สงครามนางฟ้าชีวอาวุธ
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.57 น.
แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) หน่วยกำจัดมนุษย์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมองจากซากอารยธรรมแล้ว ที่นี่คือเขตอยู่อาศัยที่ 103 ไม่ผิดแน่
มันคือหนึ่งในพื้นที่ 103 แห่งที่ได้รับการยืนยันว่าสามารถใช้อยู่อาศัยได้ มันเคยเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนต่างใช้ชีวิตมีความสุขไม่ต่างจากเขตอยู่อาศัยแห่งอื่นๆ จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 2145 เขตอยู่อาศัยพร้อมกับประชากรอีกสองแสนชีวิตถูกลบหายไปโดยสมบูรณ์ ส่วนคนที่หนีเอาตัวรอดได้ทันก็ต้องย้ายไปอยู่ในเขตอยู่อาศัยที่ 101 แทน
เหตุการณ์ในวันนั้นถูกเรียกว่า “โศกนาฏกรรมครั้งแรก”
เพราะความเสียหายที่ยากแก่การฟื้นฟู เขคอยู่อาศัยที่ 103 จึงไม่มีผู้อยู่อาศัยอีกเลย แต่ในวันนี้กลับกลับพบมนุษย์อยู่ในเขตอยู่อาศัยแห่งนี้ แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเป็นคนที่มีพื้นเพในเขตอยู่อาศัยที่ 101 และคนรู้จักก็เพิ่งเห็นหน้าเขาครั้งสุดท้ายเมื่อ 10 นาทีก่อนนี่เอง
“ทำไมแสงสุทินถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ” ชิโอริสงสัยเป็นอย่างมาก เธอหันไปหาฮิโรมิที่มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน “หรือว่าเป็นแผนของเธอตั้งแต่แรก เธอร่วมมือกับสถานีวิจัย ตั้งใจจะกำจัดพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์นั้นสินะ”
“ไม่ใช่นะ ภารกิจของฉันมีแค่จับตาดูพวกเธอเท่านั้น ฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยนะ” ฮิโรมิตอบเสียงตื่น
“คิดไว้แล้วเชียว” ฮานามิมองชิโอริด้วยสายตาเอือมระอา “หยุดแกล้งกันสักที เธอก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“เกลียดเวลาที่มีคนมาขัดอารมณ์จริงๆ” ชิโอริผละจากฮิโรมิ “หลังจากนี้จะทำยังไงต่อ ถ้าพวกเราโจมตี ผู้รุกรานจากอวกาศต้องอาละวาดจนทำลายตึกนั้นแน่ ยิ่งเป็นเธอยิ่งแล้วใหญ่ พลังของเธอทำลายพื้นที่รอบๆ ไปด้วยแน่ มีแผนการจะทำยังไงดีเหรอ คุณผู้บัญชาการเซย์ริ”
มาโดกะทำสีหน้าเครียดจัด ท่าทางเธอจะคิดกลยุทธ์ด้วยกำลังคนแค่นี้ไม่ได้จริงๆ
“ถ้าเป็นฉันกับฮิโรมิที่จำกัดความเสียหายในวงแคบที่สุดก็จะเข้าไปดึงดูดความสนใจได้ แล้วให้ใครสักคนหนึ่งเข้าไปช่วยมนุษย์ที่ติดค้างอยู่ออกมา คุณฮานามิก็จะโจมตีต่อได้ แต่มันเฝ้าตึกหลังนั้นเอาไว้เลย คงเข้าไปล่อไม่ได้แน่ค่ะ”
เซย์ริทุกคนมองตามไปยังผู้รุกรานจากอวกาศที่ถูกอัลฟ่าเชสเซอร์ล้อมเอาไว้อยู่ บาดแผลของมันได้รับการฟื้นฟูจนหายสนิทแล้ว มันคงจะโกรธแค้นศัตรูที่ทำร้ายมันและเตรียมจะบุกเข้าหาฝูงเครื่องบินรบ ทันทีที่มันก้าวเท้า เครื่องบินทุกลำก็เตรียมทำการโจมตี เมื่อมันเห็นดังนั้นก็เริ่มถอยกลับไป แล้วการโจมตีก็หยุดลง เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนมันเริ่มคิดได้แล้วว่า ถ้ามันไม่ก้าวไปจากตรงนั้นก็จะไม่มีใครทำอันตรายมัน แล้วเริ่มพ่นลำแสงใส่ฝูงเครื่องบินรบ
“มันเริ่มโจมตีแล้วค่ะ อัลฟ่าเชสเซอร์ไม่ทำการตอบโต้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้…”
“มันจะอาละวาดอีกครั้ง” มาโดกะกัดฟันแน่น “จะทางไหนก็ไม่มีเวลาแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันจะเข้าไปเอง จนกว่าฉันจะกลับมาพร้อมกับมนุษย์คนนั้น ห้ามใครโจมตีโดยพลการเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น”
มาโดกะพูดทิ้งท้ายแล้วเร่งความเร็วเข้าหาผู้รุกรานจากอวกาศ ใช้ดาบฟันไปตามเกล็ดแข็งทั่วร่างกายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่มันได้รู้แล้วว่าเทอร์รารอยด์ทำอะไรมันไม่ได้จึงไม่สนใจเธอ แล้วโจมตีอัลฟ่าเชสเซอร์ต่อไป เธอจึงถอยไปตั้งหลักที่อาคารฝั่งตรงข้ามกับอาคารที่ชายหนุ่มหมดสติอยู่ จากที่เธอเห็น ไม่มีร่องรอยการทำร้ายร่างกายให้เห็นเลย และใบหน้าของเขาก็คุ้นตาเธอ
นั่นคือมนุษย์ที่ตกค้างอยู่ในเขตอยู่อาศัยที่ 101 ในการต่อสู้ครั้งก่อน
เธอมองต่อไปยังอัลฟ่าเชสเซอร์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นมาอีกหนึ่งลำ ในการต่อสู้บางครั้งก็จะมีเครื่องบินรบเพิ่มจำนวนขึ้นมาเอง ทั้งที่ไม่เห็นเครื่องบินลำนั้นเดินทางมาจากสถานีวิจัยเลย และในทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น จะต้องมีรายงานการเสียชีวิตของมนุษย์ที่ตกค้างอยู่ในการต่อสู้กับผู้รุกรานจากอวกาศ แต่พวกเธอกลับไม่ได้รับโทษในเรื่องนั้น
“เป็นอย่างนี้เองสินะ ทำไมพวกคุณถึงทำเรื่องอย่างนี้ได้ลงคอ”
มาโดกะข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แล้วฟันใส่ปลายจมูกของผู้รุกรานจากอวกาศ เฉือนเนื้อส่วนหนึ่งออกมาได้ มันส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด ความสนใจถูกเบนมาที่เธอ มาโดกะหนีคิดจะกลับไปตั้งหลักอีกครั้ง
แต่ในคราวนี้ มันไม่ยอมให้เธอทำอย่างนั้นอีกแล้ว
“อย่างนี้ก็ได้เสียสิ” มาโดกะยิ้มให้กับท่าทางโกรธขึงของอีกฝ่าย เธอรวมพลังใส่ลงไปในดาบเพื่อเตรียมฟัน ทั้งที่ระยะห่างของเธออยู่ไกลเกินระยะฟันของดาบ แต่ในระหว่างนั้น ฮิโรมิก็ฉวยโอกาสลอบเข้าไปใกล้อาคารที่แสงสุทินนอนอยู่ จนอยู่ห่างกันแค่หนึ่งช่วงตึก แต่แล้ว ดวงตาของผู้รุกรานจากอวกาศก็เหลือบมองที่เธอ คงเพราะสัญชาตญาณระวังภัย ลำแสงจึงถูกพ่นใส่เธอในระยะประชิด
ภาพตรงหน้าฮิโรมิกลายเป็นแสงสีฟ้า เธอมองเห็นความตายรออยู่เบื้องหลังแสงสว่างนั้น
“ไม่ยอมตายหรอกน่า!” เธอร้องสุดเสียง แล้วสร้างม่านป้องกันขึ้นรับการโจมตีเอาไว้
ม่านป้องกันของเทอร์รารอยด์แข็งแรงกว่าแองเจลอยด์ ประกอบกับการโจมตีของผู้รุกรานจาดอวกาศตัวนี้เบากว่าตัวก่อนทำให้เธอต้านทานเอาไว้ได้ แต่ม่านป้องกันเริ่มมีรอยร้าวลามขึ้นไปถึงขอบ มันน่าจะแตกในอีกไม่นาน ส่วนผู้รุกรานจากอวกาศก็พ่นลำแสงไม่หยุด คงเพราะเห็นว่าการโจมตีของมันถูกต้านเอาไว้อยู่
แต่ถ้าฮิโรมิหลบหนีออกมา พลังป้องกันของม่านป้องกันจะลดลง แล้วเธอก็จะถูกฆ่าตายทันที
“ทำอะไรของเธอ” มาโดกะจ้องตาค้าง แล้วจัดความคิดเสียใหม่ “ทนเอาไว้นะ ฉันจะเข้าไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ”
เธอเก็บดาบแสงแล้วมุ่งตรงไปยังอาคารเจ้าปัญหา แต่เกล็ดของผู้รุกรานจากอวกาศก็ฟูขึ้นมาคล้ายกับหอกแหลมที่ใช้ป้องกันตัว นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่มันใช้พลังเต็มที่ มาโดกะอยู่ใกล้เกินไปจนเปลี่ยนเส้นทางไม่ทัน แต่ก็เกิดแรงเหวี่ยงเปลี่ยนเส้นทางให้เธอพ้นจากความตายมาได้ เป็นฮานามิที่เข้ามาช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน แต่ชุดเกราะส่วนเอวโดนเกี่ยวจนหลุดพร้อมกับชุดเดรสส่วนหนึ่ง ขวดแก้วที่พกติดตัวมาด้วยหล่นใส่เกล็ดแข็งจนแตก ผงสีฟ้าโปรยไปทั่วผิวหนังของมัน
วินาทีนั้น ผิวหนังส่วนที่สัมผัสกับผงสีฟ้าก็เรืองแสงสีน้ำตาลเหลือง ก่อนจะสลายเป็นไอ เผยให้เห็นเนื้อข้างใต้ที่มองเห็นไปถึงเส้นเลือดสีเขียว บาดแผลที่เกิดขึ้นไม่ถูกฟื้นฟูเป็นปกติ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน
ฮานามิมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสงสัย แล้วหันไปหาฮิโรมิที่ยังต้านทานลำแสงอยู่กับที่
ม่านป้องกันของฮิโรมิร้าวไปกว่าครึ่ง ฝุ่นทรายบริเวณนั้นถูกลมพัดปลิวไปหมดแล้ว ชีวิตของเธอก็น่าจะปลิวตามไปในไม่ช้า เธอหวังว่าผู้รุกรานจากอวกาศจะถูกกำจัดได้ในเร็วๆ นี้ หรือไม่ก็แค่ช่วยแสงสุทินไปให้ได้ก็พอ แต่แพนเกล็ดก็กีดขวางพวกเซย์ริจนเข้าไปให้ความช่วยเหลือไม่ได้ ในขณะที่รอยร้าวยังขยายตัวไม่หยุด
“รีบตัดสินใจเข้าเถอะ ฮิโรมิจะไม่ไหวแล้วนะ” ชิโอริลนลาน การโจมตีของเธอทำอะไรศัตรูไม่ได้เลยสักนิด “เธอเก่งมากไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำอะไรเข้าสิ ไม่อย่างนั้น ทั้งสองคนนั้นตายแน่” เธอพูดประโยคหลังอย่างลำบากใจ
“ฉันก็กำลังคิดอยู่ แต่ว่า…” ฮานามิทำสีหน้าเครียด การโจมตีของเธอมีรัศมีระเบิดกว้างเกินไป
“จะทำอะไรก็ทำเถอะ อยากให้มีเซย์ริต้องตายเพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือไง ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ”
ฮานามิหูผึ่งกับคำพูดนั้น เธอมองไปที่ฮิโรมิสลับกับแสงสุทิน ก่อนจะกลืนน้ำลายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“จะทำอะไรก็ทำ อย่างนั้นสินะ” ฮานามิเข้าไปอยู่ข้างหลังฮิโรมิ เส้นผมของเธอปลิวไหวจากแรงลม เธอยกมือขวาขึ้นลู่ลม “ถ้าเป็นตรงนี้ ฉันดันผู้รุกรานจากอวกาศไปจนพ้นรัศมีระเบิดได้แน่ หลีกทางให้หน่อยสิ” ก่อนที่ฝ่ามือจะเปล่งแสงสีน้ำเงิน เธอเล็งเป้าโจมตีไปยังม่านป้องกันที่แตกร้าว ซึ่งอยู่ถัดจากฮิโรมิที่ไม่ขยับเขยื้อน
ต่อหน้าเซย์ริทุกคนที่เริ่มร้องห้าม ก็เพราะว่าฮิโรมิอยู่ในแนวการโจมตีของเธอ แต่ฮานามิก็ไม่สนใจ
เธอเร่งพลังเข้าไปในมือขวาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะจัดการกับศัตรูให้ได้ในทีเดียว
ฮิโรมิเองก็เช่นกัน เธอเร่งพลังใส่เข้าไปในม่านป้องกันให้ได้มากที่สุด เพื่อยื้อเวลาให้ผู้รุกรานจากอวกาศสนใจเธอให้ได้นานที่สุด แต่แล้ว ความรู้สึกแปลกปลอมก็เกิดขึ้นกับเธอ
เสียงรอบข้างเบาลงจนไม่ได้ยิน ฮิโรมิเริ่มรู้สึกว่าแรงดันจากม่านป้องกันเริ่มลดลงจนไม่รู้สึก เหมือนกับว่าตัวเธอกำลังล่องลอยอยู่ที่ไหนสักแห่ง ทั้งที่ภาพตรงหน้ายังเป็นกระจกแก้วสีแดงทับซ้อนแสงสีฟ้าอยู่เลย แล้วมือทั้งสองก็ขยับได้อย่างอิสระ ขาทั้งสองจะก้าวไปที่ไหนก็ได้ ทั้งที่ยังโดนแรงกดดันจนขยับตัวไม่ได้อยู่เหมือนเดิม
แล้วเธอก็ได้ยินเสียง ถึงจะไม่ดังนัก แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เสียงนั้นพูดว่า
…จากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง เธอกลับไปพักผ่อนเถอะนะ…
ฮิโรมิจำเจ้าของเสียงนั้นได้ดี เธอเคยได้ยินเสียงนี้จนชินหูไปแล้ว ตั้งแต่ที่เกิดมาเลยก็ว่าได้
แต่คำพูดที่ฮิโรมิตอบกลับไปไม่มีใครได้ยิน แม้แต่ฮานามิที่อยู่ข้างหลังเธอ นั่นเป็นเพราะ…
ฮิโรมิเลื่อนมือขวาลง นั่นทำให้พลังของม่านป้องกันลดลง แต่เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว เธอเกร็งแขนซ้ายที่ยื่นไปข้างหน้าจนเห็นกล้ามเนื้อเล็กๆ ฮานามิที่เพ่งมองอยู่รู้สึกว่าสีผมของเธอกลายเป็นสีแดงสว่าง ทันใดนั้น เกราะแขนซ้ายก็มีเส้นสีแดงงอกขึ้นมาเป็นแฉกตั้งฉากกับเรียวแขน และมือขวาก็เลื่อนไปสอดข้างใต้แขนซ้าย คล้ายกับท่ายิงธนู
กระทั่งเสียงของฮิโรมิในครั้งนี้ก็ค่อนข้างสุขุมขึ้น เหมือนกับไม่ใช่ตัวเธอตามปกติ
“ฉันรู้ดีว่าเอาชนะแกไม่ได้ แต่อย่างน้อย นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันพอทำได้ในตอนนี้”
ฮิโรมิง้างแขนขวาจนสุด เส้นสีแดงที่เกราะแขนซ้ายเปล่งแสงจ้า แล้วในชั่วพริบตาหลังจากนั้น
“หลบไปซะ! ฉันยังไม่อยากเห็นเธอตายหรอกนะ”
ชิโอริกระโจนเข้าคว้าตัวฮิโรมิจนพ้นจากลำแสง เป็นจังหวะให้ฮานามิโจมตีได้โดยไม่ต้องกังวลอีกต่อไป แล้วนั่นคือพริบตาที่เซย์ริและมนุษย์ได้เห็นถึงความแตกต่างของพลังที่ไม่อาจเอื้อมถึง มือขวาที่เปล่งแสงฟันกลับลงมา พลังที่สะสมระเบิดเป็นลำแสงสีน้ำเงินทำลายม่านป้องกันเข้าไปปะทะกับลำแสงของผู้รุกรานจากอวกาศ แต่ไม่ใช่การปะทะที่ทัดเทียมกัน ฮานามิเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าอย่างมาก พลังของฮานามิดันกลับไปจนเข้าถึงตัวฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว
แล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ศีรษะของผู้รุกรานจากอวกาศหายไปเหลือแต่ลำคอ ร่างกายอันสูงใหญ่ล้มไม่ไหวติง เธอโจมตีซ้ำเข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีเสียงร้องเลยสักแอะ มันตายสนิทไปแล้ว แต่ไม่ได้จบลงแค่นั้น แรงอัดอากาศจากการโจมตีแผ่ขยายไปไกล สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในรัศมีถล่มลงมาเหมือนทรายถูกน้ำซัด ทัศนวิสัยปกคลุมไปด้วยฝุ่นจนมองไม่เห็นพื้นดิน รวมถึงอาคารที่แสงสุทินหมดสติอยู่ซึ่งอยู่ใกล้กับการต่อสู้ที่สุด พวกชิโอริเห็นมันพังถล่มต่อหน้า
“ไม่จริงใช่ไหม” ฮิโรมิอึ้งไปชั่วขณะ เธอพยายามแกะมือที่จับเธออยู่ มือขวาของชิโอริไม่ยอมขยับเลย และมีเสียงร้องดังขึ้นทุกครั้งที่เธอขยับมัน แต่กว่าจะหลุดออกมาได้ สิ่งก่อสร้างก็พังลงมาทั้งหลังแล้ว “ไม่จริง… มนุษย์ไม่มีทางรอดจากเรื่องอย่างนี้ได้แน่ ไม่จริงใช่ไหม…”
“เขาปลอดภัยดี” เสียงของมาโดกะดังขึ้น แล้วชายหนุ่มที่หมดสติก็ถูกโยนให้กับฮิโรมิที่กำลังเสียขวัญ “ระหว่างที่ยังไม่มีใครเห็น รีบพามนุษย์คนนี้หนีไปให้เร็วที่สุดเลยนะ จริงด้วยสิ ฉันถือโอกาสฝากเรื่องนี้ไปบอกคุณชิโอริด้วยได้ไหม” เธอเข้าไปกระซิบข้างใบหูของฮิโรมิ “รายงานผู้เสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งก่อน ในนั้นมีรายชื่อทั้งหมด 7 คน”
“ว่าไงนะ ไม่สิ เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง ฝากเธอด้วยนะ” ฮิโรมิไม่อยากคิดเรื่องอื่นให้เสียเวลา เธอสะกิดชิโอริให้รู้ตัวแล้วเดินทางไปยังเขตอยู่อาศัยที่ 101 ด้วยความเร็วสูงสุด ส่วนฮานามิเฝ้ามองผู้รุกรานจากอวกาศที่เพิ่งกำจัดไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะรีบตามกลับไปทีหลัง
“สี่ครั้งเลยเหรอ ถึงสองครั้งในนั้นจะไม่ได้เอาจริงก็เถอะ”
พวกเธอทั้งสามคนกลับไปถึงเขตอยู่อาศัยที่ 101 โดยไม่มีใครไล่ตามมา เมื่อกลับไปถึงแล้ว ฮิโรมิก็รีบพาแสงสุทินไปส่งที่โรงพยาบาล เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยการบาดเจ็บระหว่างที่ตึกถล่ม โชคดีผิดคาดที่ทางโรงพยาบาลไม่ได้สอบถามอะไรมากนัก แล้วแสงสุทินก็ฟื้นขึ้นมาในอีกครึ่งวันหลังจากนั้น
ทันทีที่เขาลืมตา ฮิโรมิก็เข้ามาดูอาการเป็นคนแรก ตามด้วยชิโอริซึ่งเข้าเฝือกตรงแขนขวาที่หักในขณะที่ช่วยฮิโรมิออกมา สุดท้ายคือ ฮานามิที่คุยกับนายแพทย์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา แต่เธอก็เก่งเหลือเชื่อที่พูดโกหกเกี่ยวกับสาเหตุการบาดเจ็บให้นายแพทย์ปักใจเชื่อได้
“ฉันคุยให้แล้วนะ ตอนนี้ปล่อยให้เขานอนพักไปก่อน… อ้าว ตื่นแล้วเหรอ ขอโทษที่รบกวนเวลานอนของเธอนะ” ฮานามิปรับสีหน้าตามคำพูด แต่แสงสุทินไม่ได้สังเกต คงเพราะภายในหัวยังมึนจนคิดอะไรไม่ไหว ลำคอก็แห้งผากไปหมด
“ฉันมาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง แล้วทำไมพวกเธอถึงมีแผลเต็มตัวได้ล่ะ” แสงสุทินรู้สึกแปลกใจกับสภาพในห้องพักผู้ป่วย ทั้งที่ก่อนที่จะหมดสติไป เขากำลังเตรียมตัวจะเข้าไปในเขตอยู่อาศัยที่ 101 จำได้ว่าหลังจากที่พวกฮานามิออกไปแล้ว เขาก็เดินไปใส่รองเท้า กำลังจะเข้าไปในเมือง แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่เข้ามาตรงหน้า แล้วทั้งตัวก็รู้สึกชาไปหมด
“ฉันไม่ควรพูดเรื่องนี้ แต่มันจำเป็นต้องพูด” ชิโอริที่ได้ฟังเรื่องจากฮิโรมิแล้วทำปากขมุบขมิบ
“นั่นสินะ แต่มันจะดีเหรอ สถานีวิจัยอาจจะจับตามองอยู่ก็ได้” ฮิโรมิกระซิบตอบ
แสงสุทินได้ยินทุกคำพูดที่พวกเธอคุยกัน แค่กำลังมึนงงจนไม่อยากสนใจเท่านั้น เขารู้สึกว่ามีคนเอื้อมมือมาจับไหล่ขวา แล้วโน้มตัวจนริมฝีปากขยับเข้ามาใกล้ใบหูของเขา เธอคนนั้นมีเส้นผมสีน้ำเงินแก่ “หลังจากที่พวกเราออกเดินทาง เธอถูกพาตัวไปยังสถานที่ที่ผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัว ถึงจะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย แต่ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้วล่ะ”
เธอกระซิบบอกกับเขา ความอ่อนเพลียหายไปสิ้น แสงสุทินเบิกตาโพลงแล้วสะดุ้งเฮือก ทำเสียงแตกตื่นจนฮานามิต้องอุดปากเอาไว้จนกว่าจะสงบลง ทันทีที่เธอปล่อยมือจากปาก เขาก็ก้มมองผ้าพันแผลที่มีเลือดซึมมาถึงผ้าด้านนอก แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่ทั้งชิโอริและฮิโรมิกำลังแตกตื่นแทนเขาอยู่
“เอาอีกแล้วเหรอ ฉันต้องเจอเรื่องอย่างนี้สักกี่รอบกัน” แสงสุทินพูดอย่างอ่อนแรง
“เดี๋ยวก่อนสิ เล่าให้ฟังเลยเหรอ” ชิโอริกระแทกเสียง “ก่อนหน้านั้น เรื่องที่แสงสุทินจะถูกพาตัวไปทันทีที่พวกเราออกไปต่อสู้ จังหวะมันพอดีกันขนาดนั้นได้ยังไง ถ้าจะบอกว่ารอโอกาสที่จะเข้ามาจับตัวตั้งแต่แรก มันก็ทรหดเกินไปนะ บ้านของฉันตั้งอยู่นอกเขตอยู่อาศัย พวกเขาคงทนสภาพที่ไม่มีอะไรกินนอกจากผลไม้กับน้ำในลำธารเล็กๆ ไม่ได้หรอก แต่ถ้าพวกนั้นประสานงานกับคนอื่นเอาไว้ก่อน มันก็พอกำหนดจังหวะได้อยู่นะ”
ชิโอริเหลียวมองฮิโรมิ เส้นผมของเธอกลับมาเป็นสีแดงเข้มเหมือนเลือด เธอส่ายหน้าแก้ตัวสุดกำลัง
“ไม่ใช่นะ หน้าที่ของฉันก็แค่รายงานความเคลื่อนไหวของพวกเธอเท่านั้น แล้วการรายงานหนึ่งครั้งต่อวัน แถมนั่นยังเป็นครั้งแรก มันจะทำให้รู้ไปถึงกิจวัตรได้ยังไง แล้วถึงจะรู้จักหน้าตา แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ไปถึงที่อยู่สักหน่อย ยิ่งในวันที่ฉันบุกไปจับตัวชิโอริ ฉันก็ถูกส่งไปรักษา แล้วก็เพิ่งถูกส่งมาที่นี่เมื่อวานนี้ ฉันยังไม่ได้รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ”
“เธอก็รู้ใช่ไหม อย่างน้อยก็น่าจะสงสัยอยู่บ้างนะ” ฮานามิหันไปถามชิโอริ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ากลับมา เธอก็หันกลับไปพูดกับฮิโรมิด้วยสายตาเครียด “ถ้าฉันเดาไม่ผิด สาเหตุที่ทำให้สถานีวิจัยตามตัวเจอก็น่าจะเป็นเธอนี่แหละ”
“หมายความว่ายังไงกัน” ฮิโรมิเริ่มรู้สึกเบาหวิวขึ้นมาในใจ
ฮานามิชี้ท่อนขาที่มีรอยช้ำสีน้ำตาลจางๆ ของฮิโรมิ “เธอได้บาดแผลนั้นจากการต่อสู้ใช่ไหม ตามปกติแล้ว ถ้าพวกเราถูกส่งตัวไปรักษา บาดแผลทั้งหมดก็น่าจะฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ ถึงกระดูกจะแตกละเอียดก็เถอะ แต่นี่ยังมีรอยช้ำเหลืออยู่เลย แปลว่าการรักษายังไม่เสร็จสมบูรณ์ แล้วหลังจากที่การรักษาเสร็จสิ้นก็ไม่ได้ถามเรื่องภารกิจด้วย คิดว่าเพราะอะไรกันล่ะ”
ฮิโรมิไม่เข้าใจในสิ่งที่ฮานามิพูด แต่ชิโอริก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นรอยช้ำอยู่ที่ขาของเธอ ขณะที่สิ่งเดียวที่เธอเข้าใจก็คือ ร่องรอยนี้ยังคงอยู่ทั้งที่วิวัฒนาการแล้ว มันคงไม่หายไปต่อให้กลับไปรักษาอีกรอบ
“แล้วมันเพราะอะไรเหรอ” แสงสุทินขี้เกียจใช้ความคิดตามจึงถามขึ้นมา
“สรุปง่ายๆ ก็คือ การรักษาก็แค่บังตาเท่านั้น ความจริงแล้ว การส่งเธอไปรักษาก็เพื่ออาศัยระบบของมันที่จะตรึงไม่ให้เธอขยับไปไหนได้ แล้วค่อยล้วงข้อมูลที่เธอรู้ด้วยเครื่องอ่านความคิด สถานีวิจัยรู้ที่อยู่และหน้าตาของเขาก็เพราะเธอ ส่วนขาที่เสียหายถูกฟื้นฟูจนมีสภาพเกือบเป็นปกติก็แค่เรื่องบังเอิญ ถ้าคิดว่าใช้เครื่องอ่านความคิดแล้วรักษาต่อโดยใช้เวลาทั้งหมดแค่ครึ่งวัน ขาของเธอไม่น่าฟื้นฟูได้เลยด้วยซ้ำ”
“หมายความว่ายังไงเหรอ ฉันไม่ได้ฉลาดจนรู้ไปหมดทุกอย่างหรอกนะ” ฮิโรมิเครียด
“พูดให้เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ สถานีวิจัยใช้ข้อมูลที่ได้จากความทรงจำของเธอในการระบุตัวมนุษย์คนนี้ แล้วเข้ามาจับกุมพยานรู้เห็นการต่อสู้โดยอาศัยความร่วมมือของหน่วยกำจัดมนุษย์ เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”
“หน่วยกำจัดมนุษย์…” แสงสุทินทวนชื่อที่ได้ยิน แล้วกำลังจะถามซ้ำ
“เหตุผลที่ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเราให้ฟังก็เพราะอย่างนี้ไง” ฮานามิตอบ “ตอนนั้นฉันไม่อยากให้เธอฟัง เธอไม่ใช่คนแรกที่ตกค้างอยู่ในตอนที่ผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวหรอกนะ เคยเกิดขึ้นเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งที่พวกเขาได้รับการช่วยชีวิต พวกเขาทุกคนก็จะหายสาปสูญไปภายในหนึ่งสัปดาห์ ไม่เกินช่วงที่ผู้รุกรานจากอวกาศตัวใหม่ปรากฏตัวขึ้น คิดว่าเป็นฝีมือของหน่วยกำจัดมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปทั้งหมด”
ถึงช่วงนี้ แสงสุทินก็กลืนน้ำลายเสียงดัง เขารู้สึกเหมือนกับว่าเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องราวที่น่ากลัวเข้าแล้ว
“ขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ตลกแล้วนะเนี่ย” แสงสุทินหัวเราะกลบเกลื่อนความกลัว “มีหน่วยงานน่ากลัวขนาดนั้นอยู่ด้วยเหรอ แล้วไม่มีใครทำอะไรกับเรื่องนี้เลยเหรอ ในเมื่อน่าจะมีคนที่หายตัวไปอย่างลึกลับไปตั้งมากมายแล้วแท้ๆ”
“ในมุมมองของนายก็คงใช่ แต่สำหรับสถานีวิจัย มันเป็นเรื่องปกติ” ชิโอริพูด “เพราะว่าหน่วยกำจัดมนุษย์ขึ้นตรงกับสถานีวิจัย ฉันเคยได้ยินตอนที่ยังทำงานอยู่ รู้สึกว่างานเบื้องหลังที่ไม่ค่อยดีนัก หน่วยกำจัดมนุษย์จะทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อป้องกันภาพลักษณ์เสียหาย แต่มันง่ายกว่าถ้าปล่อยให้หน่วยกำจัดมนุษย์เป็นคนจัดการ”
“คงสงสัยสินะ ทำไมถึงต้องมีหน่วยงานที่น่ากลัวขนาดนั้นด้วย” ฮานามิกระซิบ เธอหันมองซ้ายขวาเหมือนระวังไม่ให้มีใครแอบฟัง “ก็เพื่อรักษาความเรียบร้อยของโลก ก่อนหน้านี้มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่สิ จนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ยังเป็นหน่วยงานสีดำที่ทำงานอย่างใสสะอาดมาตลอดร้อยกว่าปีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
“หน่วยงานสีดำ… ที่ทำงานอย่างใสสะอาด” แสงสุทินทวนให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด
“มันไม่ใช่หน่วยงานลับหรอกนะ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทั้งนั้น” ชิโอริชี้ให้ดูปุ่มสีเหลืองที่อยู่ด้านล่างเครื่องหมาย # ของโทรศัพท์ในห้องพักผู้ป่วย “ถ้ากดปุ่มนี้ มันจะเป็นการต่อสายโดยตรงถึงหน่วยกำจัดมนุษย์ ไม่ว่าใครก็กดมันได้ทั้งนั้น พวกเขารับงานคล้ายกับตำรวจ แต่จะมีอำนาจพิพากษาความผิดได้ทันที แต่ว่า วิธีการลงโทษมันโหดเกินไป…”
“เรื่องเขตอยู่อาศัยที่ 102 ก็เป็นฝีมือของหน่วยกำจัดมนุษย์ ไม่อย่างนั้น ตั้งแต่เขตนั้นไปถึงเขตที่ 81 คงวุ่นวายน่าดู” ฮานามิกล่าวเสริม แล้วกลับไปพูดด้วยเสียงปกติ “โดยรวมก็ประมาณนี้ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็จะเล่าให้ฟังที่บ้านของชิโอรินะ ถ้าเล่าที่นี่คงจะไม่ดีเท่าไหร่ ถึงต่อให้พูดในที่ๆ มีคนมากกว่านี้ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้วก็เถอะ”
พูดถึงเขตอยู่อาศัยที่ 102 มันเป็นเขตอยู่อาศัยที่ถูกทำลายไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนผู้รุกรานจากอวกาศจะปรากฏตัวเสียอีก สาเหตุที่ได้เรียนมา จำได้ว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย ซึ่งขบวนการนั้นถูกล้างบางจนหมดสิ้นในปี 2075
เรื่องน่ากลัวที่ได้ยินทำให้สติของเขาฝ่อไปหมด สีหน้าของเขาทำให้บรรยากาศในห้องพักผู้ป่วยดิ่งลงเหว จนชิโอริต้องพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“แต่ว่านะ… หน่วยกำจัดมนุษย์ไม่ได้เดินอยู่ข้างนอกเหมือนคนทั่วไปหรอก พวกเขาก็คล้ายกับสถานีวิจัยที่ซ่อนตัวจนมิดชิด ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าใครบ้างที่ทำงานในหน่วยงานนี้ ต่อให้เป็นคนในครอบครัวก็เถอะ ไม่มีทางเคลื่อนไหวให้เป็นที่สังเกตหรอก แล้วถ้าพวกเขาจะจับตัวนายอีกครั้ง แปลว่าพวกเขากำลังจะมีเรื่องกับเซย์ริถึงสองคนเชียวนะ”
“สถานีวิจัยไม่อยากมีเรื่องกับฉันหรอก รีบฟื้นตัวแล้วกลับไปที่บ้านของชิโอริกันเถอะ” ฮานามิพูด
คำปลอบของทั้งสองคนไม่ได้ช่วยให้แสงสุทินรู้สึกดีขึ้นมาเลย ฮิโรมิมีท่าทางแปลกไป เธอย้ายไปนั่งที่โซฟาข้างเตียงผู้ป่วย ก้มหน้าประสานมือเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจที่อยากพูด
“เพราะฉันสินะ” อาจเป็นเพราะแสงอาทิตย์จ้าขึ้น เส้นผมของฮิโรมิจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงสว่างสลับกับสีแดงเข้ม เธอรีบเงยหน้าขึ้นมาราวกับไม่อยากให้ใครเห็นท่าทางอ่อนแอมากไปกว่านี้ “จริงด้วยสิ ตอนที่พานายกลับมา มาโดกะสัญญาว่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้ แล้วในตอนนั้นคงไม่มีใครรู้ว่านายเป็นยังไงบ้าง ถ้าฉันรายงานไปว่านายหายตัวไป สถานีวิจัยก็คงเชื่อว่านายตายไปแล้ว ฉันจะจัดการให้เดี๋ยวนี้ล่ะ”
เส้นผมของฮิโรมิกลับมาเป็นสีแดงเข้ม เธอคว้าหูฟังที่ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสวมหู แล้วรีบเปิดหน้าต่างบินกลับไปที่บ้านของชิโอริในทันที แล้วเธอก็กลับมาในครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น แต่แสงสุทินก็ไม่อยู่ในห้อง นายแพทย์กำลังพาเขาไปตรวจอาการหลังการรักษาและลงบันทึกประวัติผู้ป่วย นายแพทย์ที่ดูแลเขาเมื่อหนึ่งเดือนก่อนจำเรื่องที่เคยเกิดขึ้นได้จึงพากลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย แล้วนำเอกสารนอกเขตอยู่อาศัยโดยกำเนิดให้เขาเซ็น จากนั้นจึงปล่อยให้พักจนถึงเวลาอาหารเย็น
“เรียบร้อยแล้วสินะ” ชิโอริถามทันทีที่เห็นฮิโรมิ แต่เธอก็รู้คำตอบจากสีหน้าโล่งอกของอีกฝ่าย
“ฉันรายงานเสร็จแล้ว ดูเหมือนว่าสถานีวิจัยไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแสงสุทินเลย พอฉันรายงานว่าหายตัวไป ทางนั้นก็ไม่ตอบอะไรกลับมาอีกเลย คงจะไม่ต้องห่วงไปอีกสักระยะแล้วล่ะ” ฮิโรมิถอนหายใจ คำตอบนั้นทำให้แสงสุทินหายใจทั่วท้องเป็นครั้งแรก เขาจึงสามารถหลับตานอนได้อย่างสงบสักที
“ทำไมสวัสดิการรักษาไม่คุ้มครองเธอล่ะ” ฮานามิกลับมาในห้องหลังจัดการเรื่องสวัสดิการให้แสงสุทินเสร็จสิ้น “เธอมาจากที่ไหนเหรอ สวัสดิการรักษาของเขตอยู่อาศัยนี้ถึงไม่คุ้มครองเธอ ตอนที่ฉันไปสืบค้นประวัติก็ไม่เจอชื่อของเธอเลยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นคนที่มีชีวิตรอดอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่า ก็แปลว่าเรื่องที่เธอมาจากอนาคตก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ”
ชิโอริหันไปเตือนให้เธอหยุดรบกวนเวลานอนของเขา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟังเลย ไหล่เสื้อของแสงสุทินถูกเขย่าจนต้องลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นเช่นนั้น ฮานามิก็ขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าของเธอกับเขาแทบจะชิดกัน
“ถ้าเธอมาจากอนาคตจริงตามที่พูด ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมว่าในอนาคตมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พวกเราชนะผู้รุกรานจากอวกาศได้ใช่ไหม หรือว่าการต่อสู้ยังมีต่อไปจนถึงยุคของเธอ แล้วเหตุผลที่เธอมาที่นี่ก็เพื่อเก็บข้อมูล หรืออะไรพวกนี้สินะ”
“หยุดรบกวนแสงสุทินสักที” ชิโอริคว้ามือข้างหนึ่งของฮานามิ แล้วเหวี่ยงจนเซถลา “คนเจ็บต้องการเวลาพักผ่อนนะ แล้วเขาก็เพิ่งจะเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาเมื่อเช้านี้เอง ถ้าอยากจะคุยก็เอาไว้หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วสิ”
“ก็ฉันอยากรู้” ฮานามิเปลี่ยนไปยืนเท้าเอว “ถึงจะไม่ต้องห่วงเรื่องสถานีวิจัยหรือหน่วยกำจัดมนุษย์ แต่ก็ยังยืนยันไม่ได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกจริงไหม ระหว่างที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็อยากรู้เรื่องที่มนุษย์คนนี้รู้ให้ได้มากที่สุด เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา สิ่งที่รู้ก็จะไม่ถูกลบหายไปพร้อมกับตัวเขาด้วยน่ะ”
“เธออยากรู้จริงๆ เหรอ เรื่องที่โลกในอีก 27 ปีข้างหน้า” ชิโอริหันกลับไปมองแสงสุทิน แล้วพูดต่ออย่างลำบากใจ “…มันถูกทำลายไปแล้ว มนุษย์แพ้ให้กับพวกมัน เซย์ริกับมนุษย์เกือบทั้งหมดจะต้องตายภายในปีนี้ แล้วก็ถึงคราวของมนุษย์ที่เหลือในอีก 27 ปีให้หลัง แต่เหตุผลที่แสงสุทินมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อแก้ไขอดีตหรอกนะ เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาที่นี่ได้ยังไง”
ชิโอริไม่รู้สึกตัวว่าพูดมากเกินไป เมื่อเธอได้ยินเสียงของฮิโรมิก็หันตามไป แสงสุทินที่พยายามข่มตานอนมีน้ำตาไหลเอ่อจากเปลือกตาที่ปิดแน่น เขากำมือขวาแน่นด้วยความเจ็บใจ พอฮานามิเห็นเช่นนั้นจึงเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องโกหก
“ขอโทษนะ ฉันขอโทษ” นี่เป็นคำพูดของแสงสุทิน เขาเอ่ยคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเสียงสะอื้น “ถึงจะไม่รู้ว่ากำลังขอโทษใครอยู่ แต่ขอโทษนะ… ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง ขอโทษจริงๆ นะ”
“อย่างนี้เองเหรอ ขอโทษที่ฉันทำหน้าที่ตัวเองได้ไม่ดีนะ” ฮานามิหันหลังให้กับเตียง แล้วเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วยโดยไม่ย้อนกลับมาอีกเลย ทิ้งให้เป็นหน้าที่ของชิโอริให้เรียกนายแพทย์มาดูอาการของเขา ก่อนจะจ่ายยานอนหลับให้หลับสนิท แต่น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุดตลอดทั้งตอนนอน จนผ่านไปพักใหญ่จึงจะหยุดไหล
ตั้งแต่ที่จ่ายยานอนหลับจนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลก็ผ่านไปจนค่ำ ทั้งสามคนเดินทางกลับไปที่บ้าน เมื่อกลับไปถึงก็พบว่าหลอดไฟภายในบ้านเปิดอยู่ และฮานามิก็นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องของชิโอริ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะปวดมือจนจับดินสอไม่ไหวแล้ว พอเห็นชิโอริเปิดประตูห้องเข้ามา เธอจึงทักไปทันที
“เธอจับดินสอติดต่อกันทั้งคืนได้ยังไงกัน เป็นฉันคงทำไม่ไหวหรอก”
“บอกว่าอย่ามายุ่งกับของๆ ฉัน” ชิโอริทำหน้าบอกบุญไม่รับ “รีบไปให้พ้นจากโต๊ะของฉันเลยนะ เธอไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องอะไรในห้องนี้ทั้งนั้น”
“รวมถึงกระดาษพวกนั้นด้วยหรือเปล่า” ฮานามิชี้ไปยังกองเอกสารตรงมุมห้อง รูปแบบการมัดเชือกต่างไปจากการมัดปกติของชิโอริ “ถ้าใช่ก็ขอโทษด้วยนะ แต่เธอก็เขียนเอาไว้เองว่าถ้าอยากอ่านก็เชิญตามสบาย ฉันก็เลยถือวิสาสะเปิดอ่านเอาเลย หวังว่าคงไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไรของเธอสิ” ชิโอริรีบเข้าไปตรวจกองเอกสารที่เธอเขียน การเรียงลำดับก็เปลี่ยนไปทั้งหมดเช่นกัน “เธอจะอ่านวิธีสังเคราะห์เทอร์รารอยด์ไปทำไม ปกติก็สร้างแต่แองเจลอยด์ไม่ใช่เหรอ หรือว่าเปลี่ยนใจอยากสร้างของใหม่ขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นก็ไปอ่านงานวิจัยของเธอที่โดนสั่งปิดไปสิ ถ้ากลับไปเอามาจากสถานีวิจัยได้นะ”
“งานที่ถูกโละทิ้ง มันก็มีแต่จะถูกโยนลงถังขยะเท่านั้นแหละ” ฮานามิตอบ แล้วหันหน้าไปหาชิโอริ “ถามหน่อยสิ เธอคิดอะไรถึงค้นคว้าเทอร์รารอยด์ขึ้นมาเหรอ ทั้งที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ระยะไกล แถมยังไม่รู้โอกาสความสำเร็จเลย ทำไมในตอนนั้นถึงได้ดึงดันจะค้นคว้าขนาดนั้น เพราะอยากชดเชยที่เธอเกิดมาอ่อนแอเหรอ”
ชิโอริมองฮานามิกลับด้วยสายตาเกลียดชัง ถึงแสงสุทินจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเธอคุยกัน แต่เหมือนกับว่าเรื่องนี้เคยถูกปั่นจนกลายเป็นประเด็นขึ้นมาแล้วในสมัยก่อน
“ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องบอกเธอ แล้วก็ต้องขอบคุณเธอนะ ฉันถึงได้เกิดมาเป็นอย่างนี้ เป็นเซย์ริอ่อนแอที่มีประโยชน์แค่เอาไว้สร้างเซย์ริคนอื่นๆ แล้วก็ต้องเฝ้ามองเด็กพวกนั้นทุกคนล้มตายอยู่ในสถานีวิจัย ถ้าไม่ใช่เพราะการอยากทดลองของเธอ ฉันก็คงเกิดมาแข็งแกร่งกว่านี้ แล้วก็ไม่ต้องอยู่เห็นภาพพวกนั้นจนถึงตอนนี้แล้วก็ได้”
“เธอก็เลยเอาไประบายกับผลงานของตัวเอง ด้วยการทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับสินะ เพื่อให้มีคนมารับเคราะห์ต่อจากเธอ” ฮานามิยิ้มรับในสิ่งที่ชิโอริตอบกลับมา แล้วพูดในสิ่งที่กระตุ้นให้ชิโอริโกรธขึ้นหน้า
“ฉันไม่ควรอยู่ฟังเรื่องนี้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ขอตัวก่อนนะ” ฮิโรมิปิดประตูห้อง ทำให้เหลือพวกชิโอริอยู่แค่สองคน ซึ่งนั่นก็ทำให้เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ระหว่างทั้งสองคนลุกโชนโดยไม่มีอะไรมาจำกัดบริเวณ
“อยากยกเรื่องนั้นมาพูดก็เชิญเลย ฉันก็ขอพูดสักเรื่องนะ” ชิโอริใช้สายตาข่ม แต่มันทำอะไรฮานามิที่ผ่านการต่อสู้เสี่ยงชีวิตมามากกว่าเธอไม่ได้เลย “ถ้าเธอเลือกอยู่ข้างฉันในวันนั้น ฉันก็อาจจะยังทำงานเป็นลูกน้องของเธอ แล้วเด็กคนนั้นก็อาจไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในท่อส่งชีวิตจนถึงทุกวันนี้หรอก อาจจะมีเธอเป็นแบบอย่างด้วยซ้ำ”
“มั่นใจเหลือเกินนะ รุ่นที่สองจะมีพลังเท่ากับรุ่นแรกได้ยังไงกันล่ะ” ฮานามิ
“ใช่สิ! เพราะรุ่นที่สองไม่แข็งแกร่งเหมือนเธอ ไม่ได้มีพลังที่กำจัดผู้รุกรานจากอวกาศในนัดเดียว ฉันถึงอยากให้เด็กที่เกิดมามีพลังที่ช่วยให้เอาชีวิตรอดได้มากขึ้น แต่ว่า เธอที่มีพลังมากกว่าพวกเราทั้งหมด แล้วก็เข้าร่วมการต่อสู้ทุกครั้งกลับไม่ทำอะไรเลย เพราะเธอเก่งเกินไปเหรอ เธอถึงไม่สนใจเด็กที่เธอน่าจะช่วยเอาไว้ได้ ทั้งที่หนึ่งในนั้นก็มีเด็กที่เธอสร้างขึ้นมาอยู่ด้วย ถ้าเธอเข้าร่วมการต่อสู้ตั้งแต่แรก มันคงไม่เป็นเหมือนกับในตอนนี้แน่”
“แล้วรุ่นแรกที่ตายไปล่ะ…” ฮานามิหยุดพูดเอาไว้เท่านี้ แล้ววางดินสอลง “เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ คอยดูให้ดีก็แล้วกัน” เธอใช้น้ำเสียงเฉยชา แล้วเปิดประตูห้องออกไปข้างนอก แต่แล้วก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับน้ำดื่มสองขวด และใบหน้าที่สดใสขึ้น “แต่ก่อนหน้านั้น ฉันยังสอนวิธีการสังเคราะห์ให้เธอไม่จบเลย แต่เธอใช้มือขวาไม่ได้สินะ ฉันจะเล่าให้เธอฟังแล้วค่อยเขียนลงกระดาษหลังจากที่ใช้มือขวาได้อีกครั้งก็แล้วกัน”
ชิโอริเห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก นอกจากทำริมฝีปากเผยอแล้วส่งเสียงต่ำลอดออกมา
“อะไรของเธอ เปลี่ยนสีหน้าเร็วจริงนะ ถ้าอย่างนั้นก็รีบเล่ามาซะสิ แค่คิดว่าต้องอยู่กับเธอทั้งวันทั้งคืนก็ทำให้ฉันสะอิดสะเอียนสุดๆ แล้วนะ เล่ามาให้เสร็จแล้วกลับไปที่สถานีวิจัยได้แล้ว”
“คงทำไม่ได้หรอก” ฮานามิพูดอย่างสดใส “ถ้าไม่มีฉันอยู่ สถานีวิจัยคงเคลื่อนไหวอีกครั้ง คราวนี้จะไม่มีใครช่วยปกปิดเรื่องที่มนุษย์คนนั้นยังมีชีวิตอยู่อีกแล้ว รู้สึกว่าจะชื่ออะไรนะ แสงสุทินใช่หรือเปล่า”
“แสบนักนะ ถ้าบอกว่านี่เป็นแผนของเธอตั้งแต่แรก เธอน่าจะไปเป็นคนบัญชาการเซย์ริแทนมาโดกะเลยนะ”
ชิโอริปัดมือใส่ แต่ก็ยังนั่งฟังเรื่องที่ฮานามิเล่าให้ฟังจนถึงเช้า เธอเล่าความรู้ทุกอย่างที่รู้ให้ฟังอย่างละเอียด รวมถึงปรับเรื่องที่เข้าใจยากเพียงการอธิบายด้วยคำพูดให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เพียงชั่วข้ามคืนก็มีเรื่องที่ถูกเล่าให้ฟังเป็นจำนวนมาก แต่เธอก็จำได้ทุกเรื่อง หลังจากที่แขนขวาหายดีก็เขียนเรื่องทั้งหมดใส่ลงในกระดาษหลายสิบหน้าโดยไม่ตกหล่นสักตัวอักษร
แล้วสัญญาณเตือนภัยครั้งใหม่ก็ดังขึ้นในอีก 4 วันหลังจากนั้น
เครื่องบินรบและเซย์รินับสิบถูกส่งไปรับมือ พวกเขาใช้เวลาเตรียมตัวนานเกินไปจนผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวขึ้นกลางเขตอยู่อาศัยที่ 101 แล้ว แต่ภาพที่ทุกคนได้เห็นเมื่อเดินทางไปถึงก็คือ ซากของสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี มันถูกฆ่าตายหลังจากที่ปรากฏตัวขึ้นได้แค่ไม่ถึงหนึ่งนาที นับเป็นระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่เคยใช้มา
แต่ว่า การโจมตีที่ใช้เพื่อจัดการกับมันได้อย่างเด็ดขาดคือ… สามครั้ง
“คิดแล้วเชียว ที่มีอยู่ในตอนนี้มันไม่เพียงพอ”
เจ้าของการโจมตีทั้งหมดเก็บตัวอยู่ในห้องที่ปิดทึบจนแสงอาทิตย์ส่องผ่านไม่ได้ ข้างในห้องนั้นมีกลิ่นสารเคมีตลบอบอวล ในมือของเธอถือหลอดทดลองที่ใส่สารเคมีเย็นเอาไว้ เธอคีบเส้นสีฟ้าและเส้นสีแดงจำนวนเท่ากันใส่ลงไปในหลอดทดลอง เมื่อเส้นพวกนั้นละลายไปจนหมด กลิ่นเหม็นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แล้วของเหลวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐฟูขึ้นมาถึงปากหลอด แต่เธอก็จัดการกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นอย่างใจเย็น เธอเติมผงสีฟ้าลงในสารละลายที่ทำปฏิกิริยาอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้น มีละอองแสงสีฟ้าและสีแดงเข้มลอยขึ้นมา ของเหลวในหลอดก็ลดระดับลงจนหายไปหมด โดยผงสีฟ้าเหลือที่ก้นหลอดทดลองเท่ากับปริมาณที่เติมลงไป เธอเก็บหลอดทดลองแล้วลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้ระบายกลิ่น ข้างนอกหน้าต่างบานนั้น เธอมองเห็นเขตอยู่อาศัยที่ 101 ซึ่งกลายเป็นพื้นโล่งเตียน หน่วยซ่อมบำรุงกำลังเก็บซากของผู้รุกรานจากอวกาศอย่างเร่งรีบ แล้วภายในห้องก็มีแสงอาทิตย์ส่องอีกครั้ง เส้นผมสีน้ำเงินแก่สะท้อนเป็นประกายคล้ายท้องฟ้าช่วงโพล้เพล้
นั่นเป็นภาพที่ทั้งสวยงามและน่าหวาดกลัว แต่นั่นก็บอกให้รู้ว่าชีวิตชีวากำลังจะกลับมาอีกครั้ง
แต่เธอกลับได้รู้เสียแล้ว โลกที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวานี้กำลังจะพบกับจุดจบในไม่ช้า
…เหลือเวลามากที่สุดแค่ 9 เดือน…
ไม่สามารถไว้ใจอาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ ต่อให้เครื่องบินรบรุ่นใหม่จะถูกสร้างขึ้นได้ทัน มันก็อาจทำอะไรไม่ได้
เธอไม่สามารถฝากทุกอย่างเอาไว้กับ (เบต้าเชสเซอร์) ได้จริงๆ
สาวน้อยวัยมัธยมปลายย้อนกลับทำการทดลองอย่างเดิมอีกครั้ง แล้วก็จบลงด้วยผลลัพธ์เดิมเช่นทุกครั้ง ทุกครั้งที่ต้องเติมผงสีฟ้าลงในหลอดทดลอง เธอก็ทำสีหน้าราวกับโลกจะล่มสลายลงไปตรงหน้า ซึ่งมันก็อาจไม่ใช่การแสดงออกที่เกินจริงไปนัก เพราะจากที่เธอคิดเอาไว้ สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตที่ได้รู้นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอกำลังสร้างขึ้นมา
…ชะตากรรมของโลกคงต้องฝากเอาไว้กับ (อควารอยด์) เท่านั้น…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ