่างนั้นให้อีฟไปกับพวกคุณได้ไหม อย่างน้อยก็กล่อมเมมฟีสให้หลับเสียก่อน มันคงดีกว่าต้องร้องไห้เพราะไม่คุ้นหน้าใครเลย”
“จริงค่ะ ท่าทางแบบนี้นั่งบนรถไม่นานก็คงหลับสนิทแล้ว” แต่นั่นก็ต้องอยู่กับคนที่คุ้นเคย มันเป็นธรรมชาติของเด็กซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รู้ดีจึงพยักหน้าตอบรับกับคำขอนั้น
ไม่นานนักอคิลลีสก็ต้องมองตามร่างของหลานชายที่ถูกพี่เลี้ยงอุ้มเดินออกไปจากเพนต์เฮ้าส์การจากไปอย่างตลอดกาลของอเดเมียร์จะกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก ดาราหนุ่มที่เสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียงสามสิบปีย่อมต้องช็อกความรู้สึกของคนที่ชื่นชอบคลั่งไคล้
แต่เชื่อเถอะว่าความเสียใจของคนมากมายไม่อาจเทียบกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับอคิลลีส นั่นยังไม่นับรวมกับการที่ต้องปล่อยให้หลานชายอยู่ภายใต้การดูแลของคนอื่นทั้งที่ความจริงแล้วตนนั้นเพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน อย่าว่าแต่เลี้ยงหลานคนเดียวเลย ต่อให้เขาอุปการะเด็กกำพร้าทั้งอเมริกาก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทั้งยังไม่ส่งผลต่อฐานะอันมั่นคงต่อตระกูลที่มีที่ดินมากมายไว้ในครอบครอง
 
ซานฟรานซิสโก, แคลิฟอร์เนีย
แม้จิตใจยังรอคอยอยู่กับการติดต่อของคนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง แต่ร่างกายที่ทำกิจวัตรทุกอย่างอย่างมีระเบียบก็ไม่อาจต้านทานความง่วงงุนได้ เมื่อถึงเวลาตื่นนอนปภัชสายังรู้สึกตัวในช่วงเวลาเดิมๆ โดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุกสักนิด นอนคว่ำคือท่านอนสุดโปรดและรู้สึกว่าหลับสนิทที่สุดแล้ว ฝ่ามือบางลูบไล้ไปตามผ้าปูเตียงเรียบตึงจนไปสะดุดกับอุปกรณ์สื่อสารและทำให้หญิงสาวรีบหยิบมันออกมาจากใต้หมอน
ข้อความมากมายจากแก้วงามแสดงให้เห็นอยู่บนหน้าจอ แต่ปภัชสาก็เลือกที่จะเข้าแอพพลิเคชั่นของอีเมล์ก่อนเพราะตอนนี้คนที่เธอต้องการติดต่อมากที่สุดนั้นคือประพจน์ หากต้องผิดหวังเพราะถึงจะเลื่อนหน้าจอลงทำการรีเฟรชราวสองสามครั้งก็ยังไม่มีอีเมล์ส่งเข้ามาใหม่เลย
เจ้าของร่างน่าปรารถนาจึงพลิกตัวนอนหงายแล้วเข้าไปดูในกล่องข้อความที่แก้วงามส่งมาให้มากมาย
แก้วงาม        :  หลังจากที่วางสายพี่ก็เข้าไปค้นหาเบอร์โทรศัพท์ในสมุดบันทึกของพ่อพจน์ เลยติดต่อไปแต่น้องสาวของพ่อพจน์บอกว่าติดต่อกันครั้งสุดท้ายสักสองอาทิตย์ที่แล้ว เข้าใจว่าปิ่นคงหลับแต่พี่ต้องไปจัดการเรื่องค่าวัตถุดิบทำอาหาร ค่าไฟฟ้า แล้วก็ค่าโทรศัพท์ มีนัดจ่ายวันนี้นี่คุณสมชายก็เป็นตัวป่วน เที่ยวไปพูดว่าพ่อพจน์อาจจะหอบเงินหนีไปใช้คนเดียว
 
ปภัชสาส่ายหน้าเพราะรู้ถึงนิสัยของสมชายซึ่งเป็นหัวหน้าชุมชน ตั้งแต่เธอออกจากบ้านร่มเย็นมาเรียนต่อก็มักได้ยินแก้วงามมาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าสมชายนั้นเสนอให้ย้ายบ้านร่มเย็นออกไปอยู่ในชานเมือง เพราะเสียงเด็กๆ ที่หยอกล้อกันรวมไปจนถึงร้องไห้งอแงนั้นรบกวนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ตั้งอยู่รอบๆ บ้านร่มเย็น
หากหญิงสาวไม่คิดว่าการหายตัวไปครั้งนี้สมชายจะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยจึงรีบเลื่อนลงมาอ่านข้อความต่อไปซึ่งห่างกับข้อความเดิมอยู่สองชั่วโมงเศษ
แก้วงาม        :  เกิดเรื่องใหญ่แล้วนะปิ่น เงินในบัญชีที่ตัดออกมาเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือนหายไปหมดเลย ทางแบงก์บอกว่าพ่อพจน์เป็นคนมาเบิกเมื่อสองวันที่แล้ว คุยมากไม่ได้แล้วนะแต่ถ้าปิ่นได้อ่านข้อความแล้วรีบโทร.กลับมาหาพี่ด้วย มีเรื่องจะบอก
เพียงเท่านั้นปภัชสาก็เลื่อนปลายนิ้วขึ้นกดตรงรูปโทรศัพท์ ในสมองนั้นคำนวณเวลาที่แตกต่างกันอยู่ราวสิบห้าชั่วโมงอย่างรวดเร็ว แต่สายกลับถูกตัดทิ้งในทันที หญิงสาวติดต่อกลับไปอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ถูกตัดสายทิ้งอย่างทันควัน ไม่นานนักข้อความจากแก้วงามก็เข้ามา
แก้วงาม        :  ตอนนี้ไม่สะดวก ถึงบ้านแล้วพี่จะโทร.กลับ เรื่องด่วน
ปภัชสาดีดตัวขึ้นจากที่นอนในทันที ใจจริงแล้วอยากไถ่ถามให้รู้เรื่องแต่ก็ต้องทำตามที่แก้วงามบอกเพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นในบ้านร่มเย็น
ทั้งที่ว้าวุ่นใจแต่ก็จำต้องเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย เพราะวันนี้เธอต้องคืนห้องให้กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์
 
สองชั่วโมงต่อมาหลังจากที่ส่งคีย์การ์ดให้กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์เรียบร้อยแล้ว ปภัชสาก็ก้าวขึ้นแท็กซี่พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ มุ่งหน้าสู่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กซานฟรานซิสโก ระหว่างเดินทางหญิงสาวยังส่งข้อความถึงแก้วงามบอกให้รู้ว่ายังรอคอยการติดต่อกลับ แต่ก็ยังเงียบกริบ ไม่แม้กระทั่งอ่านข้อความ
ปภัชสาเริ่มงานอาสาสมัครเป็นพี่เลี้ยงให้กับศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จากแรกเป็นแค่การเข้าค่ายในชมรม ด้วยความที่ชอบเลี้ยงเด็ก อยากช่วยเหลือและชอบเล่นกับเด็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จิตอาสาที่แสดงออกมาด้วยใจจริงทำให้เจ้าหน้าที่ในศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโก อีกหลายคนนึกเอ็นดู
นานวันเข้าก็เริ่มคุ้นเคยจนผลักดันให้ปภัชสาเข้าสอบตามโครงการของหน่วยงานจนได้เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษประเมินความพร้อมของผู้ยื่นความประสงค์เป็นผู้ปกครองเด็กในศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโก
ราวสี่สิบนาทีต่อมา... หญิงสาวก็เดินเข้าไปด้านในศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ เสียงทักทายด้วยความดีใจของเจ้าหน้าที่หลายคนจึงดังขึ้น
ปภัชสายิ้มหวานเป็นการทักทายทุกคนอย่างที่เคยทำตลอดเวลา “หวัดดีค่ะ มาตามนัดแล้วนะคะ”
“ไม่มีห้องให้พักหรอกนะ เพราะเธอต้องไปลาสเวกัสกับพวกเรา” แมนดี้ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกับปภัชสาเอ่ยขึ้น จากนั้นก็หันไปพูดกับเจ้าหน้าที่อีกสองสามคน “ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้อีกก็เอากระเป๋าขึ้นรถไปเลย ใช่ไหมพวกเรา”
มีเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงเป็นการตอบรับ ทว่าเจ้าตัวยังมีท่าทางละล้าละลังด้วยเรื่องที่ยังคาใจที่เกิดขึ้นในบ้านร่มเย็น ปภัชสาจึงได้แต่ยิ้มเนือยๆ แบ่งรับแบ่งสู้ การดูแลเด็กๆ จนส่งให้ไปอยู่ในครอบครัวที่พร้อมดูแลสมาชิกใหม่ด้วยความเต็มใจเป็นโครงการของหัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กซานฟรานซิสโกริเริ่มขึ้น
ด้วยผลตอบรับอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้สามารถลดจำนวนของเด็กๆ ในศูนย์ฯ ซานฟรานซิสโกลงได้อย่างต่อเนื่องจนขยายผลไปทั่วทุกเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย
เมื่อทุกอย่างเป็นผลสำเร็จจึงมีโครงการขยายผลและแนวทางปฏิบัติไปยังรัฐใกล้เคียง รัฐเนวาดาจึงเป็นเป้าหมายต่อไป แน่นอนว่าจะเป็นเมืองอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากลาสเวกัสที่มีสถิติเด็กกำพร้าในศูนย์ฯ หนาแน่นเป็นอันดับแรกของรัฐ
ทว่าเหตุผลที่ปภัชสายังไม่สามารถตอบใครหรือกระทั่งตัวเองได้อย่างแน่ชัดเพราะจิตใจนั้นกำลังว้าวุ่น จดจ่ออยู่กับเรื่องของคุณพ่อประพจน์ ทั้งยังคิดเอาไว้ในใจว่าหากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นนั้น เธอคงต้องจ่ายเงินเพื่อเลื่อนตั๋วเดินทางกลับประเทศไทยให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม
“ถ้าฉันไปกับพวกคุณ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลที่นี่ก็น้อยลงสิคะ” ปภัชสาตอบ
“ก็อย่างที่บอก ห้องพักเต็มหมดแล้ว” แมนดี้ยังแสร้งทำเสียงแข็งอยู่เหมือนเดิม
ทว่าก่อนที่ปภัชสาจะได้โต้ตอบอะไรออกไป เสียงกริ่งเรียกเข้าผ่านแอพพลิเคชั่นที่รอคอยก็ดังขึ้นเสียก่อน ท่าทางผลุนผลันออกไปจากห้องพร้อมกับโทรศัพท์นั้นทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนต้องสบสายตากันราวกับเห็นเรื่องประหลาด เพราะน้อยครั้งนักที่จะเห็นสาวเอเชียผู้มีกิริยามารยาทเรียบร้อยดูรีบร้อนเช่นนี้
ปภัชสารีบเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสายอย่างทันท่วงที “ว่าไงคะพี่แก้ว เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”
“เรื่องมันเริ่มจะใหญ่โตกว่าที่พี่คิดเอาไว้แล้วล่ะ” แก้วงามบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจในขณะที่วางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะ “นี่พี่ก็เพิ่งถึงบ้านเพราะเสียเวลาไปแจ้งความตั้งชั่วโมงกว่า”
“อะไรนะคะ ร้ายแรงถึงขั้นต้องแจ้งความเลยหรือไง”
“ลำพังพี่กับคนในบ้านร่มเย็นก็ไม่เท่าไหร่หรอกถึงจะมีคนยุแยงบ้างก็พอจะพูดกันได้ แต่กรรมการชุมชนนี่สิตัวดีเลย เบิกเงินในบัญชีแล้วไม่มียังไม่เท่าไหร่ แต่วันนี้มีดิวเช็คค่าช่างที่มาต่อเติมห้องน้ำน่ะสิ พอเช็คเด้งเพราะเงินในบัญชีไม่มีจ่าย ช่างเลยถือเช็คเข้ามาในบ้านตอนที่คุณสมชายอยู่ด้วยพอดี”
“ยอดสูงมากเลยเหรอคะพี่แก้ว” ปภัชสาถามทั้งยังนึกตำหนิตัวเองว่าหากไม่ผล็อยหลับไปเสียก่อน เงินเก็บที่ตนมีอยู่อาจพอช่วยทำให้สถานการณ์นี้ผ่านไปได้
“ยอดเช็คห้าหมื่นบาทจ้ะ มันก็ไม่ได้สูงมากหรอกแต่ถ้าปิ่นคิดจะเอาเงินตัวเองมาจ่ายให้ก่อนก็คงไม่ได้ ทุกอย่างมันย่ำแย่เป็นเรื่องขึ้นมาก็ตอนที่คุณสมชายโวยวายเสียงดังว่าพ่อพจน์หอบเงินหนีไปใช้คนเดียว ที่ร้ายไปกว่านั้นยังยุให้ช่างถือเช็คไปแจ้งความ ตอนที่ปิ่นโทร.เข้ามาพี่กำลังให้ปากคำกับตำรวจเลยไม่สะดวกรับสาย” แก้วงามอธิบาย
“ตายจริง” ปภัชสาอุทานออกมาทั้งตกใจและไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ตอนนี้ใครๆ ก็ว่าพ่อพจน์เชิดเงินบ้านร่มเย็นหนีไปใช้คนเดียว แต่...”
จังหวะที่แก้วงามลากเสียงยาวเพราะไม่มั่นใจนั้น ปภัชสาก็ถามขึ้นในทันที “แล้วพี่แก้วเชื่อเหรอคะว่าพ่อพจน์เป็นคนอย่างนั้น”
“พี่จะพูดยังไงดีล่ะ ถามว่าเชื่อใจพ่อพจน์ไหม พี่เชื่อนะ แต่ถ้าสมมุติว่าอยากพักผ่อนหรือมีเรื่องคิดไม่ตก ก็ต้องโอนเงินเข้าบัญชีรายจ่ายให้เรียบร้อย ซึ่งมันจะไม่เกิดเรื่องตรงนี้ขึ้นเลย”
คำพูดของแก้วงามนั้นทำให้เกิดความเงียบงันขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ต่างฝ่ายต่างขบคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนแล้วจนรอดปภัชสาก็ไม่รู้ในเหตุผลของการกระทำนั้น “แล้วที่พี่แก้วค้นโต๊ะทำงานกับห้องนอนพ่อพจน์ไม่เจออะไรผิดปกติบ้างเหรอคะ”
แก้วงามถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะสิ่งที่เธอพบนั่นแหละที่ทำให้ความเชื่อใจในตัวประพจน์ลดน้อยลง “เจอสิ”
“อะไรคะ”
“มันเป็นอีเมล์จากธนาคารคอนเฟิร์มการจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินไปลาสเวกัส เหมือนพ่อพจน์จะพริ้นต์ออกมาแล้วเก็บมันไว้ในลิ้นชักชั้นล่างสุด”
“ลาสเวกัส?” ปภัชสาทบทวนคำพูดพร้อมใช้สมองคิดอย่างหนัก “แปลกจังค่ะ ปกติแล้วพ่อพจน์ไม่รู้จักใครที่นั่นนี่คะ”
“พี่ก็คิดอย่างนั้น ถ้าสมมุติว่าจะไปหาปิ่นแล้วทำไมต้องซื้อตั๋วไปลาสเวกัส ปิ่นไม่ได้อยู่ที่นั่นสักหน่อย”
“พี่แก้วไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครใช่ไหมคะ” ถามเพราะเดาได้ว่าหากแก้วงามปริปากเรื่องนี้ออกไปแล้วคงไม่ต้องรอให้ถึงบ้านเสียก่อนค่อยติดต่อตนกลับเช่นนี้
“บอกแค่ปิ่นคนเดียว แต่พี่คิดว่าถ้าตำรวจเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ อีกไม่นานก็คงต้องรู้”
ปภัชสาเข้าใจในขั้นตอนนั้นดีแต่อย่างน้อยถ้าประพจน์เดินทางมาลาสเวกัสจริงก็ไม่ได้อยู่ห่างจากเธอนัก
“แล้วในนั้นบอกวันเวลาเดินทางไหมคะ”
“จ้ะ ถ้าพี่คำนวณไม่ผิดตอนนี้พ่อพจน์คงออกจากประเทศไทยได้สามชั่วโมงแล้ว”
“ถ้ามีข่าวคืบหน้าอะไร พี่แก้วติดต่อปิ่นได้ตลอดเวลาเลยนะคะ จากนี้ไปปิ่นจะเปิดโทรศัพท์ไว้”
แก้วงามรับคำก่อนจะเดินไปยังซิงก์สแตนเลสพร้อมกับไฟแช็กในมือ เธอรู้ว่าทำเช่นนี้นั้นไม่ถูกต้องนักแต่ความดีที่ผ่านมาของประพจน์นั้นก็ไม่อาจทำให้ปักใจเชื่อตามคำสันนิษฐานของหลายๆ คน เธอจึงเผากระดาษที่พริ้นต์อีเมล์ออกมานั้นทิ้งเสีย
ในขณะที่ปภัชสาถืออุปกรณ์สื่อสารในมือเอาไว้แน่น เธอไม่มีข้อมูลอื่นใดอีก ไม่รู้ว่าเป็นการบินตรงหรือพักต่อเครื่องในประเทศใด รู้แค่เพียงว่าจุดหมายปลายทางคือลาสเวกัส! เบาะแสเพียงเท่านั้นก็ยังทำให้ปภัชสากำหนดทิศทางของชีวิตตัวเองต่อจากนี้ได้ไม่ยากนัก
อย่างน้อยความหวังที่จะพบเจอกับประพจน์ก็ยังไม่ริบหรี่เช่นเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา แม้ว่าสนามบินแมคคาร์แรนจะไม่เล็กและแคบจนหากันเจอง่ายๆ แต่ก็ยังดีเสียกว่าให้เธออยู่นิ่งๆ ให้ประพจน์เป็นฝ่ายติดต่อกลับมาโดยที่ยังไม่รู้ว่าการรอคอยนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา