กลลวงรักจอมบาป
-
2) ตอนที่ 1 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความซานฟรานซิสโก, แคลิฟอร์เนีย
ชีวิตการเป็นไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้งในบริษัทแห่งหนึ่งถึงสามปีได้จบลงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และผลงานชิ้นสุดท้ายในลาสเวกัสก็สำเร็จลุล่วงทั้งยังได้รับคำชมจากเจ้านายของเจ้านายและของเจ้านายซึ่งปภัชสาคร้านจะใส่ใจว่ามีสูงขึ้นไปอีกกี่ขั้น ทำให้เธอและทีมงานอีกหกคนยิ้มกว้าง
ราเชลจึงถือโอกาสเลี้ยงส่งให้กับเธอและฉลองความสำเร็จของงานชิ้นโบแดงในคราวเดียวกัน
สามปีที่ทำงานร่วมกันมาแม้มีขัดแย้งกันบ้าง ความคิดเห็นไม่ลงรอยกันบ้างแต่ทุกคนก็กลายมาเป็นเพื่อนที่พึ่งพาอาศัยกันได้เป็นอย่างดี ความทรงจำในอดีตถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงหลายเรื่อง เสียงหัวเราะและการกระเซ้าเย้าแหย่จึงเกิดขึ้นตลอดเวลาที่อยู่ในผับแห่งหนึ่ง
แม้ทุกคนไม่อยากให้ปภัชสาจากไปแต่ก็รู้ดีว่าคนเราย่อมมีทางเลือกของชีวิตที่แตกต่างกัน คงมีเพียงอ้อมกอดแห่งมิตรภาพที่ย้ำเตือนให้ทุกคนได้จดจำเรื่องราวดีๆ เก็บเอาไว้ในใจ รถยนต์ซีดานขนาดกลางของราเชลจอดสนิทหน้าอพาร์ตเมนต์ แม้จะไม่ยอมมองหน้าลูกน้องที่กลายมาเป็นเพื่อนรุ่นน้องแต่ราเชลกลับรั้งข้อมือของปภัชสาเอาไว้แน่น
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” เดือนนี้ทั้งเดือนราเชลเองก็ไม่รู้ว่าย้ำคำถามนี้ออกมาบ่อยสักแค่ไหนแต่คำตอบก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“โธ่... ทำเหมือนกับว่าฉันจะกลับเมืองไทยเสียตอนนี้” ปภัชสาตอบพลางตบลงบนหลังมือของราเชลอย่างปลอบใจ “ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเพื่อนกินมื้อค่ำก็โทรหาฉันได้นี่นา”
“เธอว่างที่ไหน ก็พรุ่งนี้ต้องย้ายเข้าไปทำงานที่ศูนย์ดูแลเด็กกำพร้าไม่ใช่เหรอ แล้วไหนยังจะมีแพลนย้ายไปที่ลาสเวกัสอีก” ราเชลยังจำได้ดีถึงเหตุผลที่ปภัชสาพูดกรอกหูอยู่บ่อยครั้งว่าเด็กๆ ในศูนย์พักพิงของลาสเวกัสนั้นมีมากมายหลายเท่ากว่าในซานฟรานซิสโกนัก
นั่นเป็นเหตุผลที่เธออาจจะตัดสินใจย้ายไปเป็นอาสาสมัครดูแลเด็กๆ สักหนึ่งเดือนเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะถึงเวลาเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อพูดถึงลาสเวกัส จิตใจของปภัชสาก็ไพล่นึกถึงริมฝีปากของผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาได้ทุกครั้ง ทั้งยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอลังเลว่าจะตัดสินใจย้ายไปเป็นอาสาสมัครที่นั่นหรือไม่
“ก็อาจจะไม่ไปหรอก” ตอบแล้วรีบพยักหน้าสำทับคำพูดของตน เมื่อเห็นคนฟังเลิกคิ้วอย่างสงสัย “คุณก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยชอบบรรยากาศที่นั่น มันดูแออัดเกินไป”
ราเชลลอบถอนหายใจเพราะถึงจะไม่ไปลาสเวกัสปภัชสาก็คงต้องเดินทางกลับบ้านเกิดอยู่ดี “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะโทรหาแล้วกัน”
ปภัชสายิ้มสดใสแล้วพูดติดตลกไม่อยากให้ราเชลต้องเศร้าใจไปมากกว่านี้ “เอาน่า... พอสามีคุณกลับมาเมื่อไหร่ คงต้องลืมฉันแน่ๆ”
“ย่ะ ฉันเบื่อเธอจะแย่แล้ว ย้ายก้นลงไปจากรถฉันเลย” บอกแล้วมองตามร่างน่าปรารถนาที่ก้าวลงไปจากรถแล้วก้มตัวลงมายิ้มให้ด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะราเชล” หญิงสาวบอกด้วยความสัตย์จริง ก่อนจะกลืนก้อนแห่งความรู้สึกเศร้าสร้อยลงไปอย่างยากลำบากแล้วปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ถ้าอยากให้ฉันอยู่ที่นี่ก็มีลูกเร็วๆ สิ จะอาสามาเป็นพี่เลี้ยงให้เลย”
ราเชลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นกรีดน้ำตา “ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของฉันตลอดเลยนะ อย่าลืมคำพูดของตัวเองก็แล้วกัน”
“อื้อ... บายค่ะ” บอกพร้อมโบกมือลา ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาจากรถซีดานขนาดกลางที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับตา
เมื่อหันกลับมามองอพาร์ตเมนต์สูงห้าชั้นที่อยู่อาศัยมาตลอดระยะเวลาสามปีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใจหายเช่นกัน แต่อีกใจก็ไม่อาจตัดทุกอย่างทิ้งแล้วเก็บเกี่ยวเอาความสุขความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไว้กับตัวเพียงคนเดียว พูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่มีคุณพ่อประพจน์ผู้ก่อตั้งบ้านร่มเย็นทั้งยังมีส่วนผลักดันให้เธอได้มาเรียนต่อในระดับปริญญาตรีถึงซานฟรานซิสโกนี้ เด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรอย่างเธอคงไม่มีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้
ใครๆ อาจมองว่าเธอมีอุดมการณ์แรงกล้า ดำเนินชีวิตอย่างมีระเบียบแบบแผน เคร่งครัดมากเกินไป อยู่ในกรอบที่ตนเองกำหนดจึงเป็นการตัดโอกาสที่จะได้มองเห็นโลกอีกมุมหนึ่งซึ่งโลดโผนกว่านี้
ใช่จะไม่รู้ว่านั่นก็เป็นความจริงอีกด้านหนึ่งแต่ปภัชสาก็เลือกที่จะทำตามอุดมการณ์ของตน หากย้อนกลับไปยี่สิบสี่ปีก่อน เธอคือทารกที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คือผู้ที่ได้รับเมตตาจิตอันดีงามจนเติบโตเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ถึงทุกวันนี้
ถ้าวันนี้เธอเลือกที่จะหันหลังให้กับความไม่พร้อมของทารกอีกหลายคนที่ลืมตาขึ้นมาดูโลก มันคงดูเห็นแก่ตัว ต่อให้มีเงินทองมากมายสักแค่ไหน ทว่าในแต่ละวันคงจะไม่อาจหลับตาลงได้อย่างเป็นสุข เห็นแก่เรื่องของตนเองน้อยลงแล้วถือเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ จึงเป็นสิ่งที่ปภัชสาใช้เตือนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพียงแค่คิดว่าจะเอาประสบการณ์ที่ตนเรียนรู้มาไปปรับใช้กับเด็กๆ ในบ้านร่มเย็นอย่างไรยังทำให้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขได้ถึงขนาดนี้ จึงไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้ต้องเสียดายกับโอกาสที่ตนได้หันหลังให้ เหมือนใจสื่อถึงใจเพราะแค่เพียงนึกถึง คนในบ้านร่มเย็นก็ติดต่อเข้ามาผ่านแอพพลิเคชั่นหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก
ฝ่ามือบางควานหาอุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋าสะพายขณะที่เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของอพาร์ตเมนต์ “หวัดดีค่ะพี่แก้ว”
แก้วงามซึ่งเป็นคนดูแลเรื่องบัญชีรายรับ-รายจ่ายทั้งหมดของบ้านร่มเย็นเรียกชื่อของคู่สนทนาอย่างกระอึกกระอักเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี “ปิ่น...”
ปภัชสาขมวดคิ้วมุ่นพร้อมเอ่ยถามในขณะที่อีกมือกำลังกดรหัสเปิดประตูห้อง “มีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมเสียงพี่แก้วฟังดูอึดอัดใจชอบกล”
“ก็มีนิดหน่อยจ้ะ คือว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้พี่ติดต่อพ่อพจน์ไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าหายไปไหนน่ะสิ โทรศัพท์ก็ทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน ถามใครก็ไม่มีใครเห็น” จนแล้วจนรอดแก้วงามก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นการสันนิษฐานที่เธอรู้ดีว่ามันทำให้ผู้ก่อตั้งบ้านร่มเย็นเสื่อมเสีย
“อ้าว...” ปภัชสาครางรับพลางลดสายตามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตน “แปลกจัง แล้วพ่อพจน์จะไปไหนได้”
เหมือนเปรยออกมาเพียงเท่านั้นเพราะต่างคนต่างก็กำลังใช้ความคิด คาดเดาถึงสถานที่ที่ประพจน์จะไปแต่ก็นึกไม่ออก ทั้งที่ปภัชสาซึ่งคลุกคลีและสนิทกับประพจน์มากกว่าทุกคนในบ้านร่มเย็นยังไม่เคยได้ยินว่าประพจน์จะไปพักค้างอ้างแรมที่ไหน
“แล้วเข้าไปดูในห้องนอนรึยังคะ เสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวอยู่ครบไหม” ปภัชสาถาม
“ตอนนี้พี่อยู่ในห้องนอนพ่อพจน์ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เสื้อผ้าก็ยังครบถ้วน ของใช้ก็วางอยู่ที่เดิม” แก้วงามบอกในขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องนอนเล็ก
“จริงสิ ปิ่นจำได้ว่าพ่อพจน์มีน้องสาวอยู่ที่เชียงรายคนหนึ่ง พี่แก้วลองหาเบอร์โทรศัพท์แล้วติดต่อดูสิคะ เผื่อพ่อพจน์อาจมีเรื่องไม่สบายใจอยากจะหลบไปพักผ่อนบ้าง” ปภัชสาคาดการณ์อะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
“นั่นสินะ เผื่อพ่อพจน์มีเรื่องไม่สบายใจแต่ไม่อยากบอกให้ใครรู้ เดี๋ยวพี่จะหาเบอร์โทร. ของน้องสาวพ่อพจน์ดู แต่หลายวันมานี้พ่อพจน์พูดอะไรกับปิ่นบ้างรึเปล่า”
“ก็ไม่นะคะ ปกติพ่อพจน์ไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดียอยู่แล้ว ส่วนมากปิ่นจะติดต่อกับท่านทางอีเมล์”
“งั้นพี่ไม่กวนปิ่นแล้ว แต่ถ้าติดต่อได้ความว่ายังไงจะรีบส่งข่าวนะจ๊ะ” แก้วงามบอกเพราะช่วงบ่ายมีนัดจ่ายค่าอาหารจึงต้องรีบติดต่อประพจน์ให้ได้โดยเร็ว
“ค่ะ เดี๋ยวปิ่นจะลองส่งอีเมล์หาอีกทางหนึ่ง ได้ความยังไงก็จะส่งข่าวให้พี่แก้วรู้เหมือนกัน” หลังจากเอ่ยคำลาตามปกติ ปภัชสาก็รีบเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาส่งอีเมล์ถึงประพจน์ในทันที ใจความนั้นไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากมายถึงแม้การกระทำดังกล่าวของประพจน์จะไม่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอให้ปักใจเชื่อว่าท่านหายตัวไป
ท่านอาจมีเรื่องไม่สบายใจ คิดไม่ตกซึ่งปกติแล้วท่านจะไม่ค่อยเอ่ยถึงปัญหาต่างๆ ให้ใครได้รู้แต่จะเก็บเงียบและหาหนทางแก้ไขด้วยตนเอง ปลายนิ้วเรียวกดส่งอีเมล์ออกไปในทันที ประพจน์นั้นเป็นคนเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนความคิดดีๆ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมาตลอด ปภัชสาจึงไม่ได้มีความคิดในเชิงลบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เลย
เมื่อจัดการส่งอีเมล์เรียบร้อยแล้วก็หันมาเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่เหลือไม่มากนักลงในกระเป๋าใบขนาดย่อม แยกออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ซึ่งจัดวางทุกอย่างด้วยความมีระเบียบก่อนหันมาจัดการกับตัวเอง เมื่อเดินกลับออกมาจากห้องน้ำหญิงสาวก็อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว
เสื้อและกางเกงผ้ายืดที่โละมาเป็นชุดนอนคือสิ่งที่ถูกสอนให้ทำมาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนอาจจะอยากมีชุดนอนสวยๆ เหมือนเจ้าหญิงซึ่งเป็นความคิดตามประสาเด็ก แต่ก็ต้องขอบคุณคำพูดที่พร่ำสอนอยู่ทุกวันของประพจน์ที่ทำให้ความคิดเธอค่อยๆ เปลี่ยนไป ตอนนี้ยังชอบใจกับความนุ่มของผ้ายืดจนย้วยเพราะผ่านการใช้งานมานาน
เธอเก็บข้าวของของตัวเองทั้งวัน ตอนหัวค่ำยังออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ดื่มค็อกเทลไปหลายแก้วจนมึนหัวแต่ก็ยังถ่างตารอคอยการติดต่อกลับของแก้วงามและประพจน์
ทว่าความง่วงกำลังจะเป็นฝ่ายชนะ หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนคลานขึ้นบนเตียงนอนแล้วสอดมันเข้าไว้ใต้หมอนเมื่อเห็นว่าหน้าจอยังมืดสนิทอยู่เช่นเดิม ทันใดนั้นปลายนิ้วกลับแตะเข้าที่ของบางอย่างจนต้องรีบดึงมันออกมาดู
ปภัชสาพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเห็นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มที่ทำให้ไพล่นึกไปถึงใบหน้าของเจ้าของ
แต่!... ใครเอามันมาซ่อนไว้ใต้หมอนราวกับเป็นของสำคัญเช่นนี้กัน?
ร่างน่าปรารถนาผุดลุกขึ้นจากเตียงราวกับติดสปริงเมื่อมีคำตอบให้กับตัวเอง แม้ไม่รู้เหตุผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเธอเองที่ซุกมันไว้ใต้หมอน
หลังจากที่ปะทะกันในคืนนั้น รุ่งเช้าเธอและราเชลก็เดินทางกลับมายังซานฟรานซิสโก หญิงสาวใช้เวลาตั้งแต่ช่วงบ่ายจัดจนดึกดื่นค้นหารูปตามรายชื่อของผู้เข้าร่วมประมูล แต่กลับไม่ได้เห็นใบหน้าของเขาจากรายชื่อเหล่านั้นเลย มันเสียเวลาและเสียอารมณ์ถ้าต้องนึกถึงผู้ชายนิสัยแย่ๆ ที่ชอบมองผู้หญิงแล้วตีค่าประเมินราคาก่อนจะลากขึ้นเตียง
ปลายเท้านั้นเหยียบแป้นให้ฝาถังขยะเปิดค้างเอาไว้ ในขณะที่จ้องมองผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มในมือด้วยสายตาชิงชังราวกับว่าร่างของคนร้ายกาจนั้นสิงอยู่ในนี้ “ไปลงนรกเลยเถอะไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
ปล่อยให้ผ้าเช็ดหน้าร่วงลงในถังขยะแล้วเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนที่นอนอีกครั้ง ไม่บ่อยนักที่ใครจะยั่วอารมณ์ให้ปภัชสาฟิวส์ขาดแล้วหลุดพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้ แต่เชื่อเถอะว่าเธอไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด รู้สึกดีขึ้นด้วยซ้ำที่เอาเลือดปากเขาออกมาได้บ้าง ถึงจะไม่ได้เจ็บมากมายหรือเป็นแผลฉกรรจ์แต่เธอก็รู้ว่าหยามหน้าเขาได้ดีเชียวล่ะ
จากที่คิดจะหลับตาระงับความโกรธคนที่เหนื่อยอ่อนมาทั้งวันก็ผล็อยหลับไป โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะนี้ได้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในบ้านร่มเย็นจนทำให้ทุกคนที่พึ่งพาอาศัยบ้านหลังนี้เกิดความเคลือบแคลงใจ สับสนเป็นอย่างมาก เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นและกำลังจะดึงปภัชสาเข้าไปเกี่ยวข้องในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ ถ้าเทียบกับความสูญเสียของอคิลลีสแล้วยังเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก
ลาสเวกัส, เนวาดา
อาหารมื้อค่ำพร้อมกับโชว์ที่ตอบสนองความชอบส่วนตัวของอคิลลีสเป็นอันต้องหยุดชะงักลงด้วยเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดังมาตามสายโทรศัพท์
ดูเหมือนทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเขาจะตกใจจนนิ่งงันเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นเขามีสีหน้าตื่นตระหนก เก็บอาการไม่อยู่จนโทรศัพท์ร่วงลงกับพื้นทว่าไม่กี่อึดใจต่อมากลับผลุนผลันออกไปจากแมนชั่นของตระกูลด้วยซูเปอร์คาร์ที่ส่งเสียงดังกระหึ่ม บ่งบอกว่าเจ้าของนั้นเหยียบมิดคันเร่ง
ไม่รู้ว่าการขับรถในครั้งนี้เป็นไปด้วยสติสัมปชัญญะอันครบถ้วนหรือไม่ เพราะอคิลลีสไม่ได้ยินเสียงของผู้ร่วมใช้ถนนคนอื่นในความคิดของเขาตอนนี้มีเพียงเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แนะนำตัวเองแล้วอธิบายเสียยืดยาว แต่เขากลับจำได้แค่ประโยคสุดท้ายเท่านั้น
‘เดินทางมายืนยันด้วยนะคะว่าคุณรู้จักกับผู้ตาย’
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แสงไฟสีฟ้าสลับแดงจากไซเรนรถตำรวจข่มขวัญเขาได้ถึงเพียงนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายเดินเข้าออกเพนต์เฮ้าส์ของน้องชายเขาราวกับเป็นเจ้าของ ยังมีแถบกั้นพลาสติกสีเหลืองพาดผ่านประตูทางเข้ากันไม่ให้ผู้คนได้เข้ามาในบริเวณดังกล่าว
นักข่าว ปาปารัซซี่เริ่มเก็บภาพในมุมต่างๆ เอาไว้ แล้วพุ่งเป้ามาที่เขาเมื่อก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง อคิลลีสไม่เคยหลบตาจากแสงแฟลชแต่ครั้งนี้เขาต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องกันสายตาของตนเอง ความรู้สึกเจ็บหน่วงในหัวใจยังไม่อาจเลี่ยงได้
“เมแกน บรู๊ค ตำรวจลาสเวกัส” ตำรวจสาวแนะนำตัวพร้อมเป็นฝ่ายยื่นมือออกมาทักทายก่อน แต่เธอต้องรีบไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นคู่สนทนายื่นมือออกมาสัมผัสพร้อมกับสะบัดหน้าไปมา “คุณโอเคไหมคะ”
“ไม่ จนกว่าจะมั่นใจว่านั่นไม่ใช่น้องชายของผม”
คำตอบที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้ตำรวจสาวต้องลอบถอนหายใจก่อนยื่นมือไปดึงแถบกั้นพลาสติกขึ้นในระดับศีรษะเพื่อเปิดทางให้ญาติของผู้เสียชีวิตเดินเข้าไปด้านใน “เกรงว่า...”
อคิลลีสไม่ได้รอฟังจนจบประโยคด้วยซ้ำ เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในเพนต์เฮ้าส์แล้วต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งอยู่บนแปลสีส้มที่วางซ้อนอยู่บนเตียงรถเข็นอีกชั้นหนึ่งทั้งยังมีผ้าสีขาวคลุมเอาไว้ทั้งร่าง
“พี่ชายของผู้ตาย” เสียงของตำรวจสาวนายเดิมดังขึ้น
ตำรวจอีกนายหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างศพก็เอื้อมมือไปดึงผ้าสีขาวนั้นออกในจังหวะเดียวกันกับที่อคิลลีสเดินไปหยุดอยู่ข้างแปล ใบหน้าซีดเผือดของอเดเมียร์นั้นทำให้เขาต้องเลื่อนมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อออกสองสามเม็ด ทว่าความร้อนรน อึดอัดใจกลับไม่ได้เลือนหายไปเลย กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเขายังจิบบรั่นดีพูดคุยกับน้องชายซึ่งออกกำลังกายแล้ว...
“เดล นั่นนายรึ?!”
ความเศร้าเสียใจ ไม่เชื่อในสายตาตัวเองนั้นแสดงออกมาอย่างเปิดเผย แต่ปฏิกิริยาของอคิลลีสก็เปลี่ยนไปอย่างทันควัน เมื่อมือหนึ่งกระชากผ้าขาวออกแล้วอีกมือก็แตะเข้าตรงจุดชีพจรทั้งลำคอและข้อมือด้านใน
“เฮ้... นั่นคุณจะทำอะไร สงบสติอารมณ์ด้วยครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนอยู่อีกฝั่งตักเตือนเสียงดุ แต่ก็เงียบไปเมื่อเมแกน บรู๊ค ส่ายหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้พี่ชายของผู้ตายได้ทำตามความต้องการ
“เป็นไปได้ยังไง เดล! ลืมตาขึ้นมามองฉัน นายพูดเองว่าฉันต้องตายก่อน อเดเมียร์ลืมตาขึ้นมาสิวะ” แม้จะเป็นเสียงตะคอกแต่ทุกอณูกลับเต็มไปด้วยความเสียใจซึ่งผู้ฟังนั้นรับรู้ได้เป็นอย่างดี ฝ่ามือของเขายังประคองเข้าที่ใบหน้าของน้องชาย “เดล!... ลืมตาขึ้นมาแล้วบอกฉันทีว่านี่มันเรื่องตลก นี่มันแค่ฉากหนึ่งในหนังที่นายแสดงหรือแค่กำลังอยากแกล้งฉัน”
อเดเมียร์มักแขวะพี่ชายเสมอเพราะถึงแม้ว่าจะชอบออกกำลังกายเพื่อกล้ามเนื้อที่สวยงามไม่ต่างกันแต่อคิลลีสกลับดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงซึ่งแตกต่างจากน้องชายโดยสิ้นเชิง ร่างไร้วิญญาณไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งใด ต่อให้อคิลลีสตะโกนจนสุดเสียงก็ไม่อาจชุบชีวิตให้น้องชายกลับมามีลมหายใจได้อีกครั้งหนึ่ง
“อเดเมียร์ นายมันไอ้เด็กขี้ขลาด” แม้จะต่อว่าแต่น้ำเสียงและท่าทางก็ยอมรับกับความจริง
ทำให้ตำรวจสาวเจ้าของคดีพยักหน้าเป็นเชิงสั่งการให้ตำรวจยศต่ำกว่าได้นำศพของผู้ตายไปชันสูตร
“เรารู้ว่าคุณอยู่ในเวลาที่เสียใจนะคะ แต่ขอสอบปากคำสักหน่อยได้ไหม” เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า เมแกนจึงผายมือไปยังโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ภายในเพนต์เฮ้าส์ “ยืนยันว่านั่นเป็นอเดเมียร์ คูแรนท์ น้องชายของคุณนะคะ”
ความจริงแล้วไม่ควรต้องย้ำถาม แต่อคิลลีสก็รู้ว่าเธอทำตามหน้าที่จึงได้แต่พยักหน้ารับกับความจริงอันปวดร้าว
“สี่สิบนาทีก่อน แม่บ้านของน้องชายคุณแจ้งความว่าเจ้านายของเธอเสียชีวิตอยู่ในห้องนอน ไม่รู้เวลาที่แน่ชัด แต่เธอให้การว่าทำงานตามปกติ และก็ไม่ได้เข้าไปปลุกเจ้านายเพราะเขากินนอนไม่เป็นเวลา”
“ก็ใช่” อคิลลีสเห็นด้วยในเรื่องนั้น
“เธอเข้านอนแล้วแต่ออกมาดื่มน้ำเลยแปลกใจที่อาหารมื้อเย็นยังวางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม จึงนึกสงสัยเลยเข้าไปดูในห้องนอน แล้วก็... โทรแจ้งความ”
“แล้วน้องชายผมตายตอนไหน เพราะอะไร”ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความสับสน
“สันนิษฐานเบื้องต้นว่าน่าจะเสียชีวิตมาประมาณสี่ชั่วโมงแล้ว ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน”
“เป็นไปไม่ได้” อคิลลีสโต้แย้งทันควัน เขาหรี่ตามองตำรวจสาวแล้วตั้งคำถามกลับ “เดลออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่แถมตรวจสุขภาพเดือนละครั้งไม่มีขาด จะมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ยังไง”
“มันเป็นเพียงแค่การสันนิษฐาน คุณจะได้คำตอบและสาเหตุการตายอย่างละเอียดก็ต่อเมื่อแพทย์ทำการชันสูตรศพและลงความเห็นแล้ว”
เจ้าของใบหน้าคร้ามคมส่ายไปมา ปฏิเสธในทุกความคิดที่เห็นที่ได้ยิน “ตัดเรื่องสุขภาพออกไปได้เลย ถ้าเขาเป็นอะไรมีเหรอที่ผมจะไม่รู้”
“แต่เราตรวจจนละเอียดแล้วก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ประตูหน้าต่างก็ไม่ได้ถูกงัดแงะ”
“แปลว่าคุณตัดประเด็นลอบทำร้ายออกไปแล้วพุ่งเป้าไปที่สุขภาพอย่างเดียว” ถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันแค่ตีกรอบให้มันแคบลงตามที่บอกไปแล้วว่าที่เกิดเหตุไม่ร่องรอยการต่อสู้ ประเด็นการลอบทำร้ายก็จะมีน้ำหนักน้อยกว่าปัญหาด้านสุขภาพ บางทีน้องชายคุณอาจจะไม่ได้บอกว่าเขา...”
“แล้วกี่วันผลชันสูตรถึงจะเรียบร้อย” อคิลลีสเริ่มไม่พอใจกับการทำงานของตำรวจสาว
“ไม่เกินสามวันค่ะ” เมแกนลอบถอนหายใจเพราะท่าทางที่ผู้ชายตรงหน้าแสดงออกมานี้ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่พึงพอใจกับการทำงานของเธอ “หรือคุณรู้ว่าคุณอเดเมียร์มีเรื่องบาดหมางกับใคร”
“เขาเป็นนักแสดงชื่อดัง มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละที่เรื่องร้ายๆ จะเกิดขึ้นเพราะความเกลียดหรือคลั่งไคล้ ซึ่งผมยอมรับว่าไม่รู้รายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของสุขภาพแล้วล่ะก็... มัน-เหลือ-เชื่อ”
ตำรวจสาวจ้องตาเขาไม่กะพริบ น้อยครั้งนักที่จะเห็นใครเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเช่นนี้ นี่สินะคือเสน่ห์ของมหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผู้ฉาวโฉ่อคิลลีส คูแรนท์!
“ก็อย่างที่คุณพูดนะคะ เขาเป็นดาราฮอลลีวูดชื่อดัง และเป็นน้องชายที่สนิทสนมกับคุณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดเผยชีวิตส่วนตัวให้คุณได้รับรู้ทุกเรื่องหรอก” เมแกนบอก
ผู้หญิงคนนี้กำลังท้าทายอารมณ์ของเขาอย่างไม่ถูกที่ถูกเวลา แต่อคิลลีสก็มีความอดทนมากพอและอดทนมากขึ้นเมื่อสัญชาตญาณของตนกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อย้ำเตือนให้ได้รู้ว่าการตายของน้องชายนั้นต้องมีเงื่อนงำ!
“อย่าเดินอ้อมโลกดีกว่าคุณตำรวจ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สนุกที่จะวิ่งไล่ต้อนผู้หญิงคนไหน”
คำพูดดังกล่าวทำให้เมแกนนึกอับอายที่ไปแบไต๋ให้จับได้ว่าเกิดความสนใจในตัวเขา ตำรวจสาวกะพริบตาถี่ๆ แล้วสั่งตัวเองให้เดินเลี่ยงไปอีกห้องหนึ่ง ไม่นานนักก็เดินกลับออกมาหยุดอยู่ตรงที่เดิมพร้อมกับผู้หญิงซึ่งอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน
“เด็กคนนี้ชื่อเมมฟีส เป็นลูกชายของอเดเมียร์”
ยิ่งดวงตาของอคิลลีสฉายแววไม่อยากเชื่อออกมามากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าหนูน้อยวัยหนึ่งขวบเศษจะรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นได้มากเท่านั้น ไม่นานนักจุกหลอกที่ดูดเอาไว้ในปากก็ร่วงหล่นเพราะเจ้าตัวแผดเสียงร้องไห้ออกมาโดยไม่มีสาเหตุ!
ชีวิตการเป็นไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้งในบริษัทแห่งหนึ่งถึงสามปีได้จบลงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และผลงานชิ้นสุดท้ายในลาสเวกัสก็สำเร็จลุล่วงทั้งยังได้รับคำชมจากเจ้านายของเจ้านายและของเจ้านายซึ่งปภัชสาคร้านจะใส่ใจว่ามีสูงขึ้นไปอีกกี่ขั้น ทำให้เธอและทีมงานอีกหกคนยิ้มกว้าง
ราเชลจึงถือโอกาสเลี้ยงส่งให้กับเธอและฉลองความสำเร็จของงานชิ้นโบแดงในคราวเดียวกัน
สามปีที่ทำงานร่วมกันมาแม้มีขัดแย้งกันบ้าง ความคิดเห็นไม่ลงรอยกันบ้างแต่ทุกคนก็กลายมาเป็นเพื่อนที่พึ่งพาอาศัยกันได้เป็นอย่างดี ความทรงจำในอดีตถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงหลายเรื่อง เสียงหัวเราะและการกระเซ้าเย้าแหย่จึงเกิดขึ้นตลอดเวลาที่อยู่ในผับแห่งหนึ่ง
แม้ทุกคนไม่อยากให้ปภัชสาจากไปแต่ก็รู้ดีว่าคนเราย่อมมีทางเลือกของชีวิตที่แตกต่างกัน คงมีเพียงอ้อมกอดแห่งมิตรภาพที่ย้ำเตือนให้ทุกคนได้จดจำเรื่องราวดีๆ เก็บเอาไว้ในใจ รถยนต์ซีดานขนาดกลางของราเชลจอดสนิทหน้าอพาร์ตเมนต์ แม้จะไม่ยอมมองหน้าลูกน้องที่กลายมาเป็นเพื่อนรุ่นน้องแต่ราเชลกลับรั้งข้อมือของปภัชสาเอาไว้แน่น
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” เดือนนี้ทั้งเดือนราเชลเองก็ไม่รู้ว่าย้ำคำถามนี้ออกมาบ่อยสักแค่ไหนแต่คำตอบก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“โธ่... ทำเหมือนกับว่าฉันจะกลับเมืองไทยเสียตอนนี้” ปภัชสาตอบพลางตบลงบนหลังมือของราเชลอย่างปลอบใจ “ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเพื่อนกินมื้อค่ำก็โทรหาฉันได้นี่นา”
“เธอว่างที่ไหน ก็พรุ่งนี้ต้องย้ายเข้าไปทำงานที่ศูนย์ดูแลเด็กกำพร้าไม่ใช่เหรอ แล้วไหนยังจะมีแพลนย้ายไปที่ลาสเวกัสอีก” ราเชลยังจำได้ดีถึงเหตุผลที่ปภัชสาพูดกรอกหูอยู่บ่อยครั้งว่าเด็กๆ ในศูนย์พักพิงของลาสเวกัสนั้นมีมากมายหลายเท่ากว่าในซานฟรานซิสโกนัก
นั่นเป็นเหตุผลที่เธออาจจะตัดสินใจย้ายไปเป็นอาสาสมัครดูแลเด็กๆ สักหนึ่งเดือนเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะถึงเวลาเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อพูดถึงลาสเวกัส จิตใจของปภัชสาก็ไพล่นึกถึงริมฝีปากของผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาได้ทุกครั้ง ทั้งยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอลังเลว่าจะตัดสินใจย้ายไปเป็นอาสาสมัครที่นั่นหรือไม่
“ก็อาจจะไม่ไปหรอก” ตอบแล้วรีบพยักหน้าสำทับคำพูดของตน เมื่อเห็นคนฟังเลิกคิ้วอย่างสงสัย “คุณก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยชอบบรรยากาศที่นั่น มันดูแออัดเกินไป”
ราเชลลอบถอนหายใจเพราะถึงจะไม่ไปลาสเวกัสปภัชสาก็คงต้องเดินทางกลับบ้านเกิดอยู่ดี “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะโทรหาแล้วกัน”
ปภัชสายิ้มสดใสแล้วพูดติดตลกไม่อยากให้ราเชลต้องเศร้าใจไปมากกว่านี้ “เอาน่า... พอสามีคุณกลับมาเมื่อไหร่ คงต้องลืมฉันแน่ๆ”
“ย่ะ ฉันเบื่อเธอจะแย่แล้ว ย้ายก้นลงไปจากรถฉันเลย” บอกแล้วมองตามร่างน่าปรารถนาที่ก้าวลงไปจากรถแล้วก้มตัวลงมายิ้มให้ด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะราเชล” หญิงสาวบอกด้วยความสัตย์จริง ก่อนจะกลืนก้อนแห่งความรู้สึกเศร้าสร้อยลงไปอย่างยากลำบากแล้วปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ถ้าอยากให้ฉันอยู่ที่นี่ก็มีลูกเร็วๆ สิ จะอาสามาเป็นพี่เลี้ยงให้เลย”
ราเชลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นกรีดน้ำตา “ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของฉันตลอดเลยนะ อย่าลืมคำพูดของตัวเองก็แล้วกัน”
“อื้อ... บายค่ะ” บอกพร้อมโบกมือลา ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาจากรถซีดานขนาดกลางที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับตา
เมื่อหันกลับมามองอพาร์ตเมนต์สูงห้าชั้นที่อยู่อาศัยมาตลอดระยะเวลาสามปีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใจหายเช่นกัน แต่อีกใจก็ไม่อาจตัดทุกอย่างทิ้งแล้วเก็บเกี่ยวเอาความสุขความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไว้กับตัวเพียงคนเดียว พูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่มีคุณพ่อประพจน์ผู้ก่อตั้งบ้านร่มเย็นทั้งยังมีส่วนผลักดันให้เธอได้มาเรียนต่อในระดับปริญญาตรีถึงซานฟรานซิสโกนี้ เด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรอย่างเธอคงไม่มีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้
ใครๆ อาจมองว่าเธอมีอุดมการณ์แรงกล้า ดำเนินชีวิตอย่างมีระเบียบแบบแผน เคร่งครัดมากเกินไป อยู่ในกรอบที่ตนเองกำหนดจึงเป็นการตัดโอกาสที่จะได้มองเห็นโลกอีกมุมหนึ่งซึ่งโลดโผนกว่านี้
ใช่จะไม่รู้ว่านั่นก็เป็นความจริงอีกด้านหนึ่งแต่ปภัชสาก็เลือกที่จะทำตามอุดมการณ์ของตน หากย้อนกลับไปยี่สิบสี่ปีก่อน เธอคือทารกที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คือผู้ที่ได้รับเมตตาจิตอันดีงามจนเติบโตเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ถึงทุกวันนี้
ถ้าวันนี้เธอเลือกที่จะหันหลังให้กับความไม่พร้อมของทารกอีกหลายคนที่ลืมตาขึ้นมาดูโลก มันคงดูเห็นแก่ตัว ต่อให้มีเงินทองมากมายสักแค่ไหน ทว่าในแต่ละวันคงจะไม่อาจหลับตาลงได้อย่างเป็นสุข เห็นแก่เรื่องของตนเองน้อยลงแล้วถือเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ จึงเป็นสิ่งที่ปภัชสาใช้เตือนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพียงแค่คิดว่าจะเอาประสบการณ์ที่ตนเรียนรู้มาไปปรับใช้กับเด็กๆ ในบ้านร่มเย็นอย่างไรยังทำให้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขได้ถึงขนาดนี้ จึงไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้ต้องเสียดายกับโอกาสที่ตนได้หันหลังให้ เหมือนใจสื่อถึงใจเพราะแค่เพียงนึกถึง คนในบ้านร่มเย็นก็ติดต่อเข้ามาผ่านแอพพลิเคชั่นหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก
ฝ่ามือบางควานหาอุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋าสะพายขณะที่เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของอพาร์ตเมนต์ “หวัดดีค่ะพี่แก้ว”
แก้วงามซึ่งเป็นคนดูแลเรื่องบัญชีรายรับ-รายจ่ายทั้งหมดของบ้านร่มเย็นเรียกชื่อของคู่สนทนาอย่างกระอึกกระอักเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี “ปิ่น...”
ปภัชสาขมวดคิ้วมุ่นพร้อมเอ่ยถามในขณะที่อีกมือกำลังกดรหัสเปิดประตูห้อง “มีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมเสียงพี่แก้วฟังดูอึดอัดใจชอบกล”
“ก็มีนิดหน่อยจ้ะ คือว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้พี่ติดต่อพ่อพจน์ไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าหายไปไหนน่ะสิ โทรศัพท์ก็ทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน ถามใครก็ไม่มีใครเห็น” จนแล้วจนรอดแก้วงามก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นการสันนิษฐานที่เธอรู้ดีว่ามันทำให้ผู้ก่อตั้งบ้านร่มเย็นเสื่อมเสีย
“อ้าว...” ปภัชสาครางรับพลางลดสายตามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตน “แปลกจัง แล้วพ่อพจน์จะไปไหนได้”
เหมือนเปรยออกมาเพียงเท่านั้นเพราะต่างคนต่างก็กำลังใช้ความคิด คาดเดาถึงสถานที่ที่ประพจน์จะไปแต่ก็นึกไม่ออก ทั้งที่ปภัชสาซึ่งคลุกคลีและสนิทกับประพจน์มากกว่าทุกคนในบ้านร่มเย็นยังไม่เคยได้ยินว่าประพจน์จะไปพักค้างอ้างแรมที่ไหน
“แล้วเข้าไปดูในห้องนอนรึยังคะ เสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวอยู่ครบไหม” ปภัชสาถาม
“ตอนนี้พี่อยู่ในห้องนอนพ่อพจน์ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เสื้อผ้าก็ยังครบถ้วน ของใช้ก็วางอยู่ที่เดิม” แก้วงามบอกในขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องนอนเล็ก
“จริงสิ ปิ่นจำได้ว่าพ่อพจน์มีน้องสาวอยู่ที่เชียงรายคนหนึ่ง พี่แก้วลองหาเบอร์โทรศัพท์แล้วติดต่อดูสิคะ เผื่อพ่อพจน์อาจมีเรื่องไม่สบายใจอยากจะหลบไปพักผ่อนบ้าง” ปภัชสาคาดการณ์อะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
“นั่นสินะ เผื่อพ่อพจน์มีเรื่องไม่สบายใจแต่ไม่อยากบอกให้ใครรู้ เดี๋ยวพี่จะหาเบอร์โทร. ของน้องสาวพ่อพจน์ดู แต่หลายวันมานี้พ่อพจน์พูดอะไรกับปิ่นบ้างรึเปล่า”
“ก็ไม่นะคะ ปกติพ่อพจน์ไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดียอยู่แล้ว ส่วนมากปิ่นจะติดต่อกับท่านทางอีเมล์”
“งั้นพี่ไม่กวนปิ่นแล้ว แต่ถ้าติดต่อได้ความว่ายังไงจะรีบส่งข่าวนะจ๊ะ” แก้วงามบอกเพราะช่วงบ่ายมีนัดจ่ายค่าอาหารจึงต้องรีบติดต่อประพจน์ให้ได้โดยเร็ว
“ค่ะ เดี๋ยวปิ่นจะลองส่งอีเมล์หาอีกทางหนึ่ง ได้ความยังไงก็จะส่งข่าวให้พี่แก้วรู้เหมือนกัน” หลังจากเอ่ยคำลาตามปกติ ปภัชสาก็รีบเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาส่งอีเมล์ถึงประพจน์ในทันที ใจความนั้นไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากมายถึงแม้การกระทำดังกล่าวของประพจน์จะไม่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอให้ปักใจเชื่อว่าท่านหายตัวไป
ท่านอาจมีเรื่องไม่สบายใจ คิดไม่ตกซึ่งปกติแล้วท่านจะไม่ค่อยเอ่ยถึงปัญหาต่างๆ ให้ใครได้รู้แต่จะเก็บเงียบและหาหนทางแก้ไขด้วยตนเอง ปลายนิ้วเรียวกดส่งอีเมล์ออกไปในทันที ประพจน์นั้นเป็นคนเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนความคิดดีๆ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมาตลอด ปภัชสาจึงไม่ได้มีความคิดในเชิงลบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เลย
เมื่อจัดการส่งอีเมล์เรียบร้อยแล้วก็หันมาเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่เหลือไม่มากนักลงในกระเป๋าใบขนาดย่อม แยกออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ซึ่งจัดวางทุกอย่างด้วยความมีระเบียบก่อนหันมาจัดการกับตัวเอง เมื่อเดินกลับออกมาจากห้องน้ำหญิงสาวก็อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว
เสื้อและกางเกงผ้ายืดที่โละมาเป็นชุดนอนคือสิ่งที่ถูกสอนให้ทำมาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนอาจจะอยากมีชุดนอนสวยๆ เหมือนเจ้าหญิงซึ่งเป็นความคิดตามประสาเด็ก แต่ก็ต้องขอบคุณคำพูดที่พร่ำสอนอยู่ทุกวันของประพจน์ที่ทำให้ความคิดเธอค่อยๆ เปลี่ยนไป ตอนนี้ยังชอบใจกับความนุ่มของผ้ายืดจนย้วยเพราะผ่านการใช้งานมานาน
เธอเก็บข้าวของของตัวเองทั้งวัน ตอนหัวค่ำยังออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ดื่มค็อกเทลไปหลายแก้วจนมึนหัวแต่ก็ยังถ่างตารอคอยการติดต่อกลับของแก้วงามและประพจน์
ทว่าความง่วงกำลังจะเป็นฝ่ายชนะ หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนคลานขึ้นบนเตียงนอนแล้วสอดมันเข้าไว้ใต้หมอนเมื่อเห็นว่าหน้าจอยังมืดสนิทอยู่เช่นเดิม ทันใดนั้นปลายนิ้วกลับแตะเข้าที่ของบางอย่างจนต้องรีบดึงมันออกมาดู
ปภัชสาพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเห็นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มที่ทำให้ไพล่นึกไปถึงใบหน้าของเจ้าของ
แต่!... ใครเอามันมาซ่อนไว้ใต้หมอนราวกับเป็นของสำคัญเช่นนี้กัน?
ร่างน่าปรารถนาผุดลุกขึ้นจากเตียงราวกับติดสปริงเมื่อมีคำตอบให้กับตัวเอง แม้ไม่รู้เหตุผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเธอเองที่ซุกมันไว้ใต้หมอน
หลังจากที่ปะทะกันในคืนนั้น รุ่งเช้าเธอและราเชลก็เดินทางกลับมายังซานฟรานซิสโก หญิงสาวใช้เวลาตั้งแต่ช่วงบ่ายจัดจนดึกดื่นค้นหารูปตามรายชื่อของผู้เข้าร่วมประมูล แต่กลับไม่ได้เห็นใบหน้าของเขาจากรายชื่อเหล่านั้นเลย มันเสียเวลาและเสียอารมณ์ถ้าต้องนึกถึงผู้ชายนิสัยแย่ๆ ที่ชอบมองผู้หญิงแล้วตีค่าประเมินราคาก่อนจะลากขึ้นเตียง
ปลายเท้านั้นเหยียบแป้นให้ฝาถังขยะเปิดค้างเอาไว้ ในขณะที่จ้องมองผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มในมือด้วยสายตาชิงชังราวกับว่าร่างของคนร้ายกาจนั้นสิงอยู่ในนี้ “ไปลงนรกเลยเถอะไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
ปล่อยให้ผ้าเช็ดหน้าร่วงลงในถังขยะแล้วเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนที่นอนอีกครั้ง ไม่บ่อยนักที่ใครจะยั่วอารมณ์ให้ปภัชสาฟิวส์ขาดแล้วหลุดพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้ แต่เชื่อเถอะว่าเธอไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด รู้สึกดีขึ้นด้วยซ้ำที่เอาเลือดปากเขาออกมาได้บ้าง ถึงจะไม่ได้เจ็บมากมายหรือเป็นแผลฉกรรจ์แต่เธอก็รู้ว่าหยามหน้าเขาได้ดีเชียวล่ะ
จากที่คิดจะหลับตาระงับความโกรธคนที่เหนื่อยอ่อนมาทั้งวันก็ผล็อยหลับไป โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะนี้ได้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในบ้านร่มเย็นจนทำให้ทุกคนที่พึ่งพาอาศัยบ้านหลังนี้เกิดความเคลือบแคลงใจ สับสนเป็นอย่างมาก เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นและกำลังจะดึงปภัชสาเข้าไปเกี่ยวข้องในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ ถ้าเทียบกับความสูญเสียของอคิลลีสแล้วยังเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก
ลาสเวกัส, เนวาดา
อาหารมื้อค่ำพร้อมกับโชว์ที่ตอบสนองความชอบส่วนตัวของอคิลลีสเป็นอันต้องหยุดชะงักลงด้วยเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดังมาตามสายโทรศัพท์
ดูเหมือนทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเขาจะตกใจจนนิ่งงันเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นเขามีสีหน้าตื่นตระหนก เก็บอาการไม่อยู่จนโทรศัพท์ร่วงลงกับพื้นทว่าไม่กี่อึดใจต่อมากลับผลุนผลันออกไปจากแมนชั่นของตระกูลด้วยซูเปอร์คาร์ที่ส่งเสียงดังกระหึ่ม บ่งบอกว่าเจ้าของนั้นเหยียบมิดคันเร่ง
ไม่รู้ว่าการขับรถในครั้งนี้เป็นไปด้วยสติสัมปชัญญะอันครบถ้วนหรือไม่ เพราะอคิลลีสไม่ได้ยินเสียงของผู้ร่วมใช้ถนนคนอื่นในความคิดของเขาตอนนี้มีเพียงเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แนะนำตัวเองแล้วอธิบายเสียยืดยาว แต่เขากลับจำได้แค่ประโยคสุดท้ายเท่านั้น
‘เดินทางมายืนยันด้วยนะคะว่าคุณรู้จักกับผู้ตาย’
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แสงไฟสีฟ้าสลับแดงจากไซเรนรถตำรวจข่มขวัญเขาได้ถึงเพียงนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายเดินเข้าออกเพนต์เฮ้าส์ของน้องชายเขาราวกับเป็นเจ้าของ ยังมีแถบกั้นพลาสติกสีเหลืองพาดผ่านประตูทางเข้ากันไม่ให้ผู้คนได้เข้ามาในบริเวณดังกล่าว
นักข่าว ปาปารัซซี่เริ่มเก็บภาพในมุมต่างๆ เอาไว้ แล้วพุ่งเป้ามาที่เขาเมื่อก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง อคิลลีสไม่เคยหลบตาจากแสงแฟลชแต่ครั้งนี้เขาต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องกันสายตาของตนเอง ความรู้สึกเจ็บหน่วงในหัวใจยังไม่อาจเลี่ยงได้
“เมแกน บรู๊ค ตำรวจลาสเวกัส” ตำรวจสาวแนะนำตัวพร้อมเป็นฝ่ายยื่นมือออกมาทักทายก่อน แต่เธอต้องรีบไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นคู่สนทนายื่นมือออกมาสัมผัสพร้อมกับสะบัดหน้าไปมา “คุณโอเคไหมคะ”
“ไม่ จนกว่าจะมั่นใจว่านั่นไม่ใช่น้องชายของผม”
คำตอบที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้ตำรวจสาวต้องลอบถอนหายใจก่อนยื่นมือไปดึงแถบกั้นพลาสติกขึ้นในระดับศีรษะเพื่อเปิดทางให้ญาติของผู้เสียชีวิตเดินเข้าไปด้านใน “เกรงว่า...”
อคิลลีสไม่ได้รอฟังจนจบประโยคด้วยซ้ำ เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในเพนต์เฮ้าส์แล้วต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งอยู่บนแปลสีส้มที่วางซ้อนอยู่บนเตียงรถเข็นอีกชั้นหนึ่งทั้งยังมีผ้าสีขาวคลุมเอาไว้ทั้งร่าง
“พี่ชายของผู้ตาย” เสียงของตำรวจสาวนายเดิมดังขึ้น
ตำรวจอีกนายหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างศพก็เอื้อมมือไปดึงผ้าสีขาวนั้นออกในจังหวะเดียวกันกับที่อคิลลีสเดินไปหยุดอยู่ข้างแปล ใบหน้าซีดเผือดของอเดเมียร์นั้นทำให้เขาต้องเลื่อนมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อออกสองสามเม็ด ทว่าความร้อนรน อึดอัดใจกลับไม่ได้เลือนหายไปเลย กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเขายังจิบบรั่นดีพูดคุยกับน้องชายซึ่งออกกำลังกายแล้ว...
“เดล นั่นนายรึ?!”
ความเศร้าเสียใจ ไม่เชื่อในสายตาตัวเองนั้นแสดงออกมาอย่างเปิดเผย แต่ปฏิกิริยาของอคิลลีสก็เปลี่ยนไปอย่างทันควัน เมื่อมือหนึ่งกระชากผ้าขาวออกแล้วอีกมือก็แตะเข้าตรงจุดชีพจรทั้งลำคอและข้อมือด้านใน
“เฮ้... นั่นคุณจะทำอะไร สงบสติอารมณ์ด้วยครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนอยู่อีกฝั่งตักเตือนเสียงดุ แต่ก็เงียบไปเมื่อเมแกน บรู๊ค ส่ายหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้พี่ชายของผู้ตายได้ทำตามความต้องการ
“เป็นไปได้ยังไง เดล! ลืมตาขึ้นมามองฉัน นายพูดเองว่าฉันต้องตายก่อน อเดเมียร์ลืมตาขึ้นมาสิวะ” แม้จะเป็นเสียงตะคอกแต่ทุกอณูกลับเต็มไปด้วยความเสียใจซึ่งผู้ฟังนั้นรับรู้ได้เป็นอย่างดี ฝ่ามือของเขายังประคองเข้าที่ใบหน้าของน้องชาย “เดล!... ลืมตาขึ้นมาแล้วบอกฉันทีว่านี่มันเรื่องตลก นี่มันแค่ฉากหนึ่งในหนังที่นายแสดงหรือแค่กำลังอยากแกล้งฉัน”
อเดเมียร์มักแขวะพี่ชายเสมอเพราะถึงแม้ว่าจะชอบออกกำลังกายเพื่อกล้ามเนื้อที่สวยงามไม่ต่างกันแต่อคิลลีสกลับดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงซึ่งแตกต่างจากน้องชายโดยสิ้นเชิง ร่างไร้วิญญาณไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งใด ต่อให้อคิลลีสตะโกนจนสุดเสียงก็ไม่อาจชุบชีวิตให้น้องชายกลับมามีลมหายใจได้อีกครั้งหนึ่ง
“อเดเมียร์ นายมันไอ้เด็กขี้ขลาด” แม้จะต่อว่าแต่น้ำเสียงและท่าทางก็ยอมรับกับความจริง
ทำให้ตำรวจสาวเจ้าของคดีพยักหน้าเป็นเชิงสั่งการให้ตำรวจยศต่ำกว่าได้นำศพของผู้ตายไปชันสูตร
“เรารู้ว่าคุณอยู่ในเวลาที่เสียใจนะคะ แต่ขอสอบปากคำสักหน่อยได้ไหม” เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า เมแกนจึงผายมือไปยังโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ภายในเพนต์เฮ้าส์ “ยืนยันว่านั่นเป็นอเดเมียร์ คูแรนท์ น้องชายของคุณนะคะ”
ความจริงแล้วไม่ควรต้องย้ำถาม แต่อคิลลีสก็รู้ว่าเธอทำตามหน้าที่จึงได้แต่พยักหน้ารับกับความจริงอันปวดร้าว
“สี่สิบนาทีก่อน แม่บ้านของน้องชายคุณแจ้งความว่าเจ้านายของเธอเสียชีวิตอยู่ในห้องนอน ไม่รู้เวลาที่แน่ชัด แต่เธอให้การว่าทำงานตามปกติ และก็ไม่ได้เข้าไปปลุกเจ้านายเพราะเขากินนอนไม่เป็นเวลา”
“ก็ใช่” อคิลลีสเห็นด้วยในเรื่องนั้น
“เธอเข้านอนแล้วแต่ออกมาดื่มน้ำเลยแปลกใจที่อาหารมื้อเย็นยังวางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม จึงนึกสงสัยเลยเข้าไปดูในห้องนอน แล้วก็... โทรแจ้งความ”
“แล้วน้องชายผมตายตอนไหน เพราะอะไร”ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความสับสน
“สันนิษฐานเบื้องต้นว่าน่าจะเสียชีวิตมาประมาณสี่ชั่วโมงแล้ว ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน”
“เป็นไปไม่ได้” อคิลลีสโต้แย้งทันควัน เขาหรี่ตามองตำรวจสาวแล้วตั้งคำถามกลับ “เดลออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่แถมตรวจสุขภาพเดือนละครั้งไม่มีขาด จะมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ยังไง”
“มันเป็นเพียงแค่การสันนิษฐาน คุณจะได้คำตอบและสาเหตุการตายอย่างละเอียดก็ต่อเมื่อแพทย์ทำการชันสูตรศพและลงความเห็นแล้ว”
เจ้าของใบหน้าคร้ามคมส่ายไปมา ปฏิเสธในทุกความคิดที่เห็นที่ได้ยิน “ตัดเรื่องสุขภาพออกไปได้เลย ถ้าเขาเป็นอะไรมีเหรอที่ผมจะไม่รู้”
“แต่เราตรวจจนละเอียดแล้วก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ประตูหน้าต่างก็ไม่ได้ถูกงัดแงะ”
“แปลว่าคุณตัดประเด็นลอบทำร้ายออกไปแล้วพุ่งเป้าไปที่สุขภาพอย่างเดียว” ถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันแค่ตีกรอบให้มันแคบลงตามที่บอกไปแล้วว่าที่เกิดเหตุไม่ร่องรอยการต่อสู้ ประเด็นการลอบทำร้ายก็จะมีน้ำหนักน้อยกว่าปัญหาด้านสุขภาพ บางทีน้องชายคุณอาจจะไม่ได้บอกว่าเขา...”
“แล้วกี่วันผลชันสูตรถึงจะเรียบร้อย” อคิลลีสเริ่มไม่พอใจกับการทำงานของตำรวจสาว
“ไม่เกินสามวันค่ะ” เมแกนลอบถอนหายใจเพราะท่าทางที่ผู้ชายตรงหน้าแสดงออกมานี้ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่พึงพอใจกับการทำงานของเธอ “หรือคุณรู้ว่าคุณอเดเมียร์มีเรื่องบาดหมางกับใคร”
“เขาเป็นนักแสดงชื่อดัง มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละที่เรื่องร้ายๆ จะเกิดขึ้นเพราะความเกลียดหรือคลั่งไคล้ ซึ่งผมยอมรับว่าไม่รู้รายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของสุขภาพแล้วล่ะก็... มัน-เหลือ-เชื่อ”
ตำรวจสาวจ้องตาเขาไม่กะพริบ น้อยครั้งนักที่จะเห็นใครเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเช่นนี้ นี่สินะคือเสน่ห์ของมหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผู้ฉาวโฉ่อคิลลีส คูแรนท์!
“ก็อย่างที่คุณพูดนะคะ เขาเป็นดาราฮอลลีวูดชื่อดัง และเป็นน้องชายที่สนิทสนมกับคุณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดเผยชีวิตส่วนตัวให้คุณได้รับรู้ทุกเรื่องหรอก” เมแกนบอก
ผู้หญิงคนนี้กำลังท้าทายอารมณ์ของเขาอย่างไม่ถูกที่ถูกเวลา แต่อคิลลีสก็มีความอดทนมากพอและอดทนมากขึ้นเมื่อสัญชาตญาณของตนกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อย้ำเตือนให้ได้รู้ว่าการตายของน้องชายนั้นต้องมีเงื่อนงำ!
“อย่าเดินอ้อมโลกดีกว่าคุณตำรวจ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สนุกที่จะวิ่งไล่ต้อนผู้หญิงคนไหน”
คำพูดดังกล่าวทำให้เมแกนนึกอับอายที่ไปแบไต๋ให้จับได้ว่าเกิดความสนใจในตัวเขา ตำรวจสาวกะพริบตาถี่ๆ แล้วสั่งตัวเองให้เดินเลี่ยงไปอีกห้องหนึ่ง ไม่นานนักก็เดินกลับออกมาหยุดอยู่ตรงที่เดิมพร้อมกับผู้หญิงซึ่งอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน
“เด็กคนนี้ชื่อเมมฟีส เป็นลูกชายของอเดเมียร์”
ยิ่งดวงตาของอคิลลีสฉายแววไม่อยากเชื่อออกมามากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าหนูน้อยวัยหนึ่งขวบเศษจะรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นได้มากเท่านั้น ไม่นานนักจุกหลอกที่ดูดเอาไว้ในปากก็ร่วงหล่นเพราะเจ้าตัวแผดเสียงร้องไห้ออกมาโดยไม่มีสาเหตุ!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ